|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) ๖.วิภังค์
เหตุเกิดและเหตุดับสัญญา = เป็นอย่างไร (๑) สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัญญาของบุรุษ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เกิดขึ้นเองดับไปเอง ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกนั้นผิดแต่ต้นทีเดียว ~เพราะเหตุไร เพราะสัญญาของบุรุษมีเหตุ มีปัจจัย เกิดขึ้นก็มี ดับไปก็มี สัญญาอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาก็มี สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาก็มี (๒) สัญญาเกี่ยวด้วยกามและสัจจสัญญาละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ~เมื่อภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ สัญญาเกี่ยวด้วยกามที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ย่อมมีในสมัยนั้น ~ เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้ ~สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ~ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก(ตรึก)วิจาร(ตรอง)สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้ (๓) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา ~ภิกษุบรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิในก่อนของเธอย่อมดับไป สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขาย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้ (๔) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วย อทุกขมสุขสัญญา ~ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ~สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุขย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุข ~รูปสัญญาและสัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษา ด้วยประการอย่างนี้ ~ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่าอากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจซึ่งสัญญาต่าง ๆโดยประการทั้งปวงอยู่ ~รูปสัญญามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน ~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้ (๕) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน ~ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้อยู่ ~สัจจสัญญาอันละเอีย ประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน ~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้ (๖) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน ~ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร ~สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน ~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) ๖.วิภังค์
อภิสัญญานิโรธ = คือ สภาพที่สัญญาดับสนิท ไม่มีการรับรู้อะไรอีกต่อไป (๑) เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้มีสกสัญญา(การสำคัญว่าเป็นของตน) พ้นจากปฐมฌานเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เธอย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า ~เมื่อเรายังคิดอยู่ ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่ จึงจะดี ถ้าเรายังขืนคิด ขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นพึงเกิดขึ้น ถ้ากระไร เราไม่พึงคิด ไม่พึงคำนึง ~ครั้นเธอปริวิตกอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่คิด ไม่คำนึง เมื่อเธอไม่คิด ไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้บรรลุนิโรธ การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับย่อมมีด้วยประการอย่างนี้แล ~พระโยคีย่อมบรรลุนิโรธด้วยประการใดๆ เราก็บัญญัติอากิญจัญญายตนฌานด้วยประการนั้น ๆ เราบัญญัติอากิญจัญญายตนฌานอย่างเดียวบ้าง หลายอย่างบ้าง สัญญาและญาณ = อะไรเกิดก่อน ~สัญญาแลเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง เพราะสัญญาเกิดขึ้น ญาณจึงเกิดขึ้น ~เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า ญาณเกิดขึ้นแก่เราเพราะสัญญานี้เป็นปัจจัย เธอพึงทราบความข้อนี้โดยบรรยายนี้ว่า สัญญาและอัตตา = สัญญาเป็นอัตตาของบุรุษ หรือสัญญาอย่ๆๆางหนึ่ง อัตตาอย่างหนึ่ง อัตตาหยาบ = คือ มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวฬิงการาหาร เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง สัญญาของบุรุษนี้ = เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง อัตตาสำเร็จด้วยใจ = มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ ไม่บกพร่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจักมีสัญญาอย่างหนึ่ง มีอัตตาอย่างหนึ่ง ~อัตตาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา = เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง สัญญาของบุรุษนี้ เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง ~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืน เมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่มีสัญญา ~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา สัญญา (สัญญีทิฏฐิ) = อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ เป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ อสัญญีทิฏฐิ = ความไม่มีสัญญา เป็นความหลง และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ = คือ ความมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ สัญญาและภพ = ต่างกันแต่ละสัตว์ เช่น (๑) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ~ พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก (๒) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) (๓) สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร (๔) สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ สัญญามีอยู่ = ในหมู่มนุษย์ โลกมนุษย์เป็นภพที่มีสัญญา, เป็นคติที่มีสัญญา, เป็นสัตตาวาสที่มีสัญญา, เป็นสงสารที่มีสัญญา, เป็นกำเนิดที่มีสัญญา, เป็นการได้อัตภาพที่มีสัญญา มนุษย์จึงทำกิจสำเร็จด้วยสัญญา สัตตาวาส ๙ ชั้น = ที่อยู่ของสัตว์ ๙ ประเภท (๑) สัตตาวาสชั้นที่ ๑ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวก และวินิปาติกสัตว์ (สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายภูมิ) บางพวก (๒) สัตตาวาสชั้นที่ ๒ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาผู้อยู่ใน ชั้นพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน (๓) สัตตาวาสชั้นที่ ๓ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือน เทวดาชั้นอาภัสสระ (๔) สัตตาวาสชั้นที่ ๔ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ (๕) สัตตาวาสชั้นที่ ๕ = สัตว์พวกหนึ่ง ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ (๖) สัตตาวาสชั้นที่ ๖ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ความจำหลากหลาย) (๗) สัตตาวาสชั้นที่ ๗ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ (๘) สัตตาวาสชั้นที่ ๘ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ (๙) สัตตาวาสชั้นที่ ๙ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) ๖.วิภังค์
อสัญญสัตว์ และภพแห่งอสัญญสัตว์ = คือที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา ~ผู้อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน (ฌาน ๕ ที่ละจากสุขและทุกข์ทางกาย,ใจ มีอุเบกขา มีแต่ความสงบ ความละเอียดอ่อนของจิตที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอย่างยิ่ง -เอกัคคตา) ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น ~สัญญามีอยู่ในอสัญญสัตว์ทั้งหลายในกาลบางคราว ไม่มีในกาลบางคราว มีอยู่ในกาลจุติ ในกาลอุปบัติ (ปฏิสนธิกาล) ไม่มีในกาลตั้งอยู่ (ฐิติกาล/ปวัตติกาล) ~อสัญญสัตว์ จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้น เพราะเกิดสัญญาขึ้น การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ = คือ การเห็นว่าความจำ ความหมายรู้นั้น ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน และเป็นทุกข์ ทำให้เกิดความยึดติดในสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์ (๑) โทษของสัญญาขันธ์ ~ไม่เที่ยง: ความจำและความหมายรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่คงที่ ไม่แน่นอน (๒) เป็นทุกข์ : การยึดติดในความจำ ความหมายรู้ต่างๆ ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อความจำนั้นไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา หรือเมื่อต้องสูญเสียความจำ (๓) ไม่ใช่ตัวตน : ความจำและความหมายรู้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ตัวอย่าง: ~การจำรสชาติอาหารอร่อย ทำให้เราอยากกินอีก แต่เมื่อไม่ได้กิน ก็เกิดความทุกข์ ~การจำเหตุการณ์ร้ายๆ ในอดีต ทำให้เราไม่สบายใจ และเกิดความกลัว ~การจำคำพูดของคนอื่น ทำให้เราโกรธ หรือเสียใจ การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ จึงเป็นการฝึกสติ ให้รู้เท่าทันความจำและความหมายรู้ที่เกิดขึ้น และไม่ตกเป็นทาสของมัน เมื่อเห็นโทษของสัญญาขันธ์ ก็จะสามารถปล่อยวางความยึดติดในความจำและความหมายรู้เหล่านั้นได้ สรุป: สัญญาขันธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ที่ต้องพิจารณาให้เห็นโทษ เพื่อที่จะได้ไม่ยึดติด และหลุดพ้นจากความทุกข์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
อภิธรรมปิฎก : ๗.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : สังขารขันธ์)
ร่ายสุภาพ/โคลงสี่สุภาพ
๑.สังขารขันธ์คือธรรม.....เกิดนำด้วยปัจจัย....แล้วไกลดับลับลง.....ตรงไม่เที่ยงเป็นทุกข์.....และรุกอนัตตา.....ไม่ใช่หนาตัวตน.....ชนคิดสังขารขันธ์.....ครันคือกองสังขาร.....พานกองแห่งธรรมนำ.....คำมีสภาพปรุงแต่ง.....แกร่งเจตสิกนี้.....ชี้ห้าสิบดวงแฉ....แลทำให้จิตเกิด.....คิดเลิศดี,ชั่วแท้.....กับปรี่เป็นกลางแล้.....ไม่ทั้งเลว,ดี เลยแฮ
๒.พระสูตรมีบ่งแท้......................สังขาร แปล"เจตนา"หกพาน........................ผ่านพร้อม คิดปรุงแต่งละลาน...........................มีรูป,สัมผัส เสียง,กลิ่น,รสเลิศน้อม......................ยิ่งรู้ธรรมารมณ์
๓.สังขารขันธ์เป็นไฉน.....สังขารใดเหล่าหนึ่ง.....จึ่งเป็น"อดีต"ผ่าน.....ซ่าน"อนาคต"ไกล.....ใน"ปัจจุบัน"กาล.....สังขาร"ภายใน-นอก"....บอก"หยาบ-ละเอียด"หนา.....พา"ทราม-ประณีต"พาน....."สังขารไกลและใกล้".....วางร่วมกองเดียวไซร้.....บ่งพร้องสังขาร ขันธ์นา
๔."สังขารอดีต"ล่วงแล้ว...............ดับลง แปรไป เกิดเผ่นลับมิคง................................อยู่สิ้น แลใจคิดผจง....................................สัมผัส หกทวาร ตามุ่งหู,จมูก,ลิ้น................................แจ่มแจ้งกายใจ
๕."สังขารอนาคต".....จดเป็นอย่างใดหนอ.....สังขารรอเกิดอยู่.....กู่มิพร้อมเกิด.....มิเชิดปรากฏแล.....แฉยังมิตั้งรัว.....ตัวอย่างเจตนา.....เกิดแต่ตาสัมผัส.....ชัด"จักขุสัมผัสส์ฯ"......จัดลำดับแต่"หู".....พรู"จมูก,ลิ้น,ใจกาย".....ผายเจตนามุ่งไซร้.....ทำพานหกทางไล้.....บ่งแท้สังขาร อนาคต
๖.สังขารกาลที่นี้.........................ปัจจุบัน เกิดแน่วปรากฏพลัน.........................ยิ่งแล้ว สัมผัสมุ่งปรุงครัน.............................หมายมั่น เจตนา มองผ่านตา,หู..แจ้ว...........................จัดพร้อมใจ,กาย
