Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 22735 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #120 เมื่อ: 09, ตุลาคม, 2568, 05:06:01 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) ๘.วิภังค์

[ย] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี, ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ร] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี, ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ล] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี (๒) ที่เป็นอนาคตก็มี (๓) ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ว] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี, ที่วิปปยุตจากโยคะก็มีวิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑)วิญญาณขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ศ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี, ที่วิปปยุตจากโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี (๒)ที่เป็นภายนอกตนก็มี (๓)ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
[ษ] วิญญาณขันธ์ หมวดละ ๑-๑๐
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ต่อไป หมวดละ ๔- ๑๐ ก็เหมือนที่ผ่านมา
อุภโตวัฑฒกวาร จบ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #121 เมื่อ: 10, ตุลาคม, 2568, 09:03:08 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) ๘.วิภังค์

พหุวิธวาร =หมวดละมากอย่าง
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗)ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
(๑) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๖) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๒๔ ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒) ที่เป็นอกุศล (๓) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๕) ที่เป็นอกุศล (๖) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๗) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๘) ที่เป็นอกุศล (๙) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๐) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๑) ที่เป็นอกุศล (๑๒) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๓) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๔) ที่เป็นอกุศล (๑๕) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๖) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๗) ที่เป็นอกุศล (๑๘) ที่เป็นอัพยากฤต จึงมี
(๑๙) จักขุวิญญาณ (๒๐) โสตวิญญาณ (๒๑) ฆานวิญญาณ (๒๒) ชิวหาวิญญาณ (๒๓) กายวิญญาณ (๒๔) มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละ ๓๐ ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย (๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒) ที่เป็นรูปาวจร (๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๕)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๖) ที่เป็นรูปาวจร (๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๙)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๐) ที่เป็นรูปาวจร (๑๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๑๓)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๔) ที่เป็นรูปาวจร (๑๕) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๖) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๑๗) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๑๘) ที่เป็นรูปาวจร (๑๙) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร (๒๒) ที่เป็นรูปาวจร (๒๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
(๒๕) จักขุวิญญาณ (๒๖) โสตวิญญาณ (๒๗) ฆานวิญญาณ (๒๘) ขิวหาวิญญาณ (๒๙) กายวิญาณ (๓๐) มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ = หมวดละมากอย่าง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒) ที่เป็นอกุศล (๓) ที่เป็นอัพยากฤต (๔)ที่เป็นกามาวจร (๕) ที่เป็น
รูปาวจร (๖) ที่เป็นอรูปาวจร (๗) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #122 เมื่อ: 10, ตุลาคม, 2568, 07:29:05 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) ๘.วิภังค์

~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๘) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๙) ที่เป็นอกุศล (๑๐) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๑) ที่เป็นกามาวจร (๑๒) ที่เป็นรูปาวจร (๑๓) ที่เป็นอรูปาวจร (๑๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๕) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๑๖) ที่เป็นอกุศล (๑๗) ที่เป็นอัพยากฤต (๑๘) ที่เป็นกามาวจร (๑๙) ที่เป็นรูปาวจร (๒๐) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๑) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
 (๒๒) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๒๓) ที่เป็นอกุศล (๒๔) ที่เป็นอัพยากฤต (๒๕)ที่เป็นกามาวจร (๒๖) ที่เป็นรูปาวจร (๒๗) ที่เป็นอรูปาวจร (๒๘) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
 ~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๙) วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๐) ที่เป็นอกุศล (๓๑) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๒)ที่เป็นกามาวจร (๓๓) ที่เป็นรูปาวจร (๓๔) ที่เป็นอรูปาวจร (๓๕) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย (๓๖)วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล (๓๗) ที่เป็นอกุศล (๓๘) ที่เป็นอัพยากฤต (๓๙) ที่เป็นกามาวจร (๔๐) ที่เป็นรูปาวจร (๔๑) ที่เป็นอรูปาวจร (๔๒) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ จึงมี
(๔๓) จักขุวิญญาณ (๔๔) โสตวิญญาณ (๔๕) ฆานวิญญาณ (๔๖) ชิวหาวิญญาณ (๔๗) กายวิญญาณ (๔๘) มโนวิญญาณ                         
วิญญาณขันธ์ = หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
~เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๑๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย
(๑๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๑๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๑๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๑๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๑๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๑๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๑๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๒๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย
(๒๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๒๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๒๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๒๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๓๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย
(๓๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๓๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๓๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๓๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย
(๔๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๔๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๔๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๔๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๔๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๔๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๔๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๕๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
~เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
(๕๑) วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๕๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๕๓) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงมี (๕๔) วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๕) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๖) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๕๗) ที่เป็นกามาวจรก็มี (๕๘) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๕๙) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๖๐) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๖๑) จักขุวิญญาณ (๖๒) โสตวิญญาณ (๖๓) ฆานวิญญาณ (๖๔) ชิวหาวิญญาณ (๖๕) กายวิญญาณ (๖๖) มโนวิญญาณ             
นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์
พหุวิธวาร จบ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #123 เมื่อ: 18, ตุลาคม, 2568, 05:08:41 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๙.วิภังค์ (อายตนวิภังค์ แจกอายตนะ ๑๒)

ภการวิปุลลาฉันท์ ๓๒/กาพย์ทัณฑิกา

    ๑.ขอน้อมพระพุทธ์เจ้าอรหันต์..................ตรัส์รู้ซิครันตนุตน
ทรงมีพระคุณแก่นฤชน................................ชี้ทางลิทุกข์พหุผลาญ

    ๒."อายตนะ......วิภังค์"เชื่อมปะ......จิตกับโลกพาน
มีแจงสามดั้น...."สุตตันต์ภาฯ"กราน...."อภิธรรมฯ"ชาญ...."ปัญหาปุจฯ"แล

    ๓.สุตตันฯพระสูตรแจงสิสะพาน.................ทางเชื่อมประสานอายตน์ฯแล้
สิบสองสิข้องใน,พหิแฉ..................................ทำให้ปรุรู้สึกหทยา

    ๔."จักขายะฯ"เอย......ตารู้รูปเปรย......ตาไม่เที่ยงนา
มีแต่ทุกข์เด่น....เน้นเป็นอนัตตา....มีแปรผันกล้า....ธรรมชาติดล

    ๕."รูปายะฯ"สิ่งเห็นนิรเที่ยง.........................เป็นทุกข์เจาะเสี่ยงแน่,อนตน
"โสตายะฯ"หูยินเหมาะเจาะล้น.......................ไม่เที่ยง,อนัตตาสุขะไร้

    ๖. "สัททายะฯ"ชิน.......เสียงที่ได้ยิน......ไม่เที่ยง,ทุกข์ไว
"ฆานายะฯ"เอ่ย....จมูกเปรยดมใกล้....ทุกข์แปรเปลี่ยนได้....หาใช่อนัตตา

    ๗."คันธายะฯ"กลิ่นดมพหุทุกข์...................ไม่เที่ยงและรุกเปลี่ยนทะลุหนา
"ชิวหายะฯ"ลิ้นรู้รสะกล้า...............................ไม่เที่ยงแปรปรุเสมอ

    ๘."รสาย์ตนะฯ".......รสที่ลิ้มดะ......ไม่เที่ยง,ทุกข์เปรอ
"กายายะฯ"ชู....รู้สัมผัสเออ....กายไม่เที่ยงเจอ....มิใช่ของตน

    ๙."โผฏฐัพพ์ยะฯ"สิ่งที่เจาะกระทบ..............สัมผัสมิจบเที่ยงปะทะยล
ใจรู้"มนายาตนะฯ"ดล....................................ใจหาซิทุกข์,เที่ยงจิรเผย

    ๑๐."ธัมมาย์ตนะ"......ธรรมารมณ์ปะ......อารมณ์เกิดเอย
ธรรมไม่เที่ยงแท้....ใจแน่ทุกข์เปรย....อนัตตาเอ่ย....แปรเปลี่ยนธรรม์ดา

