แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
ต่อหน้า ๑๖/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
อุปนิสฺสยปจฺจโย ~ ธรรม เป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า ได้แก่อารมณ์อย่างแรงกล้า เหมือนอย่างอารมณ์ที่เป็นอธิปติปัจจัยเป็นที่อาศัย อย่างแรงกล้าให้เกิดธรรมที่เกิดจากอารมณ์นั้นเป็นปัจจัย เรียกว่าอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้าคือ อารมณ์ ธรรมที่เกิดเป็นลำดับ ไม่มีระหว่างคั่นอย่างแรงกล้าเหมือนอย่าง อนันตรปัจจัย เป็นอุปนิสสยปัจจัยให้เกิดธรรมที่เกิดจากธรรมนั้นเป็นปัจจัยโดยไม่มีระหว่างคั่น เรียกว่า อนันตรูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือธรรมที่เกิดเป็นลำดับไม่มีระหว่างคั่น เหตุที่มาจนเป็นปกตินิสัยแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยอารัมณปัจจัย เป็นเหตุที่ตนทำให้เกิดขึ้นเอง เช่นกุศลธรรม อกุศลธรรมต่างๆ ก็ดี เป็นเหตุฝ่ายกุศลและอกุศล ที่เนื่องจากการเสวนาซ่องเสพบุคคลและอาหารเป็นต้นของตนก็ดี เรียกว่า ปกตูปนิสสยปัจจัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยอุปนิสัยที่อาศัยอย่างแรงกล้า คือเหตุที่ทำมาจนเป็นอุปนิสัยแล้ว ปุเรชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดก่อนเป็นปัจจัย คือธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังคงมีอยู่ไม่ดับไป ได้แก่รูปธรรมที่เกิดขึ้นก่อนแล้วยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตและเจตสิกให้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์เกิดขึ้นก่อนยังไม่ดับ สัตว์โลกทั้งหลายจึงได้อาศัยเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ในโลก ปจฺฉาชาตปจฺจโย ~ ธรรมที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัย ได้แก่นามธรรมคือจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลัง เป็นปัจจัยปัจจัยอุดหนุนแก่รูปธรรมที่เกิดก่อนให้ตั้งอยู่ได้จนครบอายุ อายุของรูปธรรมเท่ากับอายุของจิต ๑๗ ดวง รูปธรรมที่เกิดก่อนจะตั้งอยู่ได้ตลอด ๑๗ ขณะจิตนี้ ก็เพราะจิตและเจตสิกที่เกิดทีหลังอุปถัมภ์ให้ตั้งอยู่และให้เจริญ มีอุปมาเหมือนอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้ว จะตั้งอยู่และเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยน้ำฝนที่ ตกลงมา หรือเอาน้ำรดในภายหลัง หรือมีอุปมาเหมือนอย่างลูกนกแร้งที่ยังเล็ก บินไปหาอาหารมิได้ ก็ได้อาศัยเจตนาที่หวังอาหารนั่นเองบำรุงเลี้ยง จนกว่าจะบินออกไปหาอาหารเองได้ อาเสวนปจฺจโย ~ ธรรมที่ทำหน้าที่เสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัย ได้แก่โลกิยชวนจิตที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ชื่อว่าเสพอารมณ์บ่อย ๆ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นเชื้อสายชาติเดียวกันให้เกิดขึ้น เช่นเมื่อกุศลชวนจิตดวง ๑ เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกุศลชวนจิตชนิดเดียวกันให้เกิดขึ้นเป็นดวงที่ ๒ เป็นปัจจัยอุดหนุนต่อกันไปดังนี้ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นตัวเจตนาลงสันนิษฐานให้สำเร็จกิจอย่างหนึ่ง ๆ เหมือนอย่างบุคคลที่เรียนวิชาใดอย่างหนึ่งมาแล้ว ย่อมเรียนวิชาอย่างเดียวกันต่อขึ้นไปได้ง่าย และเร็วขึ้นจนกระทั่งสำเร็จการเรียนวิชาอย่างนั้น กมฺมปจฺจโย ~ กรรมเป็นปัจจัย กรรมได้แก่เจตสิกธรรม คือเจตนา ความจงใจ เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงจิต เจตสิกธรรมที่เกิดในจิต กัมมชรูป รูปที่เกิดแต่กรรม และจิตตชรูป รูปที่เกิดแต่จิต ที่เกิดรวมกันเป็นสหชาตธรรม เช่นเมื่อจิตและเจตสิกรับรูปารมณ์เป็นต้น เกิดโลภจิตขึ้น กรรมคือเจตนาที่เป็นสหชาตเกิดร่วมอยู่ด้วย ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งจัดแจงโลภจิตนั้นให้เข้ารับรูปารมณ์เต็มที่ เป็นเหตุให้แสดงอาการของโลภะออกมาทางกายวาจา ด้วยอำนาจโลภมูลเจตนา อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่เป็น นานาขณิกะเกิดขึ้นในขณะต่าง ๆกัน เป็นปัจจัยเพาะพืชพันธุ์ไว้ เมื่อกุศลเจตนา และอกุศลเจตนาเกิดขึ้นพร้อมกับจิตนั้นดับไปแล้ว กรรมคือ (๔)วิญญาณาหาร -อาหารคือวิญญาณ สามข้อ(หลัง)นี้เป็นนามอาหาร เป็นปัจจัยอุดหนุนนามธรรม คือจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยตน และอุดหนุนจิตตชรูปและปฏิสนธิกัมม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๗/๑๙)๑.อภิธรรม ๗ คัมภีร์
อินฺทฺริยปจฺจโย ~ อินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมที่เป็นใหญ่ คือกระทำซึ่งความเป็นใหญ่ยิ่งชื่อว่าอิทรีย์ มี ๒๒ คือ (๑)จักขุนทรีย์ -อินทรีย์ คือ ตา (๒)โสตินทรีย์ -อินทรีย์คือ หู (๓)ฆานินทรีย์ -อินทรีย์ คือจมูก (๔)ชิวหินทรีย์ -อินทรีย์ลิ้น (๕)กายินทรีย์ -อินทรีย์คือกาย (๖)มนินทรีย์ -อินทรีย์คือใจ (๗)อิตถินทรีย์ -อินทรีย์คือหญิง (๘)ปุริสินทรีย์ -อินทรีย์คือชาย (๙)ชีวิตินทรีย์ -อินทรีย์คือชีวิต (๑๐)สุขินทรีย์ -อิทรีย์คือสุข (๑๑)ทุกขินทรีย์ -อินทรีย์คือทุกข์ (๑๒)โสมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโสมนัส (๑๓)โทมนัสสินทรีย์ -อินทรีย์คือโทมนัส (๑๔)อุเปกขินทรีย์ -อินทรีย์คืออุเบกขา (๑๕)สัทธินทรีย์ -อินทรีย์คือศรัทธา (๑๖)วิริยินทรีย์ -อินทรีย์คือเพียร (๑๗)สตินทรีย์ -อินทรีย์คือสติ (๑๘)สมาธินทรีย์ -อินทรีย์คือสมาธิ (๑๙)ปัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือปัญญา(๒๐)อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ - อินทรีย์คือโสดาปัตติมรรค (๒๑)อัญญินทรีย์ -อินทรีย์คือโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตมรรค (๒๒)อัญญาตาวินทรีย์ -อินทรีย์คืออรหัตผล อินทรีย์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๆ เช่นตา ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการเห็นรูป และยกเว้นอิตถีภาวะเสีย เหลือ ๒๐ เป็นปัจจัยและเป็นผลแห่งปัจจัยของกันและกัน ฌานปจฺจโย ~ ฌานเป็นปัจจัย ฌานคือการเพ่งอารมณ์อย่างแน่วแน่ประกอบด้วยองค์เป็นปฐม