Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 8 9 [10]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 23092 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5553
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 847



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #135 เมื่อ: 24, ตุลาคม, 2568, 02:47:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๑๐ = เป็นอนิยตะ
คือ ธรรมเหล่าใดให้ผลไม่แน่นอน
อายตนะ ๒ = เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี; เป็นสัมมัตตนิยตะก็มี; เป็นอนิยตะก็มี
มิจฉัตตนิยตะ ~ การยึดมั่นในความคิด ความเห็น หรือทิฏฐิที่ผิดอย่างแน่วแน่ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หรือบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
สัมมัตตะนิยตะ ~ เป็นสภาวะโดยชอบ
เป็นสัมมัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย โดยให้ผลไม่มีระหว่างคั่นนั่นแหละ จึงชื่อว่า สัมมัตตนิยตา
อนิยต ~ (อ่านว่า อะ-นิ-ยด) ในพระวินัย เป็นสิกขาบทที่มีลักษณะ ไม่แน่นอน ว่าเมื่อภิกษุทำผิดแล้วจะปรับอาบัติในขั้นใด (ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์) ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระวินัยธรตามข้อเท็จจริงและมูลที่กล่าวหา มี ๒ สิกขาบท คือ (๑) การอยู่ในที่ลับตา (ที่กำบัง) กับสตรีสองต่อสอง (ปฐมอนิยต) (๒) การอยู่ในที่ลับหู (ที่เปิดเผย) กับสตรีสองต่อสอง (ทุติยอนิยต)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
หมายถึง ภาวะที่จิตไม่มีอารมณ์ ไม่ยึดติดสิ่งใด เป็นการปฏิบัติธรรมที่มุ่งให้จิตสงบจากสิ่งเร้าทุกชนิด ไม่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์
อายตนะ ๒ = เป็นมัคคารัมมณะก็มี; เป็นมัคคเหตุกะก็มี; เป็นมัคคาธิปติมัคคก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี
มัคคารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์มรรค ย่อมแสวงหา ย่อมค้นหาพระนิพพานอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมฆ่ากิเลสทั้งหลาย
มัคคเหตุกะ ~ ธรรมมีมรรคองค์ ๘ เป็นเหตุ 
มัคคาธิปติ ~ มรรคเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านั้น ด้วยครอบงําให้เป็นไป
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอนุปปันนะ สัททายตนะ; เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที
อุปปันนะ ~ หมายถึงเป็นไปทั่วจําเดิมแต่อุปปาท(เกิดขึ้น) จนถึงภังคขณะ(กำลังดับ) อันยังไม่เลยไป
อุปปาท ~ คือ "ขณะที่เกิดขึ้น" เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสามขั้นตอน คือ อุปปาท (เกิดขึ้น) ฐิติ (ตั้งอยู่) ภังคะ (ดับไป)
ภังคขณะ ~ คือ ช่วงขณะที่จิตหรือรูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) กำลังดับลง หรือแตกสลายลง
อนุปปันนะ ~ ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น คือไม่ใช่อุปปันนะ
อุปปาทิ ~ ธรรมใดจักเกิดขึ้นแน่นอนเพราะเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุที่สําเร็จแล้ว
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ โดยเฉพาะเจาะจงถึง เสียงต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ให้จิตยึดหน่วงและรับรู้ได้
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาทีก็มี
ธัมมายตนะ ~ คือ สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ ๖ อย่าง ทำหน้าที่เป็น "ที่ต่อ" หรือสื่อกลางให้เกิดการรับรู้ทางใจ (มนายตนะ) ได้แก่ นามขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขาร) และสุขุมรูป ๑๖ รวมถึงนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ ส่วน ธัมมายตนะจัดเป็นอายตนะภายนอกที่ ๖ ซึ่งทำหน้าที่คู่กับมนายตนะที่เป็นอายตนะภายใน
อายตนะ ๑๑ = เป็นอดีตก็มี; .เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอดีตก็มี; เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต แม้เป็นปัจจุบันก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอตีตารัมมณะก็มี; เป็นอนาคตารัมมณะก็มี; เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี
อตีตารัมมณะ ~ คือ จิตที่ไปรับรู้อารมณ์ที่ตั้งอยู่ในกาลอดีต
อนาคตารัมมณะ ~ คือ การคิดรับรู้อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอนาคต
ปัจจุปปันนารัมมณะ ~ คือ ธรรมที่อาศัยเหตุนั้น ๆ เกิดขึ้น
อายตนะ ๑๐ = เป็นอวิตักกาวิจาระ
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมที่เข้าถึงสภาวะที่ว่างจากความคิดและตรึกตรอง เป็นสภาวะที่สงบและเรียบง่ายที่สุด
มนายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
สวิตักกสวิจาร ~ คือสภาวะทางจิตที่ มีทั้งวิตก (การตรึกนึก) และวิจาร (การพิจารณา ตริตรอง) สวิตักกสวิจารธรรม เป็นชื่อของธรรมะที่ประกอบด้วยวิตกและวิจาร ซึ่งพบได้ในปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
อวิตักกวิจารมัตตะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ประกอบด้วย วิจาร (การนึกคิดพิจารณา) เพียงอย่างเดียว แต่ ไม่มีวิตก (การตรึกตรองเบื้องต้น) เป็นสมาธิใน ทุติยฌาน สภาวะนี้จะไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แต่ยังคงมีการพิจารณาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5553
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 847