๗."สังขารภายใน"ชัด.....ของสัตว์นั้นในตน.....เกิดยลในคนชั่ว.....พึ่งทำกรรมประกอบ.....ยอบด้วยทิฏฐิครอง.....ผองตัณหา,อยากได้......ไซร้คิดปรุงแต่งหนา.....ด้วย"ตา"สัมผัสนำ......จักขุสัมผัสส์ชาฯ.....คราโสตสัมผัสส์ฯหู......พรู"ฆานสัมฯ"จมูก.....ถูกลิ้น,ชิวหาสัมฯ......นำกายสัมผัสส์ชาฯ".....พามโนสัมผัสส์ฯจิต.....ชิดปรุงยึดคิดนำ.....ถลำไม่รู้เท่าทัน.....ครันความเป็นจริงแล.....แฉจึงทุกข์และหลง.....พะวงกับอารมณ์.....นึกตรมคิดปรุงแต่ง.....ทุกสิ่งแปร่งไม่เที่ยง.....เสี่ยงเปลี่ยนแปรตลอด.....ควรปลอดนำมุ่งป้อง.....เลิกไม่ยึดติดจ้อง.....เลิกแท้คิดปรุง สังขาร
๘."สังขารนอก"เด่นแท้.................บุคคคล สัตว์ผอง เกิดแน่เพียงในตน.............................พรั่งพร้อม ตัณหา,ทิฏฐิผล.................................ครองยุ่ง เกิดผ่าน"ตา,หู.."น้อม.........................แต่งแต้มคิดหนา
๙.พา"สังขารหยาบ"พาน.....สังขารละเอียดแล....แฉคิดหยาบ-ละเอียด.....เฉียดเป็นอย่างไรบ้าง....สร้าง"อกุศลสังขาร".....เรียกพานสังขารหยาบ....ตราบ"กุศล,อัพยาฯ".....เรียกหนาสังขารละเอียด....เครียดประกอบด้วยทุกข์....ชุกสังขารหยาบเอย....เผยประกอบสุข,อทุกข์ฯ....รุกสังขารละเอียด....ละเมียดคิดผู้เข้า....เร้าสมาบัติฌาน....ขานสังขารละเอียด....ชนกระเดียดไม่เข้า....ครันไป่สมาบัติเฝ้า....พร่ำพร้องสังขาร หยาบแฮ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒/๑๖) ๗.วิภังค์
๑๐.พานใจคิดจุ่งล้น....................กิเลส อาสวะ เรียกพร่ำสังขารเดช........................หยาบพ้อง สังขารไม่มีเจตน์..............................กิเลส เจือปน ขานมุ่งละอียดก้อง...........................ต่างแย้งมิเหมือน
๑๑.เยือน"สังขารทราม"กับ......จับ"ประณีต"ต่างกัน.....ครันเป็นอย่างใดแล....แฉ"อกุศลสังขาร".....กรานสังขารทรามเอย....เผย"กุศล,อัพยาฯ".....ประณีตหนาสังขาร.....คิดกรานประกอบทุกข์.....บุกเป็นสัญญาทราม.....ลามคิดสุข,อทุกข์เวทน์ฯ.....ประเภทประณีตสังขาร.....จิตพานมีอารมณ์.....ชมไร้กิเลสแล....แฉสังขารประณีต.....ขีดอารมณ์บ่มแล้.....กิเลสเจือปนแท้.....มุ่งแจ้วสังขาร ทรามเฮย
๑๒.คนยืนกรานเร่งเข้า.................ดำรง สมาบัติ เรียกพร่ำประณีตยง..........................แม่นแล้ว บุคคลไม่เคยตรง..............................พฤติมั่น เรียกว่าคิดทรามแป้ว.........................เสื่อมแท้ สังขาร
๑๓.กรานถึง"สังขารใกล้".....ไซร้เป็นอย่างใดเอย.....เผยใช้พิจารณ์ธรรม.....เห็นนำชีพไม่เที่ยง.....อย่าเสี่ยงต่อชีวิต.....พิศ"กุศลสังขาร".... พานใกล้กุศลสังฯ.....ดัง"อกุศลสังขาร".....กรานใกล้ตัวมันเอง.....เผง"อัพยาสังขาร"......พานด้วย"ทุกข์เวทนา".....มาด้วย"สุขเวทนา".....พา"อทุกข์สุขเวทนา".....คราคิดเข้าสมาบัติ.....ชัดไม่เข้าสมาบัติ.....รวมยอดคัดเพ่งดั้น.....พิศบ่งตรงธรรมนั้น.....มุ่งเป้าเฉพาะธรรม ตรงนา
๑๔.คำ"สังขารอยู่ใกล้".................พิจารณ์ ธรรมแต่ละการสาน..........................ดิ่งล้ำ "สังขารไป่กิเลส"พาน........................"มียิ่ง กิเลส" สองเพ่งแยกกันย้ำ............................เสร็จสิ้นเกิดผล
๑๕.ยล"สังขารไกล"คือ.....ชื่อลืออย่างใดบ้าง.....จิตปรุงสร้างห่างไกล.....ยากไวจะเข้าถึง.....ตรึง"อกุศลสังขาร"....พานไกลจากกุศลฯ....และยลอัพยาฯแล.....แฉ"อัพยาสังขาร".....กรานห่างกุศล,ชั่ว.....จั่วมีทุกข์เวทนา.....ไกลหนาจากสุขเวทน์ฯ....และเสพอัพยาฯ.....ครา"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"นี้....ชี้ไกลจากสุข,ทุกข์ฯ.....ชนรุกสมาบัติรู้.....จำห่างไกลจากผู้.....ไม่เข้าฝึกฌาน สมาบัติ
๑๖.พานสังขารมุ่งไร้.....................มัวเมา กิเลส จะ"ห่างไกล"ลับเขา...........................แน่แท้ กิเลสรี่งมเนา.....................................มากยิ่ง จึงบ่งไกลลิบแล้.................................ผู้ไร้มัวหลง
๑๗.อภิธรรมภาชนีย์.....มีแจงสังขารขันธ์....ทั้งหมดครันหลายแบบ....จะแสดงแนบบางตอน......มิจรครบทั้งหมด....เช่นจดสังขารขันธ์.....พลันแค่หนึ่งถึงสิบ....."หมวดหนึ่ง"กริบคือกราน.....สังขารประกอบฉวย.....อวยกับจิตร่วมกัน.....ครัน"หมวดละสอง"แล.....แฉสังขาร,คิดคลี่......รี่"มีเหตุ,ไร้เหตุ"....."ประเภทละสาม"สังขาร.....พาน"กุศล,อกุศล".....ยล"อัพยากฤต"......ชิด"หมวดละสี่"เอย.....เผย"กามาวจระ".....ปะท่องในกามคุณ.....ดุน"รูปาวจระ".....พะพานรูปภพ.....จบพรหมมีรูปหนา.....มา"อรูปาวจระ"......จะอยู่อรูปภพ.....นบพรหมไร้รูปแล.....แฉวัฏฏะทุกข์แปล้.....เวียนว่ายตายเกิดแท้.....ไม่สิ้นสุดเผย
๑๘.สังขารหมวดที่ห้า.......................ประกอบ "สุข,ทุกข์" "โสมนัส,โทมนัส"ครอบ..........................ยิ่งพร้อม มี"อุเปกขินฯ"นอบ..................................กลางแน่ว วางทุกข์,สุขเคยน้อม.............................นิ่งรู้ใจเฉย
๑๙.สังขารเชย"หมวดหก".....พกเจตนาผ่าน.....ซ่านหกทวารนี้.....สัมผัสชี้ด้วยตา.....ครา"จักขุสัมผัสส์ฯ".....ชัดหู,โสตสัมผัสส์ฯ.....จัดจมูก,ฆานสัมฯ.....นำลิ้น,ชิวหาสัมฯ.....ทำ"กายสัมผัสส์ชาฯ".....พา"ใจ,มโนสัมผัสส์ฯ".....ชัดจึงปรุงแต่งหนา....ครา"หมวดละเจ็ด"แล.....แฉเพิ่มจากหมวดหก......พกเพิ่มอีกหนึ่งคือ.....ลือ"มโนวิญญาณธาตุฯ"....ปราดสัมผัสตั้งใจ....สัมผัสไวเกิดรู้.....จู้อารมณ์ทางใจ.....ไกล"สังขารขันธ์หมวด.....รวดแปด"ได้แจกแจง.....แฝงจักขุ,โสตแล.....แฉ"ฆาน,ชิวหา".....มา"กายสัมผัสส์ชาฯ.....พาแยกสองสุข,ทุกข์.....รุก"มโนธาตุสัมฯ"......นำใจรู้อารมณ์....ชมผ่านทวารห้า....อ้า"ตา,หู,จมูก"เอย.....เผย"ลิ้น,กาย"ทุกครา....พา"มโนวิญญาณธาตุฯ".....ใจปราดรู้อารมณ์.....พรมวิญญาณรวมผ่านแล้.....ทวารหก"ตา,หู"แท้.....สู่"ลิ้น,กาย,ใจ" เจตนา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๓/๑๖) ๗.วิภังค์ ๒๐.สังขารไกลลู่แท้.....................เจตนา สัมผัส เกิดแต่"หู,จมูก,ตา"............................แม่น"ลิ้น" "กาย,มโนธาตุฯ"เสริมหนา.................ดี,ชั่ว กลางสาม วิญญ์ธาตุสัมผัสสิ้น...........................