Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 2 3 [4] 5   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 10988 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #45 เมื่อ: 14, กรกฎาคม, 2568, 10:39:12 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๕)สญฺโญชนา เจว ธมฺมา สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
สญฺโญชนสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ สญฺโญชนา  ~ ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ แต่ไม่เป็น สัญโญชน์
(๖)สัญโญชนวิปฺปยุตตา โข ปน ธมฺมา สโชนิยาปิ  ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ แต่เป็น อารมณ์ของสัญโญชน์
สัญโญชนวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อสโชนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์ และไม่ เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
คันถะ=คันถะ คือ กิเลสเครื่องร้อยรัดมัดใจ ให้สัตว์ติดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เปรียบเหมือนโซ่ที่ผูกสัตว์ไว้ คันถะมี ๔ อย่าง                           
(๑)อภิชฌากายคันถะ - เครื่องรัดกายคืออภิชฌา ได้แก่ ความกำหนัด ความยินดี ความปรารถนา                     
(๒)พยาปาทกายคันถะ - เครื่องรัดกายคือพยาบาท เช่น อาฆาต                   
(๓)สีลัพพตปรามาสกายคันถะ - เครื่องรัดกายเช่นมีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต ในภายนอกศาสนา
(๔)อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ - เครื่องรัดกายคือความเห็นว่าสิ่งนี้เป็นจริง เช่น เห็นว่า โลกเที่ยง นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า, ว่าโลกไม่เที่ยง นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า, ว่าโลกมีที่สุด นี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า
คันถโคจฉกะ=แม่บทว่าด้วยกลุ่มคันถะ(กิเลสเครื่องร้อยรัด) มี ๖ คู่ ได้แก่
(๑)คันถทุกะ=
ก) คนฺถา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นคันถะ
ได้แก่ธรรมในคันถะทั้ง ๔
ข) โน คนฺถา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นคันถะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯวิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒)คันถนิยทุกะ=
ก) คนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อคนฺถนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๓)คันถสัมปยุตตทุกะ = คือ
ก) คนฺถสมฺปยุตฺตา ธมฺมา  ~ ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ธรรมวิปปยุตตจากคันถะ คือ
มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๔)คันถคันถนิยทุกะ =
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถนิยาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ
คันถธรรมเหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่า ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ.
ข) คนฺถนิยา เจวธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะ แต่ไม่เป็นคันถะ
ได้แก่ขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕)คันถคันถสัมปยุตตทุกะ =
ก) คนฺถา เจว ธมฺมา คนฺถสมฺปยุตฺตาจ ~ ธรรมเป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ คือ
□ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เป็นคันถะ และสัมปยุตด้วยคันถะ โดย อภิชฌากายคันถะ
□ อภิชฌากายคันถะเป็นคันถะ และสัมประยุตด้วยคันถะโดยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ
□ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เป็นคันถะ และสัมปยุตด้วยคันถะโดยอภิชฌากายคันถะ
□ อภิชฌากายคันถะเป็นคันถะ และสัมประยุตด้วยคันถะโดย อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ.
ข) คนฺถสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ คนฺถา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ แต่ไม่เป็น คันถะ
ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยคันถธรรมเหล่านั้น เว้นคันถธรรมเหล่านั้นเสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ
(๖) คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ =
ก) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา คนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ แต่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
ธรรมเหล่าใด วิปปยุตจากคันถธรรมเหล่านั้น คือกุศลธรรม, อกุศลธรรม, อัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร, รูปาวจร, อรูปวจร ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ
ข) คนฺถวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อคนฺถนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากคันถะ และไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ คือ
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, เฒ่าธุลี, ฝาตุ่ม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #46 เมื่อ: 14, กรกฎาคม, 2568, 03:43:15 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒๘/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

โอฆะ =คือ อ่าว หรือ ห้วงน้ำ เป็นห้วงน้ำที่ไหลวน มีลักษณะที่ดูดสัตว์ให้จมลงสู่ที่ต่ำ คือ จมอยู่ระหว่าง อบายภูมิ ถึง พรหมภูมิจนกว่าจะแหวกว่ายขึ้นมา ไปถึง โคตรภูญาณ โอฆะ มี ๔ อย่าง
(๑) กาโมฆะ - คือ ห้วงแห่งกามซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ใน กามคุณทั้ง ๕ องค์ธรรม คือ โลภเจตสิก ในโลภมูลจิต ๘
(๒) ภโวฆะ (ภพ-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งภพซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ ในความยินดี อยากได้ถึง รูปภพ หรือ อรูปภพ
(๓) ทิฎโฐฆะ (ทิฏฐิ-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งความเห็นผิดซึ่งพาหมู่สัตว์ให้จมอยู่ ในความเห็นผิด จากความเป็นจริง ของสภาวธรรม
(๔) อวิชโชฆะ (อวิชชา-โอฆะ) คือ ห้วงแห่งความหลงซึ่งพาหมู่สัตว์ให้ลุ่มหลง และจมอยู่ในความไม่รู้,ไม่รู้เหตุและ ผล ตามความเป็นจริง จึงมีความ โลภ โกรธ หลง
โคตรภูฯ=โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร) คือ ปัญญาที่อยู่ในลำดับจะถึงอริยมรรค หรืออยู่ในหัวต่อที่จะข้ามพ้นภาวะปุถุชนขึ้นสู่ภาวะเป็นอริยะ
อบายภูมิ ๔= คือ นรก, เปรต, อสุรกาย และ สัตว์เดียรฉาน
โอฆโคจฉกะ = แม่บทกลุ่มโอฆะ คือ กิเลสเครื่องทำให้สัตว์จมลงในวัฏฏะ คือความเวียนว่านตายเกิด มี ๖ พวก คือ
(๑) โอฆทุกะ
ก) โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโอฆะ
ข) โน โอฆา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโอฆะ
(๒) โอฆนิยทุกะ
ก) โอฆนิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) อโนฆนิยา ธมฺมา  ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
(๓) โอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ
(๔) โอฆโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆนิยา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆนิยา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะ
(๕) โอฆโอฆสัมปยุตตทุกะ
ก) โอฆา เจว ธมฺมา โอฆสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโอฆะ และสัมปยุตด้วยโอฆะ
ข) โอฆสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโอฆะ แต่ไม่เป็นโอฆะ
(๖) โอฆวิปปยุตตโอฆนิยทุกะ
ก) โอฆวิปฺปยุตฺตา โน ปน ธมฺมา โอฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ แต่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
ข) โอฆวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโนฆนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโอฆะ และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
โยคะ=คือ กิเลส
โยคโคจฉกะ= แม่บทกลุ่มโยคะ คือ กิเลสเครื่องประกอบหรือผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ มี ๖ ทุกะ ดังนี้
(๑) โยคทุกะ =กิเลส เป็นคู่ คือ
ก) โยคา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นโยคะ
ข) โน โยคา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นโยคะ
(๒) โยคนิยทุกะ
ก) โยคนิยา ธมฺมา ~ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) อโยคนิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
(๓) โยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ
(๔) โยคโยคนิยทุกะ
ก) โยคา เจว ธมฺมา โยคนิยา จ ~ ธรรมเป็นโยคะ และเป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยคนิยา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๕) โยคโยคสัมปยุตตทุกะ
ก) โยคา เจว ธมฺมา โยคสมฺปสยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะ
ข) โยคสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ โยคา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็นโยคะ
(๖) โยควิปปยุตตโยคนิยทุกะ
ก) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา โยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ แต่เป็นอารมณ์ของโยคะ
ข) โยควิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อโยคนิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากโยคะ และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
นิวรณ์ ๖= คือ กิเลสที่ปิดกั้นใจไม่ให้บรรลุความดี ไม่ให้ก้าวหน้าในการเจริญภาวนา นิวรณ์มี ๖ ประการ คือ
(๑) กามฉันทนิวรณ์ คือ
ความพอใจคือความใคร่, ความกำหนัดคือความใคร่ ในกามทั้งหลาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #47 เมื่อ: 15, กรกฎาคม, 2568, 10:41:13 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒๙/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

(๒) พยาปาทนิวรณ์ คือ ความอาฆาต
 (๓) ถีนมิทธนิวรณ์ คือ
ถีนมิทธะนั้น แยกเป็นถีนะอย่างหนึ่ง มิทธะอย่างหนึ่ง.
(๓.๑) ถีนะ คือ ความไม่สมประกอบแห่งจิต  ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต, ความท้อแท้, ความหดหู่
(๓.๒) มิทธะ คือความไม่สมประกอบแห่งนามกาย, ความไม่ควรแก่งานแห่งนามกาย, ความความง่วงเหงา
(๔)อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ คือ อุทธัจจกุกกุจจะนั้น แยกเป็นอุทธัจจะอย่างหนึ่ง กุกกุจจะอย่างหนึ่ง
(๔.๑) อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต, ความไม่สงบแห่งจิต
(๔.๒) กุกกุจจะ คือ ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร, ความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร, ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ, ความสำคัญว่าไม่มีโทษในของที่มีโทษ, ความเดือดร้อนใจ
(๕) วิจิกิจฉานิวรณ์ คือ ปุถุชนเคลือบแคลสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา,ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
(๖) อวิชชานิวรณ์ คือ ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม
อสังขตธาตุ =สภาวธรรมนี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ไม่เป็นรูป เป็นโลกุตตระ เป็นเหตุให้ไม่จุติ ปฏิสนธิ ฟและเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
โลกุตตระ = พ้นโลก อยู่เหนือวิสัยของโลก หรืออุตรภาพ เป็นคำที่ใช้คู่กับ โลกิยะ ซึ่งแปลว่า ยังเกี่ยวข้องกับโลก เรื่องของโลก โลกุตระ หมายถึงภาวะที่หลุดพ้นแล้วจากโลกิยะ ไม่เกี่ยวข้องกับกาม ตัณหา ทิฏฐิ อวิชชาอีกต่อไป ได้แก่ธรรม ๙ ประการซึ่งเรียกว่า นวโลกุตรธรรม หรือ โลกุตรธรรม ๙ได้แก่
อริยมรรค ๔ =คือ โสดาปัตติมรรค, สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตมรรค
อริยผล ๔ = คือ โสดาปัตติผล, สกิทาคามิผล, อนาคามิผล, อรหัตผล
และ นิพพาน ๑
นีวรณโคจฉกะ= กิเลสเครื่องกั้นจิตรัดรึงจิต มี ๖ ทุกะ ได้แก่
(๑) นีวรณทุกะ
ก) นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นนิวรณ์
คือธรรมที่เป็น นิวรณธรรม ๖
ข) โน นีวรณา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒) นีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อนีวรณิยา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ, และอสังขตธาตุ
(๓) นีวรณสัมปยุตตทุกะ
ก) นีวรณสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา  ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) นีวรณนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณิยา จ ~ ธรรมเป็นนิวรณ์ และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์
คือ นิวรณ์เหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์.         
ข) นีวรณิยา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕) นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ
ก) นีวรณา เจว ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตฺตา จ ~ ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ เช่น
□ กามฉันทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์,
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยพยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยถีนมิทธนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยวิจิกิจฉานิวรณ์


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #48 เมื่อ: 15, กรกฎาคม, 2568, 07:12:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓๐/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี

□ กามฉันทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกามฉันทนิวรณ์
□ พยาปาทนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยพยาปาทนิวรณ์
□ ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยถีนมิทธนิวรณ์
□ กุกกุจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยกุกกุจจนิวรณ์
□ วิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยวิจิกิจฉานิวรณ์
□ อวิชชานิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอุทธัจจนิวรณ์
□ อุทธัจจนิวรณ์ เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ โดยอวิชชานิวรณ์
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์.           
ข) นีวรณสมฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา โน จ นีวรณา ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์ แต่ไม่เป็น นิวรณ์
คือเวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๖) นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ
ก) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา นีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์           
ข) นีวรณวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อนีวรณิยาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ คือ
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ
ทิฏฐิ = คือความเห็น, ความเข้าใจ, ความเชื่อถือ, ทั้งนี้มักมีคําขยายนําหน้า เช่น สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) แต่ถ้า ทิฏฐิ มาคําเดียวโดดมักมีนัยไม่ดีหมายถึง ความยึดถือตามความเห็น, ความถือมั่นที่จะให้เป็นไปตามความเชื่อถือหรือความเห็นของตน  ความเห็นผิด มี ๒ ได้แก่
(๑) สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง
(๒) อุจเฉททิฏฐิ - ความเห็นว่าขาดสูญ;
อีกหมวดหนึ่ง มี ๓ คือ
(๑) อกิริยทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่เป็นอันทํา
(๒) อเหตุกทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่มีเหตุ
(๓) นัตถิกทิฏฐิ - ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ เช่นว่า มารดาบิดาไม่มี
ปรามาสโคจฉกะ= แม่บทว่าด้วยกลุ่มปรามาส คือ กิเลสในทางที่ผิดจากความจริง มี ๕ คู่ ได้แก่
(๑) ปรามาสทุกะ
ก) ปรามาสา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นปรามาสะ (ทิฏฐิ)
มีทิฏฐิปรามาสะ ความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี, ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี, ว่าโลกมีที่สุดก็ดี, ว่าโลกไม่มีที่สุดก็ดี
ข) โน ปรามาสา ธมฺมา ธรรมไม่เป็นปรามาส
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๒) ปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) อปรามฏฺฐา ธมฺมา ~ ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
คือ มรรค และผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ
(๓) ปรามาสสัมปยุตตทุกะ
ก) ปรามาสสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมสัมปยุตด้วยปรามาสะ
ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยปรามาสธรรมเหล่านั้น
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะ
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
(๔) ปรามาสปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสา เจว ธมฺมา ปรามฏฺฐา จ ~ ธรรมเป็นปรามาสะและเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ปรามาสะนั้นนั่นแล ชื่อว่าธรรมเป็นปรามาสะ และเป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ข) ปรามฏฺฐา เจว ธมฺมา โน จ ปรามาสา ~ ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ แต่ไม่เป็นปรามาสะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
(๕) ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ
ก) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา ปรามฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุตตจากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
ข) ปรามาสวิปฺปยุตฺตา โข ปน ธมฺมา อปราฏฺฐาปิ ~ ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #49 เมื่อ: 13, สิงหาคม, 2568, 04:53:13 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๓.ธัมมสังคณี (ต่อจิตตุปปาทกัณฑ์ คำอธิบายเรื่องจิตเกิด)

ร่ายยาว

  ๑.จิต,ธรรมชาติรอบรู้อารมณ์....อายตนะสมนอก-ใน....หกคู่ไซร้ให้"ตา"รับรู้สี....มี"หู"รับรู้เสียง...."จมูก"เคียงเพียงรับรู้กลิ่น...."ลิ้น"รับรู้รสชาติ....กายยาตรรับรู้กระทบสัมผัส....และใจชัดรับรู้สึกตรึกเสมอ....จิตนะเออรู้อารมณ์ครั้งละหนึ่ง....ขณะจิตพึ่งก่อเกิดพาน....การรับรู้อารมณ์ชี้....กับสิ่งที่ถูกรับรู้ก็เกิดพร้อม....ย่อมห้ามการรับรู้อารมณ์มิได้....จิตรับรู้ใดแตกต่างกัน....พลันแล้วแต่เจตสิกปรุงแต่งเถิด....เจตสิกจะเกิดและดับพร้อมจิต....เจตสิกอยู่ชิดจิตมีที่อาศัย....และไซร้อารมณ์เดียวกับจิต...ใจจึงวิศิษฐ์รับรู้อารมณ์....บ่มได้มากมายนับ....สดับแปดสิบเก้าแบบนั่นแล

   ๒.จิตแบ่งได้สามประเภท....ธรรมพิเศษ"กุศลฝ่ายดี"...."อกุศลชี้ฝ่ายชั่ว"....และธรรมจั่ว"อัพยากฤต"กลางกลาง....มิวางดีหรือชั่วมัวเผย....เอ่ยกุศลจิตมียี่สิบเอ็ดชนิด....อกุศลจิตมีสิบสอง....สองอัพยากฤตกลาง....จะสะพร่างห้าสิบหก....ยกยอดทั้งสามจึง....รวมถึงแปดสิบเก้า"ดวงฉะนี้

   ๓.กุศลจิตฝ่ายดีแบ่งสี่....ตามภูมิชั้นที่อยู่ต่ำ-สูง....แรกผู้มุ่ง"กามาวจร"เอย....เผยท่องเที่ยวในกามอยู่....มีแปดพรูแยกชนิด....หนึ่ง,จิตเกิดร่วมด้วยโสมนัส....มีญาณชัดความรู้....จิตชู"อสังขาริก"เอย....เผยมิต้องมีสิ่งชักจูงใด....จิตก็ใฝ่เกิดขึ้นได้....สอง,จิตคะคล้ายหนึ่ง....แต่ถึงเป็น"สสังขาริก"แล....ต้องมีแน่สิ่งชักจูงจิตเกิด....เพริดสาม,จิตมีโสมนัส....ชัดไม่มีญาณรอบรู้....และชูเป็นอสังขาริกเอย....ไม่มีใดเลยชักนำให้เกิด....สี่,บรรเจิดเหมือนสาม....แต่ผลามเป็นสสังขาริก....จิตตามดิกมีสิ่งชักจูงชิด....ห้า,จิตกอปรอุเบกขา....พารู้สึกเฉยมิยินดี....หรือรี่เสียใจแต่มีญาณรู้....และชูอสังขาริกแน่....ไม่มีแลสิ่งใดนำ....หก,พร่ำเหมือนจิตห้า....แต่มาเป็นสสังขาริก....จิตเกิดพลิกต้องมีสิ่งชักจูงพา....จิตเจ็ดมากอปรอุเบกขา....ญาณรู้หนาไม่มี....และปรี่เป็นอสังขาริกแล....แน่มิต้องมีใดน้อมนำจิตเกิด....แปดจิตเชิดละม้ายเจ็ดเหมือน....แต่เยือนสสังขาริกเอย....เผยต้องรอสิ่งชักนำพาแล้วแล

   ๔."รูปาวจรจิต"ท่องเที่ยวไป....ด้วยไซร้รูปฝ่ายกุศล....จิตด้นได้รูปฌาน....จากผ่านฝึกฝนสมถภาวนา....เพ่งกล้ามีรูปเป็นอารมณ์....บ่มบรรลุรูปาวจรกุศลจิต.....ประชิดห้าดวงตามลำดับ....นับแต่รูปฌานหนึ่งถึงห้า....ฌานต้นหนาจะมีองค์ฌานห้าครบ....และจบค่อยลดลงไป....ปฐมไซร้ฌานหนึ่งมี.....องค์ฌานคลี่ครบห้าไซร้...."วิตก"ตรึกใฝ่"วิจาร"ตรอง.....ผอง"ปีติ"อิ่มใจพร้อม"สุข"....ชุก"เอกคัคคตา"อารมณ์เป็นหนึ่ง....ถึงฌานสององค์ฌานเหลือสี่....ชี้ตัดวิตกออกไกล....ฌานสามไซร้เหลือสาม....ผลามละวิจารทิ้ง....ดิ่งฌานสี่องค์ฌานเหลือสอง....ครองแค่สุข,เอกัคคตา....ละหนาปีติหมดไป....ไกลสุดฌานห้าตัดสุขแล้ว....เหลือแน่วแผ้วแค่สอง....คือครองอุเบกขา,เอกัคคตา....สรุปหนารูปาวจรกุศลจิต....พิศห้าแต่ดวงที่เก้าตาม....ถึงสิบสามดวงนี้แล

   ๕."อรูปาวจรกุศลจิต"คือ....จิตลือท่องเที่ยวในอรูปฯนา....จิตกล้าลุอรูปฌาน....ผ่านเพราะเพ่งสิ่งไร้รูปเป็นอารมณ์....มีชมสี่ดวงแล....หนึ่งแท้"อากาสานัญจาฯ"....คือจิตหนาเพ่งอากาศไพศาล....พานไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์....ชมสอง"วิญญานัญจาฯ....เป็นจิตกล้าเพ่งอารมณ์....บ่มวิญญาณไม่มีที่สุด....รุดสาม"อากิญจัญญาฯ"....จิตหนามิมีใดเป็นอารมณ์เลย....เผยสี่"เนวสัญญานาฯ".....จิตคว้าอากิญจัญญาฯแล....แท้อารมณ์จึงพะพาน....ผ่านสภาพประณีตกว่า....ว่าจะมีสัญญา,จำก็มิใช่....ไม่มีสัญญาก็มิใช่....สรุปไซร้อรูปาวจรกุศลจิต.....นับปิดแต่ดวงที่สิบสี่....ชี้ถึงสิบเจ็ดดังนี้

   ๖.โลกุตตรจิต....คิดหมายถึงจิตพ้นผ่านโลกเอย....เผยได้แก่จิตที่เป็นมรรค....จิตจักมีสี่อย่างพร่างกุศล....ดลเนื่องด้วย"โสดาปัตติมรรค"....จิตจักลุ"สกทาคามิมรรค"....จิตสลักลุ"อนาคามิมรรค"....จิตยิ่งนัก"อรหัตตมรรค"แฉ....สรุปแล้จิตกุศลแต่สิบแปดนา....ถึงหนายี่สิบเอ็ดฉะนี้

   ๗.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวกามาวจรจิต....ประชิดท่องเที่ยวในกาม....จิตผลามประกอบด้วย"โลภ"แล...."โทสะ"แน่ประทุษร้าย....ขยาย"โมหะ"หลงมัวเขลา....เหล่าจิตชั่วรวมสิบสอง....หนึ่งจิตครองอกุศลจากโลภเป็นมูลฐาน....มีพานโสมนัสยินดี....ทิฏฐิมีเห็นผิด....จิตเป็นอสังขาริกแล....แท้ไม่มีใดชักนำก็เกิดได้....สองไซร้คะคล้ายหนึ่ง....แต่พึงเป็นสสังขาริกหนา....จิตอ่อนล้าต้องมีสิ่งชักนำ....จึงพร่ำเกิดได้....สาม,จิตไซร้เกิดจากโลภเอย....โสมนัสเปรยไร้ทิฏฐิหนา....เป็นอสังขาริกมิถูกชักนำ....สี่พร่ำเหมือนสามแต่เป็น....เด่นสสังขาริกจัก.....ถูกชักนำจิตจึงเกิด....หกบรรเจิดเกิดจากโลภนา....มีอุเบกขาและทิฏฐิแล....แท้เป็นอสังขาริกมิถูกนำ....จิตซ้ำเกิดเองได้....หก,จิตไซร้เหมือนห้า....สสังขาริกเด่นครอง....จำต้องมีสิ่งชักจูงจึงเกิด....จิตเจ็ดเชิดด้วยโลภเป็นมูล...พูนอุเบกขามิมีทิฏฐิเลย....เผยจิตเป็นอสังขาริกนา....มิต้องคว้าสิ่งใดพาเกิด....จิตแปดเปิดเหมือนเจ็ดแล....แต่เป็นสสังขาริกนา....ต้องหาสิ่งช่วยเกื้อให้เกิด....สรุปเชิดอกุศลจิต....ประชิดด้วยโมหะก็แปดดวง....ล่วงแต่จิต"ยี่สิบสอง".....ถึงครองจิต"ยี่สิบเก้า"แล้วแล