    ๑๑.แจงอายะฯตามโดย"อภิธรรมฯ"..............สิบสองแนะนำเกิดปะทุหนา
"จักขายะฯ"ตาเชื่อมกะ"ปสาฯ".........................อาศัยซิยาตรกับ"มหะภูฯ"

    ๑๒.รูปที่เห็นไม่ได้......กระทบได้ไซร้......คนเคยเห็นอยู่
บ้างมิเห็นเอย....เผยกระทบพรู....เรียกหลายอย่างกรู...."จักขุนทรีย์"..แล

    ๑๓."รูปายะฯ"รูปใดพหุสี..............................เห็นได้และชี้พบระดะแฉ
อาศัยมหาภูฯปะทุแล้.......................................บางครั้งมิเห็นแต่ลุกระทบ

    ๑๔."โสตายะฯ"ใด......มีประสาทไซร้......อาศัยมหาฯพบ
รูปไม่เห็นแต่....แน่กระทบครบ....คนไม่เห็นจบ....แต่หูยังฟัง

    ๑๕."สัททายะฯ"อาศัยก็"มหาฯ".....................ไม่เห็นเจาะนาแต่ภวยั้ง
เสียงนั้นกระทบได้สุตะดัง................................เสียงกลองตะโพนก็ประโคม

    ๑๖. เสียงมนุษย์หรือ.......อมนุษย์ครือ......เสียงอื่นใดโลม
อิง"มหาภูฯ"....กรูไม่เห็นโฉม....แต่กระทบโจม....คนเคยฟังเอย

    ๑๗."ฆานาฯ"จมูกพร้อมสิประสาท.................รูปนั้นก็พลาดเห็นซิจะเอ่ย
สามารถกระทบได้เจาะเซาะเผย......................ดมกลิ่นตะไม่เห็นนิรใด

    ๑๘."คันธายะฯ"รู้.......กลิ่นผ่านจมูกชู......จิตเกิดรู้ไข
"ชิวหายะฯ"ลิ้น....เห็นสิ้นไม่ได้....แต่กระทบไซร้....เช่นเคยลิ้มลอง

    ๑๙.รู้รส"รสายาตนะฯ"หนา...........................ผ่านลิ้นเจาะว่าอุระครอง
กายแน่วสิ"กายายตะฯ"ส่อง.............................มีพร้อมประสาทอิงกะ"มหาฯ"

    ๒๐.รูปเห็นไม่ได้......แต่กระทบไว.....เคยถูกต้องพา
"โผฏฐัพพะ"นั้น....พลันไม่เห็นนา....แต่กระทบมา....เรียก"กายธาตุ,กาย"

    ๒๑.บ่อเกิด"มนายาตนะฯ"นำ........................จิตรู้และจำได้มหิกราย
รับรู้สิอารมณ์เจาะกระจาย..............................เป็นเหตุประชุมเกิดรู้พหุเผย

    ๒๒.รูป,เสียง..เกิดจริง......จิตไม่รู้ดิ่ง......ธรรมไม่รวมเอย
สิ่งเกิดทางตา....พาไม่เกิดเอ่ย....หูเช่นกันเปรย....จิตไม่รวมใด


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #124 เมื่อ: 19, ตุลาคม, 2568, 10:33:53 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๒๓.แจกแจง"มนายาตะนะฯ"พึง..................แบ่งหมวดละหนึ่ง-สิบภณไว้
หมวดหนึ่งมนายาฯหฤทัย..............................มีผัสสะเกิดร่วมเจาะกระทบ
 
   ๒๔.มนาฯหมวดละสอง......จิตมีเหตุตรอง......และไร้เหตุพบ
มหาฯหมวดสามลุ....ใจ"กุศล"นบ....อกุศลครบ....และอัพยาฯกลาง

    ๒๕.หมวดสี่มนายาตนะชี้............................"กามาวะฯ"คลี่มนคว้าง
ในกามคุณห้ามทะลาง...................................รูปาวะฯรูปพรหมซิก็มี

    ๒๖. "อรูปาฯ"แล.......พรหมไร้รูปแล้......ด้วยเจริญฌานคลี่
"ผู้พ้นวัฏฏทุกข์"....ไม่บุกเวียนปรี่....เพราะกิเลสลี้....ละหมดทลาย

    ๒๗.หมวดห้ามนายาตนะนอบ......................"จิตที่ประกอบด้วยสุขะกาย"
"ทุกข์กายและโสมนัส"สิขยาย........................"โทมนัส,อุเปกขินฯ"ปะทะหนา

    ๒๘.มนายะฯหมวดหก......."จักขุวิญญ์ฯยก......"โสตวิญญ์ฯ"นา
ฆานวิญญาณ....กราน"ชิวหา"จ้า...."กายวิญญาณ"อ้า....มโนวิญญ์นา

    ๒๙.หมวดเจ็ดมนายาตนะชิน.......................มี"จักขุวิญญ์ฯ"พุทธิซิตา
"โสต์วิญญะ"ทางหูเหมาะเจาะกล้า..................."ชิวหาฯ"จะรู้ชิมรสะเผย

    ๓๐."ฆานวิญญาณ"รู้......ทางจมูก,พรู.....รอบรู้กลิ่นเอย
"กายวิญญาณ"เกิด....รู้เลิศผ่านเกย....ตา,หู,จมูกเอ่ย....สัมผัสกายพาน

    ๓๑.รอบรู้"มโนธาตุ"มหึมา............................อารมณ์ซิหนาครันเจาะทวาร
ห้า,"ตา,จมูก,หู"เจาะเซาะกราน........................."ลิ้น,กาย"และเกิดรู้เฉพาะพา

    ๓๒."มโนวิญญาณธาตุ"......จิตรู้บ่มยาตร......ทางทวารหกนา
ตา,หู,จมูก,ลิ้น....ผลิน"กาย,ใจ"กล้า....รู้อารมณ์มา....หกอารมณ์เสริม

    ๓๓.หมวดแปด"มนายาตนะ"ฉาย..................เหมือนเจ็ดตะกายวิญญ์ฯซิริเพิ่ม
"กายวิญญะร่วมด้วยสุขะ"เติม........................."กายวิญญะมีร่วมทุขะ"แฉ

    ๓๔.เก้ามนายตนะ......เหมือนหมวดหกปะ......ต่างมโนวิญญ์ธาตุแล
ที่เป็น"กุศล"....ยล"อกุศล"แล้...."อัพยากฤต"แท้....เป็นกลางกลางผล

    ๓๕.หมวดสิบ"มนายตนะ"เพิ่ม......................เหมือนแปดตะเติมเปลี่ยนตติยล
ก่อมี"มโนวิญญะกุศล"....................................จิตเป็นซิ"ฝ่ายชั่ว"และเจาะ"กลาง"

    ๓๖. ธัมมาย์ตนะ.......สิ่งใจรู้นะ......ด้วยตา,หู..วาง
อารมณ์เกิดได้....ใจคิดรู้พลาง....สภาวะธรรมต่าง....รูปและนามธรรม

    ๓๗.เช่นเวทนาขันธ์จะเจาะตรึก...................สัญญาระลึกจำลุกระทำ
สังขารสิปรุงแต่งริประจำ................................รูปที่มิสัมผัสนิรเห็น

    ๓๘.รูปเห็นไม่ได้.......และกระทบไร้......เช่นนามธรรมเด่น
จักขุวิญญาณ....พานรู้ได้เน้น....ดี,ชั่ว,กลางเป็น....ไม่เห็นรูปเอย

    ๓๙.ไร้ปรุง"อสังข์ตา"ระบุชี้..........................ปัจจัยมิมีก่อภวเชย
สิ้นราคะ,โกรธ,หลงรุจิเผย...............................นิพพานมิเกิดเผยไร้บริพัตร

    ๔๐.เวทนาขันธ์รู้......แจกแจงหลายพรู......หมวดหนึ่ง-สิบชัด
หมวดละหนึ่งครา....เวทนาประกอบจัด....มีถูกสัมผัส....กระทบตรงยล

    ๔๑."เวท์นาสิสอง"เหตุปะทุมี.......................ไร้เหตุซิชี้ชัดอนดล
เวท์นาติสามฝ่ายอกุศล.................................ดี,อัพยากฤตเจาะซิกลาง