แจ่มแจ้งวิญญาณ ๒๑.คราสังขารขันธ์สิบ.....แจงลิบคิดผ่านตา.....พาจักขุสัมผัสส์ฯ.....คัดโสตสัมผัสส์ฯ,หู.....กรูจมูก,ฆานสัมฯ.....นำลิ้น,ชิวหาสัมฯ.....ทำกายสัมผัสส์ฯนี้.....ชี้มีสองเจตนา.....พาร่วมด้วยสุข,ทุกข์......รุกมโนธาตุ,ใจ.....สัมผัสไกลผ่านทวาร.....สานทั้งห้าตา..กาย.....ฉายผ่านวิญญาณธาตุฯ.....เจตนายาตรสัมผัส.....ชัดวิญญาณรู้สม.....ชมผ่านทวารหก.....ปรกตา,หู..กาย,ใจ....มีไวตั้งใจเพริด.....สัมผัสเกิดวิญญาณ....พานรู้แจ้งสามยล....."กุศล"และ"ชั่ว"แท้....ใจมุ่ง"กลางกลาง"แล้....สิ่งไร้เลว,ดี ๒๒.สังขารขันธ์ไม่พริ้ง..................มิยืน ถาวร "คิด"เปลี่ยนแปรจำฝืน......................เลิกพร้อม ยึดปรุงแต่งจิตกลืน...........................หมายมุ่ง ทุกข์ปลง คุมแน่อารมณ์ค้อม............................ไม่เน้นปรุงหนา ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่มา : มจร. สังขารขันธ์ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ https://share.google/LFRDSEUdKrEHzk4uXสังขารขันธ์ = สภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจ หรือก็คือ เจตสิกทั้งหลาย (ยกเว้นเวทนาและสัญญา) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต สังขารเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิต สังขาร = ใน ขันธ์ ๕ หมายถึง สภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี ทำดี คิดชั่ว ทำชั่ว หรือเป็นกลางๆ เจตสิก ๕๒ = ธรรมที่ประกอบกับจิต, สภาวธรรมที่เกิดดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต, อาการและคุณสมบัติต่างๆ ของจิต [ก] อัญญาสมานาเจตสิก ๑๓ = คือ เจตสิกที่ประกอบเข้าได้กับจิตทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มิใช่เข้าได้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพวกเดียว ~สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ - เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง (๑) ผัสสะ - ความกระทบอารมณ์ (๒) เวทนา - ความเสวยอารมณ์ (๓) สัญญา - ความหมายรู้อารมณ์ (๔) เจตนา - ความจงใจต่ออารมณ์ (๕) เอกัคคตา - ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว (๖) ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง (๗) มนสิการ - ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ ~ปกิณณกเจตสิก ๖ = เจตสิกที่เรี่ยรายแพร่กระจายทั่วไป คือ เกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุกดวง (๘) วิตก - ความตรึกอารมณ์ (๙) วิจาร - ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์ (๑๐) อธิโมกข์ - ความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์ (๑๑) วิริยะ - ความเพียร (๑๒) ปีติ - ความปลาบปลื้มในอารมณ์, อิ่มใจ (๑๓) ฉันทะ - ความพอใจในอารมณ์ [ข] อกุศลเจตสิก ๑๔ = คือเจตสิกฝ่ายอกุศล ~สัพพากุสลสาธารณเจตสิก ๔ - เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับอกุศลจิตทุกดวง (๑๔) โมหะ - ความหลง (๑๕) อหิริกะ - ความไม่ละอายต่อบาป (๑๖) อโนตตัปปะ - ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป (๑๗) อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน ~ปกิณณกอกุศลเจตสิก ๑๐ = คือ อกุศลเจตสิกที่เกิดเรี่ยรายแก่อกุศลจิต (๑๘) โลภะ - ความอยากได้อารมณ์ (๑๙) ทิฏฐิ - ความเห็นผิด (๒๐) มานะ - ความถือตัว (๒๑) โทสะ - ความคิดประทุษร้าย (๒๒) อิสสา - ความริษยา (๒๓) มัจฉริยะ - ความตระหนี่ (๒๔) กุกกุจจะ - ความเดือดร้อนใจ (๒๕) ถีนะ - ความหดหู่ (๒๖) มิทธะ - ความง่วงเหงา (๒๗) วิจิกิจฉา - ความคลางแคลงสงสัย [ค] โสภณเจตสิก ๒๕ = คือ เจตสิกฝ่ายดีงาม ~โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ = คือเจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง (๒๘) สัทธา - ความเชื่อ (๒๙) สติ - ความระลึกได้, ความสำนึกๆพร้อมอยู่ (๓๐) หิริ - ความละอายต่อบาป (๓๑) โอตตัปปะ - ความสะดุ้งกลัวต่อบาป (๓๒) อโลภะ - ความไม่อยากได้อารมณ์ (๓๓) อโทสะ - ความไม่คิดประทุษร้าย (๓๔) ตัตรมัชฌัตตตา - ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ (๓๕) กายปัสสัทธิ - ความสงบแห่งกองเจตสิก (๓๖) จิตตปัสสัทธิ - ความสงบแห่งจิต (๓๗) กายลหุตา - ความเบาแห่งกองเจตสิก (๓๘) จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต (๓๙) กายมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก (๔๐) จิตตมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต (๔๑) กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก (๔๒) จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การงานแห่งจิต (๔๓) กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก (๔๔) จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต (๔๕) กายุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๔/๑๖) ๗.วิภังค์
(๔๖) จิตตุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งจิต ~วิรตีเจตสิก ๓ = เจตสิกที่เป็นตัวความงดเว้น (๔๗) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ (๔๘) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ (๔๙) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ ~อัปปมัญญาเจตสิก ๒ = คือเจตสิกอัปปมัญญา (๕๐) กรุณา - ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์ (๕๑) มุทิตา - ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข ~ปัญญินทรีย์เจตสิก ๑ = คือปัญญินทรีย์ (๕๒) ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ - ความรู้เข้าใจ ไม่หลง สรุปสังขารขันธ์ ที่เป็นเพียง เจตสิกมี ๕๐ ประเภท (เว้น เวทนาเจตสิก และ สัญญาเจตสิก) สังขารขันธ์ เป็นไฉน? = คือ กองที่รวมสังขารเหล่าหนึ่ง มี ๑๑ รวมเข้าเป็นกองเดียวกัน เรียก