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #136 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 10:46:44 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

ธัมมายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมะที่ไม่มีทั้งวิตก (ความตรึก) และวิจาร (ความตรอง) เป็นสภาพธรรมที่ปราศจากการคิดปรุงแต่ง ไม่มีความลังเลสงสัย หรือการใช้ความคิดเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ; แม้เป็นสุขสหคตะ; แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ
ปีติสหคตทุกะ ~ ธรรมสหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ
สุขสหคตะ ~ สภาพความสุขที่ สหคตะ (ไปด้วยกัน, ประกอบกัน, ร่วมกัน) กับจิต หรือหมายถึง สุขที่เกิดร่วมกับจิต คือ สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้อารมณ์ต่างๆ
อุเปกฺขาสหคต ~ การมี อุเบกขา วางเฉย ประกอบอยู่ด้วย หรือ ประกอบกับอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่ยินดียินร้ายเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ
อายตนะ ๒ = เป็นปีติสหคตะก็มี; เป็นสุขสหคตะก็มี; เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะก็มี
ทัสสนนปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ได้แก่กิเลสสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นกิเลสประการต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ คือ สกทาคามีมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตตมรรค สภาวธรรม คือกิเลสประการต่างๆ ที่ถูกละได้ด้วยมรรค ๓ เบื้องบน เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น กิเลสที่เหลือเหล่านี้ที่ถูกละด้วยมรรค ๓ เบื้องบน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ
สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี
ทัสสนปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลส คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นกิเลสต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ (คือ สกทาคามีมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) กิเลสต่างๆ เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น
เนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง "ภาวนาที่ยังไม่สามารถละได้ด้วยปัญญา" ซึ่งตรงข้ามกับ "ทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ" ซึ่งหมายถึง การภาวนาที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจนละสิ่งควรละได้
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามี
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๒ =เป็นอาจยคามีก็มี; เป็นอปจยคามีก็มี; เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามีก็มี
อาจยคามิติกะ ~ ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
อปจยคามิโน ~ ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เนวาจยคามิโน ~ ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติ ปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวเสกขนาเสกขะ ~ เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่ (หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เป็นทั้ง เสขะ และอเสขะ)
เสขะ ~ คือผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล, ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล, ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค
อเสขะ ~ ผู้ไม่ต้องศึกษา เพราะศึกษาเสร็จสิ้นแล้วได้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คือ พระอรหันต์
อายตนะ ๒ = เป็นเสกขะก็มี; เป็นอเสกขะก็มี; เป็นเนวเสกขนาเสกขะก็มี
เสกขะ ~ พระอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษาอยู่ หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล
อเสขะ ~ (อ่านว่า อะ-เสก-ขะ) คือ พระอริยบุคคลระดับสูงสุดที่ได้ศึกษาไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) จบสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาอีก เพราะบรรลุอรหันตผลแล้ว เป็นผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์และวัฏสงสารได้อย่างสมบูรณ์
อายตนะ ๑๐ = เป็นปริตตะ 
ปริตตะ ~ ธรรมที่ด้อยหรือคับแคบ เช่น ธรรมที่อยู่ในระดับกามาวจร


