Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 8 9 [10]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 23625 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #135 เมื่อ: 24, ตุลาคม, 2568, 02:47:37 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๑๐ = เป็นอนิยตะ
คือ ธรรมเหล่าใดให้ผลไม่แน่นอน
อายตนะ ๒ = เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี; เป็นสัมมัตตนิยตะก็มี; เป็นอนิยตะก็มี
มิจฉัตตนิยตะ ~ การยึดมั่นในความคิด ความเห็น หรือทิฏฐิที่ผิดอย่างแน่วแน่ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หรือบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
สัมมัตตะนิยตะ ~ เป็นสภาวะโดยชอบ
เป็นสัมมัตตะด้วย เป็นนิยตะด้วย โดยให้ผลไม่มีระหว่างคั่นนั่นแหละ จึงชื่อว่า สัมมัตตนิยตา
อนิยต ~ (อ่านว่า อะ-นิ-ยด) ในพระวินัย เป็นสิกขาบทที่มีลักษณะ ไม่แน่นอน ว่าเมื่อภิกษุทำผิดแล้วจะปรับอาบัติในขั้นใด (ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์) ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระวินัยธรตามข้อเท็จจริงและมูลที่กล่าวหา มี ๒ สิกขาบท คือ (๑) การอยู่ในที่ลับตา (ที่กำบัง) กับสตรีสองต่อสอง (ปฐมอนิยต) (๒) การอยู่ในที่ลับหู (ที่เปิดเผย) กับสตรีสองต่อสอง (ทุติยอนิยต)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
หมายถึง ภาวะที่จิตไม่มีอารมณ์ ไม่ยึดติดสิ่งใด เป็นการปฏิบัติธรรมที่มุ่งให้จิตสงบจากสิ่งเร้าทุกชนิด ไม่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่อารมณ์ทางใจ (ธรรมารมณ์) เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์
อายตนะ ๒ = เป็นมัคคารัมมณะก็มี; เป็นมัคคเหตุกะก็มี; เป็นมัคคาธิปติมัคคก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี
มัคคารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์มรรค ย่อมแสวงหา ย่อมค้นหาพระนิพพานอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า ย่อมฆ่ากิเลสทั้งหลาย
มัคคเหตุกะ ~ ธรรมมีมรรคองค์ ๘ เป็นเหตุ 
มัคคาธิปติ ~ มรรคเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านั้น ด้วยครอบงําให้เป็นไป
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอนุปปันนะ สัททายตนะ; เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที
อุปปันนะ ~ หมายถึงเป็นไปทั่วจําเดิมแต่อุปปาท(เกิดขึ้น) จนถึงภังคขณะ(กำลังดับ) อันยังไม่เลยไป
อุปปาท ~ คือ "ขณะที่เกิดขึ้น" เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสามขั้นตอน คือ อุปปาท (เกิดขึ้น) ฐิติ (ตั้งอยู่) ภังคะ (ดับไป)
ภังคขณะ ~ คือ ช่วงขณะที่จิตหรือรูปธรรม (สิ่งที่มีรูป) กำลังดับลง หรือแตกสลายลง
อนุปปันนะ ~ ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น คือไม่ใช่อุปปันนะ
อุปปาทิ ~ ธรรมใดจักเกิดขึ้นแน่นอนเพราะเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุที่สําเร็จแล้ว
สัททายตนะ ~ คือ สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ โดยเฉพาะเจาะจงถึง เสียงต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ให้จิตยึดหน่วงและรับรู้ได้
อายตนะ ๕ = เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอุปปันนะก็มี; เป็นอนุปปันนะก็มี; เป็นอุปปาทีก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาทีก็มี
ธัมมายตนะ ~ คือ สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ ๖ อย่าง ทำหน้าที่เป็น "ที่ต่อ" หรือสื่อกลางให้เกิดการรับรู้ทางใจ (มนายตนะ) ได้แก่ นามขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขาร) และสุขุมรูป ๑๖ รวมถึงนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่พ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ ส่วน ธัมมายตนะจัดเป็นอายตนะภายนอกที่ ๖ ซึ่งทำหน้าที่คู่กับมนายตนะที่เป็นอายตนะภายใน
อายตนะ ๑๑ = เป็นอดีตก็มี; .เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; ธัมมายตนะ เป็นอดีตก็มี; เป็นอนาคตก็มี; เป็นปัจจุบันก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต แม้เป็นปัจจุบันก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอตีตารัมมณะก็มี; เป็นอนาคตารัมมณะก็มี; เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี
อตีตารัมมณะ ~ คือ จิตที่ไปรับรู้อารมณ์ที่ตั้งอยู่ในกาลอดีต
อนาคตารัมมณะ ~ คือ การคิดรับรู้อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอนาคต
ปัจจุปปันนารัมมณะ ~ คือ ธรรมที่อาศัยเหตุนั้น ๆ เกิดขึ้น
อายตนะ ๑๐ = เป็นอวิตักกาวิจาระ
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมที่เข้าถึงสภาวะที่ว่างจากความคิดและตรึกตรอง เป็นสภาวะที่สงบและเรียบง่ายที่สุด
มนายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
สวิตักกสวิจาร ~ คือสภาวะทางจิตที่ มีทั้งวิตก (การตรึกนึก) และวิจาร (การพิจารณา ตริตรอง) สวิตักกสวิจารธรรม เป็นชื่อของธรรมะที่ประกอบด้วยวิตกและวิจาร ซึ่งพบได้ในปฐมฌานในพระพุทธศาสนา
อวิตักกวิจารมัตตะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ประกอบด้วย วิจาร (การนึกคิดพิจารณา) เพียงอย่างเดียว แต่ ไม่มีวิตก (การตรึกตรองเบื้องต้น) เป็นสมาธิใน ทุติยฌาน สภาวะนี้จะไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน แต่ยังคงมีการพิจารณาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #136 เมื่อ: 25, ตุลาคม, 2568, 10:46:44 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