สังขารขันธ์ ได้แก่ สังขารอดีต - อนาคต -ปัจจุบัน; สังขารภายใน - ภายนอก; สังขารหยาบ - ละเอียด; สังขารทราม - ประณีต; สังขารไกล -ใกล้ สังขารอดีต เป็นไฉน? = คือสังขารเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นแล้ว ปราศไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สังขารอดีต สังขารอนาคต เป็นไฉน? = คือ สังขารเหล่าใด ยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่พร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดยิ่ง ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สังขารอนาคต สังขารปัจจุบัน = เป็นไฉน? คือ สังขารเหล่าใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิดยิ่งแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สังขารปัจจุบัน สังขารภายใน = เป็นไฉน? คือ เจตนาที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี ทำดี หรือคิดชั่ว ทำชั่ว (โดยแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ กายสังขาร -เจตนาทางกาย; วจีสังขาร -เจตนาทางวาจา; และมโนสังขาร -เจตนาทางใจ) สังขารเหล่าใด ของสัตว์นซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สังขารภายใน สังขารภายนอก = เป็นไฉน? คือ สภาพร่างกายสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากส่วนต่างๆ และมองเห็นได้ เช่น ร่างกายของคน สัตว์ หรือสิ่งของต่างๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ สังขารภายนอกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไป สังขารเหล่าใดของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นนั้นๆ ซึ่งมีในตนเฉพาะตน เกิดในตน เฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส ฯลฯ (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สังขารภายนอก สังขารหยาบ สังขารละเอียด = เป็นไฉน? สังขารหยาบ - คือสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตใจให้เกิดการกระทำต่างๆ ทั้งดีและชั่ว เป็นสิ่งที่มองเห็น, สัมผัส, และรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ สังขารละเอียด - สภาวะของจิตใจที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าสังขารหยาบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งทางความคิดและอารมณ์ สังขารละเอียดนี้เป็นผลมาจากการเจริญสติปัญญา และการฝึกฝนจิตใจให้มีความสงบและตั้งมั่น (๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารหยาบ (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารละเอียด (๓) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารหยาบ (๔) อัพยากตสังขารเป็นสังขารละเอียด (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารละเอียด (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารละเอียด (๙) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารหยาบ (๑๐) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารละเอียด (๑๑) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารหยาบ (๑๒) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารละเอียด หรือพึงทราบสังขารหยาบสังขารละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๕/๑๖) ๗.วิภังค์
สังขารทราม สังขารประณีต = เป็นไฉน? สังขารประณีต - คือเจตนา, ความตั้งใจที่ดีงาม เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุขและความสงบทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น (๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารทราม (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารประณีต (๓) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารทราม (๔) อัพยากตสังขารเป็นสังขารประณีต (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารทราม (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารประณีต (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารทราม (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารประณีต (๙) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารทราม (๑๐) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารประณีต (๑๑) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารทราม (๑๒) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารประณีต หรือพึงทราบสังขารทรามสังขารประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป สังขารใกล้ = เป็นไฉน? หมายถึง สภาพร่างกายที่กำลังเสื่อมลง หรือเข้าใกล้ความตาย ใช้ในการพิจารณาธรรมะ เพื่อให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และเพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาทในชีวิต (๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารใกล้กับอกุศลสังขาร (๒) กุศลสังขารเป็นสังขารใกล้กับกุศลสังขาร (๓) อัพยากตสังขารเป็นสังขารใกล้กับอัพยากตสังขาร (๔) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๖) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๗) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๘) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขารของผู้เข้าสมาบัติ (๙) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๐) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า สังขารใกล้ หรือพึงทราบสังขารไกลสังขารใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้นๆ เป็นชั้นๆ สังขารไกล = เป็นไฉน? คือ สังขาร - การปรุงแต่งทางจิตใจ เป็นสิ่งที่ห่างไกล ควบคุมไม่ได้ หรือยากที่จะเข้าถึง (๑) อกุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขารและอัพยากตสังขาร (๒) กุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากอกุศลสังขาร (๓) กุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากอกุศลสังขารและอัพยากตสังขาร (๔) อกุศลสังขารและอัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขาร (๕) อัพยากตสังขารเป็นสังขารไกลจากกุศลสังขารและอกุศลสังขาร (๖) กุศลสังขารและอกุศลสังขารเป็นสังขารไกลจากอัพยากตสังขาร (๗) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๘) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๙) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา (๑๐) สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๑) สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนา (๑๒) สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา (๑๓) สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้เข้าสมาบัติ (๑๔) สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติ (๑๕) สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารไกลจากสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๑๖) สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า สังขารไกล อภิธรรมภาชนีย์ สังขารขันธ์ = เป็นไฉน ทุกมูลกวาร =สังขารขันธ์ทั้งหมด แจกหลายแบบ [ก] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๖/๑๖) ๗.วิภังค์
วัฏฏทุกข์ = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์(สุข) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์(ทุกข์) ก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่ ๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่ (๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี [ข] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิตสังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ มีหลายกลุ่ม ได้แก่ ~กลุ่มเกี่ยวกับทุกข์,สุข (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับวิบาก (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ~กลุ่มเนื่องด้วยกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๗/๑๖) ๗.วิภังค์
~กลุ่มเนื่องด้วยวิตก(ตรึก) วิจาร(ตรอง) (๑) สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับปีติ,สุข,อุเบกขา (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคต(มีร่วม)ด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ~กลุ่มที่ต้องประหารกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (มรรคเบื้องบน ๓ คือมรรคที่สูงกว่าโสดามรรคฯ คือ สกิทาคามิมรรค,อนาคามิมรรค,อรหัตตมรรค) ~กลุ่มเกี่ยวกับเหตุต้องประหาร (๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ~ กลุ่มที่เป็นเหตุให้เกิด ตาย นิพพาน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับ เสขบุคคล อเสขบุคคล (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี (เสขบุคคล เสขะ คือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุ อรหันตผล หรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี เสขะ หากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ และได้ชื่อว่าใหม่ว่า อเสขะ) ~กลุ่มเกี่ยวกับสภาวธรรม (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะก็มี (๓) ที่เป็นอัปปมาณะก็มี ปริตตะ = สภาวะที่ด้อย หมายถึงธรรมที่เป็นกามาวจร - ท่องอยู่ในกามภพ มหคัคตะ = หรือ มหรคต เป็นธรรมที่ถึงความยิ่งใหญ่ คือเป็นรูปาวจร - ท่องในรูปภพ หรือ อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ อัปปมาณะ = ธรรมที่ประมาณมิได้ คือเป็นโลกุตตระ อยู่เหนือโลก ~กลุ่มสภาวะอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี ~กลุ่มภาวะหยาบ ละเอียด (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี ~กลุ่มสภาวะให้ผลผิด ถูกต้อง (๑) สังขารขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์ในมรรค (๑) สังขารขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ~กลุ่มการเกิด (๑) สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ~กลุ่มกาลเวลา (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี ~กลุ่มที่อารมณ์ในกาลต่างๆ (๑) สังขารขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ~กลุ่มภายใน-นอก (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒) ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓) ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี ~กลุ่มอารมณ์ภายใน-นอกตน (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา [ค] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ แยกได้หลายกลุ่มได้แก่ ~กลุ่มว่าด้วยเหตุ (๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุก็มี ~กลุ่มสังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ)ด้วยเหตุ และวิปปยุต(ไม่ประกอบ)เหตุ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒)ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี ~กลุ่มมีเหตุ ไม่มีเหตุ ปนกัน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี (๒) ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๘/๑๖) ๗.วิภังค์
