Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 11669 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5039
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 744



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #75 เมื่อ: 03, กันยายน, 2568, 02:27:18 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๗) ๕.วิภังค์

(๓) เวทนา = ไม่เป็นอัตตาของเราเลย
จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
เขาจะถูกซักอย่างนี้ว่า เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมด ไม่เหลืองเศษ เมื่อเวทนาไม่มีเพราะดับแล้ว ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว
เหตุนี้ จึงยังไม่ควรจะเห็นว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
คราวใดภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอย่างนี้ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน
การเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ ประการนี้
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
๑) พิจารณา"เห็นกายในกาย"อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
(๒) พิจารณาเห็น"เวทนาในเวทนา"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๓) พิจารณาเห็น"จิตในจิต"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
(๔) พิจารณาเห็น"ธรรมใน ธรรม"อยู่ มีความเพียร ฯลฯ
ภิกษุเห็น = เวทนาในเวทนา อยู่อย่างไรเล่า
(๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา
(๒) เสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
(๓) เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
(๔) หรือเสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส
(๕) หรือเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส
(๖) หรือเสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส
(๗) หรือเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส
(๘) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่าเราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
(๙) หรือเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบ้าง, เห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือความเสื่อมในเวทนาบ้าง, เห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้างอยู่
อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่แค่ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้วและไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
ดับผัสสะ เวทนาดับ = คือ
ถ้าสงฆ์มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ เมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น ย่อมรู้ว่า สุขเวทนานั้น อาศัยกาย/ผัสสะนี้เอง ซึ่งกาย/ผัสสะนี้ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้
(๑) สุขเวทนาซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ได้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป, คลายไป, ความดับไป, ความสละคืนในผัสสะและในสุขเวทนาอยู่ ย่อมละราคานุสัยในผัสสะและในสุขเวทนาเสียได้
(๒) ทุกขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
(๓) อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาศัยกาย/ผัสสะอันไม่เที่ยง ฯลฯ
ภิกษุผู้ไม่มีราคานุสัย = คือผู้
(๑) ละราคานุสัยใน สุขเวทนา
จากภิกษุผู้เสวยสุขเวทนาไม่รู้สึกตัวอยู่ มีปรกติไม่เห็นธรรมเป็นเครื่องสลัดออก
(๒) ละปฏิฆานุสัยใน ทุกขเวทนา
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เสวยทุกขเวทนา ไม่รู้สึกตัว ฯลฯ
(๓) ละอวิชชานุสัยใน อทุกขมสุขเวทนา บุคคลเพลิดเพลิน อทุกขมสุขเวทนาอยู่ อันพระพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์เลย
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็นผู้ไม่มีราคานุสัย, มีความเห็นชอบ, ตัดตัณหาได้เด็ดขาด, เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว, ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ
เพราะเหตุที่ภิกษุผู้มีความเพียรละทิ้งเสียได้ด้วยสัมปชัญญะ เชื่อว่าเป็นบัณฑิต ย่อมกำหนดรู้เวทนาทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้เวทนาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในธรรมถึงที่สุด เมื่อตายไป ย่อมไม่เข้าถึงความเป็นผู้กำหนัด ขัดเคือง เป็นผู้หลง ดังนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5039
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 744



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #76 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 02:02:46 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๕/๑๗) ๕.วิภังค์