    ๔๒.เวทนาขันธ์สี่......แจกกามาฯคลี่......ใฝ่กามคุณพลาง
"รูปาฯ"รูปพรหม....สม"อรูปาฯ"วาง....พรหมไร้รูปพร่าง...."พ้นวัฏฏ์ทุกข์"ตรม

    ๔๓.เวท์นาเจาะห้าเป็น"สุขะ,กาย"..............."ทุกขินฯมิคลาย",อภิรมย์
"โทม์นัสสลดใจ"และเจาะสม.........................เป็นกลางมิทุกข์หรือสุขะครอง

    ๔๔.เวทนาขันธ์หก......รู้สัมผัสปรก......จักขุสัมฯตรอง
"ตาเห็นรูป"เกิด....เลิศรู้ครรลอง...."จักขุวิญญ์ฯผ่อง....ผัสสะเกิดแฉ

    ๔๕."โสต์สัมฯสิหู,เสียง"ปะทะเกิด................"โสต์วิญญะฯ"เลิศประลุแน่
สามสิ่งกระทบครันภวแท้...............................มีผัสสะเกิดรู้มติเผย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #125 เมื่อ: 19, ตุลาคม, 2568, 02:44:56 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๔๖."เวทนาเกิดแต่......ฆานสัมผัส"แล........"ชิวหาสัมฯ"เอย
"กายสัมผัส"รู้....ชู"มโนสัม"เปรย....ใจรู้,คิดเอ่ย....อารมณ์ต่างแล

    ๔๗.เวท์นาสิหมวดเจ็ดภวนำ....................แต่จักขุสัมฯจิตมติแน่
โสต์สัมฯกะฆาน์สัมฯมุติแท้.........................ชิวหาเจาะรับรู้รสะหนา

    ๔๘.รู้"กายสัมผัส".......มโนธาตุสัมฯชัด......รู้นามธรรมนา
"มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ"....ใจนำรู้กล้า....ใจสัมผัสพา....อารมณ์ทางใจ

    ๔๙.เวท์นาสิหมวดแปดดุจะเจ็ด................ต่างกันริเด็ด"กายะ"เจาะไกล
"กายสัมฯ"ซิรู้สุขะไว...................................กายสัมฯกระทบได้ทุขะแฉ

    ๕๐.เวทนาขันธ์เก้า......เหมือนหมวดเจ็ดเฝ้า......ต่างกันที่แล
มโนวิญญ์ธาตุฯแท้....เป็นแน่"ดี"แท้....ชั่ว,อัพยาฯ"แว....เป็นกลางกลางเอย

    ๕๑.เวท์นาสิหมวดสิบเจาะถลำ.................ตา,จักขุสัมผัสปะทะเกย
"หู,โสตสัมฯ"ยินเสนาะเลย...........................ฆาน์สัมฯจมูกรู้ทะลุกลิ่น

    ๕๒.ชิวหาสัมผัส......กระทบสามชัด......รส,วิญญาณ,ลิ้น
"กายสัมผัสฯชี้...."ที่เป็นสุข"ชิน...."ที่เป็นทุกข์"ริน....กายรับรู้มา

    ๕๓."เวท์นามโนธาตุ"ปะทะจบ...................อารมณ์กระทบรู้หทยา
"เวท์นามโนวิญญ์ฯ"มติหนา..........................ใจรู้กะดี,กลาง,อกุศล
 
   ๕๔.สัญญาขันธ์ยิบ......หมวดละหนึ่ง-สิบ......จำละเอียดยล
หมวดละหนึ่งปะ...."ผัสสสัมฯ"ผล....กอปรผัสสะล้น....กระทบอารมณ์

    ๕๕.สัญญาสิสอง,จำภวชัด........................มีเหตุซิปัจจัยทวิบ่ม
ฝ่ายชั่ว,กุศล,ใจตริระดม...............................จิตจำเจาะบาป,บุญระดะกรรม

    ๕๖. สัญญาขันธ์ปะ.......อเหตุกะ......จิตไร้เหตุนำ
เป็นวิบากดล....ผลชั่ว,ดีทำ....และจิตถลำ....พระอรหันต์แล

    ๕๗.สัญญาฯสิสามใจริกุศล.......................ฝ่ายชั่วและยลกลางฐิติแน่
สัญญาฯสิสี่เที่ยวเสาะเลาะแฉ.......................ปองกามคุณห้าจิระกาล

    ๕๘.สัญญาฯข้องปะ......."รูปาวจระ"......พรหมมีรูปพาน
"อรูปาวะฯ",ไซร้....ในอรูปภพกราน....พรหมไร้รูปขาน....เพราะตั้งจิตไกล

    ๕๙.ธรรมที่มิแน่ไม่ระบุชัด..........................ตายตัวและจัดวะอะไร
จัดเป็นสิโลกุตตระไซร้..................................มรรค,ผลซินอกวัฏฏะเฉลย

    ๖๐.สัญญาขันธ์ชี้แจง......หมวดละห้าแจ้ง......จำ,หมาย,รู้เอ่ย
"จำกอปรด้วยสุข"....เกิดชุกทุกข์เอย....กอปรโสมนัสเผย....สุขสำราญใจ

    ๖๑.สัญญาปะโทม์นัสทุขะดล.....................ทุกข์ทางกมลท้นลุประลัย
จำกอปร"อุเปกขินฯ"ภวไซร้............................ใจวางมิทุกข์หรือสุขะแฉ

    ๖๒.สัญญาขันธ์แบ่ง......หมวดละหกแจง......จำเกิดหลายแล
"จักขุสัมผัสส์ฯ"....ชัดด้วยเห็นแน่....จึงรอบรู้แท้....สัมผัสทางตา

    ๖๓."หู,โสตสัมผัสส์ฯ"จะเจาะจำ....................จากยินถลำเสนาะนา
"ฆาน์สัมฯ,จมูก"ดมประลุหนา...........................กลิ่นฟุ้งกระจายไปริคะนึง
 
   ๖๔."ชิวหาสัมผัสส์ฯ"......ลิ้มจำแน่ชัด......รสชาติดตรึง
"กายสัมผัสส์ชาฯ"....พากายจำถึง...."มโนสัมผัสส์ฯ"คลึง....ใจจำได้เอย

    ๖๕.สัญญาสิหมวดเจ็ดดุจะหก.....................มีต่างเลาะปก"จำ"ทวิเอ่ย
"สัมผัสมโนธาตุฯจะตริเผย.............................."สัมผัสส์มโนวิญญ์ฯ"มนจำ

    ๖๖. สัญญาขันธ์แจง.......หมวดละแปดแบ่ง......เหมือนหมวดหกนำ
แต่เพิ่มขยาย...."สุขกายสัมฯ"พร่ำ"...."ทุกข์กายสัมฯ"ซ้ำ....จำทั้งสองแล

    ๖๗."สัญญามโนธาตุฯ"ปะทะคึก.....................ธาตุใจระลึกฐิติแท้
"สัญญามโนวิญญ์ฯ"มติแฉ................................สิ่งที่กระทบใจประลุจำ

    ๖๘.สัญญาขันธ์หมวด.......ละแปดมียวด......เหมือนหมวดเจ็ดหน่ำ
ต่าง"กายสัมผัสส์ฯ"....รู้ชัดสุขหนำ....และรู้ทุกข์คลำ....จำทางกายยล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #126 เมื่อ: 20, ตุลาคม, 2568, 09:37:17 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๖๙.สัญญาฯละแปด,เก้าดุจะโข............ต่างเพิ่ม"มโนวิญญ์ฯ"มนล้น
มีจิตกระทบฝ่ายอกุศล............................อัพยาฯ,กุศลจำจิระพาน

    ๗๐.สัญญาขันธ์สิบ......สิ่งกระทบลิบ......"จำ"เหมือนเก้าขาน
มีต่างเพิ่มเป็น....เน้น"สุขกาย"กราน...."ทุกข์กายสัมฯ"ซาน....กระทบกาย,จำ