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5553
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 847



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #137 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 03:15:09 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๕/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๒ = เป็นปริตตะก็มี; เป็นมหัคคตะก็มี; เป็นอัปปมาณะก็มี
มหัคคตะ ~ คือ สภาพธรรมที่ถึงความเป็นใหญ่ หมายถึง จิตและเจตสิกที่ถึงระดับฌาน (รูปฌานและอรูปฌาน) ซึ่งมีความสามารถในการระงับกิเลสได้ เป็นจิตที่เข้าถึงความสงบและวิมุติจากการครอบงำของกิเลส
อัปปมาณะ ~ คือ สภาวะที่ "ไม่มีประมาณ"หมายถึงธรรมที่เป็นโลกุตตระ (ธรรมที่พ้นจากโลก)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ ไม่มีสิ่งใดให้จิตยึดหน่วง หรือ ไม่มีสิ่งที่จิตจะไปเกาะเกี่ยวได้ เป็นภาวะตรงกันข้ามกับ อารมณ์
อารัมมณะ ~ หรือ อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตยึดหน่วงไว้ หรือสิ่งที่เป็นที่ตั้งของจิตใจ อารมณ์แบ่งเป็น รูปารมณ์ (รูป), สัททารมณ์ (เสียง), คันธารมณ์ (กลิ่น), รสารมณ์ (รส), โผฏฐัพพารมณ์ (สัมผัส) และ ธรรมารมณ์ (อารมณ์ทางใจ)
อายตนะ ๒ = เป็นปริตตารัมมณะก็มี; เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี; เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็นมหัคคตารัมมณะ แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี
ปริตตารมณ์ ~ คือ อารมณ์ที่มีเกิดได้น้อยเพราะวัตถุหรืออารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปมาก จึงไม่ชัดแจ้งพอที่จะตัดสินลงไปได้ว่าอารมณ์นั้นดี หรือชั่วประการใด
มหัคคตารัมมณะ ~ มหัคคตารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็น "ธรรมใหญ่" หรือ "มหัคตธรรม" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการบำเพ็ญฌาน ทำให้จิตมีความละเอียดและทรงกำลังใหญ่กว่าจิตปกติทั่วไป
อัปปมาณารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์ที่ไม่มีประมาณ หรือกว้างขวางไม่จำกัด เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ส่งเสริม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในซึ่งพรหมวิหาร
อายตนะ ๑๐ = เป็นมัชฌิมะ
มัชฌิมะ ~ ธรรมทั้งหลายมีในท่ามกลางแห่งธรรมอันลามกและประณีต  คือธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ นอกจาก หีนะ และปณีตธรรม
โลกุตระ ชื่อว่า ธรรมอันประณีต เพราะอรรถว่าสูงสุด และอรรถว่าชุ่มชื่นยิ่ง ไม่เร่าร้อน
อายตนะ ๒ = เป็นหีนะก็มี; เป็นมัชฌิมะก็มี; เป็นปณีตะก็มี
หีนา ~ได้แก่ ลามก คือ อกุศลธรรม
ปณีตธรรม ~ ธรรมอันประณีต
อายตนะ ๑๒ = เป็นอัชฌัตตะก็มี; เป็นพหิทธาก็มี; เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี
อัชฌัตตะ ~ คือ สภาวะที่ มีอยู่ภายในตัวบุคคล หรือ เฉพาะตัว โดยทั่วไปหมายถึง "อายตนะภายใน" ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
พหิทธา ~ ภายนอก ก็คือ สิ่งที่เป็นของคนอื่น หรือ จะกล่าวอีกในนัยหนึ่งก็ได้ว่า ขันธ์ของตน เป็นอารมณ์ภายใน ส่วน ขันธ์ของคนอื่น เป็นอารมณ์ภายนอก
อัชฌัตตพหิทธา ~ สิ่งที่รู้ทั้งภายในและภายนอก
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี; เป็นพหิทธารัมมณะก็มี;  เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอัชฌัตตารัมมณะ แม้เป็นพหิทธารัมมณะ แม้เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; รูปายตนะ เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆะ
อัชฌัตตารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง เช่น ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิต เช่น โสมนัสเวทนา (ความสุขใจ), โทมนัสเวทนา (ความเสียใจ), สุขเวทนา (ความสบายกาย) เป็นต้น
พหิทธารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งภายนอกที่กระทบสัมผัส เช่น รูปารมณ์ (สิ่งที่ตาเห็น), สัททารมณ์ (สิ่งที่หูได้ยิน), คันธารมณ์ (สิ่งที่จมูกได้กลิ่น), รสารมณ์ (สิ่งที่ลิ้นได้รส), โผฏฐัพพารัมมณ์ (สิ่งที่กายสัมผัส) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)
อัชฌัตตพหิทธารมณะ ~ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ อารมณ์มีทั้งอารมณ์ภายในและอารมณ์ภายนอก
สนิทัสสนสัปปฏิฆะ ~ รูปที่เป็นไปกับด้วยการเห็น ทั้งเป็นไปกับด้วยการกระทบ
อายตนะ ๙ = เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆะ 
อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป ~ รูปที่ไม่มีการเห็น แต่เป็นไปด้วยการกระทบ
อายตนะ ๒ = เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะ
อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป ~ รูปที่มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ คือรับรู้ไม่ได้ด้วยประสาทใดๆ ไม่ว่าจะด้วยจักษุ หรือด้วยโสตะ ฆานะ ชิวหา และกาย แต่เป็นธรรมารมณ์ อันรู้ด้วยใจ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5553
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 847