สัทธานุสารี = บุคคลศรัทธาเชื่อมั่นธรรมเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ‘สัทธานุสารี (บุคคลผู้เชื่อมั่น ไม่หวั่นไหวในธรรมเหล่านี้ว่า อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา)
(๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตาไม่เที่ยง มีความแปรผันไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
(๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา = โสตเวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู ฯลฯ
(๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก ฯลฯ
(๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น ฯลฯ
(๕) กายสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย  ฯลฯ
(๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา = เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ ไม่เที่ยง มีความแปรผัน มีภาวะโดยอาการอื่นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
~ ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี
~ ผู้ใดเพ่งธรรมเหล่านี้ด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า ธัมมานุสารี
~ ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้ เรากล่าวผู้นี้ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
เวทนา ๓ = คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย
เมื่อผัสสะดับ เวทนาก็ดับ =
(๑) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนาอยู่ ถ้าผัสสะดับ สุขเวทนาย่อมดับย่อมสงบ
(๒) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา เมื่อบุคคลนั้นเสวยทุกขเวทนาอยู่ ถ้าผัสสะดับทุกขเวทนาย่อมดับไป
(๓) เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่ง อทุกขมสุขเวทนา เมื่อบุคคลนั้นเสวย อทุกขมสุขเวทนา อยู่ ถ้าผัสสะดับ อทุกขมสุขเวทนา ย่อมดับสงบ
เปรียบเหมือนไม้สองท่อนเอามาสีกันให้เกิดความร้อน ติดไฟได้ ถ้าไม้สองท่อนนั้นแยกกันไปเสียคนละทาง ไฟก็จะดับ
พระอริยะพิจารณา เวทนา ว่า =
(๑) เห็น สุขเวทนา โดยความเป็นทุกข์ (๒) เห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นลูกศร (๓) เห็นอทุกขมสุขเวทนาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นพระอริยะผู้เห็นโดยชอบ ตัดตัณหาขาดแล้ว ล่วงสังโยชน์แล้ว ได้กระทำแล้วซึ่งที่สุดแห่งทุกข์เพราะการละมานะโดยชอบ
สังโยชน์ = คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ
(ก) โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
(๑) สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าขันธ์ ๕ คือตัวตน (๒) วิจิกิจฉา - มีความสงสัยลังเลในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (๓) สีลัพพตปรามาส - มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด (๔) กามราคะ - มีความพอใจในกามคุณ (๕) ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง
(ข) อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
(๖) รูปราคะ - มีความพอใจในรูปสัญญา (๗) อรูปราคะ - มีความพอใจในอรูปสัญญา (๘) มานะ - มีความถือตัว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความรู้สึกสำคัญตัวว่าดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน (๙) อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน (๑๐) อวิชชา - มีความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
~ พระโสดาบัน ทำสังโยชน์ ๓ ข้อให้สิ้นไปได้ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
~ พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ ๓ ข้อให้สิ้นไปได้ และมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง
~ พระอนาคามี ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ข้อ หรือโอรัมภาคิยสังโยชน์ให้สิ้นไปได้
~ พระอรหันต์ ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ,เบื้องสูงทั้ง ๑๐ ข้อให้สิ้นไปได้
ภิกษุใดพิจารณา เวทนา ว่า =
(๑) ได้เห็นสุข โดยความเป็นทุกข์  (๒) ได้เห็นทุกข์ โดยความเป็นลูกศร (๓) ได้เห็นอทุกขมสุข โดยความเป็นของไม่เที่ยง
ภิกษุนั้นแลเป็นผู้เห็นโดยชอบ ย่อมหลุดพ้นในเวทนานั้น ภิกษุนั้นอยู่จบอภิญญา ระงับแล้ว ก้าวล่วงโยคะได้แล้ว ชื่อว่าเป็นมุนี
อภิญญา ๖ = ผู้มีความสามารถในด้านต่างๆ
(๑) เป็นผู้มี อิทธิวิธี (มีฤทธิ์) หลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้, หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้, ทำให้ปรากฏก็ได้, ทำให้หายไป, ทะลุฝากำแพงภูเขา, เดินบนน้ำก็ได้ (๒) เป็นผู้มีทิพยโสตธาตุ (ได้ยินเสียงทิพย์) คือ เสียงทิพย์ และเสียงของมนุษย์ ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ (๓) ผู้สามารถใน เจโตปริยญาณ คือ รู้ใจของสัตว์อื่น จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ, รู้ว่าจิตมีโทสะ, จิตปราศจากโทสะ, รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ, รู้ว่าจิตหลุด หรือไม่หลุดพ้น (๔) เป็นผู้สามารถใน บุพเพนิวาสานุสติญาณ (ระลึกชาติได้) เราพึงระลึกชาติก่อนได้หนึ่งบ้าง สอง.. สิบชาติ.. ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมาก ว่าในภพโน้นเรามีชื่อ อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น (๕) เป็นผู้สามารถใน ทิพยจักษุ (ตาทิพย์) คือ เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี รู้ชัดว่าสัตว์เป็นไปตามกรรม (๖) เป็นผู้สามารถใน อาสวักขยญาณ (ญาณแห่งการหลุดพ้น) ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วย ตนเอง


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5039
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 744