   ๘.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวท่องเที่ยวในกาม....จิตตามกอปรด้วยโทสะเป็นมูล....มีพูนสองดวงนา....หนึ่ง,หนาจิตโทมนัส....และชัดมีปฏิฆะ,ขัดใจ....ไซร้เป็นอสังขาริกแล....แน่ไม่มีใดชักจูงก็เกิดได้....สอง,ไซร้เหมือนหนึ่งเลย....เผยเป็นสสังขาริกแล....แน่ไม่มีใดชักนำก็เกิดครัน....พลันสรุปอกุศลจิต....ประชิดโทสะผอง....จิตครองดวงที่"สามสิบ"แล....ถึงแน่"สามสิบเอ็ด"ฉะนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #50 เมื่อ: 14, สิงหาคม, 2568, 08:51:59 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๗) ๓.ธัมมสังคณี

๙.อกุศลจิตฝ่ายชั่ว....มัวท่องเที่ยวในกาม....จิตลามกอปรด้วยโมหะเป็นมูล....มีพูนสองดวงนา....หนึ่ง,หนาจิตโมหะเอย....เผยกอปรด้วยอุเบกขา....และคว้าความสงสัย....สอง,ไซร้จิตโมหะเป็นมูล....พูนอุเบกขาเฉย....แต่เปรยด้วย"อุทธัจจะ"นา....มีจิตคว้าฟุ้งซ่าน....พานสรุปอกุศลจิต....ประชิดโมหะแล....จิตแฉดวงที่สามสิบสอง....และตรองดวงที่สามสิบสามนี้แล

   ๑๐.อัพยากตจิต,กลาง....มิวางเป็นกุศล....หรือยลอกุศล....มีล้นห้าสิบหกดวงนา....แบ่งหนาเป็น"วิบากจิต"สามสิบหก....ต้องจกรับผลกรรม....กับกอปรนำ"กิริยาจิต"ยี่สิบ....จิตไกลลิบรับผลกรรม....มีข้อความพร่ำแปดเสริม....เริ่ม"กามาวจรกุศล"สิบหก....พก"รูปาวจรกุศล"ห้า...."อรูปาวจรกุศล"สี่....มี"โลกุตตรกุศล"สี่....ตามรี่"วิบากจิตอกุศล"เจ็ด....สิบเอ็ด"กิริยาจิตกามาวจร"หนา...."กิริยาจิตรูปาวจร"ห้า...."กิริยาจิตอรูปาฯสี่ฉะนี้

   ๑๑.กามาวจรกุศลจิต....ชิดท่องเที่ยวในกามที่เป็นกลาง....จิตพร่างมีผล....กุศลสิบหกตรึง....หนึ่ง,"จักขุวิญญาณ"รู้อารมณ์....ชมทางตาด้วยอุเบกขา....พารู้สึกเฉยเฉย....เอ่ยมีรูปเป็นอารมณ์....บ่มสอง"โสตวิญญาณ"....ผ่านหูรู้อุเบกขา....มีเสียงกล้าเป็นอารมณ์เอย....เผยสาม"ฆานวิญญาณ"รู้....จมูกชูอุเบกขา....คว้ากลิ่นเป็นอารมณ์รี่....สี่,"ชิวหาวิญญาณ"ลิ้นรู้....พรูอุเบกขามีรสเป็นอารมณ์....ห้า,สม"กายวิญญาณ"จะรู้....อารมณ์กรูทางกาย....ฉายด้วยสุขมี"โผฏฐัพพะ"....ปะสิ่งที่ถูกต้องได้ทางกาย....ห้าข้อหลายเรียก"วิญญาณห้า"....พาวิบากผลของกุศลแล้วแล

  ๑๒.อัพยากฤตกามาฯกุศล....หกล้น"มโนธาตุ"คือใจ....ไซร้มีอุเบกขามีอารมณ์...บ่มด้วยรูป,รส,กลิ่น,เสียง....เผดียง"โผฏฐัพพะ"หนา....พาเจ็ด"มโนวิญญาณธาตุ"....ด้วยยาตรรู้ทางใจ....ไซร้ประกอบด้วยโสมนัส....อารมณ์ชัดมีหก....ปรกด้วยรูป,เสียง,กลิ่น,รส....จรดด้วยโผฏฐัพพะ....และปะ"ธรรม"สิ่งรู้ด้วยใจ....แปดไซร้"มโนวิญญาณธาตุ"....กาจรู้ทางใจมีอุเบกขา...มีอารมณ์หกเหมือนเจ็ด....เก้าเด็ด"มโนวิญญาณธาตุ"แล....ประกอบแท้ด้วยโสมนัส,ญาณ....พานอสังขาริกไร้สิ่งชักนำ....พร่ำให้จิตเกิดได้....สิบไซร้คล้ายเก้าแต่เด่น....เป็นสสังขาริก,จิตเกิดได้....ไซร้ต้องมีสิ่งชักจูงเอย....สิบเอ็ดเผยมโนวิญญาณธาตุ...ฃม่พลาดโสมนัสมิมีญาณ....พานอสังขาริกมิมีสิ่งนำเกิด....สิบสองเชิดคล้ายสิบเอ็ดเอย....แต่เผยเป็นสสังขาริกแล....แน่ต้องมีสิ่งจูงนา....สิบสามหนามโนวิญญาณธาตุ....ยาตรมีอุเบกขา,ญาณ....และพานอสังขาริกปราศสิ่งนำ....สิบสี่ล้ำเหมือนสิบสามแต่เป็น....เด่นสสังขาริกมีสิ่งนำเกิด....สิบห้าเชิดมโนวิญญาณธาตุ....กาจด้วยอุเบกขา,ไร้ญาณ....พะพานอสังขาริกไร้....ไม่มีสิ่งชักนำจิตเกิด....เปิดสิบหกเหมือนสิบห้า....แต่มาเป็นสสังขาริกหนา....มีสิ่งพาจิตเกิดฉะนี้

  ๑๓.วิบากจิตผลกุศล....ยลรูปาวจรมีห้า....หนึ่งพาวิบากจิตในฌานหนึ่ง....ตรึงสองในฌานสอง....สามครองในฌานสาม....สี่ลามในฌานสี่....ห้าชี้วิบากจิตในฌานห้าฉะนั้น

   ๑๔.วิบากจิตผลกุศล....ด้นอรูปาวจรมีสี่....ชี้หนึ่งกอปรด้วย"อากาสาฯ"....เพ่งว่าอากาศมิมีที่สุด....รุดสองจิตกอปรด้วย"วิญญานัญฯ"....ครันเพ่งวิญญาณมิมีที่สุด....รุดสามกอปรด้วย"อากิญจัญญาฯ"....เพ่งไม่มีหนาอะไรแม้แต่น้อย....สี่ช้อย"เนวสัญญานาฯ"....เพ่งสัญญาความจำกำหนดหนา....ว่าเป็นของไม่ดีแล้วแล

   ๑๕.วิบากจิตผลกุศล....ล้นโลกุตตรมีสี่ผล....หนึ่งยล"โสดาปัตติผลจิต"....สองชิด"สกทาคามิผลจิต"....สามชิด"อนาคามิผลจิต"....กิจสี่อรหัตตผลจิตฉะนั้น

   ๑๖.วิบากจิตอกุศลผล....จิตด้นเจ็ดอย่างแล....หนึ่งแน่จักขุวิญญาณ....พานอารมณ์รู้ทางตา....มีอุเบกขาเฉยเฉย....มีรูปเปรยเป็นอารมณ์นา....สอง,หนา"โสตวิญญาณ"รู้....พรูทางหูมีอุเบกขา....พาอารมณ์ทางเสียง....สามเกรียง"ฆานวิญญาณ"รู้....กรูอารมณ์ทางจมูกเอย....เผยมีอุเบกขา,มีกลิ่น....เจาะสิ้นเป็นอารมณ์แล....สี่แท้ชิวหาวิญญาณ....พานอุเบกขามีรส....จรดเป็นอารมณ์....บ่มห้า"กายวิญญาณ,อารมณ์รู้"....กรูทางกายประกอบด้วยทุกข์....ปลุกอารมณ์โดยโผฏฐัพพะ....ปะสิ่งสัมผัสด้วยกาย....ฉายหก"มโนธาตุ"คือใจ....ประกอบไซร้อุเบกขา....มีอารมณ์หก,รูป,รส..ครอง....เจ็ดตรอง"มโนวิญญาณธาตุ"....ปราดรู้ทางใจกอปร....ตอบมีอุเบกขามีรูป,รส....จดกลิ่น,เสียง,สัมผัส....และชัดธรรมเป็นอารมณ์แล้วแล

   ๑๗.จิตเป็นกิริยาฝ่ายกามาฯ....หารับผลของกรรมไม่....มีไซร้สิบเอ็ดแล....หนึ่งแน่"มโนธาตุ"มีอุเบกขา ....อารมณ์กล้าคือรูป,รส,กลิ่น....ยินเสียงและโผฏฐัพพะ....ปะสองมโนวิญญาณธาตุ....ระดาษกิริยามีโสมนัส....ชัดมีอารมณ์หกรูป,เสียง....สามเคียงมโนวิญญาณธาตุ....ปราดกิริยามีอุเบกขา....มาด้วยอารมณ์หกรูป,รส....จดสี่มโนวิญญาณธาตุ....กาจกิริยามีโสมนัส....ชัดมีญาณและเป็น....เด่นอสังขาริกปราศสิ่งชักนำ....ย่ำห้าเหมือนข้อสี่....แต่รี่สสังขาริกมี....สิ่งคลี่ชักนำจิตเกิดฉะนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ฝาตุ่ม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #51 เมื่อ: 14, สิงหาคม, 2568, 02:18:17 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓/๗) ๓.ธัมมสังคณี

๑๘.จิตเป็นกิริยาฝ่ายกามาฯ....หกหนา"มโนวิญญาณธาตุ".....วาดเป็นกิริยามีโสมนัส....ชัดไม่มีญาณผ่านเด่น....เป็นอสังขาริกปลาตสิ่งชักนำ....เจ็ดด่ำคะคล้ายหก.....แต่ฉกเป็นสสังขาริกนำ....ต้องรอทำสิ่งชักจูงจิตเกิด....แปดเทิดมโนวิญญาณธาตุ.....กาจกิริยามีอุเบกขา....มีญาณกล้าและเป็น.....เด่นอสังขาริกมิต้องมี.....สิ่งใดปรี่ช่วยชักนำ.....เก้าพร่ำเหมือนแปดแล....แต่เป็นสสังขาริกต้องมี....สิ่งรี่ชักจูงจิตเกิด.....สิบเทิดมโนวิญญาณธาตุ....นาถกิริยามีอุเบกขา....ไร้ญาณหนาแต่เป็น....เน้นอสังขริกไม่ต้อง....มีใดครองชักนำเกิด....สิบเอ็ดเจิดเหมือนสิบ.....แต่ลิบเป็นสสังขาริก.....รอสิ่งจิกชักนำจิตเกิดแล้วแล

   ๑๙.รูปาวจรกิริยาจิตคือ.....ชื่อจิตผู้ที่เข้าฌานสมาบัติ....จิตชัดเกิดขึ้นสักว่าทำกิจ.....คิดรู้อารมณ์กรรมฐาน....แต่พานหาใช่เหตุเกิด....เพริดวิบากจิตกับมิใช่....ผลไซร้ของกุศลจิต....ชิดมี"รูปฌานกิริยา"ห้า....มีกล้าองค์ฌานห้าเอย....เผย"วิตก,วิจาร,ปีติ"แล....และแน่"สุข,เอกัคคตา"....องค์ฌานหนาจะค่อยละหมดลง....บ่งตามฌานที่สูงขึ้นเอย....เผยกิริยาในฌานหนึ่ง....จะพึงมีองค์ฌานครบห้า....เพราะยังหาตัดได้ไม่....ในฌานสองละ"วิตก"ไป....ฌานสามไซร้ละ"วิตก,วิจาร"....ผ่านถึงฌานสี่ละ"ปีติ"ลง....บ่งเหลือแต่"สุข,เอกัคตตา"....ฌานห้ามีองค์ฌานเหลือ....เกื้อคือ"อุเบกขา,เอกัคตตา"แล้วแล