ธัมมายตนะ ~ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี; เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี; เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี
อวิตักกาวิจาระ ~ คือ ธรรมะที่ไม่มีทั้งวิตก (ความตรึก) และวิจาร (ความตรอง) เป็นสภาพธรรมที่ปราศจากการคิดปรุงแต่ง ไม่มีความลังเลสงสัย หรือการใช้ความคิดเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด
อายตนะ ๑๐ = กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ; แม้เป็นสุขสหคตะ; แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ
ปีติสหคตทุกะ ~ ธรรมสหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ
สุขสหคตะ ~ สภาพความสุขที่ สหคตะ (ไปด้วยกัน, ประกอบกัน, ร่วมกัน) กับจิต หรือหมายถึง สุขที่เกิดร่วมกับจิต คือ สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้อารมณ์ต่างๆ
อุเปกฺขาสหคต ~ การมี อุเบกขา วางเฉย ประกอบอยู่ด้วย หรือ ประกอบกับอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่ยินดียินร้ายเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ
อายตนะ ๒ = เป็นปีติสหคตะก็มี; เป็นสุขสหคตะก็มี; เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ
คือ สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะก็มี
ทัสสนนปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ได้แก่กิเลสสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพะ ~ สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นกิเลสประการต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ คือ สกทาคามีมรรค, อนาคามิมรรค, อรหัตตมรรค สภาวธรรม คือกิเลสประการต่างๆ ที่ถูกละได้ด้วยมรรค ๓ เบื้องบน เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น กิเลสที่เหลือเหล่านี้ที่ถูกละด้วยมรรค ๓ เบื้องบน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ
สภาวธรรมที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ = เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี; เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี
ทัสสนปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง สภาพธรรมทั้งหลาย คือกิเลสที่ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลส คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อคติ ๔ เป็นต้น
ภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึงสภาพธรรมที่เป็นกิเลสต่างๆ ที่ละได้ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ประการ (คือ สกทาคามีมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) กิเลสต่างๆ เช่น โลภะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส ความโกรธ ความไม่รู้ ความฟุ้งซ่าน มานะ เป็นต้น
เนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ ~ หมายถึง "ภาวนาที่ยังไม่สามารถละได้ด้วยปัญญา" ซึ่งตรงข้ามกับ "ทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ" ซึ่งหมายถึง การภาวนาที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจนละสิ่งควรละได้
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามี
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๒ =เป็นอาจยคามีก็มี; เป็นอปจยคามีก็มี; เป็นเนวาจยคามีนาปจยคามีก็มี
อาจยคามิติกะ ~ ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
อปจยคามิโน ~ ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เนวาจยคามิโน ~ ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติ ปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
อายตนะ ๑๐ = เป็นเนวเสกขนาเสกขะ ~ เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่ (หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เป็นทั้ง เสขะ และอเสขะ)
เสขะ ~ คือผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่ พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ในโสดาปัตติผล, ในสกทาคามิมรรค ในสกทาคามิผล, ในอนาคามิมรรค ในอนาคามิผล และในอรหัตตมรรค
อเสขะ ~ ผู้ไม่ต้องศึกษา เพราะศึกษาเสร็จสิ้นแล้วได้แก่ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คือ พระอรหันต์
อายตนะ ๒ = เป็นเสกขะก็มี; เป็นอเสกขะก็มี; เป็นเนวเสกขนาเสกขะก็มี
เสกขะ ~ พระอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษาอยู่ หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล
อเสขะ ~ (อ่านว่า อะ-เสก-ขะ) คือ พระอริยบุคคลระดับสูงสุดที่ได้ศึกษาไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) จบสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาอีก เพราะบรรลุอรหันตผลแล้ว เป็นผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์และวัฏสงสารได้อย่างสมบูรณ์
อายตนะ ๑๐ = เป็นปริตตะ 
ปริตตะ ~ ธรรมที่ด้อยหรือคับแคบ เช่น ธรรมที่อยู่ในระดับกามาวจร


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #137 เมื่อ: 25, ตุลาคม, 2568, 03:15:09 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๕/๑๕) ๙.วิภังค์ : อายตนวิภังค์

อายตนะ ๒ = เป็นปริตตะก็มี; เป็นมหัคคตะก็มี; เป็นอัปปมาณะก็มี
มหัคคตะ ~ คือ สภาพธรรมที่ถึงความเป็นใหญ่ หมายถึง จิตและเจตสิกที่ถึงระดับฌาน (รูปฌานและอรูปฌาน) ซึ่งมีความสามารถในการระงับกิเลสได้ เป็นจิตที่เข้าถึงความสงบและวิมุติจากการครอบงำของกิเลส
อัปปมาณะ ~ คือ สภาวะที่ "ไม่มีประมาณ"หมายถึงธรรมที่เป็นโลกุตตระ (ธรรมที่พ้นจากโลก)
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะธรรมที่ ไม่มีสิ่งใดให้จิตยึดหน่วง หรือ ไม่มีสิ่งที่จิตจะไปเกาะเกี่ยวได้ เป็นภาวะตรงกันข้ามกับ อารมณ์
อารัมมณะ ~ หรือ อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตยึดหน่วงไว้ หรือสิ่งที่เป็นที่ตั้งของจิตใจ อารมณ์แบ่งเป็น รูปารมณ์ (รูป), สัททารมณ์ (เสียง), คันธารมณ์ (กลิ่น), รสารมณ์ (รส), โผฏฐัพพารมณ์ (สัมผัส) และ ธรรมารมณ์ (อารมณ์ทางใจ)
อายตนะ ๒ = เป็นปริตตารัมมณะก็มี; เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี; เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็นมหัคคตารัมมณะ แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี
ปริตตารมณ์ ~ คือ อารมณ์ที่มีเกิดได้น้อยเพราะวัตถุหรืออารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปมาก จึงไม่ชัดแจ้งพอที่จะตัดสินลงไปได้ว่าอารมณ์นั้นดี หรือชั่วประการใด
มหัคคตารัมมณะ ~ มหัคคตารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็น "ธรรมใหญ่" หรือ "มหัคตธรรม" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการบำเพ็ญฌาน ทำให้จิตมีความละเอียดและทรงกำลังใหญ่กว่าจิตปกติทั่วไป
อัปปมาณารัมมณะ ~ เป็นอารมณ์ที่ไม่มีประมาณ หรือกว้างขวางไม่จำกัด เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ส่งเสริม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในซึ่งพรหมวิหาร
อายตนะ ๑๐ = เป็นมัชฌิมะ
มัชฌิมะ ~ ธรรมทั้งหลายมีในท่ามกลางแห่งธรรมอันลามกและประณีต  คือธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ นอกจาก หีนะ และปณีตธรรม
โลกุตระ ชื่อว่า ธรรมอันประณีต เพราะอรรถว่าสูงสุด และอรรถว่าชุ่มชื่นยิ่ง ไม่เร่าร้อน
อายตนะ ๒ = เป็นหีนะก็มี; เป็นมัชฌิมะก็มี; เป็นปณีตะก็มี
หีนา ~ได้แก่ ลามก คือ อกุศลธรรม
ปณีตธรรม ~ ธรรมอันประณีต
อายตนะ ๑๒ = เป็นอัชฌัตตะก็มี; เป็นพหิทธาก็มี; เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี
อัชฌัตตะ ~ คือ สภาวะที่ มีอยู่ภายในตัวบุคคล หรือ เฉพาะตัว โดยทั่วไปหมายถึง "อายตนะภายใน" ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
พหิทธา ~ ภายนอก ก็คือ สิ่งที่เป็นของคนอื่น หรือ จะกล่าวอีกในนัยหนึ่งก็ได้ว่า ขันธ์ของตน เป็นอารมณ์ภายใน ส่วน ขันธ์ของคนอื่น เป็นอารมณ์ภายนอก
อัชฌัตตพหิทธา ~ สิ่งที่รู้ทั้งภายในและภายนอก
อายตนะ ๑๐ = เป็นอนารัมมณะ
อนารัมมณะ ~ คือ สภาวะที่ ไม่ใช่สิ่งหน่วงเหนี่ยวจิต หรือสิ่งที่จิตยึดถือ จึงเป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้
อายตนะ ๒ = เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี; เป็นพหิทธารัมมณะก็มี;  เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอัชฌัตตารัมมณะ แม้เป็นพหิทธารัมมณะ แม้เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี; รูปายตนะ เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆะ
อัชฌัตตารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง เช่น ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิต เช่น โสมนัสเวทนา (ความสุขใจ), โทมนัสเวทนา (ความเสียใจ), สุขเวทนา (ความสบายกาย) เป็นต้น
พหิทธารัมมณะ ~ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งภายนอกที่กระทบสัมผัส เช่น รูปารมณ์ (สิ่งที่ตาเห็น), สัททารมณ์ (สิ่งที่หูได้ยิน), คันธารมณ์ (สิ่งที่จมูกได้กลิ่น), รสารมณ์ (สิ่งที่ลิ้นได้รส), โผฏฐัพพารัมมณ์ (สิ่งที่กายสัมผัส) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)
อัชฌัตตพหิทธารมณะ ~ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ อารมณ์มีทั้งอารมณ์ภายในและอารมณ์ภายนอก
สนิทัสสนสัปปฏิฆะ ~ รูปที่เป็นไปกับด้วยการเห็น ทั้งเป็นไปกับด้วยการกระทบ
อายตนะ ๙ = เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆะ 
อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป ~ รูปที่ไม่มีการเห็น แต่เป็นไปด้วยการกระทบ
อายตนะ ๒ = เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะ
อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป ~ รูปที่มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ คือรับรู้ไม่ได้ด้วยประสาทใดๆ ไม่ว่าจะด้วยจักษุ หรือด้วยโสตะ ฆานะ ชิวหา และกาย แต่เป็นธรรมารมณ์ อันรู้ด้วยใจ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #138 เมื่อ: 26, ตุลาคม, 2568, 09:10:06 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๑๐.วิภังค์ (ธาตุวิภังค์ : แจกธาตุ ๖ และ ๑๘)