    ๗๑.ฝ่ายดี"มโนวิญญ์ฯ"ริถวิล..............."จำ"เกิดซิชินใจลุแตะหนำ
ฝ่ายชั่ว"มโนธาตุฯ"ตริและจำ...................มีอัพยากฤตซิเลาะกลาง

    ๗๒.สังขารขันธ์แจง......หมวดหนึ่ง-สิบแบ่ง.....จิตปรุงแต่งวาง
หมวดละหนึ่งอวย....กอปรด้วยจิตพลาง....สองมีเหตุพร่าง....และไร้เหตุเอย

    ๗๓.สังขารระสามปรุง"อกุศล"..............."ฝ่ายดี"เจาะดลตติเอ่ย
"กลาง,อัพยากฤต",มิเจาะเผย...................ดีชั่ว,มิใช่เลยนิรนา

    ๗๔.สังขารขันธ์สี่......เป็น"กามาฯ"ชี้......ท่องกามภพครา
ใน"รูปาฯ"รี่....พรหมมีรูปหนา....ชินปรุงแต่งมา....ในรูปภพแล

    ๗๕.พรหมอยู่"อรูปาวจะฯ"เป็น...............ไร้รูปมิเห็นเหมาะเจาะแน่
พวกลี้สิวัฏฏ์ทุกข์มิเลาะแฉ........................เวียนวนกะตาย,เกิดจิระกาล

    ๗๖.สังขารขันธ์หมวด......ละห้าแจงรวด........ปรุง"สุขกาย"พาน
"กอปรทุกข์กาย"รุก...."กอปรสุขใจ"ชาญ...."กอปรทุกข์ใจ"กราน...."อุเปกฯ"อยู่กลาง

    ๗๗.สังขารฯสิหมวดหกตริตระการ..........มั่นผ่านทวารหกเจาะกระจ่าง
"ตา,จักขุสัมผัสส์ฯ"ปะทะกว้าง...................."หู,โสตสัมผัสฯ"ประลุหวัง

    ๗๘."ฆานสัมผัสส์ฯ"แล.......เจต์นาเกิดแต่......จมูกกระทบจัง
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"หนา....เจต์นาเกิดหยั่ง....ถูกต้องลิ้นทั้ง....ปรุงแต่งรู้ไว

    ๗๙.เจต์นาเจาะ"กายสัมฯ"ลุประทบ.........ปรุงแต่งปะกบกายพหุไกล
ตั้งใจ"มโนสัมฯ"หฤทัย...............................ใจถูกกระทบริเสาะปรุง

    ๘๐.สังขารขันธ์เจ็ด......เหมือนหมวดหกเด็ด......แค่ทวารห้าจรุง
"ตา,หู,จมูก"พราย...."ลิ้น,กาย"บำรุง....เหลือนอกนั้นผลุง....ไม่ได้เหมือนเลย

    ๘๑.เจต์นา"มโนธาตุฯ"ปะทะเกิด..............ปรุงแต่งเตลิดมนเอ่ย
เจต์นา"มโนวิญญ์ฯ"ปะทุเผย.......................สัมผัสเจาะวิญญาณริเฉลียว

    ๘๒.สังขารขันธ์หมวด......ละแปดมียวด......เหมือนหมวดเจ็ดเพรียว
เว้น"กายสัมผัสส์ฯ....ชัดเจต์นาเจียว....มีสองร่วมเกี่ยว....ข้อง"สุข,ทุกข์"นา

    ๘๓.สังขารสิหมวดเก้าก็คะคล้าย..............หมวดเจ็ดขยายเพิ่มมนกล้า
สัมผัส"มโนธาตุฯ"หทยา..............................เจต์นากุศลแลอกุศล
 
   ๘๔.และ"มโนวิญญ์ธาตุฯ"......ที่สัมผัสยาตร......เจตนาสกล
"อัพยากฤต"นี้....ชี้เป็นกลางยล....ไม่เอนเอียงด้น....ดีหรือชั่วแล

    ๘๕.สังขารสิหมวดสิบดุจะเหมือน..............หมวดแปดตะเยือนเพิ่มมนแน่
เจต์นามโนวิญญ์ธาตุฯปะทะแฉ....................."ดี,ชั่วและอัพ์ยาฯ "เลาะเกาะกลาง

    ๘๖. ธาตุที่ปัจจัย.......ไม่ปรุงแต่งไซร้......เป็นอย่างไรพลาง
สภาพธรรมที่....ชี้"ราคะ"บาง....สิ้น"โกรธ,หลง"จาง....ไม่เกิดอารมณ์

    ๘๗.ปัญหาแจรง"ปุจฉกะ"จัด.....................ตอบธรรมวิสัช์นาเจาะระดม
ที่ต่อก็อายาตนะคม......................................สิบสองซิในกาย,พหิกาย

    ๘๘.อายตนะจอง.......ต่อท้ายสิบสอง......จดจำง่ายดาย
"จักขาฯ,รูปาฯ....โสตาฯ,เสียง"กราย...."ฆานา,กลิ่น"มาย...."ชิวหา,รส"เอย

    ๘๙."กายาฯกะโผฏฐัพพ์ฯ"ปะทะหนา..........สัมผัสเจาะอ้าริเฉลย
"ธัมมาฯ,มนาฯใจ"ริตริเคย.............................อารมณ์ซิรู้ชัดมนแฉ

    ๙๐.อายตนะสิบ......คือ"โอฬาฯ"ลิบ......อินทรีย์สิบแล
"ตา,หู,จมูก,ลิ้น....กายชินรูป"แล้...."เสียง,กลิ่น,รส"แน่....และสัมผัสตาม

    ๙๑.ที่ต่อสิอายาตนะสอง..........................."ธัมมาฯมนาฯ"ครองเจาะริสาม
ที่เป็น"กุศล"แลรุจิลาม.................................."ชั่ว,อัพยากฤต"ภวกลาง


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #127 เมื่อ: 20, ตุลาคม, 2568, 02:34:50 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๕/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๙๒.อายตนะสิบ......มิกล่าวได้กริบ......เป็นสุขเวทน์พลาง
เป็นทุกข์เวทน์เด่น....ไม่เป็นทั้งวาง....สุขเวทนาบ้าง....หรือทุกข์เวทนา

    ๙๓.ธัมมาฯ,มนาฯนั้นภวเตร่.................สุข,ทุกขะเวท์นาฯพละกล้า
หรือเป็นมิสุข,ทุกข์นิรมา.........................หากล่าวมิได้มีตติสาม

    ๙๔.อายตนะสิบ......"เนววิบากฯ"ลิบ.....ไร้เหตุเกิดตาม
วิบากไม่เป็น....เร้น"วิปาฯ"ผลาม....เหตุให้เกิดลาม....วิบากกรรมพา

    ๙๕.ยังมีสิ"อายาตนะ"สอง....................ธัมมาฯมนาฯครองภวกล้า
ที่เป็น"วิบาก,เนววิปาฯ..............................ไม่เป็น"วิปาฯ"เหตุปะทุก่อ

    ๙๖.อายตนะห้า......อุปาทินฯนา......ยึด,ตัณหารอ
มีทิฏฐิถือ.....ครือ"อนุปาฯ"พอ....ไม่ยึดถือจ่อ.....อารมณ์มีนา

    ๙๗.ยังมีสิอายาตนะสี่............................มียึดและชี้ชัดลุอุปาฯ
มีทินนุปาฯไม่ซิเกาะหนา..........................."ทินนานุฯ"ไม่ต้องจะผละหนี

    ๙๘.อายตนะสอง.......อุปาฯยึดครอง......อนุปาฯมี
ยึดมีอารมณ์....ยังจมอยู่ปรี่...."ทินนานุฯ"ชี้....ไร้อารมณ์เอย

    ๙๙.บ่อเกิดสิอายาตนะสิบ.....................ไร้เศร้าเจาะยิบไซร้รติเผย
ที่ตั้งเพาะเศร้าหมองทุขะเอ่ย.....................เรียกว่า"อสังกีฐะแถลง

    ๑๐๐.อายตนะสอง......มีสามแบบตรอง......"สังกิเลฯ"แจง
ธรรมที่เศร้าชี้....เป็นที่ตั้งแกร่ง....แห่งความโศกแรง....ยากจะถอนแล