   ๒๐.อรูปาวจรกิริยาจิตคือ....ชื่อจิตผู้เข้าถึงอรูปฌาน....จิตพานเกิดขึ้นสักแต่ว่าทำกิจ....คิดรู้อารมณ์กรรมฐาน....พานไร้เหตุเกิดวิบากจิต....ชิดไม่มีผลกุศลจิตเลย....เผยมีอรูปฌานกิริยาจิตสี่....หนึ่งรี่จิตเป็นกิริยา....กอปรหนา"อากาสานัญจาฯ"....สองพา"วิญญานัญจาฯ"....สามกล้า"อากิญจัญญาฯ"....สี่หนากอปรด้วย"เนวสัญญานาฯ"....นี่เป็นหนาจิตดวงท้ายจากทั้งหมด....จรดจิตดวงที่แปดสิบเก้านั่นแล

   ๒๑.อธิบาย"จิตตุปปบาทกัณฑ์"....ครันได้แจงคำสามคำ....กุศลนำ,อกุศล อัพยากตธรรม.....แล้วพร่ำเรื่องจิตแบ่งเป็น....เน้นกามาวจร,รูปาวจระ....อรูปาวจร,โลกุตตระ....ปะอัพยาฯธรรมกลางกลาง....ต่างเป็นจิตวิบากและกิริยา....แจรงหนาจิตดี,มิดี,กลาง....แล้วพลางแจงกรรมกุศล....ด้นฝ่ายกามาวจระ....ที่จะท่องเที่ยวในกามกอปรโสมนัส....ยินดีชัดมีญาณเกิด....อารมณ์เชิดด้วยรูปหรือเสียง....เกรียงด้วยกลิ่นหรือรส....หรือจดโผฏฐัพพะ....หรือปะธรรมสื่งที่ใจรู้....แต่ชูจิตเพียงดวงแรกนี้....ชี้ก็พ่วงธรรมะอื่นเพิ่ม....เสริมอีกห้าสิบหกข้อแล้วแล

   ๒๒.ธรรมะหนาห้าสิบหก....ปรกมี"ผัสสะ"ถูกต้อง....ครอง"เวทนา"รู้สึกทุกข์,สุข,เฉย....เอ่ย"สัญญา"จำได้....ไซร้"เจตนา"จงใจ....ใฝ่"จิตตะ"คือจิต....ความตรึกคิด"วิตก"....จก"วิจาร"ความตรอง....ผ่อง"ปีติ"อิ่มใจ....ใฝ่"สุข"สบายใจ....จิตใกล้"เอกัคคตา"หนึ่งเดียว....ความเชี่อเปรียว"สัทธินทรีย์"....ความเพียรชี้"วิริยินทรีย์"....สติรี่"สตินทรีย์"....คลี่"สมาธินทรีย์"เอย....เผย"ปัญญินทรีย์"เลิศ....บรรเจิดใจ"มนินทรีย์"....ปรี่"โสมนัสสินทรีย์"สุขใจ....ชีพใหญ่"ชีวิตินทรีย์"....ชี้"สัมมาทิฏฐิ"เห็นชอบ....นอบ"สัมมาสังกัปปะ"ดำริชอบ....ครอบ"สัมมวายามะ"เพียร.....เชียร"สัมมาสติ"ระลึกชอบ...ตอบ"สัมมาสมาธิ"ใจมั่น....ดั้นเชื่อ"สัทธาพละ".....เพียร"วิริยพละ".....ปะ"สติพละ"กำลังคือสติ....."สมาธิพละ,ปัญญาพละ"....ปะ"หิรีพละ"ละอายบาป....ทราบ"โอตตัปปพละ"กลัวบาปฉะนี้

  ๒๓.ตามด้วย"อโลภะ"โลภมิมี....ชี้"อโทสะ"ไม่คิดร้าย....กราย"อโมหะ"ไม่หลง....บ่ง"อนภิชฌา"ไร้....ไม่น้อมเป็นของตน....ก่น"อัพยาบาท"ไม่คิดปองร้าย....ผาย"สัมมาทิฏฐิ"เห็นชอบ....นอบทำดีได้ดี....ปรี่"หิริ"บาปละอาย....หน่ายกลัว"โอตตัปปะ"....เผชิญ"กายปัสสัทธิ"....ริระงับขันธ์เวทนา,สัญญา,สังขาร....พานสงบจิต"จิตตปัสสธิ"  ตริ"กายลหุตา"พาเบา....เหล่ากองเวทนา,สัญญา,สังขาร....พาน"จิตตลหุตา"จิตเบาลง....บ่ง"กายมุทุตา"อ่อนงาม....ลาม"จิตตมุทุตา"จิตอ่อนสวย....ทวย"กายกัมมัญญตา"กิจเหมาะควร....ล้วนในกองเวทนา,สัญญา,สังขาร....งานจิตควร"จิตตกัมมัญญตา"....ฝ่า"กายปาคุญญตา"คล่อง....กองเวทนา,สัญญา,สังขาร....ชาญ"จิตตปาคุญญตา"....พาจิตคล่องแคล่วหนา...."กายุชุกตา"ความตรงมิโกง....โปร่งในกองเวทนา,สัญญา,สังขาร....ผ่าน"จิตตชุกตา"จิตมิคด...."สติ"จดระลึกได้....ใจ"สัมปชัญญะ"รู้ตัว....จั่ว"สมถะ"จิตสงบ....จบ"วิปัสสนา"เห็นแจ้ง....แจง"ปัคคาหะ"จิตเพียร....เชียร"อวิกกาปะ"จิตตั้งมั่นนี้แล

   ๒๔.คำอธิบายเรื่อง"รูปกัณฑ์"....พลันกล่าวเกี่ยวกับ"รูป"เด่น....เช่นรูปใหญ่"มหาภูตรูปสี่"....และรี่"อุปาทยรูป"อาศัย....รูปใหญ่สี่ธาตุอยู่....แล้วแจงพรูสิบเอ็ดแม่บท"รูป"ตรึง....แม่บทหนึ่ง"เอกมาติกา"....รูปหนา"มิใช่เหตุ"ทั้งชั่ว,ดี....มิรี่ชั่วโลภะ,โทสะ,โมหะ.....มิปะดีทั้งอโลภะ,อโทสะ,อโมหะ....อีกรูปจะ"ไม่มีเหตุ"เป็นมูล....ไม่มีพูนทั้งโลภะ,โทสะ,โมหะ....อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ....จะมิเป็นมูลเหมือนกุศล,อกุศล....เพราะยลเป็นกลางกลาง....วางทั้งหมดมีสี่สิบสี่บท....จรดสอง"ทุกมาติกา"....แจงรูปมาหมวดละสอง....ทั้งผองมีหนึ่งร้อยสี่คู่....เช่นดู"อุปาทารูป"แล....แท้คือรูปที่อาศัยมีอยู่....รูปจู่มิเป็นอุปาทาก็มี....คือปรี่มหาภูตรูปสี่;....รูปเป็นที่อาศัยของจักขุสัมผัส....ชัดรูปเป็นอารมณ์ของตาก็มี....มิชี้เป็น"อนารมณ์"ก็มี....คลี่หมวดสาม"ติกรูป"นา.....แสดงรูปหนาแบ่งสาม....รวมความสามร้อยสาม....เช่นตามรูปใดทั้งภายนอก-ใน....ไซร้เป็นอุปาทา,อาศัยก็มี....รี่เป็น"โนอุปาทารูป"ไม่อาศัย....ไซร้ก็ยังมี....อื่นชี้รูปนอกมิเป็นที่เกิดเอย....เผยของจักขุสัมผัส....ชัดรูปภายในเป็นที่เกิดก็มี....มิคลี่เป็นที่เกิดก็มีฉะนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ฝาตุ่ม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #52 เมื่อ: 15, สิงหาคม, 2568, 08:58:06 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๔/๗) ๓.ธัมมสังคณี

   ๒๕.หมวดสี่"จตุกกะ"รูปแบ่ง....แจงสี่อย่างต่างกัน....ครันรวมยี่สิบสอง....เช่นมองรูปใดเป็นรูปอาศัย....รูปนั้นไซร้ถูกยึดถือก็มี....มิรี่ถูกยึดก็มี....รูปใดชี้ไม่เป็นรูปอาศัย....ก็มีไซร้ทั้งถูกยึด,มิยึดตรึง....ถึงหมวดห้า"ปัญจกะ"แจกแจง....แบ่งห้าอย่างได้แก่....แท้ธาตุดิน,ธาตุน้ำ,ธาตุไฟ....ไซร้ธาตุลมและรูปอาศัย....ไวหมวดหก"ฉักกมาติกา"....แจงรูปหนาหกแบบพาน...ที่วิญญาณหกพึงรู้คือ....ชื่อ"จักขุวิญญาณ ตารู้"....กรู"โสตวิญญาณ,หูรู้"....ชู"ฆานวิญญาณ,จมูกรู้"....พรู"ชิวหาวิญญาณ,ลิ้นรู้"....คู่"กายวิญญาณ,กายรู้"....และชู"มโนวิญญาณ,ใจทราบ"....ตราบหมวดเจ็ด"สัตตกมาติกา"....แจงรูปหนาเจ็ดอย่าง....พลางรูปพึงรู้ด้วย"ตา"....ด้วย"หู"หนา,ด้วย"จมูก"แล....แน่ด้วยลิ้น,กาย,ใจ-มโนธาตุ....ระดาษรู้ด้วยมโนวิญญาญธาตุ....ซิใจยาตรรู้ยิ่งแล้วแล

   ๒๖.หมวดแปดดิ่ง"อัฏฐกะมาติกา"....แบ่งรูปมาเป็นแปดอย่าง....พลางรูปพึงรู้ด้วยตาแล....แน่ด้วยหู,จมูก,ลิ้น,กาย....รูปฉายพึงรู้ด้วย"มโนธาตุ"....มิพลาดรู้อีกด้วย"มโนวิญญาณธาตุ"....และกายยาตรพึงรู้เป็นสอง....คือกายครองมีสัมผัสเป็นสุข....และเป็นทุกข์เพิ่มมา....หมวดเก้าว่า"นวกมาติกา".....แจงรูปหนาเก้าอินทรีย์....ชี้เป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่....ได้แก่ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย....ฉาย"อิตถินทรีย์"แจงเพศหญิง....อิง"ปุริสินทรีย์"เพศชาย....กรายด้วย"ชีวินตินทรีย์",ชีวิต....อีกประชิดธรรมชาติ....ที่พลาดเป็นอินทรีย์....รี่หมดสิบ"ทสกมาติกา"....แบ่งรูปพาเป็นสิบอินทรีย์....ชี้ด้วยตา,หู จมูก,ลิ้นกาย....กรายด้วยอิตถินทรีย์....ปรี่ปุริสินทรีย์....รี่ตามหลังด้วยชืวิตแล....มีรูปแท้กระทบได้ก็มี...ที่มิกระทบได้ก็มี....คลี่สิบเอ็ดมีรูป"อนิทัสสนะ"เห็นมิได้....ไร้"อัปปฏิฆะ"ถูกต้องมิได้....เพราะไซร้เป็น"ธัมมายตนะ"รู้ได้ด้วยใจ....ได้อาศัย"อายตนะ"เชื่อมต่อ....ก่อทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย....ฉายด้วยรูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ....จะเพิ่มหนึ่งเพราะถูกต้องมิได้แล้วแล