ภูวรอินทรฉันท์ ๑๖/กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖

    ๑.ขอน้อมประณต"โคตมพุทธ์-.........เจ้า"ตรัสรู้รุดวิชาครัน
ตัดผองกิเลสจ่ออรหันต์.......................สอนชนประพฤติธรรมลิทุกข์วาย

    ๒.คัมภีวิภังค์.................หนึ่งในเจ็ดพลัง.............พระอภิธรรมผาย
แจงหลักธรรมยิ่ง..............เหตุผลความจริง............ธรรมชาติ,จิตกราย
มีกิเลสมาย.......................รู้ดับทุกข์คลาย.............จิตพ้นระกำ

    ๓.แจงธาตุวิภังค์ได้ตติเอย................."สุตตันฯ"พระสูตรเชยจะเล่านำ
รวบรวมประมวลธรรม"อภิธรรมฯ"..........."ปัญหาฯ"และคำตอบแถลงหนา

   ๔."สุตตันต์ภาชนีย์"........แจงธาตุหกปรี่..............สิ่งทั้งหลายคณา
มีธาตุรวมกัน....................."ดิน,ปฐวี"ครัน...............ธรรมชาติแข็งครา
ภายในตนกล้า..................เนื้อ,กระดูกพา..............นอกตน,เพชร์,ทอง

    ๕."อาโปสิน้ำ"ทั้งพหิ,ใน......................กายตนจะอ่อนไซร้และเหลวครอง
ในตนกิเลส,ทิฎฐิเจาะผอง......................เลือดหนองและน้ำลายซิเกิดไกล

    ๖.น้ำภายนอกตน..........มีเอิบอาบล้น.................ธรรมชาติคุมไว
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือริ.....................สร้างรูปน้อย,ใหญ่
เช่นน้ำผลไม้....................นมส้ม,เนยใส.................หรือน้ำในดิน

    ๗."เตโชสิธาตุไฟ"ระอุใน....................กายตนจะอุ่นไซร้เจาะร้อนริน
อยาก,ทิฏฐิยึดอยู่ปะทุชิน......................กายโทรมและย่อยดีสดวกผาย

    ๘.เตโชภายนอก...........ร้อนธรรมชาติดอก.........ความอบอุ่นมาย
ตัณหา,ทิฏฐิ.....................ไม่ยึดถือตริ...................ไฟ,อาทิตย์ฉาย
ร้อนจากไฟกราย.............ไฟมูลสัตว์ปลาย.............กองขี้เถ้านา

    ๙."วาโยสิธาตุลม"เหมาะเจาะตรง.......ในกายซิขึ้นลงและพัดกล้า
อยาก,ทิฏฐิยึดถือปะทะฝ่า.....................ค้ำจุนนะรูปกายผดุงเผย

    ๑๐.ลมภายนอกตน........ธรรม์ชาติพัดท้น............พัดไปมาเอ่ย
อยาก,ทิฏฐินา...................ไม่ยึดถือหนา.................เกิดรูปตรึงเปรย
ลมทิศต่างเกย...................ลมหนาว,ร้อนเสย...........ลมแรงหรือบาง

    ๑๑.อากาสสิธาตุเลาะเสาะใน.............กายตนก็มีไซร้เจาะช่องว่าง
อยาก,ทิฏฐิยึดมั่นปะทะวาง....................ช่องหู,จมูก,มีอะกาศครอง

    ๑๒."อากาสธาตุ"นอก......เป็นธรรมชาติบอก.........อยู่นอกกายตรอง
"มีความว่างเปล่า"เอย..........อากาศล้อมเผย.............ตามธรรมชาติผอง
อยาก,ทิฏฐิจ้อง...................ไม่ยึดถือปอง.................กรรมก่อเกิดยล

    ๑๓."วิญญาณสิธาตุ"รู้หทยา................จิตรู้ซิหกหนาประสบผล
"ตา,จักขุวิญญาณ"กิจะท้น......................หู,โสตวิญญาณซิรู้แฉ

    ๑๔."จมูก,ฆาน์วิญญ์ธาตุ"...จิตรู้กลิ่นยาตร..............ความรู้ชาญแล
"ชิวหาวิญญ์ธาตุฯ"................ได้ลิ้มรสชาติ................จิตรู้รสแน่
"กายวิญญ์าตุฯแล้.................กายสัมผัสแท้................เย็น,ร้อน,เจ็บเอย

    ๑๕."ธาตุใจมโนวิญญ์ฯ"หฤทัย..............ชี้รับอะรมณ์ไซร้ลุรู้เอ่ย
ผ่านวิญญะทางอาย์ตนะเผย....................ตา,หู,จมูก,ลิ้น..ซิวิญญาณ
   
    ๑๖.วิญญาณธาตุเกิด.........ตัวอย่างซิเพริศ.............จักขุวิญญ์ฯพาน
"แสงกระทบรูป"มา.................ประสาทตาคว้า............."มีใส่ใจ"ฉาน
จักขุวิญญาณ........................เกิดจิตรู้การ..................ขาดหนึ่ง"เห็น"จาง

    ๑๗.ธาตุหกซิอีกนัย"สุขะธาตุ"................มีทุกขยาตรเจาะสุขวาง
"โสมนัสสิธาตุ",สุขลุสะพร่าง......................"โทมนัสส์ซิธาตุ"ทุกข์ระทมใจ

