Username:
Password:
บ้านกลอนน้อยฯ
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล
>>
คำประพันธ์ แยกตามประเภท
>>
กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม
>>
อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า:
1
...
5
6
[
7
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา (อ่าน 13620 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
5162
ออฟไลน์
ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 767
|
|
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
«
ตอบ #90 เมื่อ:
11, กันยายน, 2568, 08:24:44 AM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) ๖.วิภังค์
เหตุเกิดและเหตุดับสัญญา = เป็นอย่างไร
(๑) สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัญญาของบุรุษ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เกิดขึ้นเองดับไปเอง ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกนั้นผิดแต่ต้นทีเดียว
~เพราะเหตุไร เพราะสัญญาของบุรุษมีเหตุ มีปัจจัย เกิดขึ้นก็มี ดับไปก็มี สัญญาอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาก็มี สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาก็มี
(๒) สัญญาเกี่ยวด้วยกามและสัจจสัญญาละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
~เมื่อภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ สัญญาเกี่ยวด้วยกามที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ย่อมมีในสมัยนั้น
~ เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
~สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
~ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก(ตรึก)วิจาร(ตรอง)สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษาสัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๓) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา
~ภิกษุบรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
~สัจจสัญญาอันละเอียด มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิในก่อนของเธอย่อมดับไป สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขาย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขา
ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๔) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วย อทุกขมสุขสัญญา
~ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
~สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยสุขเกิดแต่อุเบกขามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุขย่อมมีในสมัยนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอทุกขมสุข
~รูปสัญญาและสัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษา ด้วยประการอย่างนี้
~ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่าอากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจซึ่งสัญญาต่าง ๆโดยประการทั้งปวงอยู่
~รูปสัญญามีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๕) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
~ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้อยู่
~สัจจสัญญาอันละเอีย ประกอบด้วยอากาสานัญจายตนฌานมีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
(๖) สัจจสัญญาละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน
~ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร
~สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนฌานที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌานย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน
~ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะการศึกษาด้วยประการอย่างนี้
รายนามผู้เยี่ยมชม :
หยาดฟ้า
,
ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
,
ข้าวหอม
,
ต้นฝ้าย
,
ลิตเติลเกิร์ล
,
ฝาตุ่ม
บันทึกการเข้า
..
สารบัญบทกลอน "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
5162
ออฟไลน์
ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 767
|
|
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
«
ตอบ #91 เมื่อ:
11, กันยายน, 2568, 02:16:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) ๖.วิภังค์
อภิสัญญานิโรธ = คือ สภาพที่สัญญาดับสนิท ไม่มีการรับรู้อะไรอีกต่อไป
(๑) เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้มีสกสัญญา(การสำคัญว่าเป็นของตน) พ้นจากปฐมฌานเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เธอย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า
~เมื่อเรายังคิดอยู่ ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่ จึงจะดี ถ้าเรายังขืนคิด ขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นพึงเกิดขึ้น ถ้ากระไร เราไม่พึงคิด ไม่พึงคำนึง
~ครั้นเธอปริวิตกอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่คิด ไม่คำนึง เมื่อเธอไม่คิด ไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้บรรลุนิโรธ การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับย่อมมีด้วยประการอย่างนี้แล
~พระโยคีย่อมบรรลุนิโรธด้วยประการใดๆ เราก็บัญญัติอากิญจัญญายตนฌานด้วยประการนั้น ๆ เราบัญญัติอากิญจัญญายตนฌานอย่างเดียวบ้าง หลายอย่างบ้าง
สัญญาและญาณ = อะไรเกิดก่อน
~สัญญาแลเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง เพราะสัญญาเกิดขึ้น ญาณจึงเกิดขึ้น
~เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า ญาณเกิดขึ้นแก่เราเพราะสัญญานี้เป็นปัจจัย เธอพึงทราบความข้อนี้โดยบรรยายนี้ว่า
สัญญาและอัตตา = สัญญาเป็นอัตตาของบุรุษ หรือสัญญาอย่ๆๆางหนึ่ง อัตตาอย่างหนึ่ง
อัตตาหยาบ = คือ มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวฬิงการาหาร เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาของบุรุษนี้ = เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง
อัตตาสำเร็จด้วยใจ = มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ ไม่บกพร่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจักมีสัญญาอย่างหนึ่ง มีอัตตาอย่างหนึ่ง
~อัตตาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา = เมื่อเป็นเช่นนั้น สัญญาของท่านจักเป็นอย่างหนึ่ง อัตตาจักเป็นอย่างหนึ่ง
สัญญาของบุรุษนี้ เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ดับไปอย่างหนึ่ง
~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืน เมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่มีสัญญา
~สมณพราหมณ์พวกบัญญัติ = อัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเมื่อตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา
สัญญา (สัญญีทิฏฐิ) = อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ เป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
อสัญญีทิฏฐิ = ความไม่มีสัญญา เป็นความหลง และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ = คือ ความมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่
สัญญาและภพ = ต่างกันแต่ละสัตว์ เช่น
(๑) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ~ พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก (๒) สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) (๓) สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร (๔) สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ~ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ
สัญญามีอยู่ = ในหมู่มนุษย์ โลกมนุษย์เป็นภพที่มีสัญญา, เป็นคติที่มีสัญญา, เป็นสัตตาวาสที่มีสัญญา, เป็นสงสารที่มีสัญญา, เป็นกำเนิดที่มีสัญญา, เป็นการได้อัตภาพที่มีสัญญา มนุษย์จึงทำกิจสำเร็จด้วยสัญญา
สัตตาวาส ๙ ชั้น = ที่อยู่ของสัตว์ ๙ ประเภท
(๑) สัตตาวาสชั้นที่ ๑ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือนมนุษย์ เทวดาบางพวก และวินิปาติกสัตว์ (สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายภูมิ) บางพวก (๒) สัตตาวาสชั้นที่ ๒ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาผู้อยู่ใน ชั้นพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน (๓) สัตตาวาสชั้นที่ ๓ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เหมือน เทวดาชั้นอาภัสสระ (๔) สัตตาวาสชั้นที่ ๔ = สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เหมือนเทวดาชั้นสุภกิณหะ (๕) สัตตาวาสชั้นที่ ๕ = สัตว์พวกหนึ่ง ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ (๖) สัตตาวาสชั้นที่ ๖ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ความจำหลากหลาย) (๗) สัตตาวาสชั้นที่ ๗ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะ (๘) สัตตาวาสชั้นที่ ๘ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ (๙) สัตตาวาสชั้นที่ ๙ = สัตว์พวกหนึ่ง ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง
รายนามผู้เยี่ยมชม :
ข้าวหอม
,
ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
,
หยาดฟ้า
,
ต้นฝ้าย
,
ลิตเติลเกิร์ล
,
ฝาตุ่ม
บันทึกการเข้า
..