   ๒๗.นิกเขปกัณฑ์อธิบาย....ฉายบทตั้งกุศลธรรม....ถ้อยคำอกุศลธรรม....และพร่ำอัพยากตธรรม....ความด่ำกุศลธรรมคือ....ชื่อรากเหง้ากุศลสาม....ความไม่โลภ,ไม่โกรธ,ไม่หลง....บ่งขันธ์สี่เวทนา,สัญญฯ....สังขารกล้าและวิญญาณ....ที่พานปราศโลภ,โกรธ,หลง...ตรงนับกายกรรม,วจีกรรม....ทำมโนกรรมมิมีโลภ,โกรธ,หลง....บ่งเป็นมูลเหตุเรียกขานกุศลธรรม....คำอกุศลธรรมมีรากเหง้า....เร้ารุมจากโลภ,โกรธ,หลงมัว....จึงทำชั่วรวดขันธ์สี่....พฤติมิดีทั้งกาย,วาจา,ใจ....ด้วยใฝ่โลภ,โกรธ,หลงเด่น....ที่เป็นต้นเหตุอกุศลธรรม....ส่วนคำอัพยากตธรรมเพ่งนำ....วิบากกล้าผลกุศล,อกุศลธรรมครอง....ผู้ท่องเที่ยวกามาวจระ...ปะรูปาวจร,อรูปาวจระ....โลกุตตระชั้นเหนือโลกแล....แท้วิบากของขันธ์สี่...รวมธรรมที่เป็นกิริยา....มิใช่หนากุศลหรือผลของกรรม....นำรูปทั้งปวงพร้อม....น้อมอสังขตธาตุ,นิพพาน.....ธรรมขานด้วยอัพยากตธรรมเป็นกลางฉะนี้

   ๒๘."อัตถุทธากัณฑ์"อธิบาย....กรายบทตั้งโดยย่อ....ส่อทั้งกุศล,อกุศลธรรม...ด่ำอัพยากตธรรม....โดยคำกุศลหมายล้น....กุศลในภูมิสี่....รี่กามาวจรภูมิ,รูปาฯ,อรูปาฯ....และกล้า"โลกุตตรภูมิ"เอย....เผยอกุศลคือการอุบัติ....ชัดจิตอกุศลสิบสอง....ครองด้วยโลภมูลจิตแปดเอย.....เผยโทสมูลจิตสอง....และส่องโมหมูลจิตสองแล....แน่อัพยากตธรรมคือ....ชื่อวิบากในภูมิสี่....ชี้กิริยาในภูมิสาม....เพราะตามโลกุตตระมิมีกิริยา....แล้วหนาคือรูปและนิพพาน...ธรรมขานเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกลางแล้วแล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑) อภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณี พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๖๕๒-๖๖๙

จิต = คือ วิญญาณขันธ์ทั้งหมด มี ๖ ทางเกิด ได้แก่ จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณป และมโนวิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
อายตนะ = แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น ๒ อย่างคือ
(๑) อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก
(๒) อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ ๖ มี  รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น
อายตนะภายนอกนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า สัมผัส รู้ว่ามีการเห็น เรียกว่าวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ฝาตุ่ม, หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #53 เมื่อ: 15, สิงหาคม, 2568, 04:17:00 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๕/๗) ๓.ธัมมสังคณี

เจตสิก = คือ ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่าง ๆ อาการที่ประกอบกับจิตนั้น มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ (๑) เกิดพร้อมกับจิต   (๒) ดับพร้อมกับจิต (๓) มีอารมณ์เดียวกับจิต (๔) อาศัยวัตถุเดียวกับจิต
จิตและเจตสิกที่อาศัยกันนี้ ถ้าเปรียบจิตเป็นน้ำ เจตสิกเป็นสีแดง ผสมกันเป็นน้ำแดง เมื่อผสมกันแล้วไม่สามารถแยกน้ำออกจากสีแดงได้ฉันใด จิตและเจตสิกก็ไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นอิสระได้ฉันนั้น  สภาวธรรม รวม ๔ ประการของเจตสิก มีดังนี้
(๑) ลักษณะของเจตสิก คือ มีการอาศัยจิตเกิดขึ้น
(๒) กิจการงานของเจตสิก คือ เกิดร่วมกับจิต
(๓) ผลงานของเจตสิก คือ รับอารมณ์อย่างเดียวกับจิต 
(๔) เหตุที่ทำให้เจตสิกเกิดขึ้นได้ คือ  การเกิดขึ้นของจิต
จิต = แบ่งได้ ๘๙ ชนิด แยกเป็น ๓ อย่าง คือ
(๑) กุศลจิต ฝ่ายดี มี ๒๑ ดวง
แบ่งอีก ๔ ตามภูมิชั้นที่ต่ำ-สูง
(๑.๑) กามาวจรจิต คือจิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม ที่เป็นฝ่ายกุศล มี ๘ คือ
# ๑ = กุศลจิต ฝ่ายกามาวจร เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา(ความดีใจ) ประกอบด้วยญาณ(ความรู้) เป็นอสังขาริก (คือไม่ต้องมีสิ่งชักจูง จิตก็เกิดขึ้น)
# ๒ = กุศลจิต เหมือน ดวง ๑ แต่เป็น สสังขาริก (ต้องมีสิ่งชักจูง จิตจึงเกิดขึ้น) เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน
# ๓ = กุศลจิต ฝ่ายกามาวจร ประกอบด้วยโสมนัส แต่ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๓ แต่เป็น สสังขาริก
# ๕ = กุศลจิตฝ่าย กามาวจร ประกอบด้วย อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆคือไม่ดีใจ ไม่เสียใจ) ประกอบด้วยญาณ เป็นอสังขาริก
# ๖ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๕ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗ = กุศลจิตฝ่ายกามาวจร ประกอบด้วย อุเบกขาแต่ ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็นอสังขาริก
# ๘ = กุศลจิตเหมือนดวงที่ ๗ แต่เป็น สสังขาริก
(๑.๒) รูปาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในรูป ที่เป็นฝ่ายกุศล
(คือจิตที่ได้รูปฌาน ฌานที่เพ่งรูปเป็นอารมณ์) โดย รูปาวจรจิต เป็นจิตระดับสูงกว่ากามาวจรจิต เป็นจิตที่ได้อบรม สมถภาวนา เกิดรูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง คือ
# ๙ = ปฐมฌานกุศลจิต ฌาน ๑ = มีองค์ ๕ คือ วิตก(ความตรึก) วิจาร(ความตรอง) ปีติ(ความอิ่มใจ) สุข เอกัคคตา(ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง)
# ๑๐ = ทุติยฌานกุศลจิต ฌาน ๒ = มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
# ๑๑ = ตติยฌานกุศลจิต ฌาน ๓ = มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
# ๑๒ = จตุตถฌานกุศลจิต ฌาน ๔ = มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา
# ๑๓ = ปัญจมฌานกุศลจิต ฌาน ๕ = มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
(๑.๓) อรูปาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในอรูป ที่เป็นฝ่ายกุศล
(คือจิตที่ได้อรูปฌาน ฌานที่เพ่งนามหรือสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์) มี อรูปาวจรกุศลจิต ๔ ดวง คือ
# ๑๔ = อากาสานัญจายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิตที่ระลึกถึงอากาศที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์
#๑๕ = วิญญาณัญจายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่มีวิญญาณที่ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์
# ๑๖ = อากิญจัญญายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์เลย
# ๑๗ = เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต เป็นอรูปปัญจมฌานจิต ที่มีอากิญจัญญายตนจิตเป็นอารมณ์ เพราะรู้ว่าแม้ขณะที่ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์เลยนั้น ก็ยังมีอากิญจัญญายตนจิต เป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นสภาพที่ละเอียดประณีตมากโดยขณะนั้นจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
(๑.๔)โลกุตตระ คือจิตที่พ้นจากโลก (ได้แก่จิตที่เป็นมรรค ๔) มี ๔ คือ
#๑๘ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย โสดาปัตติมรรค
#๑๙ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย สกทาคามิมรรค
# ๒๐ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย อนาคามิมรรค
# ๒๑ = จิตอันเป็นกุศลที่เนื่องด้วย อรหัตตมรรค
(๒) อกุศลจิต ฝ่ายชั่ว มี ๑๒ ดวง
มีประเภทเดียว คือ กามาวจรจิตที่ยังท่องเที่ยวในกาม เป็นจิต ประกอบด้วยความโลภ ๘, ความคิดประทุษร้ายหรือโทสะ ๒, ความหลงหรือโมหะ ๒ คือ
# ๒๒ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วยโสมนัส, ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)  เป็นอสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูง ก็เกิดขึ้น)
# ๒๓ = เหมือนข้อ ๒๒ แต่เป็น สสังขาริก(มีสิ่งชักจูง จึงเกิดขึ้น
# ๒๔ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วยโสมนัส ไม่ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๕ =  เหมือนข้อ ๒๔ แต่เป็น สสังขาริก
# ๒๖ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๗ = เหมือนข้อ ๒๖ แต่เป็น สสังขาริก
# ๒๘ = จิตอันเป็นอกุศล เกิดจากความโลภเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยทิฎฐิ เป็นอสังขาริก
# ๒๙ = เหมือนข้อ ๒๘ แต่เป็นสสังขาริก
# ๓๐ = จิต เกิดจากโทสะเป็นมูลประกอบด้วยโทมนัส (ความไม่สบายใจ) ,ประกอบด้วย ปฏิฆะ(ความขัดใจ) เป็นอสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูง ก็เกิดขึ้น)
# ๓๑ = เหมือนข้อ ๓๐ แต่เป็นสสังขาริก
# ๓๒ = จิตเกิดจากโมหะเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วยความสงสัย
# ๓๓ = จิตเกิดจากโมหะเป็นมูล ประกอบด้วย อุเบกขา, ประกอบด้วย อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)..


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #54 เมื่อ: 16, สิงหาคม, 2568, 07:22:58 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๖/๗) ๓.ธัมมสังคณี