    ๑๘."อุเปกขาธาตุ"................อารมณ์กลางยาตร........ทุกข์,สุขอยู่ไกล
"อวิชชาธาตุ"...........................ความไม่รู้จัคลาด...........ด้อยปัญญาใส
ความลุ่มหลงใด.......................ไม่ใคร่ครวญไว..............ขาดพิจารณา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #139 เมื่อ: 26, ตุลาคม, 2568, 07:15:55 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

   ๑๙.นัยหนึ่งสิธาตุหกริประชิด............"กามธาตุ"หทัยคิดริผิดหนา
อีกธาตุ"พยาปาทฯ"ภิทะฆ่า..................อาฆาตประทุษเขามิเลิกเผย

    ๒๐."วิสิงหาธาตุ"............ใจเบียดเบียนคาด......คิดมิจฉาเอย
เนกขัมมธาตุ.....................คิดถูกต้องยาตร.........ปลอดโลภ,กามเปรย
"อัพยาปาฯ"เผย................คิดถูกใจเชย..............เมตตาสัตว์แล

    ๒๑.ตรึกถูก"อวีหิงฯ"กรุณา................เมตตาซิแผ่กล้าอะรมณ์แล้
เมื่อได้ประมวลย่อตติแท้.......................สามหมวดเจาะสิบแปดซิธาตุหนา

    ๒๒.อภิธรรมภาชนีย์.......ธาตุสิบแปดคลี่...........ธรรมชาติทรงนา
คงสภาพตน......................ลักษณะคงยล.............ไม่เปลี่ยนแปลงพา
"จักขุธาตุ,ตา"....................มีปสาท์รูปกล้า.............เกี่ยวการเห็นแล

    ๒๓."รูปธาตุ"สิสัมผัสและแตะกล้า.......พึงมีประสาทตาเสาะ"สี"แน่
เกิดจักขุวิญญาณมติแฉ........................ความรู้จะแจ้งใจอุบัติมา

   ๒๔."จักขุวิญญ์ธาตุฯ".......ความรู้แจ้งยาตร..........เมื่อตา,รูปนา
พร้อมเหมาะสมแล้ว............เกิดจักขุวิญญ์ฯแน่ว......ใจจริงรู้ครา
"โสตธาตุ,หูฯ"กล้า..............ยินเสียงแล้วหนา...........เกิดโสตวิญญาณ

    ๒๕."สัทท์ธาตุ"ก็เสียงยินภวะใกล้.........เป็นรูปมิเห็นได้กระทบขาน
"โสตวิญญ์ฯ"สิมีโสตะปะพาน...................กับเสียงอุบัติโสตวิญญ์ฯแฉ

    ๒๖."จมูก,ฆานธาตุ"..........ปสารูปยาตร................มีพร้อมแจ้งแล
"คันธธาตุ,กลิ่น"ไซร้.............รูปเห็นไม่ได้.................กระทบได้แน่
จมูก,กลิ่นเหมาะแล้.............."ฆานวิญญ์ธาตุ"แท้........เกิดรู้แจ้งพลัน

    ๒๗."ชิวหาสิธาตุลิ้น"ภวะชิน.................มีพร้อมประสาทลิ้นซิชิมครัน
"รสธาตุ"ก็รู้เด็ดรสะสรร..........................รสนั้นมิเห็นแน่กระทบแฉ

    ๒๘."ชิวหาวิญญ์ธาตุฯ".......ปสาทรูปคาด...............ประสาทลิ้นแล
"กายธาตุ"ที่ชี้........................ประสาทกายมี..............รับสัมผัสแน่
เป็นที่ตั้งแล้...........................กายวิญญาณแท้...........กายทวารเอย

    ๒๙."โผฏฐัพพะธาตุ"สิ่งปะแตะกาย.......รู้ร้อนและเย็นง่ายซิแน่วเลย
ดิน,ไฟและลมนั้นริเจอะเคย......................พบกับประสาทกายลุกายวิญญ์ฯ

    ๓๐.โผฏฐัพพะนี้.................อาศัยกายชี้.................เหมาะสมผลิน
กาย,โผฏฐัพพ์ฯพบ.................สัมผัสกระทบ..............รู้สัมผัสชิน
บังเกิดธาตุริน........................"กายวิญญ์ธาตุฯ"สิ้น.....เกิดรู้แจ้งใจ

    ๓๑.ความหมาย"มโนธาตุ"หทยา............อารมณ์ซิรู้มาและคิดไกล
เกิดห้าอะรมณ์ล้วนพหุไซร้.......................ผ่านห้าทวารตา,กะหู..เอย

    ๓๒."ธัมมธาตุ"คือ................ธรรมารมณ์ชื่อ............รู้ทางใจเชย
มีอารมณ์ไว............................รู้ระลึกใด....................สภาพธรรมเผย
"สุขุมรูป"เอ่ย..........................เจตสิกเสย..................และพระนิพพาน

    ๓๓.คำ"ธัมมธาตุ"แจงวทะเผล่................สามนามขันธ์"เวทนา"ฉาน
"สัญญาและสังขาร"นิรมาณ......................ใจรู้และจำ,ปรุงเสมอมา

    ๓๔.เวทนาเป็นใด.................แจงหนึ่ง-สิบไซร้..........แต่ละหมวดหนา
เวทนาขันธ์หมวด.....................ละหนึ่งมีรวด...............กอปรผัสสะพา
เวทนาขันธ์กล้า.......................หมวดละสองหนา.........เหตุไร้,เหตุมี

    ๓๕.สามเวทนาขันธ์"อกุศล"...................ที่เป็น"กุศล"ท้นและ"กลาง"ปรี่
สี่เวทนาที่จรลี.........................................."กามาวะฯ"ท่องกามคุณแฉ

    ๓๖.เวทนาขันธ์เป็น.............."รูปาวะ"เด่น.................พรหมมีรูปแล
เวทนาขันธ์ผู้..........................."อรูปาฯ"ชู....................พรหมไร้รูปแล้
เวทนาที่แท้.............................พ้นวัฏฏทุกข์แน่............กิเลสวายเอย

    ๓๗.ห้าเวทนาขันธ์"สุขะ"กราย................"ทุกขินฯ"เจาะทุกข์กายทุรนเอ่ย
ใจ"โสมนัส"ปลื้มรติเชย.............................."เศร้า,โทมนัส"ใจระกำหนา

    ๓๘."อุเบกขินทรีย์"................การวางเฉยชี.............ใจสงบมั่นนา
เวทนาขันธ์หก.........................."จักขุสัมฯ"ปก.............รู้ชัดทางตา
"โสตสัมผัสส์ชาฯ".....................รู้สัมผัสหนา...............หูยินเสียงพาน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #140 เมื่อ: 27, ตุลาคม, 2568, 04:03:16 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๓๙."รู้,ฆานสัมผัสส์ฯ"ปะทะกลิ่น........ผ่านทางจมูกสิ้นและวิญญาณ
"รู้,ชิวหาสัมผัสส์ฯ"รสะกราน.................ด้วยลิ้นอร่อยชิมเหมาะจริงแฉ