คือ วิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา เป็นปัจจัยอุดหนุนนามขันธ์ ๔ และจิตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป ที่เกิดพร้อมกับตน อีกอย่างหนึ่ง ฌานมี ๒ คือ (๑)อารมมณูปนิชฌาน- เพ่งอารมณ์ทางสมถภาวนา (๒)ลักขณูปนิชฌาน เพ่งลักษณะทางวิปัสสนาภาวนา คือไตรลักษณ์ต่างเป็นปัจจัยอุดหนุนตามอำนาจของตน มคฺคปจฺจโย ~ มรรคเป็นปัจจัย มรรคคือธรรมที่เป็นประดุจหนทาง เพราะเป็นธรรมนำให้มุ่งหน้าไปสู่สุคติ ทุคติ และนิพพาน องค์มรรค ๙ได้แก่ (๑)ปัญญา (๒)วิตก (๓)สัมมาวาจา (๔)สัมมากัมมันตะ (๕)สัมมาอาชีวะ (๖)วิริยะ (๗)สติ (๘)เอกัคคตา (๙)ทิฏฐิ องค์มรรคเหล่านี้ เว้น ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)ข้อที่ ๙; เหลือ ๘ เป็นฝ่ายกุศล; องค์มรรค ๔ คือ วิตก วิริยะ เอกัคคตา ทิฏฐิ เป็นฝ่ายอกุศล; และองค์มรรค ๘ ฝ่ายอัพยากฤต เป็นปัจจัยอุดหนุนให้ไปสู่ สุคติ ทุคติ และ นิพพานตามประเภท และอุดหนุนสหชาตธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับตนให้ ไปสู่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันตน และ ให้ทำกิจ ตามหน้าที่ของตนๆ สมฺปยุตฺตปจฺจโย ~ ธรรมที่สัมปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ประกอบพร้อมกัน ๔ ประการ คือธรรม ๒ อย่าง (๑)เมื่อเวลาเกิด ก็เกิดพร้อมกัน (๒)เมื่อเวลาดับ ก็ดับพร้อมกัน (๓)มีอารมณ์เป็นอันเดียวกัน (๔)มีที่อาศัยอันเดียวกัน เรียกสัมปยุต ได้แก่ จิต และ เจตสิก ที่เป็นนามธรรมด้วยกัน เป็นปัจจัย และผลของปัจจัยของกันและกัน แม้จะมีหน้าที่ ต่างกันแต่ก็สัมปยุตประกอบกันได้สนิท ดังจะยกตัวอย่างนามขันธ์ ๔ เวทนาขันธ์ทำหน้าที่เสวยอารมณ์, สัญญาขันธ์ ทำหน้าที่จำอารมณ์, สังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์, วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รู้อารมณ์ แม้จะต่างหน้าที่กันแต่ก็สัมปยุตกันสนิท เหมือนอย่างเภสัชจตุมธุรส ประกอบด้วยของ ๔ อย่าง คือ น้ำมันเนย ๑ น้ำมันงา ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำตาล ๑ มีรสเข้ากันสนิทจนไม่อาจจะแยกรสออกจากกันได้ วิปฺปยุตฺตปจฺจโย ~ธรรมที่วิปปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่สัมปยุตกันดังกล่าวในข้อก่อน เรียกวิปปยุตธรรม ได่แก่นามและรูป นามเป็นวิปปยุตธรรมของรูป รูปก็เป็นวิปปยุตตธรรมของนาม เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะของสัมปยุตธรรมครบทุกอย่าง ดังเช่น เมื่อจิตเกิด แม้จิตตชรูปจะเกิดด้วย แต่ก็ขาดลักษณะข้ออื่น ทั้งรูปและนามแม้จะเป็นวิปปยุตธรรมของกัน แต่ก็เป็นปัจจัยอุดหนุนกันและกัน เพราะต่างอาศัยกันเป็นไป เหมือนเงาอาศัยกันเป็นไป เหมือนอย่างคน ๒ คน มิใช่ญาติกัน แต่ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน อีกอย่างหนึ่ง วิปปยุตปัจจัยนี้ เปรียบเหมือนรส ๖ อย่างคือ หวาน๑ เปรี้ยว ๑ ฝาด ๑ เค็ม ๑ ขม ๑ เผ็ด ๑ รวมเป็นรสเดียวกันไม่ได้ แต่ก็อาศัยปรุงเป็นแกงอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเป็นปัจจัยอุดหนุนกันได้ อตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่มีอยู่เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอยู่คือธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในระหว่างอุปปาทะ (ความเกิด) ฐิติ (ความตั้งอยู่) ภังคะ (ความดับ) คือยังมีอยู่ในระหว่างนั้นยังไม่ดับไป ธรรมที่ชื่อว่ามีอยู่อย่างมีกำลังกล้า คือยังมีอยู่ในฐิติ ความตั้งอยู่ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมที่เป็นผลของตนให้เกิดขึ้น ข้อสำคัญเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ธรรมที่เป็นผลของตนให้ดำรงอยู่ เหมือนอย่างพื้นดินที่มีอยู่ อุปถัมภ์ต้นไม้ที่มีอยู่เหมือนกันให้งอกงามและตั้งอยู่ เช่นนามขันธ์ ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน มหาภูตรูป ๔ เป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน นามรูปในขณะปฏิสนธิเป็นอัตถิปัจจัยกันและกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๘/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
นตฺถิปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่มีเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีคือธรรมที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัย อุดหนุนธรรมเช่นเดียวกันให้เกิดขึ้น สืบต่อไปในลำดับ ดังที่กล่าวแล้วในอนันตรปัจจัย เช่นจิต เจตสิกดวงที่ ๑ ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ดวงที่ ๒ เกิดสืบต่อไปในลำดับ ถ้าดวงที่ ๑ ไม่ดับ ดวงที่ ๒ ก็เกิดขึ้นมิได้ เหมือนอย่างแสงสว่างกับความมืด เมื่อแสงสว่างดับไป ความมืดจึงปรากฎขึ้นได้ วิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ปราศจากไป คือธรรมที่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุดหนุนธรรมเช่นเดียงกันให้เกิดขึ้นในลำดับเช่นเดียวกับนัตถิปัจจัย อวิคตปจฺจโย ~ ธรรมที่ไม่ปราศจากไปเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่ปราศจากไป คือธรรมที่ยังไม่ถึงความดับ เป็นปัจจัยอุปการะที่ยังมีอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับ อัตถิปัจจัย วัตถุ ๖=รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น มี เรียกว่า วัตถุรูป ๖ คือ (๑)จักขุปสาทรูป ๑ เป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง (๒)โสตปสาทรูป ๑ เป็นโสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ ๒ ดวง (๓)ฆานปสาทรูป ๑ เป็นฆานวัตถุ เป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ ๒ ดวง (๔)ชิวหาปสาทรูป ๑ เป็นชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง (๕)กายปสาทรูป ๑ เป็นกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ ๒ ดวง (๖)หทยรูป ๑ เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นเฉพาะทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวงเท่านั้น ชวนะจิต =คือจิตที่แล่นไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นจิตที่เป็นชาติกุศล หรืออกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์ และวิบากจิตที่เป็นโลกุตตระ ที่เรียกว่า ชวนจิต ก็เรียกจิตตามกิจหน้าที่ จิตใดที่ทำชวนกิจ ก็เรียกว่า ชวนจิต กัมมชรูป =หรือ กฏัตตารูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หมายความว่า รูปที่เกิดในขณะนั้นทุกรูปในกลุ่มนั้น เกิดเพราะกรรมทั้งหมด กลุ่มของรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ประมวลแล้ว มีทั้งหมด ๙ กลุ่ม (๑)จักขุทสกกลาป คือ กลุ่มของจักขุปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ จักขุปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๒)โสตทสกกลาป คือ กลุ่มของโสตปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ โสตปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๓)ฆานทสกกลาปคือ กลุ่มของฆานปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ฆานปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๔)ชิวหาทสกกลาปคือ กลุ่มของชิวหาปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชิวหาปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๕)กายทสกกลาปคือ กลุ่มของกายปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ กายปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๖)อิตถีภาวทสกกลาปคือ กลุ่มของอิตถีภาวรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ อิตถีภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๗)ปุริสภาวทสกกลาปคือกลุ่มของปุริสภาวรูป ซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปุริสภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๘)หทยทสกลาปคือ กลุ่มของหทยรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ หทยรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑ (๙)ชีวิตนวกกลาปคือกลุ่มของชีวิตรูปซึ่งมี รูป รวม ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตินทริยรูป ๑ จิตตชรูป=จิตฺต (จิต) + ช (การเกิด) + รูป (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์) รูปที่เกิดจากจิต หมายถึง รูป ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘=อวินิพโภครูป คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป วิการรูป ๓=เป็นอาการพิเศษของรูปที่เกิดจาก กรรม จิต อุตุ และอาหาร เป็นสมุฏฐานรูปที่เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า นิปปผันนรูป วิการรูป ไม่มีรูปโดยเฉพาะ เป็นอาการพิเศษของนิปปผันนรูปที่เกิดขึ้นนั่นเอง วิญญัติรูป ๒=คือ อาการพิเศษที่เกิดอยู่ในการเคลื่อนไหวทางร่างกาย และการพูดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นรูปที่ทำให้ผู้อื่นรู้ถึงความประสงค์ของผู้แสดง เช่น เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายเข้ามาหาก็แสดงกิริยากวักมือ หรือเปล่งวาจาเรียก อาการพิเศษที่รวมอยู่ในความเคลื่อนไหวทั้งกายและวาจา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๙/๑๙) ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
สัททรูป ๑=คือ รูปที่ไม่(สามารถ)แยกกันได้เด็ดขาด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง ๘ จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป ปริจเฉทรูป ๑=หมายเอาช่องว่างที่คั่นระหว่างหมวดหมู่ของรูปกายต่อหมวดหมู่ของรูป กายนั่นเอง สิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายซึ่งเกิดจากจิตเป็นปัจจัย จิตที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปได้มี ๗๕ ดวงเท่านั้น เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ (จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะจิตในขณะปฏิสนธิกาลมีกำลังอ่อน จุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป เพราะเป็นความสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ หมดความสืบต่อของนามและรูปทั้งปวง) - อวินิพโภครูป ๘, ปริเฉทรูป ๑, เกิดได้จากสมุฏฐานทั้ง ๔ - วิการรูป ๓ เกิดได้จากสมุฏฐาน ๓ (เว้นกัมมสมุฏฐาน) - วิญญัติรูป ๒ เกิดได้จากจิตตสมุฏฐานอย่างเดียว - สัททรูป เกิดได้จาก ๒ สมุฏฐาน คือ จิตตสมุฏฐาน และอุตุสมุฏฐาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
อภิธรรมปิฎก : ๒.ธัมมสังคณี (ว่าด้วยมาติกา แม่บทของพระอภิธรรมและพระสูตร)
กาพย์พรหมคีติ
๑."ธัมมสังคณี".....................จัดธรรมรี่ชี้กลุ่มสรรค์ อภิธรรม,สุตตันฯ.....................เทียบเคียงสองตรองเนื้อความ แม่บทอภิธรรม........................แบ่งข้อพร่ำสิบสี่ผลาม แต่ละหมวดธรรมตาม..............แต่สาม,หก,เจ็ด,แปด..นา
๒.หนึ่ง,แม่บทจัดธรรม...........หมวดหนึ่งนำสามธรรมหนา ยี่สิบสองหมวดกล้า..................หกสิบหกธรรมรวมยล ธรรม"กุศล"ฝ่ายดี....................ฝ่ายชั่วปรี่'อกุศล" กับ"อัพยาฯ"ดล........................"ฝ่ายกลางมิชั่วมิดี"
๓."เวทนารู้สึก........................เป็น"สุข"ลึกมีทุกข์ปรี่ "ไม่ทุกข์ไม่สุข"มี......................รู้สึกเฉยหรือกลางนา "ธรรมมีผลวิบาก".....................ธรรมฟาก"เหตุ"ผลธรรมดา อีกหนึ่ง"มิใช่หนา......................ทั้งสองอย่างเหตุ,ผล"เอย
๔."ธรรมถูกยึดถือจัง..............เป็นที่ตั้ง"ยึดถือ"เผย "ธรรมไม่ถูกยึด"เอ่ย.................แต่เป็นที่ตั้งยึดแล อีกหนึ่ง"ไม่ยึด"รี่.......................ไม่เป็นที่ตั้งยึดแฉ แตกต่างกันแล้วแน่...................เรียกมีแท้ทั้งสามเอย
๕."ธรรมก่อเศร้าหมองคลี่.......และเป็นที่ตั้งโศก"เอ่ย "ธรรมไม่เศร้าหมอง"เลย...........แต่เป็นที่ตั้งเศร้าใจ ธรรมสามไม่เศร้าหมอง.............และไม่ครองเศร้าหมองไหน ทั้งสามธรรมมีไซร้.....................เป็นธรรมชาติยืนยง
๖.ธรรมมี"วิตก,ตรึก"................"วิจาร"นึกตรองถ่องบ่ง "ธรรมไร้วิตกปลง......................แต่ยังมีวิจาร"แล ธรรมสามนั้นไม่มี......................ทั้งสองนี้เฉพาะแน่ ผู้ลุฌานสูงแล้...........................วิตก,วิจารละเอย