(๓) อัพยากตจิต = จิตเป็นกลางๆ ไม่ชี้ว่ากุศล หรืออกุศล แบ่งเป็น  ประเภทใหญ่ๆเหมือนฝ่ายกุศล มีรวม ๕๖ ดวง
(๓.๑) กามาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในกามที่เป็น อัพยากฤต คือเป็นผลของกุศล ฝ่าย กามาวจร มี ๑๖ ดวง ได้แก่
# ๓๔ = จักขุวิญาณ (ความรู้อารมณ์ทางตา) ประกอบด้วย อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ) มีรูปเป็นอารมณ์
# ๓๕ = โสตวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางหู) ประกอบด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์
# ๓๖ = ฆานวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางจมูก) ประกอบด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์
# ๓๗ =ชิวหาวิญญาณ (ความรู้กาย) ประกอบด้วยสุข มีโผฏฐัพพะ(สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย) เป็นอารมณ์
(จากข้อ # ๓๔ และ # ๓๘ รวม ๕ ข้อ เรียกว่า วิญญาณ ๕ อันเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกุศล)
# ๓๙ = มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป, เสียง, กลิ่น, รส และ โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๔๐ = มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ)  ประกอบด้วยโสมนัส มีรูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ และธรรม(สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) เป็นอารมณ์
# ๔๑ = มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ) อันประกอบด้วยอุเบกขา มีรูป จนถึงมีธรรมเป็นอารมณ์ (มีอารมณ์ครบ ๖)
(หมายเหตุ ตั้งแต่ ข้อ # ๓๔ ถึง # ๔๑ รวม ๘ ข้อ เป็นวิบากจิตธรรมดา ส่วนอีก ๘ ข้อต่อไป เรียกว่า มหาวิบาก)
# ๔๒ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยโสมนัส, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก (ไม่มีสิ่งชักจูงให้เกิดขึ้น)
# ๔๓ = เหมือนข้อ #๔๒ แต่เป็น สสังขาริก(มีสิ่งชักจูงจึงเกิดขึ้น)
# ๔๔ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยโสมนัส, ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๕ = เหมือนข้อ # ๔๔ แต่เป็น สสังขาริก
# ๔๖ =มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยอุเบกขา, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๗ = เหมือนข้อ # ๔๖ แต่เป็น สสังขาริก
# ๔๘ = มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยอุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๔๙ = เหมือนข้อ # ๔๘ แต่เป็น สสังขาริก
(๒) จิตที่เป็นวิบาก= คือ เป็นผลของกุศล ฝ่าย รูปาวจร ๕ คือ
# ๕๐ = วิบากจิตในฌานที่ ๑ ; # ๕๑ = วิบากจิตในฌานที่ ๒ ; # ๕๒ = วิบากจิตในฌานที่ ๓ ;
# ๕๓ = วิบากจิตในฌานที่ ๔ ; # ๕๔ = วิบากจิตในฌานที่ ๕
(๓) จิตที่เป็นวิบาก = คือ เป็นผลของกุศลฝ่ายอรูปาวจร ๔
# ๕๕ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย อากาสานัญจายตนสัญญา (การเพ่งว่าอากาศหาที่สุดมิได้)
# ๕๖ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย วิญญานัญจายตนสัญญา (การเพ่งว่าวิญญาณหาที่สุดมิได้)
# ๕๗ = วิบากจิตที่ประกอบด้วย อากิญจัญญายตนสัญญา (การเพ่งว่าไม่มีอะไรแม้แต่น้อย)
# ๕๘ =วิบากจิตที่ประกอบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา(การเพ่งสัญญาคือความจำได้ หรือกำหนดหมายเป็นของไม่ดี)
(๔) จิตที่เป็นวิบาก = คือเป็นผลของกุศลฝ่ายโลกุตตระ ๔
# ๕๙ = โสดาปัตติผลจิต; # ๖๐ = สกทาคามิผลจิต; # ๖๑ = อนาคามิผลจิต; # ๖๒ = อรหัตตผลจิต
(๕) วิบากจิตฝ่ายอกุศล = จิตที่เป็นวิบาก เป็นผลของอกุศล ๗
# ๖๓ = จักขุวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางตา) ประกอบด้วยอุเบกขา(ความรู้สึกเฉยๆ) มีรูปเป็นอารมณ์
# ๖๔ = โสตวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางหู) ประกอบด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์
# ๖๕ = ฆานวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางจมูก) ประกอบด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์
# ๖๖ = ชิวหาวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางลิ้น) ประกอบด้วยอุเบกขา มีรสเป็นอารมณ์
# ๖๗ = กายวิญญาณ(ความรู้อารมณ์ทางกาย) ประกอบด้วยทุกข์ มีโผฏฐัพพะ(สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย) เป็นอารมณ์
# ๖๘ = มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) ประกอบด้วยอุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๖๙ = มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ทางใจ) ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรม (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) เป็นอารมณ์
(๖) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายกามาวจร = มี ๑๑ ได้แก่
# ๗๐ = มโนธาตุที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อุเบกขา มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอารมณ์
# ๗๑ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย โสมนัส มีอารมณ์ครบ ๖
# ๗๒ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อุเบกขา มีอารมณ์ครบ ๖
# ๗๓ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย โสมนัส, ประกอบด้วยญาณ เป็น อสังขาริก
# ๗๔ = เหมือนข้อ # ๗๓ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗๕ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา ประกอบด้วยโสมนัส, ไม่ประกอบด้วยญาณ, เป็น อสังขาริก
# ๗๖ = เหมือนข้อ #๗๕ แต่เป็น สสังขาริก
# ๗๗ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา, ประกอบด้วยอุเบกขา, ประกอบด้วยญาณ, เป็นอสังขาริก
# ๗๘ = เหมือนข้อ # ๗๗ แต่เป็น สสังขาริก



รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #55 เมื่อ: 16, สิงหาคม, 2568, 12:57:46 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๗/๗) ๓.ธัมมสังคณี

# ๗๙ = มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกิริยา, ประกอบด้วยอุเบกขา, ไม่ประกอบด้วยญาณ, เป็นอสังขาริก
# ๘๐ = เหมือนข้อ # ๗๙ แต่เป็น สสังขาริก
(๗) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายรูปาวจร= มี ๕ คือ
# ๘๑ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๑ ; # ๘๒ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๒ ; # ๘๓ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๓ ; # ๘๔ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๔ ; # ๘๕ = จิตที่เป็นกิริยาในฌานที่ ๕
(๘) จิตที่เป็นกิริยาฝ่ายอรูปาวจร = มี ๔ คือ
# ๘๖ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อากาสานัญจายตนสัญญา
# ๘๗ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย วิญญานัญจายตนสัญญา
# ๘๘ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย อากิญจัญญายตนสัญญา
# ๘๙ = จิตที่เป็นกิริยา ประกอบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
ธรรมอันเป็นกุศล เป็นไฉน ? = คือสมัยใด จิตอันเป็นกุศลฝ่ายกามาวจร (ท่องเที่ยวไปในกาม ) ประกอบด้วยโสมนัส (ความดีใจ) ประกอบด้วยญาณ เกิดขึ้น ปรารภ อารมณ์ คือ รูป หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรส หรือโผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องได้) หรือธรรมะ  (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ), ในสมัยนั้นย่อม มี ( ธรรมะ ๕๖ อย่าง ) คือ
(๑) ผัสสะ - ความถูกต้อง (๒) เวทนา - ความรู้สึกอารมณ์ว่า เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข (๓) สัญญา - ความจำได้หมายรู้  (๔) เจตนา -  ความจงใจ (๕) จิตตะ - จิต (๖) วิตก - ความตรึก (๗) วิจาร - ความตรอง (๘) ปีติ - ความอิ่มใจ (๙) สุข - ความสบายใจ, ในที่นี้ไม่หมายเอาสุขกาย (๑๐) จิตตัสส เอกัคคตา - ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (๑๑) สัทธินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความเชื่อ (๑๒) วิริยินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความเพียร (๑๓) สตินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือสติ (๑๔) สมาธินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือสมาธิ (๑๕) ปัญญินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือปัญญา (๑๖) มนินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือใจ (๑๗) โสมนัสสินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือความสุขใจ (๑๘) ชีวิตินทรีย์ - ธรรมอันเป็นใหญ่คือชีวิตความเป็นอยู่ (๑๙) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจจ์ ๔ (๒๐) สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ (๒๑) สัมมาวายามะ - ความพยายามชอบ (๒๒) สัมมาสติ - ความระลึกชอบ (๒๓) สัมมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ (๒๔) สัทธาพละ -กำลังคือความเชื่อ (๒๕) วิริยพละ - กำลังคือความเพียร (๒๖) สติพละ - กำลังคือสติ (๒๗) สมาธิพละ - กำลังคือสมาธิ (๒๘) ปัญญาพละ - กำลังคือปัญญา (๒๙) หิรีพละ - กำลังคือความละอายต่อบาป (๓๐) โอตตัปปพละ - กำลังคือความเกรงกลัวต่อบาป (๓๑) อโลภะ - ความไม่โลภ (๓๒) อโทสะ - ความคิดประทุษร้าย (๓๓) อโมหะ - ความไม่หลง (๓๔) อนภิชฌา - ความไม่โลภ ชนิดนึกน้อมมาเป็นของตน (๓๕) อัพยาบาท - ความไม่คิดปองร้าย ชนิดนึกให้ผู้อื่นพินาศ (๓๖) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบแบบทั่ว ๆ ไป เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี (๓๗) หิริ - ความละอายต่อบาป  (๓๘) โอตตัปปะ - ความเกรงกลัวต่อบาป (๓๙) กายปัสสัทธิ ( ความสงบระงับแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร  (๔๐) จิตตปัสสัทธิ - ความสงบระงับแห่งจิต  (๔๑) กายลหุตา -ความเบาแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร  (๔๒) จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต (๔๓) กายมุทุตา - ความอ่อนสลวยแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๔) จิตตมุทุตา - ความอ่อนสลวยแห่งจิต (๔๕) กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๖) จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งจิต (๔๗) กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๔๘) จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต (๔๙) กายุชุกตา - ความตรง ไม่คดโกงแห่งกองเวทนา, สัญญา, สังขาร (๕๐) จิตตุชุกตา - ความตรง ไม่คดโกงแห่งจิต (๕๑) สติ - ความระลึกได้ (๕๒) สัมปชัญญะ - ความรู้ตัว (๕๓) สมถะ - ความสงบแห่งจิต (๕๔) วิปัสสนา - ความเห็นแจ้ง (๕๕) ปัคคาหะ - ความเพียรทางจิต (๕๖) อวิกเขปะ - ความไม่ซัดส่าย คือความตั้งมั่นแห่งจิต
"อนึ่ง ในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใด แม้อื่น ที่ไม่มีรูปอิงอาศัยกันเกิดขึ้นมีอยู่ ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่ากุศล
มหาภูต = ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
มหาภูตรูป = รูปใหญ่, รูปต้นเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย
อุปาทายรูป = รูปอาศัย, รูปที่เกิดสืบเนื่องจากมหาภูตรูป, อาการของมหาภูตรูป ตามหลักฝ่ายอภิธรรมว่า มี ๒๔ คือ
ก) ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ได้แก่ จักขุ ตา, โสต หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ลิ้น, กาย
ข) โคจรรูป หรือ วิสัยรูป (รูปที่เป็นอารมณ์) ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพะ ไม่นับเข้าจำนวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช วาโย ซึ่งเป็นมหาภูตรูป)
ค) ภาวรูป ๒ ได้แก่
อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง; และ ปุริสภาวะ ความเป็นชาย
ง) หทัยรูป ๑ คือ หทัยวัตถุ หัวใจ
จ) ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย์ ภาวะที่รักษารูปให้เป็นอยู่
ฉ) อาหารรูป ๑ คือ กวฬิงการาหาร อาหารที่กินเกิดเป็นโอชา
ช) ปริจเฉทรูป ๑ คือ อากาศธาตุ ช่องว่า
ญ) วิญญัติรูป ๒ คือ
กายวิญญัติ ไหวกายให้รู้ความ, วจีวิญญัติ ไหววาจาให้รู้ความ คือพูดได้
ฎ) วิการรูป ๕ อาการดัดแปลงต่างๆ ได้แก่
ลหุตา - ความเบา, มุทุตา - ความอ่อน, กัมมัญญตา - ความควรแก่งาน, (อีก ๒ คือ วิญญัติรูป ๒ นั่นเอง ไม่นับอีก)
ฏ) ลักขณรูป ๔ ได้แก่
อุปจยะ - ความเติบขึ้นได้, สันตติ - สืบต่อได้, ชรตา - ทรุดโทรมได้, อนิจจตา - ความสลายไม่ยั่งยืน
(นับโคจรรูปเพียง ๔ วิการรูป เพียง ๓ จึงได้ ๒๔)


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #56 เมื่อ: 17, สิงหาคม, 2568, 09:40:11 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๔.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : รูปขันธ์)

กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ (กาพย์ขับไม้)

   ๑.วิภังค์แจกธรรม                 เป็นกลุ่มแจงนำ                 รายละเอียดหมาย
สิบแปดหมวดแจง                    แต่ละหมวดแบ่ง                หมวดแยกสามกราย
"สุตตันฯ"บรรยาย                    อภิธัมม์ฉาย                       ปัญหาปุจฉ์ฯไข

   ๒.เริ่ม"ขันธวิภังค์"                 แจกขันธ์ห้าตั้ง                  หน้าที่อะไร
"อายตนะฯ"ครอง                     เชื่อมต่อสิบสอง                ภายนอกและใน
"ธาตุวิภังค์"ไซร้                       แจงธาตุหกไว้                    ธาตุสิบแปดเอย

   ๓."สัจจวิภังค์"                       อริยสัจจ์ผัง                        ทุกข์,ดับทุกข์เผย
"อินทรีย์วิภังค์"                         แจกอินทรีย์หยั่ง               ยี่สิบสองเอ่ย
"ปัจจยาฯ"เปรย                        แจงปัจจัยเกย                   เกิดชีวีแล

   ๔."สติปัฏฐาน"                       จดอารมณ์กราน               ภายใน,นอกแฉ
"สัมมัปป์ธานฯ"ครัน                  ความเพียรชอบมั่น           เพียรมีสี่แล
"อิทธิปาฯ"แน่                           อิทธิบาทแล้                       เพิ่มสำเร็จมา