    ๔๐."กายสัมผัสส์ชาฯ"....รู้สัมผัสหนา...............ทางกายนั่นแล
เจ็บ,สบายกาย..................รู้เย็น,ร้อนหน่าย.........อ่อน,นุ่ม,แข็งแท้
"มโนสัมผัสส์ฯ"แน่.............ใจรับรู้แล้...................อารมณ์ต่างเอย

    ๔๑.ด้วยใจกระทบสิ่งศยะใกล้............รู้สึกจะเกิดได้ซิเร็วเอ่ย
นึกเรื่องสิเกิดสุขก็จะเชย.......................ตนเองจะสุขใจระเริงหนา

    ๔๒.เวทนาขันธ์เจ็ด.........รู้ผ่าน"ตา"เด็ด............วิญญาณร่วมนา
"จักขุสัมผัส"......................ตา,รูปพร้อมชัด..........."จักขุวิญญ์ฯ"มา
"โสตสัมผัส"พา..................หู,เสียงพร้อมหนา........โสตวิญญ์ฯร่วมชิน

    ๔๓.รู้"ฆานสัมผัส"ปะทะนำ..................ผ่านกลิ่น,จมูกย้ำกะฆานวิญญ์ฯ
"ชิวหาฯ"กระทบเค็มรสะชิน.....................ชิวหาซิวิญญาณอุบัติแฉ

   ๔๔."รู้กายสัมผัส".............ประสาทกายจัด...........ผิวหนังรู้แล
เย็น,ร้อน,ปวดพรู................."กายวิญญาณ"กรู.........เกิดรู้ทันแล้
รู้เจ็บแล้วแท้.......................จดจำหลีกแน่................ป้องกันภัยกราย

    ๔๕.ตรึก"ธรรมะรมณ์"สิ่งหฤทัย.............นึกคิดอะไรได้ซินอกกาย
เป็นหนึ่งสิอายาตนะผาย...........................เห็นจำริทุกข์,สุขปรุมากเอย

    ๔๖."มโนธาตุสัมฯ"พบ........ธรรมารมณ์จบ.............เกิดความรู้เลย
เรียก"มโนวิญญาณ"..............เพราะสองสิ่งพาน........ใจ,ธรรมาฯเผย
ใจสัมผัสเคย.........................สิ่งที่คิดเอ่ย.................เกิดรู้ขึ้นมา

    ๔๗."สัมผัสมโนวิญญ์ฯ"มนรู้....................กับธรรมะรมณ์ชูกุเกิดหนา
ความรู้มโนวิญญ์ฯคติกล้า..........................รู้เวทนา,จำและสังขาร

    ๔๘.เวทนาขันธ์หมวด..........ละแปดแจงรวด...........คล้ายหมวดเจ็ดพาน
ต่างที่เวทนา..........................."กายสัมผัส"ครา..........มีเวทนากราน
แตกสองสถาน.......................เกิดแต่สุขสราญ..........เกิดแต่ทุกข์เอย

    ๔๙.เวท์นาสิขันธ์หมวดนวคล้าย..............หมวดเจ็ดซิจัดง่ายตะต่างเอ่ย
สัมผัสมโนวิญญ์ฯประลุเผย.........................ฝ่ายชั่ว,กุศล,อัพยาฯกลาง

    ๕๐.เวทนาเป็นหมวด............ละสิบเหมือนรวด..........หมวดเก้าต่างพลาง
กายสัมผัสจัด.........................ที่เป็นสุขชัด..................ที่เป็นทุกข์ขวาง
เวทนามากอย่าง.....................ขอเว้นเลิกร้าง................จบแค่สิบแล

    ๕๑.สัญญาสิขันธ์รู้เจาะระลึก..................หนึ่ง-สิบเสาะได้ตรึกซิใจแฉ
แยกหมวดละหนึ่งพึงซิเจาะแท้.....................ความจำประกอบผัสสะร่วมนา

    ๕๒.สัญญาขันธ์หมวด..........ละสองมีรวด..................เหตุมี,ไร้มา
หมวดสามแจกชี้......................มี"กุศล"คลี่...................."อกุศล"หนา
"อัพยากฤต"กล้า.....................ปราศดี,ชั่วคว้า...............อยู่กลางกลางเอย

    ๕๓.หมวดสี่ริ"กามาวจะ"จบ.....................ผู้ท่องลุกาม์ภพซิเสพเผย
ห้ากามคุณ,รูป..จรเคย...............................จำหน่วงและหลงมัวจิรังกาล

    ๕๔.เป็น"รูปาว์จระ"...............ท่องรูปภพนะ.................พรหมมีรูปพาน
เป็น"อรูปาฯ"............................ใน"อรูปภพฯ"ครา...........พรหมไร้รูปกราน
เป็น"อปริฯ"ผ่าน.......................ไม่ชัดเจนขาน................ด้วยไม่แน่นอน

    ๕๕.สัญญาสิหมวดห้าเจาะริชี้.................มี"สุข,สุขินทรีย์"ซิร่วมชอน
มี"ทุกข์ก็ทุกขินฯ"ภวช้อน..........................เกิดทุกขเวท์นาประกอบครัน

    ๕๖."โสมนัสสินทรีย์ฯ"............เวทนาร่วมมี..................สุขทางใจพลัน
"โทมนัสสินทรีย์ฯ".....................เวทนาร่วมชี้..................ทุกข์ทางใจสรร
"อุเปกขินฯ"ยัน..........................มีเวทนางัน....................อารมณ์เฉยแล

    ๕๗.สัญญาสิหก"จำ"เจาะทวาร................สัมผัสซิห้าผ่านกะ"ตา.."แท้
"จำ"เกิดปรุทางตาประลุแล้.........................เรียกจักขุสัมผัสส์ฯจะแลเห็น

    ๕๘."โสตสัมผัสส์ชาฯ"............สัญญา,จำมา................เพราะได้ยินเป็น
"ฆานสัมผัสส์ชาฯ".....................บังเกิดจำหนา...............เพราะได้กลิ่นเด่น
"ชิวหาสัมผัสส์ฯ"เน้น..................จำได้เลือกเฟ้น..............ได้ลิ้มรสเลอ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #141 เมื่อ: 27, ตุลาคม, 2568, 07:35:58 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๔/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๕๙."จำ"เกิดกะกายสัมฯกุอุบัติ..........สัมผัส ณ กายชัดเจาะจำเปรอ
สัญญามโนสัมฯริแตะเจอ.....................สัมผัสเจาะจำเกิด ณ ใจเผย

    ๖๐.สัญญาขันธ์หมวด.....ละเจ็ดแจงรวด............เหมือนหกต่างเอย
"มโนวิญญาณธาตุ"............สัมผัสเกิดยาตรพลัน....รู้ธาตุใจเลย
ผ่านประสาทสัมฯเชย.........ตา,หู,จมูกเคย............ลิ้น,กาย,ใจแล

    ๖๑.สัญญาสิแปดนี้ดุจะเจ็ด...............ต่างกันซิกายเด็ดตะรู้แฉ
สัญญาซิกายสัมฯสุขะแล้......................สัญญาซิกายสัมฯทุระหนา

    ๖๒.สัญญาขันธ์แจง........หมวดละเก้าแจ้ง...........คล้ายแปด,ต่างนา
มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ".............จำ"กุศล"นำ.................จาก"อกุศล"พา
จำมี"อัพยา"........................เกิดผัสสะกล้า.............ไร้ดี,เลวแล