๗."ธรรมกอปรปีติ"ไซร้...........ความอิ่มใจน้ำเนตรเผย "ธรรมกอปรสุข"มีเอ่ย..............."ธรรมกอปรอุเบกขา"มี เริ่มธรรมด่ำกับญาณ................ที่เห็นผ่านทัสสนะคลี่ คือ"โสดามรรคฯมี.....................ละสังโยชน์สา ข้อครัน
๘.ธรรมสองละโดยฝึก...........ภาวนานึกลุญาณสรรค์ "สกิทาคาฯนั้น...........................ละสังโยชน์สาม,เสริมแล "อนาคามิมรรค..........................สังโยชน์จักละห้าแฉ อรหัตต์มรรคแล้........................ลุสังโยชน์สิบเสร็จพา
๙.ธรรมสามละไม่ได้...............ด้วยเห็นไซร้และภาวนา ธรรมมีเหตุละหนา......................ด้วยทัสสนะโสดาฯครัน ธรรมมีเหตุละด้วย......................ภาวนาช่วยคือมรรคชั้น สกาทามรรคฯพลัน.....................อนาคาฯ,อรหัตต์ฯแล
๑๐.ท้ายธรรมมีเหตุละ..............ไม่ได้ดะทั้งเห็นแฉ และภาวนาแน่.............................เหตุฝ่ายชั่ว,กาย,พูด,ใจ เริ่มธรรมนำไปสู่.........................."สั่งสมพรูกิเลส"ใหญ่ ธรรม"ไม่นำสู่ไซร้.........................การสะสมกิเลส"เลย
๑๑.ธรรมท้ายไม่เป็นทั้ง.............สองอย่างตั้งสะสมเฉย และไม่สะสมเอย..........................กับกิเลสไหนสักครา เริ่มธรรมพระอริยะ.......................ผู้เรียนปะแต่โสดาฯ ถึงอรหัตต์ฯนา.............................รวมเจ็ดประเภทนั่นแล
๑๒.ธรรมผู้ที่ไม่ต้อง...................ศึกษาตรองคือผู้แน่ อรหัตตผลแท้...............................บรรลุเสร็จกิจแล้วนา ธรรมไซร้ไม่เป็นทั้ง.......................สองอย่างดั่งยังศึกษา และไม่ศึกษาพา............................แต่อย่างใดไกลว่างกลาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๑๓.ธรรม"ปริตตะ"ด้อย..............ธรรมเล็กน้อยท่องกามพลาง ธรรม"มหัคคฯวาง.........................รูปหรืออรูปฌาน ธรรมโอ่"โลกุตต์ฯชี้......................ธรรมไม่มีประมาณการ เช่นมีมรรค,ผลกราน.....................นิพพานสงัด,สุขเอย
๑๔."ธรรมมีอารมณ์น้อย"............อารมณ์พลอย"ใหญ่"เลยเผย กับ"อารมณ์มาก"เอ่ย.....................ไม่มีประมาณได้แล เริ่ม"ธรรมอกุศล".........................."ธรรมกลางยลกุศล"แฉ และ"อัพยาฯ"แล้...........................ยังมีกิเลสเศษคง
๑๕.ท้าย"ธรรมประณีต"นำ.........โลกุตต์ฯธรรมพ้นโลกบ่ง เริ่ม"ธรรมฝ่ายผิด"ตรง..................อนันตริยกรรม เป็นธรรมผิดติดแรง......................ห้าอย่างแจงโทษแกร่งหนำ ธรรมฝ่ายถูกผลล้ำ.......................อริยมรรคสี่แล
๑๖.ท้าย"ธรรมไม่แน่นอน"...........ให้ผลจรต่างกันแฉ ไม่ใช่ฝ่ายผิดแล้.............................หรือฝ่ายถูกแต่อย่างใด กับธรรมมีมรรคเป็น......................."อารมณ์"เด่น"มีเหตุ"ไข ธรรมมีมรรคเป็นใหญ่....................มรรคแปดไซร้กิเลสราน
๑๗."ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว".............."ธรรมยังแผ่วมิเกิด"สาน "ธรรมที่จักเกิด"พาน......................."วันข้างหน้า"แลแท้เทียว เริ่มธรรมนำด้วยกาล.......................อดีตผ่าน,และธรรมเชี่ยว "ในอนาคต"เจียว.............................กับธรรมเป็นปัจจุบัน
๑๘.ด้วยจิต,เจตสิกนับ..................เกิดขึ้นดับลับกาลมีผัน อดีต,กาลหน้าครัน..........................ปัจจุบันพลันเปลี่ยนแล ขณะธรรมเกิดอยู่...........................และดับกรูอดีตแน่ มีเหตุปัจจัยแท้................................สภาพธรรมเกิดกาลหน้าแล
๑๙.ธรรมมีอารมณ์เป็น................."อดีต"เด่นปรารภแฉ ธรรมมีอารมณ์แน่..........................เป็นอนาคตจิตจดตรอง ธรรมมีอารมณดั้น...........................ปัจจุบันจิตคิดผอง จิต,เจตสิกกล่าวถ่อง.......................กาลใดเกิด"ธรรมอารมณ์
๒๐."ธรรมมีเป็นภายใน"...............ธรรมเกิดไซร้ของตนสม เฉพาะแต่บุคคลซม.........................ถูกตัณหายึดขันธ์เอย "ธรรมภายนอก"ของสัตว์................ของตนชัดยึดขันธ์เผย ธรรมที่ชี้"ใน"เคย............................และ"นอก"เอ่ยด้วยกันแล
๒๑."ธรรมมีอารมณ์อยู่.................ฝ่ายใน"กู่และ"ภายนอก"แฉ "ธรรมเป็นภายใน"แท้......................และภายนอกสองอย่างไว "ธรรมเห็น,ถูกต้อง"เด่น...................."ธรรมไม่เห็น",ถูกต้องได้ "ธรรมเห็นไม่ได้"ไซร้........................และถูกต้องมิได้เลย
๒๒.สอง,แม่บท"โคจฉ์กะ"..............เหตุธรรมปะคู่หกเผย "ธรรมเด่นเป็นเหตุ"เอ่ย....................ฝ่ายเลว,โลภ,โกรธ,หลงแล "กุศลเหตุ"ไม่โลภ.............................ไม่โกรธโฉบ,ไม่หลงแฉ อัพยาฯเหตุธรรมแล้.........................ไร้โลภ,โกรธ,หลงเอย
๒๓.ธรรม"ไม่เป็นเหตุ"พร่ำ.............เว้นแต่"ธรรมเป็นเหตุ"เผย กุศล,อกุศลเอ่ย................................อัพยากฤตเหลือแล ที่เป็น"กามาฯ"สูบ.............................อรูปฯ,รูปฯแท้ โลกุตต์ฯคือขันธ์แน่..........................รูป,อสังขต์ธาตุหมดเอย
๒๔."ธรรมมีเหตุ"อย่างไร................คือขันธ์ไซร้เวทนาเอ่ย สัญญา,สังขารเคย............................และวิญญาณขันธ์นั้นไว "ธรรมไม่มีเหตุ"นา.............................คือสภาวะธรรมเหตุไร้ ขันธ์และรูปผองไกล..........................อสังขต์ธาตุมิปรุง
๒๕.สาม,แม่บทคู่น้อย......................"จูฬันต์ฯ"จ้อยหมดต่างมุ่ง มีเจ็ดคู่พยุง.......................................สภาวธรรมต่างกัน "สัปป์จจยาฯ"ชัด...............................ธรรมมีปัจจัยจัดสรรค์ "อัปปัจจยาฯ"ครัน.............................ธรรมไม่มีปัจจัยเอย
๒๖."สังขตา ธัมมา".........................ปรุงแต่งนาเปลี่ยนแปลงเผย "อสังขตา"เอ่ย...................................ปรุงแต่งมิได้ไม่แปร "สนิทสัสสนา"เด่น..............................ธรรมที่เห็นได้ชัดแฉ "อนิทสัสสนาฯ"แล้..............................ธรรมที่เห็นไม่ได้เอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๓/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๒๗."สัปปฏิฏาฯ"นบ..................ธรรมกระทบพบได้เผย "อัปปฏิฆาฯ"เปรย........................ธรรมกระทบมิได้แล "รูปิโน ธัมมา"..............................ธรรมรูปหนาเห็นได้แน่ "อรูปิโนฯ"แท้...............................ไม่เป็นรูปคือนามธรรม