   ๕."โพชฌังค์วิภังค์"               แจงโภชฌงค์ตั้ง                องค์ตรัสรู้หนา
"มัควิภังค์"แล                           มรรคดับทุกข์แฉ                มีแปดทางพา
"ฌานวิภังค์"กล้า                      เพ่งอารมณ์ฝ่า                    แจกสิแปดฌาน

   ๖."อัปมัญญาฯ"                     พรหมวิหารหนา                  ไม่มีประมาณ
"สิกขาวิภังค์ฯ"                         สิกขาบทยั้ง                        ศีลห้าเว้นกราน
"ปฏิสัมฯ"งาน                           แจกความแตกฉาน             สี่ประการเอย

   ๗."ญาณวิภังค์ฯ"ชู                แจงญาณความรู้                 มีสิบอย่างเผย
"ขุททกวัตฯ"ใด                        ธรรมเล็กน้อยไซร้               ธรรมสอง-สามเปรย
"ธัมมหฯ"เคย                           ตั้งปัญหาเกย                       พร้อมตอบถ้อยความ
   ๘.ขันธวิภังค์                         กองขันธ์ห้าตั้ง                    รูปขันธ์เวทนา
สัญญา,สังขาร                         และกองวิญญาณ               รวมมีกองห้า
กองรูปขันธ์หนา                       ฝ่ายสุตตันฯจ้า                   คือรูปต่างกาล

   ๙.รูปเป็นอดีต                        อนาคตขีด                          ปัจจุบันขาน
รูปใน-นอกตน                           หยาบละเอียดท้น              รูปชั้นต่ำพาน
รูปประณีตฉาน                         รูปใกล้-ไกลกราน              รวมกองเดียวกัน

   ๑๐."รูปอดีต"แน่ว                   รูปดับล่วงแล้ว                    เปลี่ยนแปรแล้วผัน
เช่นมหาภูฯ                                ดิน,น้ำ,ไฟ..ชู                      อุปาท์ยะฯดั้น
อาศัยเกิดครัน                           ด้วยมหาภูฯนั้น                   เรียกรูปอดีตแล

   ๑๑."รูปอนาคต"                     เป็นอย่างใดจด                   ยังไม่เกิดแฉ
เช่นมหาภูฯนา                           อุปาทย์หนา                        ที่อาศัยแล
รูปกาลนี้แน่                               มหาภูฯแท้                          อุปาทย์เอย

   ๑๒."รูปภายในตน"                 เกิดด้วยกับชน                   กอปรตัณหาเผย
ทิฏฐิยึดหนา                              มหาภูฯ,อุปาท์                    เกิดรูปในเลย
"รูปนอกตน"เอ่ย                        หมายรูป"เขา"เปรย          แต่เกิดในตน

   ๑๓."รูปหยาบ"จะมอง             รู้เห็นได้ผอง                    เข้าใจได้ล้น
มีสิบสองเช่น                             "หู,ตา,จมูก"เด่น              "ลิ้น,สี,เสียง"ดล
"รส,สัมผัส"ผล                          "กลิ่นกรุ่นระคน               อ่อน-แข็งธาตุดิน

   ๑๔."รูปละเอียด"แล               มองไม่เห็นแน่                   ไม่จดกายผิน
มีสิบหกคือ                                "รูปเพศหญิง"ลือ              "ความเป็นชาย"ชิน
"ดำรงชีพ"ปิ่น                            "เคลื่อนไหวกาย"สิ้น         การพูดบอกความ

   ๑๕."ภาวะช่องว่าง"                 "สภาพเบา"พร่าง              "สภาพอ่อน"ตาม
ภาวะ"เหมาะงาน                        "รูปเกิดแรก"กราน            รูปเจริญผลาม
"รูปเสื่อมลง"ถาม                       "รูปดับลง"ยาม                  "ธาตุน้ำ,อาโป"

   ๑๖."อาหาร"ที่กิน                     ค้ำชีพผลิน                       มีแบ่งสี่โข
"หทยรูป"กิจ                               ที่เกิดของจิต                    เจตสิกช่วยโผล่
ทำกิจเสร็จโร่                              ทั้งกุศลโอ่                        อกุศลแล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, เฒ่าธุลี, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #57 เมื่อ: 17, สิงหาคม, 2568, 05:09:55 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๖) ๔.วิภังค์

   ๑๗."รูปชั้นต่ำ"คือ               รูปสัตว์ใดลือ               ดูน่าเกลียดแฉ
ไม่ชอบใจเอย                        น่าดูหมิ่นเปรย             เช่นรูป,เสียงแท้
รู้รส,กลิ่นแน่                           สัมผัสเชือนแช            ไม่ชอบใจเลย

   ๑๘."รูปประณีต"ไซร้          ไม่น่าเกลียดใด            น่ายกย่องเผย
น่าปรารถนา                           น่าชอบใจพา               ได้แก่"รูป"เอ่ย
"เสียง,กลิ่น,รส"เชย                สัมผัสเฉลย                  ยินดีเปรมปรีดิ์

   ๑๙."รูปไกล"จะหมาย          "รูปละเอียด"ปราย       พิจารณ์ยากคลี่
"ภาวะเป็นหญิง"                      "ความเป็นชาย"จริง     รักษาชีพรี่
"เคลื่อนไหวกายนี้"                  "พูดเอ่ยความ"ปรี่        "ช่องว่าง"กายแล

   ๒๐."สภาพเบา"กาย              คนไร้โรคหมาย          "ภาวะอ่อน"แฉ
"ภาวะพร้อม"นำ                       กิจพร้อมกระทำ          "รูปแรกเกิด"แท้
"รูปเจริญ"แน่                           "รูปเสื่อมลง"แล้           "รูปซึ่งดับลง"

   ๒๑.รูปคือ"อาหาร"                ชีพเจริญกราน            ใจ,วิญญาณบ่ง
"ธาตุน้ำ"สำคัญ                        ต่อชีพสัตว์ครัน           "หทยรูป"ตรง
ที่จิตเกิดยง                              พร้อมเจตสิกคง           สำเร็จกิจเอย

   ๒๒."รูปใกล้"จะหมาย           รูปหยาบจะง่าย            ต่อพิจารณ์เผย
เช่น"ตา,จมูก,หู"                       "ลิ้น,กาย,สี"พรู           "เสียง,กลิ่น,รส"เคย
มี"สัมผัส"เชย                           เย็น-ร้อน,อ่อนเกย        แข็ง-ตรึง-ไหวแล

   ๒๓."อภิธัมมภาฯ"                  แจกรูปเยี่ยงหนา          อภิธรรมแฉ
รูปใหญ่มหาภูฯ                        มีสี่รูปกรู                        ดิน,น้ำ,ไฟ..แน่
กับ"อุปาท์ฯ"แล้                        ยี่สิบสี่แค่                       อาศัยเกิดนา

   ๒๔.แจกแม่บทไซร้               สิบเอ็ดข้อไกล               ความหมายรูปกล้า
"มาติกา"หนึ่ง                            "รูปไร้เหตุ"ถึง               ไม่มีมูลฝ่า
"โลภ,โกรธ,หลง"อ้า                  ไร้"โลภ,โกรธ.."จ้า        เพราะเป็นกลางกลาง

   ๒๕."รูปมิใช่เหตุ"                    ทั้งชั่ว,ดีเจตน์               ไม่โลภ,โกรธ..ขวาง
ไม่ทำชั่ว,ดี                                 ไร้กุศลปรี่                     อกุศลพราง
เพราะเป็นกลางพร่าง                แจกรูปกระจ่าง            สี่สิบสี่เอย

   ๒๖.มาติกาสอง                      รูปละสองตรอง            มีอาศัยเผย
เช่นรูปอุปาท์ฯ                           ไม่พึ่งมีหนา                  คือมหาภูฯเปรย
แจกรูปผองเกย                         หนึ่งร้อยสี่เอย              แจงเป็นคู่แล

   ๒๗.มาติกาสาม                      แจงรูปสามลาม            รูปภายในแฉ
จะเป็นอุปาท์                             แต่รูปนอกหนา              อุปาท์ฯมีแน่
แต่ไม่เป็นแท้                             ก็ยังมีแล้                        ไม่อาศัยใด

   ๒๘.มาติกาสี่                          แจงสี่อย่างรี่                   รูปใดอาศัย
ก็ถูกยึดถือ                                มิถูกยึดพรือ                  ก็ยังมีไซร้
รูปไม่พึ่งใด                                ก็ถูกยึดไว                     บ้างไม่ยึดเอย

   ๒๙.มาติกาห้า                        แบ่งรูปห้านา                  อาศัยเกิดเผย
จากมหาภูฯไซร้                        ธาตุดิน,น้ำ,ไฟ                และลมสี่เอ่ย
กับอุปาท์ฯเกย                          รวมห้าช่วยเชย              ร่วมสงเคราะห์นา

   ๓๐.แจง"รูปหก"อัน                จักขุวิญญ์ฯดั้น               พึงรู้เห็นหนา
โสตวิญญ์ฯ,ฆาน์วิญญ์ฯ            ชิวหาวิญญ์ฯชิน             กายวิญญ์ฯรู้กล้า
มโนวิญญ์ฯมา                            หกวิญญาณจ้า              สงเคราะห์รูปแล

   ๓๑.แจงรูปเจ็ดหนา                จักขุวิญญ์ฯรู้กล้า           โสตวิญญ์ฯรู้แฉ
ฆาน์วิญญ์ฯพึงรู้                         ชิวหาวิญญ์ฯพรู              กายวิญญาณแน่
มโนธาตุแล้                                มโนวิญญ์ฯแด                รวมเจ็ดวิญญาณ

   ๓๒.แจกรูปแปดอย่าง            วิญญาณรู้พร่าง              จักขุวิญญ์ฯขาน
โสตวิญญ์ฯ,ฆาน์วิญญ์ฯ            มโนธาตุฯชิน                   มโนวิญญ์ฯชาญ
อีกกายวิญญาณ                       สัมผัสรู้พาน                    สุข,ทุกข์เกิดมี

   ๓๓.แจก"รูปเก้า"มา                เป็นอินทรีย์หนา             คือ"จักขุนทรีย์"
"โสตินฯ,ฆานินฯ"                       "ชิวหินฯกายินฯ"             "อิตถินฯ"หญิงชี้
"ปุริสินฯ"คลี่                               "ชีวิตินฯ"มี                      "รูปมิเป็น"เอย



รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #58 เมื่อ: 18, สิงหาคม, 2568, 09:23:22 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓/๖) ๔.วิภังค์

  ๓๔.แจง"รูปสิบ"ดุน            "โสตินฯ,จักขุนฯ"        "ฆานินทรีย์ฯเผย
"ชิวหินฯ,กายินฯ"                  "ชาย,ปุริสิน                "หญิง,อิตถินฯ"เอ่ย
ชีวิตรูปเปรย                         "กระทบได้"เอย          "ไม่กระทบ"แล

   ๓๕.แจง"รูปสิบเอ็ด"           "ที่เกิดรูป"เด็ด  "         "จักขายะฯ"แฉ
"หู,โสตายะ"                          "จมูก,ฆานาฯ"ปะ         "ลิ้น,ชิวหาฯ"แน่
"กายายะฯ"แท้                      "รูป,รูปาฯ"แล้               "สัททาฯ,เสียง"มา

   ๓๖."คันทายะฯ,กลิ่น"         "รสายะฯ"ชิน               "โผฏฐัพพาฯ"หนา
จับด้วยกายชัด                      รูป"เอนิทัสส์ฯ"             เห็นไม่ได้นา
"อัปป์ฏิฆะ"ล่า                         จับมิได้พา                    ต้องรู้ด้วยใจ

   ๓๗."ปัญหาปุจฉ์กะ"            เกี่ยวกับ"รูป"ปะ            "อัพยากฤต"ไข
"รูป"เป็นกลางยล                   มิเป็นกุศล                     อกุศลไย
รูปขันธ์ข้องไหว                     "กามาวจะฯ"ไซร้           ท่องอยู่ในกาม