    ๑๐๑.ไร้เศร้า"อสังลิฏฐะฯ"อุบัติ...............ที่ตั้งเจาะชัดเศร้าพหุแน่
เยี่ยมสามอสังฐาฯทวิแฉ.............................ไม่เป็นสกลแล้นิรหมอง

    ๑๐๒.อายตนะสิบ......"อวิตักกาฯ"ลิบ.....ว่างจากเกิดตรอง
สงบสบาย....ใจกายสภาพผ่อง....ชีวิตเรียบครอง....ไร้เรื่องทุกข์ใจ

    ๑๐๓.ใจมีมนายาตนะชี้...........................สามแบบ"สวีตัก"หฤทัย
มีทั้งวิตก,ตรึกและตริไซร้............................ไตร่ตรองวิจารแน่วมหึมา

    ๑๐๔.วิตก,วิจาร......ในปฐมฌาน......มีพบได้นา
"อวิมัตตะฯ"พาน....วิจารเดี่ยวหนา....ไร้วิตกล้า....ทุติยฌานเอย

    ๑๐๕."ตักกาวิจาฯ"ธรรมะปลาต.................ตรึก,ตรองมิยาตรเจออนเผย
ปราศคิดและปรุงแต่งธุระเลย.......................ไม่มีพะวงแล้กิจะใด

    ๑๐๖. ธัมมายตนะ.......มีสี่แบบปะ......"สวิตักกะฯ"ไกล
จิตมีวิตก....ปรกวิจารไว...."อวิมัตตะฯ"ไซร้....แค่"คิด,วิจาร

    ๑๐๗.ธัมมาสิยังจ่อ"อวิตักฯ".....................ไม่มีประจักษ์ทั้งทวิพาน
ตรึกตรองมิคิดปรุงกิจะขาน.........................ท้ายสุดมิเป็นเลยตติสาม

    ๑๐๘.อายตนะสิบ.......ไม่ได้เป็นพริบ......ทั้งกิจสามตาม
ปีติใจร่วม....สุขรวมมิผลาม....อุเบกขาลาม....กล่าวได้ไม่เป็น

    ๑๐๙.ที่ต่อสิอายาตนะสอง.......................สี่แบบเจาะปองปีติเหมาะเด่น"
จิตจ่อเจาะร่วมสุขะเน้น................................ใจวางอุเบกขาธุวะหนา

    ๑๑๐.ท้ายสุดมิอาจ......กล่าวได้เลยยาตร......มิเป็นได้ครา
ปีติจิตไร้....ไม่ร่วมสุขมา....ไป่อุเบกขา....มิเป็นสิ้นกราน

    ๑๑๑.มีสิบสิอายาตนะชัด..........................เป็น"เนวทัสส์ฯ"ธรรมภวพาน
มีภาวะไร้เหตุจะประหาร...............................ด้วยมรรคซิโสดาฯนภเหนือ

    ๑๑๒.อายตนะสอง......มีแจงสามตรอง......เป็น"ทัสส์นะฯ"เอื้อ
ละกิเลสตัด....ชัดสักกายฯเกื้อ....ความสงสัยเครือ....ด้วยมรรคโสดาฯ

    ๑๑๓.เป็น"ภาวนาฯ"แล้ลิกิเลส...................ด้วยมรรคพิเศษอุปริพา
คือมรรค"สกาทาฯกะอนาฯ"..........................มรรคสูงซิเลิศล้ำอรหัตต์
 
   ๑๑๔.เป็น"เนวทัสส์ฯ"แล......คือสภาพธรรมแน่......ไร้ประหารชัด
ด้วยมรรคโสดาฯ....มรรคหนาบนจัด....อีกสามมรรควัตร....สูงกว่าเลยนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #128 เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 09:42:18 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๖/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๑๑๕.มีสิบสิอายาตนะคัด...................เป็นเนวะทัสส์ฯเหตุนิระมา
ต้องมาประหารล่าภิทะหนา....................ด้วยมรรคซิโสดาฯและเจาะบน

    ๑๑๖.อายตนะสอง......มีแจงสามปอง......กิเลสละด้น
"ทัสส์ปหาตัพฯ".....ดับกิเลสพ้น....โสดามรรคดล....มรรคเบื้องล่างพา

    ๑๑๗.เป็น"ภาวนาป์หา"ลิกิเลส.............ด้วยมรรควิเศษพหิหนา
มรรคบน"สกาทาฯกะอนาฯ"....................มรรคที่ซิสูงสุด"อรหัตต์ฯ"

    ๑๑๘.เป็น"เนวปหาฯ".......เหตุภาวนา......ยังไม่ละชัด
ขาดปัญญาอยู่....ไม่รู้พิศจัด.....ไร้สามารถคัด....ดับกิเลสปลง

    ๑๑๙.ธรรมนี้สิอายาตนะสิบ................ไร้เหตุลุลิบเกิด,มรส่ง
ไร้เหตุลุนิพพานวจะบ่ง..........................."เนวาจยาคาฯ"นิรผล

    ๑๒๐.อายตนะสอง......แจกสามแบบตรอง......เกิด,ตาย,นิพฯดล
"อาจายคาฯ"....เหตุมา"เกิด"วน....ธรรมเหตุ"ตาย"ยล....อุบัติยืนกราน

    ๑๒๑.ธรรมก่อสิ"อาปาจยะคาฯ"...........เหตุธรรมลุกล้ายิ่งนิรวาณ
"เนวาจยาคาฯ"อนขาน............................นิพพานและเกิด,ตายจะมิมี

    ๑๒๒.อายตนะสิบ......เป็น"เนวเสฯ"พริบ......สองสภาพทวี
"เสกขะ"ผู้ยัง....ตั้งใจเรียนรี่....เจริญธรรมคลี่....หมายอรหัตต์ฯครัน

    ๑๒๓.ตรงข้าม"อเสขาฯ"นิรเรียน...........สำเร็จลุเชียรแล้วอรหันต์
หลุดพ้นสิทุกข์,วัฏฏะผละพลัน.................ศึกษามิต้องทำวตะเผย

    ๑๒๔.ผู้ที่มิใช่......"อเสขะ"ไซร้......ไป่"เสกขะ"เอ่ย
เรียก"เนวเสขาฯ"....ว่าเสกขะเอย....หรือ"อเสขะ"เชย....ก็มิใช่แล

    ๑๒๕.บ่อเกิดสิอายาตนะสอง................มีสามอเสฯครองประลุแล้
สอง,เสกขะยังเรียนพิรแท้........................สาม"เนวเสขาฯ"มิเจาะไหน

    ๑๒๖.อายตนะสิบ......เป็น"ปริตตะ"ขลิบ......ธรรมที่ด้อยไกล
เช่นธรรมระดับ.....นับกามาฯไข....ท่องกามคุณไว.....รูป,เสียง,กลิ่น..นำ

    ๑๒๗.ที่ต่อสิอายาตนะสอง...................สามแบบเจาะท่องทำธุระหนำ
ธรรมด้อย"ปริตตา"อนล้ำ.........................ไม่มีเจริญธรรมซิเฉลย

    ๑๒๘.ธรรมใหญ่มหัคค์ตะ.......บางกิเลสละ......ระดับฌานเอย
ธรรม"อัปปมาฯ"....มากหนาสุดเอ่ย....ไร้ขอบเขตเกย....โลกุตตระไว

    ๑๒๙.สิบอย่างสิอายาตนะด่ำ................ไม่ยึด"อนารัมม์ณะ"อะไร
ไร้สิ่งหทัยเกี่ยวเกาะเจาะไซร้....................อารมณ์ซิไร้,จิตนิรมล

    ๑๓๐.อายตนะสอง......อารมณ์สี่จอง......มากน้อยต่างยล
"ปริตตารัมม์ณะ"....ปะเกิดน้อยผล....ตัดสินไม่จน....ดีหรือชั่วนา

    ๑๓๑.อารมณ์"มหัคค์ตา"ตบะชาญ..........บำเพ็ญซิฌานพหุหนา
จิตมีพลังยิ่งนฤกล้า...................................ปราณีตสิกว่าปรกติเอย