    ๖๓.สัญญาสิสิบนี้จะคะคล้าย.............หมวดเก้าซิกรายเจาะก่นแต่
สัญญะกายสัมฯปะทะแล้.......................จึงเกิดเพราะใจสุขสราญแฉ

   ๖๔.กายสัมผัสส์ชาฯ.........สัญญา,จำหนา..............มีทุกข์ร่วมแล
สังขารขันธ์เป็น...................อย่างไรจึงเด่น...............หมวดหนึ่ง-สิบแฉ
หมวดหนึ่งเป็นแล้................สังขารฯกอปรแท้...........ด้วยจิตใจแล

    ๖๕.สังขารละสองส่องระบุเหตุ...........ไร้เหตุมิมีเดชจะปรุงแน่
หมวดสามกุศลท้นเจาะมิแน่...................ชั่ว,อัพยากฤติเจาะเป็นกลาง

    ๖๖.สังขารขันธ์หมวด.......สี่ที่เป็นรวด..................."กามาวะฯ"พลาง
ในกามภพเอย.....................อยู่รูปภพเผย.................ในอรูปภพวาง
สภาพสว่าง.........................พ้นวัฏฏทุกข์ห่าง.............เลิกวนเกิดตาย

    ๖๗.สังขารละห้าปรุงริประกอบ............เป็นสัมปยุตครอบกะสิ่งหลาย
"สุขกาย,สุขินทรีย์"รติกราย...................."ทุกขินฯ"ปะทุกข์กายสบายเลย

    ๖๘."โสมนัสสินฯ"ชุก.........ประกอบด้วยสุข..............ภิรมย์ใจเอย
"โทมนัสสินฯ"รุก...................ประกอบด้วยทุกข์...........ระทมใจเผย
"อุเปกขินฯ"เกย....................ไม่ปรุงใดเอ่ย..................เป็นกลางกลางแล

    ๖๙.สังขารละหกตั้งหทยา...................สัมผัสทวารหนาเสาะปรุงแฉ
ตา,หู,จมูก..ครบปะทะแล้.........................เจต์นาลุด้วย"จักขุสัมผัสส์ฯ

    ๗๐."โสตสัมผัสส์ชาฯ"........เจตนาเกิดหนา..............เพราะหูยินชัด
"ฆานสัมผัสส์ชาฯ".................เจตนาเกิดกล้า..............สัมผัสจมูกจัด
"ชิวหาสัมฯ"คัด......................เจตนาเกิดชัด................สัมผัสลิ้นเอย

    ๗๑.เจต์นาปะ"กายสัมฯ"ริกระทบ..........สัมผัสซิครันจบเจาะปรุงเอ่ย
เจต์นา"มโนสัมฯ"มนเผย..........................สัมผัสฤดีพร้อมจะรู้ครัน

    ๗๒.สังขารขันธ์เจ็ด............เหมือนหมวดหกเด็ด.......แต่เพิ่มเสริมพลัน
"มโนธาตุสัมผัสส์ฯ"................ปรุงห้าทวารชัด.............ใจรู้ถลัน
"มโนวิญญ์ธาตุฯดั้น................ปรุงหกทวารสรรค์.........ธาตุรู้ทางใจ

    ๗๓.สังขารสิแปดนั้นดุจะเจ็ด.................ต่างที่เจาะกายเด็ดมิเหมือนไซร้
"กายสัมฯ"กระทบร่วมสุขะไว...................."กายสัมฯ"กระทบร่วมกะทุกข์เผย

    ๗๔.สังขารขันธ์เก้า.............เหมือนเจ็ดเพิ่มเกลา........มโนวิญญ์ธาตุเอย
มโนวิญญ์ธาตุสัมฯ.................เจตนาเกิดหนำ................เป็นกุศลเผย
อกุศลเคย.............................และอัพยาฯเชย...........สภาพ"กลาง"เอย

    ๗๕.สังขารสิสิบนั้นจะประดุจ.................หมวดเก้าตะต่างสุดเจาะกายเอ่ย
เจต์นาซิ"กายสัมฯ"เป็นสุขะเชย................."กายสัมฯ"ลุทุกข์ร่วมทุรนหนา

    ๗๖.รูปเห็นไม่ได้................ไม่กระทบไซร้..................เป็นอย่างไรนา
ธัมมาย์ตนะ..........................สภาพธรรมปะ..................เฉพาะใจรู้หนา
เวทนา,สัญญา......................และสังขารกล้า.................มิเห็นมิคลำ

    ๗๗.ธัมม์ธาตุก์ปัจจัยนิรปรุง....................คือธรรมมิคิดมุ่งเพราะสิ้นหนำ
ซึ่งราคะ,โกรธ,โมหะละนำ..........................เรียกว่าอสังข์ธาตุลุนิพพาน

    ๗๘.มโนวิญญาณธาตุ........สภาพใจรู้ยาตร.........หกอารมณ์กราน
ผ่านทวารหกล่วง..................เจ็ดสิบหกดวง............จิตทั้งหมดขาน
ขณะตาย,เกิดผ่าน................วิบากจิตสาน..............มิใช้ทวารแล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #142 เมื่อ: 28, ตุลาคม, 2568, 07:24:11 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๕/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๗๙.ใจคือมโนธาตุธุระยาตร.............เมื่อจักขุวิญญ์ธาตุซิดับแล้
รับต่อสิอารมณ์ประลุแล......................เกิดเช่นซิ"หู.."ผู้ตริต่อไป

    ๘๐.ขณะมโนธาตุ.........คราเกิด-ดับคาด.........มโนวิญญ์ธาตุไว
ที่พอเหมาะกัน.................รับมโนธาตุพลัน..........ตามลำดับไกล
วิญญาณห้าได้.................ตา,หู..ดับไซร้.............มโนธาตุเกิดตาม

    ๘๑.มานัส,มโน,จิตเหมาะมโน-...........วิญญ์ธาตุจะเกิดโผล่ประจักษ์ผลาม
ลำดับสิการเกิดกิจะลาม.......................ธรรมอื่นมโนธาตุสิตามมา

    ๘๒.มโนธาตุเกิดแล.......วิญญาณห้าแท้...........ได้ดับลงหนา
"จักขุวิญญ์ธาตุฯ"............."โสตวิญญ์ฯ"ยาตร......."ฆานวิญญ์ธาตุฯ"กล้า
"ชิวหาวิญญ์ฯ"มา.............."กายวิญญ์ธาตุฯ"หล้า....ตามลำดับพลัน

    ๘๓.มานัส,มโน,จิตเหมาะมโน-.............วิญญ์ธาตุจะเกิดโร่และดับครัน
รับรู้สิต่างทุกขณะดั้น............................ปรุงต่อมโนธาตุก็เป็นแฉ

    ๘๔.จิต,มโน,มานัส..........ปัณฑระชัด................มนินทรีย์แล
แปล"จิต"เหมือนชิด...........อาศัยภวังค์จิต............ธรรมมารมณ์แล้
มโนวิญญ์ธาตุฯแน่.............ที่เหมาะสมแท้............จึงเกิดขึ้นเอย