๒๘."โลกิยา ธัมมา"....................ธรรมเป็นนาโลกีย์ด่ำ "โลกุตตระฯล้ำ............................ธรรมพ้นวิสัยโลกแล "เกนจิ วิเยยฯ"ชิด.........................ธรรมที่จิตคิดรู้แฉ "เกนจิ นะฯ"ธรรมแล้.....................จิตบางดวงมิรู้เลย
๒๙.สี่,"อาสวโคจฉ์ฯ"..................แม่บทโดดกิเลสเผย มีแยกหกคู่เอ่ย.............................เกี่ยวข้องอาสวะแล "ธรรมเป็นอาสวะ".........................กิเลสปะในกามแฉ มิเป็นอาส์วะแล้.............................คือเว้นอาสวะนา
๓๐."สาสวา,ธรรมเป็น.................อารมณ์"เด่นอาส์วะหนา "อนาสวาฯ"ธรรมหา.......................เป็นอารมณ์อาส์วะแล "อาสว์สัมปยุตต์ฯครอบ..................ธรรมประกอบกิเลสแน่ "อาสว์วิปปยุตต์ฯ"แล้......................ธรรมไม่กอปรกิเลสซม
๓๑."อาส์วา เจวะฯ"นา..................ธรรมเป็นอาส์วะ,อารมณ์ "สาสวาฯธรรมบ่ม...........................เน้นอารมณ์ไร้อาส์วา "อาส์สัมปยุตต์ฯชอบ......................ธรรมประกอบอาส์วาหนา "อาส์วาสัมฯ"กอปรมา.....................ด้วยอาส์หาใช่อาส์ฯแล
๓๒."อาสววิปป์ฯ"นอบ...................ไม่ประกอบอาส์วะแฉ แต่ธรรมอารมณ์แท้.........................ของอาส์วกิเลสพลัน "อนาสวาฯ"คลาด.............................ไม่กอปรอาสวะดั้น ไม่เป็นอารมณ์ครัน...........................ของอาสวะอีกแล
๓๓.ห้า,สัญโญชน์โคจฉ์ฯเปลื้อง......แม่บทเครื่องผูกมัดแฉ แบ่งได้หกคู่แล้..............................กิเลสผูกมัดตนเอย "สัญโญชนา สัมมา".......................ธรรมเป็นนาสัญโญชน์เผย "โน สัญโญชนาฯ"เชย....................ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์นา
๓๔."สัญโญชนิยาฯ"ธรรม............อารมณ์ล้ำสัญโญชน์หนา "อสัญโญชน์ฯ" ธัมมา.....................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล "สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดสัญโญชน์แน่ "สัญโญชน์ วิปปยุตต์ฯแล้...............ธรรมมิกอปรสัญโญชน์เอย
๓๕."สัญโญชนฯ"ครัน..................ธรรมเป็นสัญโญชน์จริงเผย และเป็นอารมณ์เคย.......................ของสัญโญชน์อีกด้วยแล "สัญโญชนิยา"...............................ธรรมเป็นอารมณ์สัญโญชน์แฉ แต่จะไม่เป็นแน่..............................กับสัญโญชน์ด้วยเลยนา
๓๖."สัญโญชน์ สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมรุดเป็นสัญโญชน์หนา และประกอบได้มา..........................กับสัญโญชน์ได้ดีเทียว "สัญโญชน์ สัญโญช์นา"..................ธรรมกอปรหนาสัญโญชน์เชี่ยว แต่ธรรมมิเป็นเจียว..........................กับสัญโญชน์แต่อย่างใด
๓๗."สัญโญชน์วิปยุตต์".................ธรรมไม่รุดประกอบใส กับสัญโญชน์เลยไซร้.......................เป็นอารมณ์สัญโญชน์แล "สัญโญชน์ อสัญโญฯ"......................ไม่กอปรโอ่สัญโญชน์แฉ ไม่เป็นอารมณ์แน่..............................ของสัญโญชน์แท้เทียวเอย
๓๘.หก,"คันถโคจฉ์ฯ".....................แม่บทโจดกิเลสเผย เครื่องร้อยรัดหกเอ่ย.........................เรียก"คันถะ"ผูกมัดใจ "คันถา ธัมมา"นั้น...............................ธรรมเป็นคันถะเพลินไข กำหนัด,อาฆาตไว..............................เห็นผิดคิดโลกเที่ยงเอย
๓๙."โน คันถา"ธรรมครัน.................ไม่เป็นคันถะสี่เผย ที่เหลือ"กามาฯเอ่ย.............................รูปาฯ,อรูปาฯแล โลกุตตระ,ขันธ์..................................เวทนาดั้น,วิญญาณแฉ รูป,อสังข์ฯแล้.....................................ธรรมไม่เป็นคันถะเอย
๔๐."คันถนิยา"ธรรม.........................อารมณ์นำคันถะเผย กุศล,เลว,กลางเอ่ย..............................ที่ยังมีกิเลสแล กามาฯ,รูปาฯหล้า................................อรูปาฯ,รูปขันธ์แน่ อีกวิญญาณขันธ์แล้............................นี่อารมณ์คันถะแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๔/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๔๑."อคันถนิยา"..................ไม่เป็นนาอารมณ์แน่ ของคันถะเลยแท้...................คือมรรค,ผลโลกุตต์ฯนา และอสังขต์ธาตุ.....................ไม่มียาตรปรุงแต่งหนา สภาวธรรมจ้า........................ปราศจากอารมณ์เอย
๔๒."คันถสัมปยุตต์ฯ"...........ธรรมกอปรรุดคันถะเผย เว้นคันถะนั้นเอ่ย.....................คือขันธ์ต่างเวทนา อีกวิญญาญขันธ์ซ้ำ................สภาพธรรมประกอบหนา ด้วยคันถะเหมาะพา................แต่ไม่เป็นคันถะแล
๔๓."คันถวิปปยุตต์ฯ"............ธรรมไม่รุดประกอบแฉ กับคันถะเลยแน่......................เพราะมีโลกุตตรธรรม มรรค,ผล,อสังข์ฯ.....................ภาวะดั่งไซร้ไร้กอปรหนำ กับคันถะละนำ.........................และไม่เป็นอารมณ์เลย
๔๔."คันถะ เจวะฯ"ครัน..........ธรรมเป็นคันถะแน่เอ่ย พร้อมเป็นอารมณ์เคย..............ของคันถะแท้เลยแล "คันถนิยาฯ"หนา......................ธรรมอารมณ์คันถะแฉ ไม่เป็นคันถะแน่.......................ได้แก่กิเลสเหลือคง
๔๕."คันถา สัมปยุตต์ฯ"..........ธรรมนี้คุดคันถะบ่ง และสัมปยุตต์ฯตรง..................กอปรด้วยคันถะต่างเอย "คันถสัมปยุตต์ฯ".....................ธรรมกอปรรุดคันถะเผย แต่ไป่คันถะเอ่ย.......................เพราะเว้นคันถธรรมแล
๔๖."คันถวิปปยุตต์ฯ".............ธรรมที่ซุดไม่กอปรแน่ กับคันถะเลยแต่.......................เป็นอารมณ์คันถะไง "อคันถนิยาฯ"...........................ไม่กอปรนาคันถะไส และไร้อารมณ์ใด......................กับคันถะทั้งสิ้นเอย
๔๗.เจ็ด,"โอฆโคจฉ์ฯ"คลุม.......แม่บทกลุ่มโอฆะเผย โอฆะห้วงน้ำเปรย......................ดึงสัตว์จมลงต่ำแล แต่อบายภูมิรึง...........................แหวกว่ายถึง"โคตรภูฯ"แฉ โอฆะ,กิเลสแท้...........................แยกได้สี่ประเภทเอย