~กลุ่มมีเหตุประกอบร่วม (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ~กลุ่มไม่เป็นเหตุ (๑) สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี ~กลุ่มสภาวะธรรม (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี (๒) ที่เป็นโลกุตตระก็มี ~กลุ่มสภาพจิตรู้ (๑) สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับอาสวกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับอารมณ์ของกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ~กลุ่มที่มีกิเลสประกอบ,ไม่ประกอบ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี ~กลุ่มมีอารมณ์กิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ~กลุ่มที่ประกอบกับกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ~กลุ่มที่ไม่ประกอบกับกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับสังโยชน์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่รั้งสัตว์ไว้ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง (พระอรหันต์ตัดได้ทั้งหมด) ~กลุ่มอารมณ์ของสังโยชน์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ~กลุ่มที่ประกอบ/ไม่ประกอบสังโยชน์ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี ~กลุ่มอารมณ์ของสังโยชน์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบสังโยชน์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ~กลุ่มไม่ประกอบด้วยสังโยชน์ มี/ไม่มีอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก สังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นคันถะก็มี คันถะ ๔= หมายถึง เป็นห่วงที่ร้อยรัดไว้ในระหว่าง จุติ-ปฏิสนธิ ให้เกิดก่อต่อเนื่องกันไม่ให้พ้นไปจากวัฏฏทุกข์ได้ ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบด้วยคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะ แต่ไม่เป็นคันถะก็มี ~กลุ่มประกอบด้วยคันถะ แต่เป็น/ไม่เป็นคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ~กลุ่มไม่ประกอบคันถะ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจาก คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ~กลุ่มเกี่ยวกับโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นโอฆะก็มี โอฆะ = กิเลสที่ท่วมจิตของสัตว์โลก เสมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวที่พัดพาให้สัตว์จมอยู่ในกิเลส ซึ่งมี ๔ อย่าง ได้แก่ กาโมฆะ (โอฆะคือกาม), ภโวฆะ (โอฆะคือภพ), ทิฏโฐฆะ (โอฆะคือทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา) ~กลุ่มอารมณ์ของโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ~กลุ่มประกอบ/ไม่ประกอบด้วยโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๙/๑๖) ๗.วิภังค์
~กลุ่มมี/ไม่มีอารมณ์ของโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะก็มี ~กลุ่มประกอบด้วยโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและสัมปยุตด้วยโอฆะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยโอฆะแต่ไม่เป็นโอฆะก็มี ~กลุ่มไม่ประกอบด้วยโอฆะ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นโยคะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นโยคะก็มี โยคะ =การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ ได้แก่ควบคุมจิตใจและการเจริญปัญญา ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยโยคะ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและเป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของโยคะแต่ไม่เป็นโยคะก็มี ~กลุ่มประกอบด้วยโยคะ แต่เป็น/ไม่เป็นโยคะ (๑)สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็นโยคะก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี (๒)ที่วิปปยุตจากโยคและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นนิวรณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี นิวรณ์ =คือ เครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี มี ๕ ประการ ได้แก่ กามฉันทะ - พอใจในกาม; พยาบาท; ถีนมิทธะ - หดหู่; อุทธัจจกุกกุจจะ - ฟุ้งซ่าน; และวิจิกิจฉา - ลังเลสงสัย ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ~กลุ่มประกอบด้วย/ไม่ประกอบนิวรณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ~กลุ่มประกอบด้วยนิวรณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ~กลุ่มไม่ประกอบด้วยนิวรณ์ แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นปรามาส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี ปรามาส =การยึดมั่นถือมั่นในศีลและวัตรปฏิบัติอย่างงมงาย ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยปรามาส (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี ~กลุ่มที่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของ ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ~กลุ่มที่ยึดถือ/ไม่ยึดถือตัณหา,ทิฏฐิ (๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ~กลุ่มประกอบด้วย/ไม่ประกอบอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๐/๑๖) ๗.วิภังค์
~กลุ่มที่ประกอบด้วยอุปาทานแต่เป็น/ไม่เป็นอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~กลุ่มที่ไม่ประกอบด้วยอุปาทาน แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~กลุ่มเป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ~กลุ่มที่ทำให้/ไม่ทำให้เศร้าหมอง (๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี ~กลุ่มที่ประกอบด้วย/ไม่ประกอบด้วยกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~กลุ่มที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง แต่เป็น/ไม่เป็นกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี (๒) ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~กลุ่มที่ถูกประกอบด้วยกิเลส แต่เป็น/ไม่เป็นกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี (๒)ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~กลุ่มที่ไม่ประกอบด้วยกิเลส แต่เป็น/ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑) สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ~กลุ่มที่ต้อง/ไม่ต้องประหาร ด้วยโสดาฯ (๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ~กลุ่มที่ต้อง/ไม่ต้องประหาร ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ~กลุ่มที่มีเหตุ/ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาฯ (๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ~กลุ่มที่มีเหตุ/ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน (๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ~กลุ่มที่มี/ไม่มีวิตก (๑) สังขารขันธ์ที่มีวิตกก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกก็มี ~กลุ่มที่มี/ไม่มีวิจาร(ตรอง) (๑) สังขารขันธ์ที่มีวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิจารก็มี ~กลุ่มที่มี/ไม่มี ปีติ (๒) สังขารขันธ์ที่มีปีติก็มี (๒) ที่ไม่มีปีติก็มี ~กลุ่มที่ร่วม/ไม่ร่วมด้วยปีติ (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี ~กลุ่มที่มี/ไม่มีสุขร่วมด้วย (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี ~กลุ่มที่มี/ไม่มีอุเบกขาร่วมด้วย (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๒) ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น กามาวจร (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น รูปาวจร (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็น อรูปาวจร (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี ~กลุ่มที่เป็น/ไม่เป็นวัฏฏทุกข์ (๑) สังขารขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี วัฏฏทุกข์ = คือ วงจรของความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำของกิเลส กรรม และผลของกรรม (วิบาก) ซึ่งหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ มี ๓ อย่าง คือ (๑) กิเลสวัฏฏะ - ความวนเวียนของกิเลส คือ ความติดข้อง ความอยาก ความหลง ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (๒) กรรมวัฏฏะ - ความวนเวียนของการกระทำ คือ การกระทำทั้งดีและชั่วที่เกิดจากกิเลสนำไปสู่ผลลัพธ์ต่างๆ (๓) วิบากวัฏฏะ - ความวนเวียนของผลของกรรม คือ ผลที่เกิดจากการกระทำ เป็นเหตุให้เกิดกิเลส วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ ~กลุ่มที่เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุ นำออกจากวัฏฏะ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ~ กลุ่มให้ผลแน่/ไม่แน่นอน (๑) สังขารขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๑/๑๖) ๗.วิภังค์
~กลุ่มที่มี/ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี (๒) ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ~กลุ่มที่เป็นเหตุ/ไม่เป็นเหตุให้ร้องไห้ (๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี อนึ่ง ต่อจากนี้ สังขารขันธ์หมวดละ ๓ - ๑๐ ก็จะเหมือนใน ข้อ [ก] อภิธรรมภาชนีย์ที่กล่าวมาแล้ว [ค] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์= หมวดละ ๒ ได้แก่ (๑)สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ แยกเป็นกลุ่มอีกได้แก่ ~กลุ่มประกอบด้วย สุข,ทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ (๑)สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ~กลุ่มมีธรรมภายใน/นอก/ทั้งในนอกเป็นอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒)ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔-๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมาแล้ว [ง] สังขารขันธ์ หมวด ๑ - ๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [จ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฉ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ แจกเป็น กลุ่มได้แก่ ~กลุ่มที่ประกอบด้วยสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ~กลุ่มที่มีธรรมภายใน,นอกตนเป็นอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ช] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ แจกเป็น กลุ่มได้แก่ ~กลุ่มที่ประกอบด้วยสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓ )ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ~กลุ่มที่มีธรรมภายใน,นอกตนเป็นอารมณ์ (๑) สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ซ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๒/๑๖) ๗.วิภังค์
[ฌ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑)สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒)ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓)ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ญ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี, ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี, ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฎ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี, ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฏ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี, ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฐ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี, ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑)สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓ )ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฑ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี, ที่เป็นโลกุตตระก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ฒ] สังขารขันธ์ หมวด ๑ - ๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหาณด้วยมรรเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา [ณ] สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐ สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี, ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่ (๑) สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละ ๔ - ๑๐ ก็จะเหมือนที่ผ่านมา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|