    ๘๕.ปัญหาสิถามปุจจ์ฉกะตรอง...........คำตอบซิมีข้องกะธาตุเผย
สิบแปดสภาพธรรมภวเกย......................ด้วยเหตุและปัจจัยมิใช่ตน

    ๘๖."จักขุธาตุ,ตา"...........เห็น"รูปธาตุ"นา.........."จักขุวิญญ์ธาตุ"ยล
"โสตธาตุ,หู"......................."สัททธาตุ,เสียง"พรู....."โสตวิญญ์ธาตุ"ผล
"จมูก,ฆานธาตุ"ด้น.............."คันธ์ธาตุ,กลิ่น"ล้น......"ฆานวิญญ์ธาตุฯ"นา

    ๘๗."ชิวหาสิธาตุ"พบ"รสะธาตุ"............."ชิวหาซิวิญญ์ฯ"กาจเจาะรู้หนา
"กายธาตุ"เสาะโผฏฐัพพะและกล้า..........."กายวิญญ์ธาตุ"เกิดริรู้พลัน

    ๘๘."มโนธาตุ,ใจ"..............พบ"ธัมมธาตุ"ไซร้.......สิ่งที่รู้ครัน
"มโนวิญญาณธาตุ"..............จึงได้เกิดยาตร...........รู้แจ้งใจสรร
รู้อารมณ์ทัน........................เจ็ดสิบหกดั้น..............เกิดหกทวารแล

    ๘๙.ด้วยธาตุสิสิบหกเหมาะเจาะกลาง.....อัพ์ยาซิเฉยวางและมั่นแฉ
ธัมม์ธาตุ,มโนวิญญ์ก็ละแล้.........................หักออกลุสิบหกปะเหลือคง

    ๙๐.ธาตุสองนั้นคือ............"ธัมมธาตุ"ชื่อ.............."ธรรมมารมณ์"ยง
" มโนวิญญาณธาตุ"..............สภาพรู้แจ้งคาด..........ทางใจประสงค์
เป็นกุศลตรง.........................อกุศลบ่ง....................อัพยากฤต,กลาง

    ๙๑.ธาตุสอง"มโนวิญญ์ฯ"กิจะบ่ม.............ธัมม์ธาตุซิอารมณ์หทัยวาง
พึง"เป็นวิบาก"รอประลุพลาง......................."ไม่เป็นและไร้เหตุวิบาก"หนา

    ๙๒.ด้วย"สัททธาตุ"............เสียงกระทบยาตร.......โสตประสาทนา
มีกรรมประกอบ.....................ด้วยตัณหาครอง.........และทิฏฐิพา
ไม่ยึดถือกล้า.........................มีอารมณ์มา................จากอุปาทาน

    ๙๓.ธาตุสองเจาะ"อยาก,ทิฎฐิ"ริจม............ยึดถือลุอารมณ์ซิมีพาน
"ไม่ยึดตะอารมณ์ศยะ"ขาน..........................อีกพวกปลาตมีนะทั้งสอง

    ๙๔.ธาตุสอง"กิเลส.............ไม่ทำเศร้าเจตน์"..........มีอารมณ์ครอง
"กิเลสไม่ทำ...........................ให้เศร้าหมอง"นำ.........อารมณ์มีปอง
กิเลสไม่จ้อง...........................ทำ"เศร้าหมอง"ถ่อง......ไร้อารมณ์เลย

    ๙๕.ธัมม์ธาตุเจาะอารมณ์ปะทุสอง............"มีตรึก,วิจาร"ส่องซิแน่เอ่ย
"ไร้ตรึก,วิจารมี,อนะเผย"..............................ท้ายกล่าวมิได้ว่าจะไร้,มี

    ๙๖.ธาตุสองสภาพสี่............"มีปีติ"ชี้......................."ร่วมด้วยสุข"คลี่
"ร่วมอุเบกขา"........................."ปีติ,สุขหา....................ไม่มีเลยปรี่"
"ท้ายไม่กล่าวชี้.......................ปีติ,สุขรี่........................อุเบกขา"เอย

    ๙๗.ธาตุสองสิเห็นแจ้งพหุหนา..................ได้ทำวิปัสส์นาเจริญเอ่ย
ทุกสิ่งมิเที่ยง,ทุกข์ทุระเผย...........................ความเป็นอนัตตาก็ทราบแล

    ๙๘.ธาตุสองสามสภาพ........."ต้องประหาร"ราบ..........ด้วยโสดาฯแล้
"ประหารด้วยมรรค..................เบื้องบนสาม"จัก.............เหนือโสดาแท้
"ไม่ประหารแน่........................โสดามรรคแผ่................หรือบนสาม"นา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #143 เมื่อ: 28, ตุลาคม, 2568, 04:03:05 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(หน้า ๖/๒๐) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

    ๙๙.ธาตุสองสิสามแบบประลุช่วย........มีเหตุประหารด้วยซิโสดาฯ
"หรือมรรคเจาะเบื้องบน"ตติหนา.............ไร้เหตุมิฆ่าด้วยกะมรรคผอง

    ๑๐๐.ธาตุสอง,สามแบบ......เป็นเหตุ"เกิด"แยบ.........และ"ตาย"มีครอง
เป็นเหตุให้ถึง........................พระนิพพานตรึง............ก็ยังมีตรอง
ไร้เหตุทั้งผอง........................ปฏิสนธิปอง..................จุตินิพพาน

    ๑๐๑.ธาตุสองเจาะสาม"เสขะนิกร".......ยังต้องมุเรียนป้อนวิมุติกราน
"ผู้เป็นอเสฯ"ถึงนิรวาณ............................ท้าย,ผู้มิเป็นสองกระไรเผย

    ๑๐๒.ธาตุสอง,สามแบบ......"ปริตตะด้อยแยบ"..........ธรรมข้องกามเอ่ย
เป็นมหัคคตะ..........................คือธรรมใหญ่ปะ............ขั้นรูฌานเกย
เป็นอัปป์มาณะเชย.................ไร้ประมาณเสย..............ขั้นอรหันต์แล

    ๑๐๓.ธัมม์ธาตุสิมีอาสวะท้น..................อารมณ์กิเลสดลซิมากแท้
ไม่เป็นก็มีได้นิรแฉ...................................อารมณ์ปลาตแน่กิเลสบาง

    ๑๐๔.มโนวิญญ์ธาตุ.............มีสามแบบยาตร............มีคันถะจาง
"พร้อมอารมณ์กวน.................จิตใจให้ป่วน"................."ไร้คันถะว่าง"
มีอารมณ์กร่าง........................กล่าวไม่ได้ขวาง............ไม่เป็นใดเลย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : ๑) มจร. ธาตุ ๖ นัยที่ ๑ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ [๓. ธาตุวิภังค์]
https://share.google/xoXfZ1diP3Ex3k3hW
          ๒) ธาตุ ๑๘ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/ep5nyGNHd1N0P1RJ6
          ๓) มจร. ธาตุ ๑๘ เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/BoH1chc1FMkIxdXgA