สารบัญบทกลอน "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
5162
ออฟไลน์
ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 767
|
|
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
«
ตอบ #92 เมื่อ:
12, กันยายน, 2568, 07:53:27 AM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) ๖.วิภังค์
อสัญญสัตว์ และภพแห่งอสัญญสัตว์ = คือที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา
~ผู้อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน (ฌาน ๕ ที่ละจากสุขและทุกข์ทางกาย,ใจ มีอุเบกขา มีแต่ความสงบ ความละเอียดอ่อนของจิตที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอย่างยิ่ง -เอกัคคตา) ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น
~สัญญามีอยู่ในอสัญญสัตว์ทั้งหลายในกาลบางคราว ไม่มีในกาลบางคราว มีอยู่ในกาลจุติ ในกาลอุปบัติ (ปฏิสนธิกาล) ไม่มีในกาลตั้งอยู่ (ฐิติกาล/ปวัตติกาล)
~อสัญญสัตว์ จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้น เพราะเกิดสัญญาขึ้น
การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ = คือ การเห็นว่าความจำ ความหมายรู้นั้น ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน และเป็นทุกข์ ทำให้เกิดความยึดติดในสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์
(๑) โทษของสัญญาขันธ์ ~ไม่เที่ยง:
ความจำและความหมายรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่คงที่ ไม่แน่นอน
(๒) เป็นทุกข์ : การยึดติดในความจำ ความหมายรู้ต่างๆ ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อความจำนั้นไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา หรือเมื่อต้องสูญเสียความจำ
(๓) ไม่ใช่ตัวตน : ความจำและความหมายรู้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ตัวอย่าง:
~การจำรสชาติอาหารอร่อย ทำให้เราอยากกินอีก แต่เมื่อไม่ได้กิน ก็เกิดความทุกข์
~การจำเหตุการณ์ร้ายๆ ในอดีต ทำให้เราไม่สบายใจ และเกิดความกลัว
~การจำคำพูดของคนอื่น ทำให้เราโกรธ หรือเสียใจ
การพิจารณาโทษของสัญญาขันธ์ จึงเป็นการฝึกสติ ให้รู้เท่าทันความจำและความหมายรู้ที่เกิดขึ้น และไม่ตกเป็นทาสของมัน เมื่อเห็นโทษของสัญญาขันธ์ ก็จะสามารถปล่อยวางความยึดติดในความจำและความหมายรู้เหล่านั้นได้
สรุป:
สัญญาขันธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ที่ต้องพิจารณาให้เห็นโทษ เพื่อที่จะได้ไม่ยึดติด และหลุดพ้นจากความทุกข์
รายนามผู้เยี่ยมชม :
ต้นฝ้าย
,
ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
,
หยาดฟ้า
,
ข้าวหอม
,
ลิตเติลเกิร์ล
,
ฝาตุ่ม
บันทึกการเข้า
..
สารบัญบทกลอน "แสงประภัสสร"
..
หน้า:
1
...
5
6
[
7
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา
-----------------------------
=> อ่านข้อกำหนด กฎระเบียบต่าง ๆ - สมาชิกใหม่ ทักทาย แนะนำตัวที่นี่
=> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม
=> ห้องกลอน คุณคนบอ มือสี่
=> สารบัญกลอน สมาชิกนักกลอน
-----------------------------
ห้องเรียน
-----------------------------
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์ ประเภทกลอน
=> ห้องเรียนฉันท์
=> ห้องเรียน กลบท
=> ห้องเรียน โคลงกลบท
=> ห้องศึกษา ภาพโคลงกลบท
=> ห้องศึกษา กาพย์ โคลง ร่าย
=> ห้องหนังสือ บ้านกลอนน้อย
=> ห้องฟัง การขับ เสภา และอื่น ๆ
-----------------------------
คำประพันธ์ แยกตามประเภท
-----------------------------
=> กลอน ร้อยกรองหลากลีลา
=> คำประพันธ์เนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
=> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม
=> กลอนเปล่าสบาย ๆ
=> กลอนจากที่อื่น และจากกวีที่ชื่นชอบ
=> โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต
=> กลบท
=> นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป
=> ห้องนั่งเล่นพักผ่อน
===> เส้นคั่นสวย ๆ
===> รูปภาพน่ารัก
กำลังโหลด...