๔๘."โอฆา ธัมมา"เด่น...............ธรรมอันเป็นโอฆะเผย "โน โอฆา"ธรรมเอ่ย....................ธรรมไม่เป็นโอฆะแล "โอฆนิยา"ธรรม..........................อารมณ์นำโอฆะแฉ "อโนฆะฯ"ธรรมแล้.....................ไม่ได้เป็นอารมณ์เอย
๔๙."โอฆสัมปยุตต์ฯ"................ธรรมกอปรรุดโอฆะเผย "โอฆวิปป์ฯธรรมเกย...................ไม่ประกอบโอฆะแล "โอฆา เจวะ"โร่............................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ เป็นนาอารมณ์แล้........................ของโอฆะแท้เทียวนา
๕๐."โอฆนิยาฯ"งม....................เป็นอารมณ์โอฆะหนา อารมณ์เป็นธรรมกล้า...................แต่ไป่โอฆะแล "โอฆสัมปยุตต์ฯโผล่....................ธรรมเป็นโอฆะแน่แฉ และยังประกอบแท้......................เข้ากับโอฆะด้วยเอย
๕๑."โน จ โอมา"ธรรม...............สัมปยุตต์ฯนำประกอบเผย กอปรด้วยโอฆะเปรย...................แต่ไม่เป็นโอฆะแล "โอฆวิปป์ฯ"ธรรมไม่.....................ประกอบไซร้โอฆะแน่ แต่เป็นอารมณ์แท้........................ของโอฆะหลายแท้เทียว
๕๒."โอฆวิปปยุตต์ฯ"..................เป็นธรรมรุดไม่กอปรเอี่ยว จากโอฆะเลยเชียว.......................และไม่เป็นอารมณ์แล แปด,"โยคโคฯ"นะ.........................แม่บท"โยคะ"กอปรแฉ ผูกสัตว์ซัดจมแล้...........................ในวัฏฏะหกคู่เอย
๕๓."โยคา ธัมมา"หล้า................ธรรมเป็นนาโยคะเผย "โน โยคา"ธรรมเอ่ย......................ไม่เป็นโยคะเลยนา "โยคนิยาฯ"ธรรม..........................อารมณ์ด่ำโยคะหนา "อโยคนิยา"..................................ธรรมไม่เป็นอารมณ์แล
๕๔."โยคสัมปยุตต์ฯ"..................ธรรมกอปรรุดโยคะแน่ "โยควิปป์ฯซิแท้............................ไม่ประกอบโยคะเอย "โยคา เจวะฯ"โผล่........................ธรรมเป็นโยคะเหตุเผย และเป็นอารมณ์เกย.....................ของโยคะกิเลสนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๕/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๕๕."โยคนิยาฯ"มี...................อารมณ์ชี้โยคะหนา ธรรมมาอารมณ์กล้า.................แต่ไม่เป็นโยคะแล "โยคา เจวะ"โด่.........................ธรรมเป็นโยคะแน่ และสัมปยุตต์กอปรแล้..............ด้วยโยคะแนบชิดเอย
๕๖."โยคสัมปยุตต์ฯ"..............ธรรมข้องสุดโยคะเผย กอปรด้วยโยคะเคย..................แต่ไม่เป็นโยคะแล "โยควิปปยุตต์ฯ".......................ธรรมไม่รุดประกอบแฉ เบือนกับโยคะแต่......................เป็นอารมณ์โยคะคง
๕๗."อโยคนิยาฯ"....................ไม่กอปรนาโยคะบ่ง ไม่ข้องกิเลสตรง.......................โยคะไม่เป็นอารมณ์ เก้า,แม่บท"นีวรณ์".....................กิเลสชอนบ่อนจิตล่ม มิแน่วสมาธิ์ซม..........................จิตพลาดนำทำความดี
๕๘."นีวรณา"ปก.....................ธรรมนี้หกนิวรณ์ปรี่ "โน นีวรณ์ฯ"ธรรมชี้...................ไม่เป็นนิวรณ์หกแล "นีวรณิยา"................................ธรรมเป็นอารมณ์ตรมแฉ ของนิวรณ์เหลือแต่....................กิเลสในกามา..เอย
๕๙."อนีวรฯ"เด่น......................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย มรรค,ผล,โลกุตต์ฯเอ่ย................อสังขตธาตุนา "นีวรณสัมฯ"...............................ธรรมกอปรช่ำนิวรณ์หนา มาพร้อมกับขันธ์ห้า.....................เวทนา..และวิญญาณ
๖๐."นีวรณ์วิปป์ฯ".....................ธรรมไกลลิบไม่กอปรสาน กับนิวรณ์ธรรมซ่าน......................เช่นอสังขต์ธาตุแล "นีวรณา เจวะฯ"............................ธรรมที่ปะนิวรณ์แฉ เป็นหนาอารมณ์แล้.......................ของนิวรณ์อีกด้วยเอย
๖๑."นีวรณิยา"...........................ธรรมเป็นอารมณ์คล้ายเผย กับนิวรณ์แต่เอ่ย...........................หาเป็นนิวรณ์ไม่แล ด้วยกิเลสเหลือใน.........................กามาฯไซร้,รูปาฯแน่ อรูปาฯ,ขันธ์แท้.............................รูป,วิญญาณขันธ์พานไกล
๖๒."นีวรณาฯ"เด่น......................ธรรมเป็นเช่นนี้นิวรณ์ไส และสัมปยุตต์ฯไว...........................ประกอบด้วยนิวรณ์คง "นีวรณสัมป์ฯ"................................ประกอบย้ำนิวรณ์บ่ง ไม่เป็นนิวรณ์ทรง...........................เพราะเว้นนิวรณ์ธรรม
๖๓."นีวรณวิปป์ฯ"........................ไม่กอปรลิบนิวรณ์ด่ำ เป็นนาอารมณ์นำ...........................ของนิวรณ์ที่เหลือชู "นีวรณ์วิปปยุตต์ฯ".........................ไม่กอปรรุดนิวรณ์สู่ ไร้หนาอารมณ์รู้.............................กับนิวรณ์เพราะมรรคแล
๖๔.สิบ,แม่บท"ปรามาสฯ"............กิเลสบาดทางผิดแฉ มีห้าคู่ผิดแท้..................................พลาดจากความตามจริงเอย "ปรามาสา ธัมมา"..........................ธรรมเป็นนาทิฏฐิเผย เห็นผิดชิดเกิดเอ่ย.........................ในจิตกอปรทิฏฐิแล
๖๕."โน ปรามาสา"ธรรม...............ไม่เป็นนำปรามาสแฉ ธรรมที่เหลือเช่นแล้........................โลกุตต์ฯ,อสังขต์ธรรม "ปรามัฏฐาฯ"นา...............................ธรรมเป็นอารมณ์ปรี่นำ ของปรามาสะพร่ำ...........................ยังมีกิเลสกามาฯ
๖๖."อปรามัฏฯ"เน้น.......................ธรรมไม่เป็นอารมณ หนา ของปรามาสะกล้า...........................เช่นมรรค,ผลโลกุตต์ธรรม "ปรามาสะสัมฯจับ............................ประกอบกับธรรมอื่นกล้ำ เช่นสัมปยุตต์นำ...............................กับเวทนาขันธ์ดล
๖๗."ปรามาสวิปป์ฯ"ไซร้.................ธรรมใดไม่ประกอบด้น กับปรามาสะยล...............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน "ปรามาสาา เจวะฯ"..........................ปรามาสะแลธรรมดั้น เป็นปรามาสะพลัน...........................ยังเป็นอารมณ์อีกเลย