    ๑๓๒."อัปป์มารัมม์ณะ"......อารมณ์ล้นปะ......ไร้ขอบเขตเอ่ย
อารมณ์กรรมฐาน....พานส่งเสริมเกย....พรหมวิหารเชย....เมตตา,กรุณา

    ๑๓๓.สุดท้ายสิอายาตนะสอง.................ไม่เป็นสิครองเลยตติมา
อัปป์มาฯ,ปริตตตาฯและเจาะหนา................อารมณ์มหัคค์ตานิรมี

    ๑๓๔.อายตนะสิบ......"มัชฌิมะ"กริบ......ธรรมเป็นกลางปรี่
หว่าง"ลามก"นับ....กับ"ประณีต"ดี....ธรรมที่เกิดรี่....ในภูมิสามดล

    ๑๓๕.ที่ต่อสิอายาตนะสอง......................แจงสามซิคล่องเป็นชะเนาะยล
ทั้ง"หีนะ"ธรรมเลวอกุศล.............................ธรรมดี"ปณีตฯ,มัชฌิมะ"กลาง

    ๑๓๖. อายตนะสิบ.......เป็น"อนิยตะ"ขลิบ......ผลไม่แน่พลาง
อายตนะสอง....ครองสามแบบวาง....ความคิดผิดกร่าง....ความเห็นถูกเอย

    ๑๓๗.คิดผิดสิ"มิจฉัตต์นิยะฯ"ชิด..............ยึดมั่นซิผิดธุวะเอ่ย
ไม่แปรริเปลี่ยนได้ทุขะเกย.........................ไม่พ้นมิเปิดทางนิรวาณ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #129 เมื่อ: 21, ตุลาคม, 2568, 02:17:13 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๗/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

    ๑๓๘."สัมมัตต์นิฯ"แน่ว.......คิดถูกต้องแล้ว......นิยตะผลกราน
นิยตะแน่นอน....ผลจรเกิดพาน.....ให้ทันทีขาน....ไร้ใดคั่นนา

    ๑๓๙.ธรรมนี้มิแน่นอนอนิยต................สงฆ์ผิดซิกฏแล้วจะเหมาะหนา
ลงโทษสถานใดผิวะกล้า.........................อยู่คุยกะหญิงเร้นนฤชน

    ๑๔๐.อายตนะสิบ......"อนารัมม์ณะฯ"ดล......ไร้อารมณ์ด้น
ไม่ยึดติดใด....ได้พฤติธรรมค้น....จิตสงบดล....ไม่รู้รูป..แล

    ๑๔๑.อารมณ์หทัยบ่มผิวะไร้................สิ่งเร้าเลาะไกลจิตตะผละแน่
หลุดพ้นฤดีนิ่งมละแฉ..............................ทุกข์ห่างมลานแท้ซิอะรมณ์

    ๑๔๒.อายตนะสอง......มีสี่แบบครอง......ต่างอารมณ์คม
เป็น"มัคคารัมม์ฯ"นา....อารมณ์มรรคบ่ม....หาทางลุชม....มุ่งพระนิพพาน

    ๑๔๓.เป็น"มัคคเหตุฯ"คืออติธรรม..........มรรคแปดซินำเหตุจรขาน
เป็น"มัคคะธิปฯ"จ่อลุประธาน....................ของธรรมซิถูกงำลุคระไล

    ๑๔๔.พวกท้ายอารมณ์......ไม่เป็นเลยชม......ทั้งสามแบบไกล
มัคคารัมม์ฯจัก....มัคคเหตุฯไซร้....มัคคาธิปฯใด....ไม่เป็นไหนแล

    ๑๔๕.บ่อเกิดสิอายาตนะห้า...................แจกห้าซิหนาเกิดปะทุเอย
"อุปปันนะ"เกิดอยู่ขณะเผย......................."อุปปาทิ"เกิดขึ้นฐิติหนา

    ๑๔๖.กล่าวไม่ได้เลย......"อนุปปันนะ"เปรย......ไม่เกิดขึ้นมา
สัททาย์ตนะ.....ปะเสียงมีหนา....อารมณ์มีอ้า.....หน่วงจิตยึดแล

    ๑๔๗.สัททายะฯจิตรู้ลุอุบัติ....................ไม่เกิดก็ชัดมีธุวะแน่
"อุปปาทิ"เว้นกล่าวภณแฉ.........................ว่าเกิดซิแน่นอนเพราะมิมี

    ๑๔๘.อายตนะห้า.......แจงเจ็ดแบบหนา......เกิด,มิเกิดรี่
"เกิด,อุปปันนฯ"....ไม่ปะ"อนุปปันฯ"ชี้....เป็น"อุปปาทิ"....เกิดขึ้นแล้วนา

    ๑๔๙.ที่ต่อสิธัมมาย์ตนะไว.....................อารมณ์ซิใจรู้ทะลุมา
อุปปันนะมีเกิดประลุพา.............................ไม่เกิดอนุปปันฯนิรเผย

    ๑๕๐.ธัมมายตนะ......"อุปปาที"ปะ......เกิดแน่นอนเอย
ยังกล่าวไม่ได้....เกิด,ไม่เกิดเลย....หรือเกิดแน่เปรย....ก็มีต่างลี

    ๑๕๑.สิบเอ็ดสิอายาตนะแจง...................เจ็ดแบบซิแบ่งกาละเจาะปรี่
เป็น"กาลอดีต,หน้า,ขณะนี้".........................เช่นเดียวกะธัมมาย์ตนะเผย

    ๑๕๒.มีกาลอดีต,หน้า......ปัจจุบันหล้า......กล่าวไม่ได้เอ่ย
ว่ายังจะมี....ชี้กาลอดีตเปรย....อนาคตเกย....หรือปัจจุบัน

    ๑๕๓.มีสิบเจาะอายาตนะหนา..................จิตจ่อ"อนารัมม์ณะดั้น
ไร้สิ่งสิเหนี่ยวจิตเจาะเกาะมั่น......................มีภาวะว่างจิตสละนา

    ๑๕๔.อายตนะสอง......แจงสามแบบตรอง......อารมณ์ตั้งพา
จิตรู้เรื่องราว....พราวในอดีตหนา....อนาคตรู้พา....รวมปัจจุบัน ฯ|ะ
   
แสงประภัสสร

มจร. ๒. อภิธรรมภาชนีย์ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕  พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] https://share.google/ZUUp8ETbn15EbzDqH
มจร. ๓. ปัญหาปุจฉกะ : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=35&siri=10