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #138 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:10:06 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๑๐.วิภังค์ (ธาตุวิภังค์ : แจกธาตุ ๖ และ ๑๘)

ภูวรอินทรฉันท์ ๑๖/กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖

    ๑.ขอน้อมประณต"โคตมพุทธ์-.........เจ้า"ตรัสรู้รุดวิชาครัน
ตัดผองกิเลสจ่ออรหันต์.......................สอนชนประพฤติธรรมลิทุกข์วาย

    ๒.คัมภีวิภังค์.................หนึ่งในเจ็ดพลัง.............พระอภิธรรมผาย
แจงหลักธรรมยิ่ง..............เหตุผลความจริง............ธรรมชาติ,จิตกราย
มีกิเลสมาย.......................รู้ดับทุกข์คลาย.............จิตพ้นระกำ

    ๓.แจงธาตุวิภังค์ได้ตติเอย................."สุตตันฯ"พระสูตรเชยจะเล่านำ
รวบรวมประมวลธรรม"อภิธรรมฯ"..........."ปัญหาฯ"และคำตอบแถลงหนา

   ๔."สุตตันต์ภาชนีย์"........แจงธาตุหกปรี่..............สิ่งทั้งหลายคณา
มีธาตุรวมกัน....................."ดิน,ปฐวี"ครัน...............ธรรมชาติแข็งครา
ภายในตนกล้า..................เนื้อ,กระดูกพา..............นอกตน,เพชร์,ทอง

    ๕."อาโปสิน้ำ"ทั้งพหิ,ใน......................กายตนจะอ่อนไซร้และเหลวครอง
ในตนกิเลส,ทิฎฐิเจาะผอง......................เลือดหนองและน้ำลายซิเกิดไกล

    ๖.น้ำภายนอกตน..........มีเอิบอาบล้น.................ธรรมชาติคุมไว
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือริ.....................สร้างรูปน้อย,ใหญ่
เช่นน้ำผลไม้....................นมส้ม,เนยใส.................หรือน้ำในดิน