๖๘."ปรามัฏฐา เจวะฯ"....................ธรรมใดจะเป็นดั่งเผย ย้ำหนาอารมณ์เคย...........................มิเป็นปรามาสะนา "ปรามาสวิปป์ฯ"ไหน.........................ธรรมใดไม่กอปรปรามาฯ แต่เป็นอารมณ์พา............................ของปรามาสะแท้เทียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๖/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๖๙."ปรามาสวิปปยุตต์ฯ"..........ไม่กอปรยุดปรามาฯเอี่ยว ไม่เป็นอารมณ์เชียว...................ของปรามาสะแท้ครอง สิบเอ็ด,แม่บทไซร้......................"มหันตร์ฯ"คู่ใหญ่ไม่เกี่ยวข้อง มีสิบสี่คู่ตรอง.............................แต่ละคู่ต่างเรื่องกัน
๗๐."สารัมมณะฯนา.................ธรรมมีอารมณ์สี่สรรค์ คือขันธ์,เวทนาครัน....................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ "อนารัมมณา"............................ธรรมไร้อารมณ์ซ่าน คือรูปทั้งหมดกราน....................และอสังขต์ธาตุแล
๗๑."จิตตา ธัมมา"เด่น..............ธรรมที่เป็นจิตชิดแฉ คือวิญญาณรู้แท้........................จักขุ ,โสต,ฆานะ..เอย "โน จิตตา"ธรรมไซร้..................ธรรมที่ไม่เป็นจิตเผย นามขันธ์"เวทนา"เอ่ย.................รูป,อสังขต์ธาตุมา
๗๒."เจตสิกาฯ"เหตุ.................ธรรมเป็นเจตสิกหนา นามขันธ์"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแล "อเจตสิกฯ"เว้น..........................ธรรมไม่เป็นเจตสิกแฉ คือจิต,รูปหลายแล้.....................และอสังขต์ธาตุเอย
๗๓."จิตตสัมปยุตต์ฯ"...............ธรรมกอปรรุดกับจิตเผย นามขันธ์เวทนาเกย....................กับสัญญา,สังขาร "จิตตวิปปยุตต์ฯ"........................ธรรมที่หยุดกอปรจิตแฉ เช่นรูปทั้งหมดแน่.......................และอสังขต์ธาตุนา
๗๔."จิตตสังสัฏฯ"นับ................ธรรมเจือกับจิตรู้หนา นามขันธ์เวทนากล้า....................สัญญา,สังขารเอย "จิตตวิสัสฯ"เอื้อ..........................ธรรมไม่เจือกับจิตเผย คือรูปทั้งหมดเกย.......................และอสังขต์ธาตุแล
๗๕."จิตตสมุฏฯ"ชิด.................ธรรมมีจิตเป็นเหตุแฉ เช่นนามขันธ์,รูปแท้....................ที่เกิดตรงชิดจิตเอย "โน จิตต์สมุฏฐฯ"รี่......................ธรรมไม่มีเหตุจิตเผย เช่นจิต,รูปที่เหลือเอ่ย..................และอสังขต์ธาตุนา
๗๖."จิตตสหฯ"รวม....................ธรรมเกิดร่วมกับจิตหนา คือนามขันธ์,สัญญา.....................เวทนา,สังขารช่วยไว "โน จิตตสหะฯ"............................ธรรมไม่ปะเกิดกับใจ เช่นจิต,รูปเหลือไซร้.....................และอสังขต์ธาตุแล
๗๗."จิตตานุฯ"พร้อมช้อย...........ธรรมเกิดคล้อยตามจิตแน่ เช่นนามขันธ์ร่วมแท้.....................เวทนา,สังขาร,สัญญา "โน จิตตานุฯ"เชิด.........................ธรรมไม่เกิดคล้อยหนา เช่นรูปที่เหลือนา..........................อสังขตธาตุเอย
๗๘."จิตตสังสัฏฯ"เกื้อ.................คือธรรมเจือกับจิตเผย มีจิตจ่อเหตุเปรย..........................เช่นนามขันธ์รู้,จำ,ปรุง "โน จิตตสังฯ"ไซร้.........................คือธรรมไม่เจือจิตมุ่ง คือจิต,รูปผดุง...............................และอสังขต์ธาตุนา
๗๙."จิตตสหภูฯ".........................ธรรมเจืออยู่คู่จิตหนา มีจิตเป็นเหตุกล้า...........................และเกิดร่วมกับจิตแล คือขันธ์สาม"เวทนา"......................สัญญา,สังขารแฉ "โน จิตตสังฯ"แท้...........................ธรรมไม่เจือกับจิตเอย
๘๐.และจิตไร้เหตุสวม.................ไม่เกิดร่วมกับจิตเผย เช่นจิต,รูปถ้วนเอ่ย.........................กับอสังขต์ธาตุแล "จิตตปริวัตต์ฯ"นับ..........................ธรรมเจือกับจิตอยู่แฉ มีจิตเป็นเหตุแล้..............................และเกิดคล้อยตามจิตนา
๘๑.เช่นนามขันธ์เวทนา...............พร้อมสัญญา,สังขารหล้า "โน จิตตปริฯ"กล้า..........................ธรรมไม่เจือกับจิตแล จิตไม่มีเหตุด้อย..............................ไม่เกิดคล้อยตามจิตแฉ เช่นจิต,รูปถ้วนแท้...........................และอสังขต์ธาตุเอย
๘๒."อัชฌัตติกา"นำ......................สภาพธรรมภายในเผย เป็นอารมณ์อันเคย..........................เช่น"จักขาย์ตนะ"แล "พาหิรา ธัมฯ"กราย.........................ธรรมเป็นภายนอกกายแฉ เช่น"รูปายะฯแล้.............................."ธัมมายตนะ"ครา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๗/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๘๓."อุปาทาธัมฯ"ไซร้...........ธรรมอาศัยที่เกิดหนา "มหาภูต์รูป"หล้า.....................ดิน,น้ำ,ไฟ ลมสี่พาน เช่น"จักขายตนะฯ"อิง.............."กวฬิงการาหาร" "โน อุปาทาฯ"ผ่าน...................ธรรมไม่อาศัยเกิดเลย
๘๔.จากมหาภูตฯนั้น.............เช่นนามขันธ์สี่เผย เวทนา,สัญญาเอ่ย...................สังขาร..,อสังขต์ฯแล "อุปาทินนาฯ"..........................ธรรมที่พาเจตนาแฉ เกิดกรรมกอปรด้วยแท้............ตัณหา,ทิฏฐิยึดครอง
๘๕.เช่นวิบากกรรมดี.............และชั่วคลี่กิเลสผอง นามขันธ์,เวทนาข้อง.................สัญญา,สังขารเอย อีกวิญญาญขันธ์ชี้....................และรูปที่กรรมตกแต่งเผย "อนุปาทินฯ"เปรย......................ธรรมที่เจตนากอปรแล
๘๖.ตัณหา,ทิฏฐิถ่อง...............ไม่ยึดครองปองใดแฉ เช่นมรรคและผลแล้..................และอสังขต์ธาตุนา สิบสอง,"อุปาทานฯ"...................แม่บทพานเหตุยึดหนา มีหกคู่เหตุอ้า..............................สี่สิ่งให้ยึดติดแล
๘๗."กามุปาทาน"ชัด................ความกำหนัด,ตัณหาแฉ "ทิฏฐุปาทาน"แท้........................ความเห็นผิดปิดความจริง "สีลัพพตุปาฯ"............................เลื่อมใสหนาศาสน์อื่นดิ่ง "อัตตาวาทุฯ"อิง..........................ยึดตนวิปลาสเอย
๘๘."ธรรมเป็นอุปาทาน"...........มั่นสี่ขานยึดติดเผย "ธรรมไม่เป็นอุปาฯ"เอ่ย...............ไร้เหตุจะยึดถือแล เช่นนามขันธ์,เวทนา....................สัญญา,สังขาร,วิญญ์แฉ รูปทั้งหมดและแน่........................อสังขตธาตุเอย