อายตนวิภังค์ = หมายถึง การแจกแจงส่วนต่างๆ ของอายตนะ ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกภายนอกกับจิตใจ
ก. สุตตันตภาชนีย์ = แจกอายตนะ ๑๒ ตามแนวพระสูตร
อายตนะ (ที่ต่อหรือบ่อเกิด) มีดังนี้
(๑) จักขายตนะ ~ ตา ทำหน้าที่รับรู้รูป จักษุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๒) รูปายตนะ ~ รูปารมณ์ หรือรูปที่เห็น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๓) โสตายตนะ ~ หู ทำหน้าที่รับรู้เสียง โสตะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา   (๔) สัททายตนะ ~ สัททารมณ์ หรือเสียงที่ได้ยิน สัททะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๕) ฆานายตนะ ~ จมูก ทำหน้าที่รับรู้กลิ่น ฆานะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๖) คันธายตนะ ~ คันธารมณ์ หรือกลิ่นที่ได้ดม คันธะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๗) ชิวหายตนะ~ ลิ้น ทำหน้าที่รับรู้รส ชิวหาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #130 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 08:09:12 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๘/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๘) รสายตนะ ~ รสารมณ์ หรือรสที่ลิ้ม รสไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๙) กายายตนะ ~ กาย ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส กายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพารมณ์ หรือสิ่งที่สัมผัสได้ โผฏฐัพพะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๑) มนายตนะ ~ ใจ ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ธรรมารมณ์ต่างๆ มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา (๑๒) ธัมมายตนะ ~ ธรรมารมณ์ หรืออารมณ์ที่เกิดกับใจ ธรรมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
อภิธรรมภาชนีย์ = แจก อายตนะ ๑๒ แบบอภิธรรม คือ
(๑) จักขายตนะ  ~ จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงเห็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ ด้วยจักษุใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยน์ตาบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขายตนะ
จักขายตนะ =คือ อายตนะส่วนที่เกี่ยวกับตา เป็นที่สำหรับให้ตาเห็นรูป หรือก็คือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตา (จักขุปสาท) กับ รูปารมณ์ (อารมณ์ที่เป็นรูป
ปสาทรูป = คือ รูปที่มีความใส สามารถรับอารมณ์ได้ ในพระพุทธศาสนา มีปสาทรูป ๕ คือ
(๑.๑) จักขุปสาทรูป ~ ประสาทตา มีลักษณะใสเหมือนกระจกเงา ตั้งอยู่กลางตาดำ ทำหน้าที่รับภาพ (รูปารมณ์)  (๑.๒) โสตปสาทรูป ~ประสาทหู มีลักษณะเหมือนวงแหวน มีขนละเอียดสีแดงโดยรอบ ทำหน้าที่รับเสียง (สัททารมณ์) (๑.๓) ฆานปสาทรูป ~ ประสาทจมูก มีลักษณะคล้ายเท้าแพะ ทำหน้าที่รับกลิ่น (คันธารมณ์) (๑.๔) ชิวหาปสาทรูป ~ ประสาทลิ้น มีลักษณะเหมือนกลีบบัว ทำหน้าที่รับรส (รสารมณ์) (๑.๕) กายปสาทรูป ~ประสาทกาย ทำหน้าที่รับการสัมผัสทางกาย
จักขุธาตุ = คือ ประสาทตา หรือส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพ ทำหน้าที่รับอารมณ์ทางตา เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเห็น จักขุธาตุ (เป็นส่วนหนึ่งของปสาทรูป โดยปสาทรูปคือรูปที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ ๕ ทาง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย)
จักขุธาตุทำงานร่วมกับรูปารมณ์และจักขุวิญญาณ เมื่อมีรูปารมณ์มากระทบจักขุธาตุ (ประสาทตา) จะเกิดจักขุวิญญาณ (การเห็น)
จักขุธาตุไม่ใช่แค่ตา: จักขุธาตุหมายถึงส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพทั้งหมด ไม่ใช่แค่ลูกตาภายนอก ดังนั้น จักขุธาตุจึงมีความสำคัญในการรับรู้ทางตา และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเห็น
จักขุ = ดวงตา
จักขุนทรีย์ = ทำหน้าที่รับรู้รูป (สิ่งที่เห็น) ผ่านทางตา
ปัณฑระ = คือ สภาวะของจิตใจที่ปราศจากความมัวหมอง และมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
(๒) รูปายตนะ ~ รูปายตนะ เป็นไฉน
รูปใดเป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ เช่น สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท (สีคล้ายเท้าหงส์ สีแดงปนเหลือง สีแดงเรื่อ หรือ สีแสดก็ว่า) สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด สว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละอองแสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใด ที่เป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงได้ ด้วยจักษุที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รูปายตนะ
(๓) โสตายตนะ ~โสตายตนะ เป็นไฉน โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ด้วยโสตะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า โสตะบ้าง โสตายตนะ
บ้าง โสตธาตุบ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า โสตายตนะ
(๔) สัททายตนะ ~ สัททายตนะ เป็นไฉน
เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียงประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องๆสัตว์ เสียงกระทบกันแห่งธาตุ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยโสตะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททายตนะ
(๕) ฆานายตนะ ~ เป็นไฉน ฆานะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยฆานะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานายตนะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #131 เมื่อ: 22, ตุลาคม, 2568, 03:03:48 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๙/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๖) คันธายตนะ ~ คันธายตนะ เป็นไฉน
กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ
(๗) ชิวหายตนะ ~ ชิวหายตนะ เป็นไฉน
ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ
(๘) รสายตนะ ~ รสายตนะ เป็นไฉน
รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ
(๙) กายายตนะ ~ กายายตนะ เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่ากายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ
(๑๐) โผฏฐัพพายตนะ ~ โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่าข เป็นไฉน
(๑๑.๑) มนายตนะหมวดละ ๑ = ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยผัสสะ
(๑๑.๒) มนายตนะหมวดละ ๒ = ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
(๑๑.๓) มนายตนะหมวดละ ๓ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๔) มนายตนะหมวดละ ๔ = ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
กามาวจร = คือ จิตที่ท่องเที่ยวเกี่ยวข้องใน กามภูมิ ที่ยังติดอยู่ในกาม เช่น มนุษย์ เทวดา หรือสัตว์นรก มีหน้าที่รับรู้อารมณ์กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด
รูปาวจร = คือ "ผู้ที่ยังติดอยู่ในรูป" หรือ "พรหมที่มีรูป" ซึ่งเป็นสภาวะจิตของบุคคลที่ได้บรรลุรูปฌาน
อรูปาวจร = คือ ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป (อรูปภูมิ) ซึ่งเป็นผลจากการเจริญอรูปฌาน ผู้ที่ได้อรูปฌานจะไปเกิดในอรูปภูมิ ๔ ชั้น ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
วัฏฏทุกข์ = ความวนเวียนของความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ วัฏฏทุกข์ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลักๆ ที่หมุนเวียนสัมพันธ์กัน ได้แก่
~กิเลสวัฏ คือ ความเศร้าหมองของจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี
~กรรมวัฏ คือ การกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ การกระทำดี  และการกระทำชั่ว ล้วนเป็นกรรมที่ส่งผลให้เกิดวิบาก
~วิบากวัฏ คือ ผลของกรรมที่ได้รับ ทั้งที่เป็นสุขและทุกข์ วิบากที่ได้รับก็จะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดกิเลสขึ้นอีก วนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ
การดับวัฏฏทุกข์ได้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ กิเลส
(๑๑.๕) มนายตนะหมวดละ ๕ = ได้แก่
~มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ (สุขกาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ (ทุกข์กาย) ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ (สุขใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ (ทุกข์ใจ)ก็มี; ~ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี (อุเปกขินทรีย์ = เวทนาอันสำราญก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ความสำราญ ก็ไม่ใช่ ทางกายหรือทางใจ)
(๑๑.๖) มนายตนะหมวดละ ๖ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ
(๑๑.๗) มนายตนะหมวดละ ๗ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ
(๑๑.๘) มนายตนะหมวดละ ๘ =  ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และมโนวิญญาณธาตุ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #132 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:48:11 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๑๑.๙) มนายตนะหมวดละ ๙ =ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๑.๑๐) มนายตนะหมวดละ ๑๐ = ได้แก่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี, ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี, มโนธาตุ, และ มโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
(๑๒) ธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
เป็นอายตนะ ทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของใจ หรือสิ่งที่ใจสามารถรับรู้ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น แต่รวมถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจด้วย เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือสภาวะธรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ได้แก่ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้, ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (คือ อสังขตาธาตุ)
รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ ~ เป็นไฉน
หมายถึง นามธรรมทั้งหลาย (เช่น จักขุวิญญาณ) รู้ได้ แต่ไม่มีลักษณะปรากฏเป็นรูปธรรม (สิ่งที่มีรูปกาย) และไม่มีการกระทบสัมผัสโดยตรง ธรรมเหล่านี้จัดเป็น อสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธรรมที่พ้นจากความปรุงแต่ง
อสังขตาธาตุ ที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นนิพพานเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑-๑๐ ~ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ = ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี, ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี, ที่เป็นรูปาวจรก็มี, ที่เป็นอรูปาวจรก็มี, ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็นสุขินทรีย์ - สุขกายก็มี; ที่เป็นทุกขินทรีย์ - ทุกข์กายก็มี; ที่เป็นโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี  ที่เป็นโทมนัสสินทรีย์ - ทุกข์ใจก็มี; ที่เป็นอุเปกขินทรีย์- ไม่ทุกข์,ไม่สุขก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี; ที่เป็นทุกข์ก็มี; เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี           
สัญญาขันธ์ ~ เป็นไฉน
(๑) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ = คือ สัญญาขันธ์ เป็น ผัสสสัมปยุต (ประกอบด้วยกับ ผัสสะ)
(๒) สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ = คือ สัญญาขันธ์เป็น สเหตุกะ(มีเหตุ) กับเป็น อเหตุกะ(ไม่มีเหตุ) (๓) สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ = คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล, เป็นอกุศล, เป็นอัพยากฤต
(๔) สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ = คือ
(๔.๑) สัญญาขันธ์เป็น กามาวจร  - ท่องเที่ยวในกามภพ (๔.๒) เป็น รูปาวจร -ท่องในรูปภพ (๔.๓) เป็น อรูปาวจร - ท่องในอรูปภพ (๔.๔) เป็น อปริยาปันนะ - คือ ธรรมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอะไร มีลักษณะไม่แน่นอน ไม่ตายตัวได้แก่ มรรค ผลของมรรค และอสังขตธาตุ ขั้นที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #133 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:16:38 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

(๕) สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ = คือ
(๕.๑) สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี (๕.๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี (๕.๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์ก็มี (๕.๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
(๖) สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา -สัญญา (ความจำได้หมายรู้ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) หรือ ความจำที่เกิดจากการเห็น (๖.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ ลิ้ม (๖.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๖.๖) มโนสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นทางใจ
(๗) สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ = คือ
(๗.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๗.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๗.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๗.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๗.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ  (๗.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๘) สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ = คือ
(๘.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดยเห็น (๘.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๘.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๘.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๘.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๘.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๘.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา  - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๘.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุรู้ทางใจ
(๙) สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ = คือ
(๙.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๙.๒)โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๙.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๙.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๙.๕) กายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๙.๗) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล หรือ สัญญาที่เกิดจากใจสัมผัสที่เป็นกุศล (๙.๘) อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๙.๙) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
(๑๐) สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ = ดังนี้
(๑๐.๑) จักขุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากการเห็น (๑๐.๒) โสตสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้ยิน (๑๐.๓) ฆานสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดโดยได้กลิ่น (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดได้โดย ลิ้ม (๑๐.๕) สุขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นสุขที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๖) ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดจากความรู้สึกเป็นทุกข์ที่สัมผัสทางกาย (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำอันเกิดจากสัมผัสทางธาตุคือใจ (๑๐.๘) กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกุศล (๑๐.๙) อกุสลมโนวิญญาณธาติสัมผัสสชาสัญญา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเวทนา - ความจำที่เกิดขึ้นจากผัสสะทางใจที่เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งกุศล และอกุศล
สังขารขันธ์ ~ เป็นไฉน
สังขารขันธ์ หมวด ๑-๑๐
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยจิต
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๒ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๓ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี (๒) ที่เป็นอกุศลก็มี (๓) ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๔ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี (๒) ที่เป็นรูปาวจรก็มี (๓) ที่เป็นอรูปาวจรก็มี (๔) ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วัฏฏทุกข์  = คือ สภาพการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏ ซึ่งเกิดจากกิเลส, กรรม, และวิบาก หมุนเวียนสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด
สังขารขันธ์= หมวดละ ๕ ได้แก่
(๑) สังขารขันธ์ที่สัมปยุต(ประกอบ) ด้วยสุขินทรีย์ - สุขกาย) ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์- ทุกข์กายก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ - สุขใจก็มี (๔) ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์-ทุกข์ใจก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ - ไม่ทุกข์,ไม่สุข ก็มี
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๖ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา -เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๗ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส                                                                   สังขารขันธ์ = หมวดละ ๘ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์ = หมวดละ ๙ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส (๖) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5544
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 844



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #134 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:19:52 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

สังขารขันธ์ = หมวดละ ๑๐ ได้แก่
(๑) จักขุสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่ตาสัมผัส (๒) โสตสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่หูสัมผัส (๓) ฆานสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่จมูกสัมผัส (๔) ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา- เจตนาที่เกิดแต่ลิ้นสัมผัส (๕) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยสุข (๖) กายสัมผัสสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่ร่วมด้วยทุกข์ก็มี (๗) มโนธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี (๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นอกุศลก็มี (๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัสชาเจตนา - เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง = เป็นไฉน
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมายตนะ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ
ปัญหาปุจฉกะ = แสดงคำถาม คำตอบ ด้านพระอภิธรรม
ปุจฉกะ = หมายถึง ผู้ตั้งคำถาม หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถาม
อายตนะ ๑๒ = คือ
(๑) จักขายตนะ (๒) รูปายตนะ (๓) โสตายตนะ (๔) สัททายตนะ (๕) ฆานายตนะ (๖) คันธายตนะ (๗) ชิวหายตนะ (๘) รสายตนะ (๙) กายายตนะ (๑๐) โผฏฐัพพายตนะ (๑๑) มนายตนะ (๑๒) ธัมมายตนะ
บรรดาอายตนะ ๑๒ = อายตนะเท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการอธิบายการจำแนกปรมัตถธรรม  โดยแบ่งออกเป็น ๓ บท
วิสัชนา = หมายถึง คำตอบ, คำชี้แจง, คำแก้ไข, หรือคำอธิบาย. เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการสื่อสารแบบ ปุจฉาวิสัชนา ซึ่งเป็นการถาม (ปุจฉา) และตอบ (วิสัชนา) ไปมา เพื่อให้ได้ความรู้หรือแก้ไขข้อสงสัย
อายตนะ ๑๐ = คือโอฬาริกายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต
คือ อินทรีย์ ๑๐ อย่างแรก ประกอบด้วย:
(๑) จักขุ - จักขุนทรีย์: ตา (๒)โสตะ -โสตินทรีย์): หู (๓) ฆานะ - ฆานินทรีย์: จมูก (๔) ชิวหา - ชิวหินทรีย์: ลิ้น (๕) กาย - กายินทรีย์: กาย ผิวหนัง (๖) รูป - รูปายตนะ: สีสัน (๗) สัททะ - สัททายตนะ: เสียง (๘) คันธะ - คันธายตนะ: กลิ่น (๙)รสะ - รสายตนะ: รส (๑๐) โผฏฐัพพะ - โผฏฐัพพายตนะ: สัมผัส (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง)
อายตนะ ๒ = คือ มนายตนะ, ธัมมายตนะ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต(ประกอบด้วย); แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต; มนายตนะ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; ธัมมายตนะเป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี; เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต; แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม
เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิปากธมฺมธมฺมา ~ สภาวธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
วิบาก ~ ผลของกรรมดี,ชั่วที่ทำไว้
อายตนะ ๒ = เป็นวิบากก็มี; เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี; เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี;
อายตนะ ๕ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ; สัททายตนะ; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ
อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ~ สภาวธรรมที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่กระทบกับโสตายตนะ (หู) ทำให้เกิดการรับรู้เสียง เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะภายนอก ๖ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสิ่งที่ให้จิตยึดหน่วงและเป็นเหตุให้จิตเจตสิกเกิดขึ้นได้
อายตนะ ๔ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อนุปาทินนานุปาทานิยะ ~ อนุปาทินนานุปาทานิยะ หมายถึง ธรรมที่ไม่ถูกยึดมั่น และไม่ใช่ที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
อายตนะ ๒ = เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี; เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี;
อายตนะ ๑๐ = เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ
อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ~ คือ ธรรม อันที่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง และ เป็น ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง
อายตนะ ๒ = เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี; เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะก็มี;
สังกิเลสิกะ ~ คือ ธรรมอัน เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
อสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ~ ธรรมที่ทั้งไม่เศร้าหมอง และไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง
หมายถึง สามัญผล ๔ คือ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นธรรมที่ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส และ ไม่เป็นที่ตั้งยึดถือด้วยอำนาจกิเลส


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.332 วินาที กับ 167 คำสั่ง
กำลังโหลด...