    ๗."เตโชสิธาตุไฟ"ระอุใน....................กายตนจะอุ่นไซร้เจาะร้อนริน
อยาก,ทิฏฐิยึดอยู่ปะทุชิน......................กายโทรมและย่อยดีสดวกผาย

    ๘.เตโชภายนอก...........ร้อนธรรมชาติดอก.........ความอบอุ่นมาย
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือตริ...................ไฟ,อาทิตย์ฉาย
ร้อนจากไฟกราย.............ไฟมูลสัตว์ปลาย.............กองขี้เถ้านา

    ๙."วาโยสิธาตุลม"เหมาะเจาะตรง.......ในกายซิขึ้นลงและพัดกล้า
อยาก,ทิฏฐิยึดถือปะทะฝ่า.....................ค้ำจุนนะรูปกายผดุงเผย

    ๑๐.ลมภายนอกตน........ธรรม์ชาติพัดท้น............พัดไปมาเอ่ย
อยาก,ทิฏฐินา...................ไม่ยึดถือหนา.................เกิดรูปตรึงเปรย
ลมทิศต่างเกย...................ลมหนาว,ร้อนเสย...........ลมแรงหรือบาง

    ๑๑.อากาสสิธาตุเลาะเสาะใน.............กายตนก็มีไซร้เจาะช่องว่าง
อยาก,ทิฏฐิยึดมั่นปะทะวาง....................ช่องหู,จมูก,มีอะกาศครอง

    ๑๒."อากาสธาตุ"นอก......เป็นธรรมชาติบอก.........อยู่นอกกายตรอง
"มีความว่างเปล่า"เอย..........อากาศล้อมเผย.............ตามธรรมชาติผอง
อยาก,ทิฏฐิจ้อง...................ไม่ยึดถือปอง.................กรรมก่อเกิดยล

    ๑๓."วิญญาณสิธาตุ"รู้หทยา................จิตรู้ซิหกหนาประสบผล
"ตา,จักขุวิญญาณ"กิจะท้น......................หู,โสตวิญญาณซิรู้แฉ

    ๑๔."จมูก,ฆาน์วิญญ์ธาตุ"...จิตรู้กลิ่นยาตร..............ความรู้ชาญแล
"ชิวหาวิญญ์ธาตุฯ"................ได้ลิ้มรสชาติ................จิตรู้รสแน่
"กายวิญญ์าตุฯแล้.................กายสัมผัสแท้................เย็น,ร้อน,เจ็บเอย

    ๑๕."ธาตุใจมโนวิญญ์ฯ"หฤทัย..............ชี้รับอะรมณ์ไซร้ลุรู้เอ่ย
ผ่านวิญญะทางอาย์ตนะเผย....................ตา,หู,จมูก,ลิ้น..ซิวิญญาณ
   
    ๑๖.วิญญาณธาตุเกิด.........ตัวอย่างซิเพริศ.............จักขุวิญญ์ฯพาน
"แสงกระทบรูป"มา.................ประสาทตาคว้า............."มีใส่ใจ"ฉาน
จักขุวิญญาณ........................เกิดจิตรู้การ..................ขาดหนึ่ง"เห็น"จาง

    ๑๗.ธาตุหกซิอีกนัย"สุขะธาตุ"................มีทุกขยาตรเจาะสุขวาง
"โสมนัสสิธาตุ",สุขลุสะพร่าง......................"โทมนัสส์ซิธาตุ"ทุกข์ระทมใจ

    ๑๘."อุเปกขาธาตุ"................อารมณ์กลางยาตร........ทุกข์,สุขอยู่ไกล
"อวิชชาธาตุ"...........................ความไม่รู้จัคลาด...........ด้อยปัญญาใส
ความลุ่มหลงใด.......................ไม่ใคร่ครวญไว..............ขาดพิจารณา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 8 9 [10]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.188 วินาที กับ 45 คำสั่ง
กำลังโหลด...