๘๙."ธรรมเป็นอารมณ์"นา..........ของอุปาทานแลเผย คือขันธ์ห้า,รูปเอ่ย........................เวทนา..และวิญญาณ "ธรรมไม่เป็นอารมณ์"..................ไม่ยึดตรมอุปาทาน กิเลสที่เหลือพาน.........................เช่นขันธ์ห้าทั้งหลายแล
๙๐."ธรรมกอปรอุปาทาน...........วิญญาณขันธ์,เวทนาแฉ "ธรรมไม่กอปรอุปาฯ"แล้"..............เช่นรูป,อสังข์ธาตุเอย "ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และยังซ่านอารมณ์เผย "ธรรมนาอารมณ์"เคย....................ของอุปาทานแน่ครัน
๙๑.แต่มิเป็นอุปาฯ......................ยังเหลือนากิเลสปั่น ตัวอย่างรูปขันธ์นั้น.......................และวิญญาณขันธ์ไซร้แล "ธรรมเป็นอุปาทาน"......................และกอปรขานอุปาฯแฉ เช่น"ทิฏฐุปาทาน".........................กอปรพาน"กามุปาทาน"
๙๒."ธรรมกอปรอุปาฯ"เด่น.........มิได้เป็นอุปาฯขาน เช่นขันธ์เวทนาพาน......................สัญญา,สังขาร,วิญญ์ฯเอย "ธรรมไม่กอปรอุปาฯ."...................แต่มีอารมณ์บ่มเผย เช่นรูปขันธ์มีเคย..........................และวิญญาณขันธ์พานแล
๙๓."ธรรมไม่กอปรอุปาฯ............ไม่เป็นอารมณ์ซมแฉ คือมรรค,ผลแน่แท้........................และอสังขต์ธาตุเอย สิบสาม,แม่บทโลด........................"กิเลสโคจฉกะ"เผย ว่าด้วยกิเลสเอ่ย............................แปดคู่ทำใจเศร้าตรม
๙๔."กิเลสา ธัมมา"......................ธรรมนาเป็นกิเลสขม "กิเลสวัตถุ"ซม..............................มีสิบเช่นโลภ,โกรธแล "โน กิเลสาฯ"เน้น...........................ธรรมไม่เป็นกิเลสแฉ เว้นกิเลสสิบแล้..............................เช่นอสังขต์ธาตุครัน
๙๕."สังกิเลสิกา".........................อารมณ์พากิเลสผัน เช่นวิญญาณขันธ์พลัน..................เป็นอารมณ์กิเลสเอย "อสังกิเลฯเน้น...............................ธรรมไม่เป็นอารมณ์เผย ได้แก่มรรค,ผลเกย........................และอสังขต์ธาตุแล
๙๖."สังกิลิฏฐาฯ"เร้า...................ธรรมที่เศร้าหมองใจแฉ อกุศลมูลแท้..................................โลภ,โกรธ,หลงทางกาย,ใจ "อสังกิลิฏฐา".................................ธรรมพาไม่เศร้าหมองไข เช่นรูปทั้งหมดไกล........................และอสังขต์ธาตุมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๘/๓๐) ๒.ธัมมสังคณี
๙๗."กิเลสสัมปยุตต์"...........ธรรมกอปฉุดกิเลสหนา คือนามขันธ์,เวทนา................สัญญา,สังขาร,วิญญาณ "กิเลสวิปปยุตต์"....................ธรรมไม่รุดประกอบขาน กับกิเลสเลยผ่าน...................เช่นอสังขต์ธาตุแล
๙๘."สังกิเลสิกา".................ธรรมเป็นหนากิเลสแย่ และเป็นอารมณ์แท้................ของสังกิเลสด้วยเอย "โน จะ กิเลสา"......................ธรรมเป็นอารมณ์ซมเผย ของสังกิเลสเคย...................แต่มิเป็นกิเลสนา
๙๙."สังกิลิฏฯ"เด่น..............ธรรมเป็นกิเลสเศร้าหนา "โน จะ กิเลสา"......................ธรรมที่เศร้าหมองอย่างเดียว ไม่เป็นกิเลสเลย....................เช่นขันธ์เผย,เวทนาเกี่ยว สัญญา,สังขารเจียว...............และวิญญาณขันธ์แน่นอน ๑๐๐."กิเลสสัมปยุตต์".........ธรรมผุดเป็นกิเลสจร ประกอบกิเลสซ้อน................อีกอย่างหนึ่งเพิ่มแล เช่น"โลภ"กอปรกับ"หลง"......."โกรธ"กอปรบ่งกับ"หลง"แฉ "ทิฏฐิ"กอปร"หลง"แน่............."มานะ"ประกอบ"หลง"เอย
๑๐๑."โน จะ กิเลสา"...........ธรรมกอปรหนากิเลสเผย มิเป็นกิเลสเอย......................เช่นนามขันธ์,เวทนา "วิปปยุตตา โข".....................ธรรมไม่โผล่กิเลสหนา แต่มีอารมณ์พา.....................สังกิเลสเช่น"รูป"แล
๑๐๒."อสังกาปิฯ"ชอบ.........ธรรมมิกอปรกิเลสแฉ ไร้หนาอารมณ์แน่..................กับกิเลสเช่น"มรรค"ยล สิบสี่,"ปิฏฐิฯ"ซึ่ง......................แม่บทพึงละให้พ้น มีสิบแปดคู่ดล........................เพื่อละสังโยชน์หมดนา
๑๐๓."ทัสสเนน ปาตฯ".........ธรรมต้องฆาตด้วยโสดาฯ ตัดสังโยชน์สามลา................."สักกายทิฏฯ"เลิกยึดตน "วิจิกืจฯ"สงสัย.......................พุทธเจ้าไซร้เคลือบแคลงท้น "สีลัพพะฯ"ยึดล้น...................ศีล,พรตนอกศาสน์แล
๑๐๔."นะ ทัสสเนนฯ"ไซร้.....ธรรมที่ไม่ต้องละแท้ ด้วยโสดาปัตฯแล้...................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย "ภาวนายะ ปะ".......................ธรรมที่ละด้วยมรรคเผย คือโลภ,โกรธ,หลงเกย............กอปรด้วยขันธ์ห้าแล
๑๐๕."น ภาวนาฯ"ครอง........ธรรมไม่ต้องตัดละแฉ คือธรรมที่เหลือแล้..................เช่นรูป,อสังข์ธาตุฯเอย "ทัสสเนน ปหาฯ".....................ธรรมหลายนากอปรเหตุเผย คือสังโยชน์สามเปรย..............ต้องละด้วยมรรคโสดาฯ
๑๐๖."นะ ทัสสเนนฯ"ตอบ.....ธรรมไม่กอปรด้วยเหตุหนา ไม่ต้องใช้มรคกล้า..................ละครันเช่น"รูป"ผองแล "ภาวนา ปหา"..........................ธรรมละนาด้วยมรรคแฉ โลภ,โกรธและหลงแท้.............เพราะมีเหตุประกอบเอย
๑๐๗."น ภา ปหา"นี้...............ธรรมไม่มีเหตุละเผย เช่นรูปทั้งหมดเปรย................และอสังขต์ธาตุนา แม่บทฝ่าย"สุตตันฯ"................พระสูตรนั้น"สี่สอง"หนา พุทธวจน์มา............................ตรัสสอนธรรมเจาะจงคน
๑๐๘."วิชชาภาคิโนฯ"...........วิชชาโอ่ธรรมล้ำผล คือวิชชาแปดดล.....................เช่น"วิปัสสนาญาณ "อวิชชาภาฯ"ครอบ..................ธรรมกอปรอวิชชางาน คือไม่รู้จริงพาน.......................อริยสัจจ์สี่เอย
๑๐๙."วิชชูปมาฯ"ดั่ง.............ธรรมเหมือนดังฟ้าแลบเผย ปัญญามรรคต่ำเชย................ละกิเลสถูกครอบงำ "วชิรูปมา"...............................ธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงหนำ ปัญญามรรคสูงล้ำ...................กำจัดกิเลสสิ้นเชิง
๑๑๐."พาลา ธัมมา"ไซร้.........ธรรมนำให้เป็นพาลเบิ่ง อกุศลธรรมเริง.........................อหิริ,อโนตฯแล "ปัณฑิตา ธัมฯ"เด่น..................ธรรมล้ำเป็นบัณฑิตแฉ "หิริ,โอตตัปฯแท้.......................กุศลกรรมทั้งหมดเอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|