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #77 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:19:07 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๖/๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาที่เกิดจาก อายตนะภายใน = คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ควรที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส
เธอทั้งหลายจงละ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนานั้นเสีย  จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นเวทนาที่เกิด ๖ อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่าย แล้วคลายกำหนัดลง จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณหยั่งรู้ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว ดังนี้ อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
สังสารวัฏ =สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ์ วังวนแห่งสงสาร คือ ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิวัฏ =วิวัฏฏคามีกุศล บุญกุศลที่ให้ถึงวิวัฏฏ์ คือพระนิพพาน
การเสวย สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา = คือ ไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
(๑) หากว่าเสวยเวทนา ก็ควรปราศจากความยินดียินร้ายในการเสวยเวทนานั้น
(๒) หากว่าเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด   
(๓) ถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
(๔) ทราบชัดว่า ก่อนจะสิ้นชีวิตเพราะกายแตก ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น (เมื่อตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ)
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา = คือ ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
~ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา
~ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฎฐิ
(๕) เปรียบเหมือนลมมากมายหลายชนิด พัดไปในอากาศ ทิศนั้นบ้างนี้บ้าง บางครั้งมีธุลีบ้าง บางครั้งไม่มีธุลีบ้าง บางครั้งลมหนาวบ้าง บางครั้งลมร้อนบ้าง บางครั้งลมแรงบ้าง บางครั้งลมอ่อนบ้าง ฉันใด
~ เวทนาย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน  คือสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง เมื่อใดภิกษุมีความเพียร รู้สึกอยู่ เข้านิโรธ เมื่อนั้น เธอผู้เป็นบัณฑิตย่อมกำหนดรู้เวทนา ได้ทุกอย่าง ภิกษุนั้นกำหนดรู้เวทนาแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ตั้งอยู่ในธรรม เรียนจบพระเวทในปัจจุบัน เพราะกายแตกย่อมไม่เข้าถึงซึ่งบัญญัติ
ปัจจัยแห่งเวทนา = เวทนาย่อมมีปัจจัย ดังนี้
(๑) เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง (๒) เพราะความเห็นชอบ (๓) เพราะความดำริผิด (๔) เพราะความดำริชอบ (๕) เพราะเจรจาผิด (๖) เพราะเจรจาชอบ (๗) เพราะการงานผิด (๘) เพราะการงานชอบ (๙) เพราะเลี้ยงชีพผิด (๑๐) เพราะเลี้ยงชีพชอบ (๑๑) เพราะพยายามผิด (๑๒) เพราะพยายามชอบ (๑๓) เพราะความระลึกผิด (๑๔) เพราะความระลึกชอบ (๑๕) เพราะความตั้งใจมั่นผิด (๑๖) เพราะความตั้งใจมั่นชอบ (๑๗) เพราะฉันทะ (๑๘) เพราะวิตก (๑๙) เพราะสัญญา (๒๐) เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบ (๒๑) เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบ (๒๒) เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้ว
เวทนาย่อมมีปัจจัย = ดังนี้
(๑) เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง (๒) เพราะความเห็นผิดสงบ  (๓) เพราะความเห็นชอบ (๔) เพราะความเห็นชอบสงบ (๕) เพราะความดำริผิด (๖) เพราะความดำริผิดสงบ (๗) เพราะความดำริชอบ (๘) เพราะความดำริชอบสงบ (๙) เพราะเจรจาผิด (๑๐) เพราะเจรจาผิดสงบ (๑๑) เพราะเจรจาชอบ (๑๒) เพราะเจรจาชอบสงบ (๑๓) เพราะการงานผิด (๑๔) เพราะการงานผิดสงบ (๑๕) เพราะการงานชอบ (๑๖) เพราะการงานชอบสงบ (๑๗) เพราะเลี้ยงชีพผิด (๑๘) เพราะเลี้ยงชีพผิดสงบ (๑๙) เพราะเลี้ยงชีพชอบ (๒๐) เพราะเลี้ยงชีพชอบสงบ (๒๑) เพราะพยายามผิด (๒๒) เพราะพยายามผิดสงบ (๒๓) เพราะพยายามชอบ (๒๔) เพราะพยายามชอบสงบ (๒๕) เพราะความระลึกผิด (๒๖) เพราะความระลึกผิดสงบ (๒๗) เพราะความระลึกชอบ (๒๘) เพราะความระลึกชอบสงบ (๒๙) เพราะความตั้งใจมั่นผิด (๓๐) เพราะความตั้งใจมั่นผิดสงบ (๓๑) เพราะความตั้งใจมั่นชอบ (๓๒) เพราะความตั้งใจมั่นชอบสงบ (๓๓) เพราะฉันทะ (๓๔) เพราะฉันทะสงบ (๓๕) เพราะวิตก (๓๖) เพราะวิตกสงบ (๓๗) เพราะสัญญา (๓๘) เพราะสัญญาสงบ (๓๙) เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบ (๔๐) เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบ (๔๑) เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้ว
บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.675 วินาที กับ 31 คำสั่ง
กำลังโหลด...