   ๓๘.รูปขันธ์"ปริยาฯ"           นับ"วัฏฏะฯ"หนา           วนเวียนทุกข์ผลาม
"อนิย์ยาฯ"คำ                         ไม่เป็นเหตุนำ                ออกวัฏฏะตาม
"อัปปีติฯ"ถาม                         สภาพธรรมลาม           ไร้ปีติเอย

   ๓๙.รูปขันธ์นั้นเป็น              "อวิตักฯ"เด่น                ไร้วิตกเผย
"อวิจาฯ"หนา                           สภาพธรรมกล้า          ไร้วิจารเลย
ตัวอย่าง"รูป"เปรย                  คำตอบย่อเอ่ย"            ขอจบลงครัน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕  พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=35&A=1

วิภังค์ = แปล ว่าด้วยการแจก คือแยกกลุ่มธรรมะให้เห็นรายละเอียด (เช่น คำว่าขันธ์ ๕ อายตนะ  ๑๒ จำแนกออกไปอย่างไรบ้าง) มีทั้งหมด ๑๘ หมวด แต่ละหมวด ส่วนมากจะแจงเป็น ๓ ภาค
(ก) สุตตันตภาชนียะ -หัวข้อฝ่ายพระสูตร (ข) อภิธัมมภาชนียะ - หัวข้อฝ่ายอภิธรรม (ค) ปัญหาปุจฉกะ - ฝ่ายถามตอบปัญหา
วิภังค์ มี ๑๘ หมวด คือ
(๑) ขันธวิภังค์ - แจกขันธ์ ๕ (๒) อายตนวิภังค์ - แจกอายตนะ ๑๒ (๓) ธาตุวิภังค์ -แจกธาตุ ๖ และธาตุ ๑๘ (๔) สัจจวิภังค์ - แจกอริยสัจจ์ ๔ (๕) อินทริยวิภังค์ - แจกอินทรีย์ ๒๒ (๖) ปัจจยาการวิภังค์ -แจกปัจจยาการ ๑๒ ที่เรียก ปฏิจจสมุปบาท (๗) สติปัฏฐานวิภังค์ -แจก สติปัฏฐาน ๔ (๘) สัมมัปปธานวิภังค์ - แจกสัมมัปปธาน เพียรชอบ ๔ (๙) อิทธิปาทวิภังค์ - แจกอิทธิบาท ๔ (๑๐) โพชฌังควิภังค์ - แจกโพชฌงค์ ๗ (๑๑)มัคควิภังค์- แจกมรรคมีองค์ ๘ (๑๒) ฌานวิภังค์ - แจกฌาน การเพ่งอารมณ์ ทั้ง รูปฌาน และอรูปฌาน (๑๓) อัปปมัญญาวิภังค์ - แจกอัปปมัญญา ๔ (พรหมวิหาร ๔ที่แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ) (๑๔) สิกขาปทวิภังค์- แจกสิกขาบท ๕ คือศีล ๕ (๑๕) ปฏิสัมภิทาวิภังค์ - แจกปฏิสัมภิทา ความแตกฉาน ๔ (๑๖) ญาณวิภังค์ - แจกญาณ ความรู้ตั้งแต่หมวด ๑ -๑๐ (๑๗) ขุททกวัตถุวิภังค์ - แจกเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่หมวดที่ ๑ - ๑๘ (๑๘) ธัมมหทยวิภังค์ - แจกหัวใจหรือหัวข้อธรรม
(หมวด ๕,๑๔ ไม่มีหัวข้อฝ่ายพระสูตร; หมวด ๑๖,๑๗,๑๘ ไม่ได้ตั้งเป็นหัวข้อฝ่ายพระสูตร และฝ่ายพระอภิธรรม)
ขันธ์ ๕ = คือ
(๑) รูปขันธ์ - กองรูป (๒) เวทนาขันธ์ - กองเวทนา (๓) สัญญาขันธ์ - กองสัญญา (๔) สังขารขันธ์ - กองสังขาร (๕) วิญญาณขันธ์ - กองวิญญาณ
รูปขันธ์ เป็นไฉน = รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต รูปที่เป็นปัจจุบัน; รูปที่เป็นภายในตน รูปที่เป็นภายนอกตน; รูปหยาบ รูปละเอียด; รูปชั้นต่ำ รูปชั้นประณีต; รูปไกล หรือรูปใกล้; ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า รูปขันธ์
รูปที่เป็นอดีต เป็นไฉน =คือ รูปใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีตได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ (อุปาทายรูป)
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทยรูป  ๒๔ = หรือ อุปาทารูป คือ รูปที่อาศัย มหาภูตรูปเกิด ได้แก่
ก) ปสาทรูป ๕ - รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์ :
(๑) จักขุ - ตา (๒) โสต - หู (๓) ฆาน - จมูก (๔) ชิวหา -ลิ้น (๕) กาย
ข) โคจรรูป หรือ วิสัยรูป ๔ - รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ :
(๖) รูปะ - รูป (๗) สัททะ - เสียง (๘) คันธะ - กลิ่น (๙) รสะ - รส
ค) ภาวรูป ๒ - รูปที่เป็นภาวะ
(๑๐) อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ - ความเป็นหญิง
(๑๑) ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ - ความเป็นชาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, กรกันต์, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5014
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 736



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #59 เมื่อ: 18, สิงหาคม, 2568, 05:18:34 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๔/๖) ๔.วิภังค์

ง) หทยรูป ๑ - รูปคือหทัย
(๑๒) หทัยวัตถุ - ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ
จ) ชีวิตรูป ๑ - รูปที่เป็นชีวิต
(๑๓) ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือชีวิต
ฉ) อาหารรูป ๑ - รูปคืออาหาร
(๑๔) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน
ช) ปริจเฉทรูป ๑ - รูปที่กำหนดเทศะ :
(๑๕) อากาสธาตุ - สภาวะคือช่องว่าง
ญ) วิญญัติรูป ๒ - รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย
(๑๖) กายวิญญัติ - การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย :
(๑๗) วจีวิญญัติ - การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา :
ฏ) วิการรูป ๕ - รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้
(๑๘) (รูปัสส) ลหุตา - ความเบา (๑๙) (รูปัสส) มุทุตา - ความอ่อนสลวย (๒๐) (รูปัสส) กัมมัญญตา - ความควรแก่การงาน, ใช้การได้
ฏ) ลักขณรูป ๔ - รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด :
(๒๑) (รูปัสส) อุปจย - ความก่อตัวหรือเติบขึ้น (๒๒) (รูปัสส) สันตติ - ความสืบต่อ (๒๓) (รูปัสส) ชรตา - ความทรุดโทรม (๒๔) (รูปัสส) อนิจจตา - ความปรวนแปรแตกสลาย
รูปที่เป็นอนาคต เป็นไฉน = คือรูปใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นอนาคต
รูปที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน = คือรูปใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบันได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นปัจจุบัน
รูปเกิดในตน = คือ รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายในตน
รูปที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน = คือ รูปใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้นๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตนมีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายนอกตน
รูปหยาบ = คือ รูปที่เห็นได้ เข้าใจได้ มี ๑๒ได้แก่
(๑) จักขายตนะ - คือ ตาซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด (๒)โสตายตนะ - หู ฯลฯ (๓) ฆานายตนะ - จมูก (๔) ชิวหายตนะ - ลิ้น (๕) กายายตนะ - กาย (๖) รูปายตนะ - สี (๗) สัททายตนะ - เสียง (๘) คันธายตนะ - กลิ่น (๙) รสายตนะ - รส
โผฏฐัพพายตนะ ซึ่งเป็นที่ประชุมที่เกิด
(๑๐) สัมผัส เย็น,ร้อน ด้วยธาตุไฟ (๑๑) อ่อน,แข็ง ด้วยธาตุดิน (๑๒) ตึง,ไหว ด้วยธาตุลมนี้เรียกว่า รูปหยาบ
รูปละเอียด เป็นไฉน = อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป คือเป็นรูปที่มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ มี ๑๖ อย่าง คือ (๑) อิตถินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของหญิง มีหน้าที่แสดงลักษณะ กิริยาอาการของหญิง (๒) ปุริสินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชาย มีหน้าที่แสดงลักษณะกิริยาอาการของชาย (๓) ชีวิตินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชีวิต มีหน้าที่รักษารูปนาม
(๔) กายวิญญัตติ = การเคลื่อนไหวให้รู้ด้วยกาย เช่น พยักหน้า กวักมือ         
(๕) วจีวิญญัตติ = การให้รู้ความหมายด้วยวาจา คือพูด หรือบอกกล่าว
(๖) อากาสธาตุ =  ภาวะช่องว่าง (๗) รูปลหุตา = เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป ดังเช่น อาการของคนไม่มีโรค (๘) รูปมุทุตา = เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป ดังเช่น หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว (๙) รูปกัมมัญญตา = เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป ดังเช่น ทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว (๑๐) รูปอุปจยะ = รูปเกิดขึ้นขณะแรก (๑๑) รูปสันตติ = ขณะที่รูปเจริญขึ้น (๑๒) รูปชรตา = ขณะที่รูปเสื่อมลง (๑๓) รูปอนิจจตา = ขณะที่รูปดับ (๑๔) กวฬิงการาหาร = อาหาร (๑๕) อาโปธาตุ = ธาตุน้ำ (๑๖) หทยรูป = คือ รูปที่เป็นที่ตั้งอาศัยเกิดของจิตและเจตสิก เพื่อทำกิจให้สำเร็จ เป็นกุศลหรืออกุศล นี้เรียกว่ารูปละเอียด
อาหาร = ปัจจัยเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต มี ๔ คือ (๑) กวฬิงการาหาร - อาหารคือคำข้าว (๒) ผัสสาหาร - อาหารคือผัสสะ (๓) มโนสัญเจตนาหาร - อาหารคือมโนสัญเจตนา (๔) วิญญาณาหาร -  อาหารคือวิญญาณ
รูปชั้นต่ำ เป็นไฉน = รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่น่าดูหมิ่น น่าเหยียดหยาม น่าเกลียด น่าตำหนิ ไม่น่ายกย่อง เป็นชั้นต่ำ รู้กันว่าเป็นชั้นต่ำ สมมติกันว่าเป็นชั้นต่ำ ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักไม่น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ นี้เรียกว่า รูปชั้นต่ำ
รูปชั้นประณีต เป็นไฉน = รูปใดของสัตว์นั้นๆ ที่ไม่น่าดูหมิ่น ไม่น่าเหยียดหยาม ไม่น่าเกลียด ไม่น่าตำหนิ น่ายกย่อง  สมมติกันว่าเป็นชั้นประณีต น่าปรารถนา น่ารัก น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะนี้เรียกว่า รูปชั้นประณีต
รูปไกล เป็นไฉน = ได้แก่
(๑) อิตถินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของหญิง มีหน้าที่แสดงลักษณะของหญิง (๒) ปุริสินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชาย มีหน้าที่แสดงลักษณะของชาย (๓) ชีวิตินทรีย์ = คือความเป็นใหญ่ของชีวิต มีหน้าที่รักษารูปนาม (๔) กายวิญญัตติ = การเคลื่อนไหวให้รู้ด้วยกาย เช่น พยักหน้า กวักมือ (๕) วจีวิญญัตติ = การให้รู้ความหมายด้วยวาจา คือพูด หรือบอกกล่าว (๖) อากาสธาตุ = ภาวะว่างเปล่า (๗) รูปลหุตา = เป็นภาวะที่เบา ไม่หนักของรูป ดังเช่น อาการของคนไม่มีโรค (๘) รูปมุทุตา = เป็นภาวะที่อ่อน ไม่กระด้างของรูป ดังเช่น หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 2 3 [4] 5   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.204 วินาที กับ 187 คำสั่ง
กำลังโหลด...