ธาตุวิภังค์ = เป็นคัมภีร์ย่อยในวิภังค์ ซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของพระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓๕ อธิบายเรื่อง "ธาตุ ๑๘" อันประกอบด้วยธาตุทางตา (จักขุธาตุ) รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส และการคิดนึก
การศึกษาธาตุวิภังค์ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง รวมถึงองค์ประกอบของมนุษย์ ทั้งรูปธรรม (วัตถุ) และนามธรรม (จิต เจตสิก) และนิพพาน นำไปสู่การเห็นความจริงว่าทุกสิ่งประกอบขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอนัตตา
ธาตุวิภังค์ = จำแนกออกเป็น ๓ ส่วน คือ (๑) สุตตันตภาชนีย์ จำแนกตามพระสูตร เป็นธาตุ ๖ (๒) อภิธรรมภาชนีย์ จำแนกตามพระอภิธรรม เป็น ธาตุ ๑๘ (๓) ปัญหาปุจฉกะ แสดงคำถาม คำตอบ เกี่ยวกับธาตุ
(ก) สุตตันตภาชนีย์
ธาตุ ๖ = คือ ธาตุ หมายถึงส่วนประกอบสำคัญที่รวมกันขึ้นเป็นสิ่งทั้งหลาย มีความหมายต่างกัน ได้แก่
(๑) ปฐวีธาตุ - ธาตุดิน = มี ๒ อย่าง คือ
(๑.๑) ปฐวีธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตนมีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายใน
(๑.๒) ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ธรรมชาติที่แข็งที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น เหล็ก
โลหะ ดีบุกขาว ดีบุกดำ เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงินตรา ทอง แก้วมณีแดง แก้วมณีลาย หญ้า ท่อนไม้ ก้อนกรวด กระเบื้อง แผ่นดิน แผ่นหิน ภูเขา หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก
(๒) อาโปธาตุ - ธาตุน้ำ มี ๒ อย่าง คือ
(๒.๑) อาโปธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายใน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #144 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 09:18:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา


(ต่อหน้า ๗/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

(๒.๒) อาโปธาตุที่เป็นภายนอกก็มี
อาโปธาตุภายนอก เป็นไฉน?
~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะในรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ รส รากไม้ ลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำที่อยู่บนพื้นดิน หรือน้ำที่อยู่ในอากาศ หรือ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ควานเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะกุมรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุภายนอก
(๓) เตโชธาตุ เป็นไฉน?
เตโชธาตุ มี ๒ อย่าง คือ เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายนอก
(๓.๑) เตโชธาตุภายใน เป็นไฉน?
~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายเร่าร้อน เตโชธาตุที่ทำให้ของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มถึงความย่อยไปด้วยดี หรือ ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ เรียกว่า เตโชธาตุภายใน
(๓.๒) เตโชธาตุภายนอก เป็นไฉน?
ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟอสนีบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อน  ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่าเตโชธาตุภายนอก.
(๔) วาโยธาตุ เป็นไฉน?
วาโยธาตุมี ๒ อย่างคือ วาโยธาตุภายใน วาโยธาตุภายนอก.
(๔.๑) วาโยธาตุภายใน เป็นไฉน
~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายในเฉพะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา ลมมีดโกน ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายใน
(๔ ๒) วาโยธาตุภายนอก เป็นไฉน?
~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมครุธ ลมใบตาล ลมใบพัด หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายนอก
(๕) อากาสธาตุ เป็นไฉน?
อากาศธาตุมี ๒ อย่าง คือ อากาสธาตุภายใน อากาสธาตุภายนอก
(๕.๑) อากาสธาตุภายใน
~ อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม และช่องสำหรับของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มไหลออกเบื้องต่ำ หรือ อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายใน
(๕.๒) อากาสธาตุภายนอก เป็นไฉน?
อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายนอก
(๖)วิญญาณธาตุ เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณธาตุ, โสตวิญญาณธาตุ, ฆานวิญญาณธาตุ, ชิวหาวิญญาณธาตุ, กายวิญญาณธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ .นี้เรียกว่า วิญญาณธาตุ
สภาวธรรมเหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖.


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5587
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 854



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #145 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 02:37:52 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๘/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์

ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง = คือ
(๑) สุขธาตุ ~ ความสำราญทางกาย; ความสุขทางกาย; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส
(๒) ทุกขธาตุ ~ ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกขธาตุ
(๓)โสมนัสสธาตุ ~ ความสำราญทางใจ; ความสุขทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โสมนัสสธาตุ 
(๔)โทมนัสสธาตุ ~ความไม่สำราญทางใจ; ความทุกข์ทางใจ; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า โทมนัสสธาตุ
(๕) อุเปกขาธาตุ ~ ความสำราญทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สำราญทางใจก็ไม่ใช่; ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิแต่เจโตสัมผัส; กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส; นี้เรียกว่า อุเปกขาธาตุ
(๖) อวิชชาธาตุ ~ ความไม่รู้ ความไม่เห็น; ความไม่ตรัสรู้; ความไม่รู้โดยสมความ; ความไม่รู้ตามความเป็นจริง; ความไม่แทงตลอด; ความไม่ถือเอาให้ถูกต้อง; ความไม่หยั่งลงอย่างรอบคอบ; ความไม่ใคร่ครวญ; ความไม่พิจารณา; ความไม่ทำให้ประจักษ์; ความด้อยปัญญา; ความโง่เขลา; ความไม่รู้ชัด; ความหลง ความลุ่มหลง; ความหลงใหล อวิชชา; โอฆะคืออวิชชา; โยคะคืออวิชชา; อนุสัยคืออวิชชา; ปริยุฏฐานะคืออวิชชา ลิ่มคืออวิชชา; อกุศลมูลคือโมหะ; นี้เรียกว่า อวิชชาธาตุ
ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง = คือ
(๑) กามธาตุ ~ คือ ความตรึก โดยอาการต่างๆ; ความดำริ; ความที่จิตแนบแน่นในอารมณ์; ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์; ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยกาม; นี้เรียกว่า กามธาตุ (กามมี ๒ คือ วัตถุกาม และกิเลสกาม ธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับกิเลสกามเป็นชื่อของกามวิตก ธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุกามเป็นชื่อสภาวธรรมที่เป็นกามาวจร)
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ท่องเที่ยวนับเนื่องอยู่ในระหว่างนี้ ชั้นต่ำมีอเวจีนรกเป็นที่สุด ชั้นสูงมีเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุดนี้ เรียกว่า กามธาตุ
(๒) พยาปาทธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยพยาบาท นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ (พยาปาทธาตุนี้เป็นชื่อของพยาบาทวิตก)
อีกนัยหนึ่ง ความที่จิตอาฆาตในอาฆาตวัตถุ ๑๐ ความอาฆาตที่รุนแรง; ความกระทบกระทั่ง; ความแค้น; ความพิโรธตอบ; ความกำเริบ; ความกำเริบหนัก; ความกำเริบหนักขึ้น; ความคิดร้าย ความคิดประทุษร้าย; ความคิดประทุษร้ายหนัก; ความที่จิตคิดพยาบาท; ความที่จิตคิดประทุษร้าย; ความโกรธ; กิริยาที่โกรธ; ภาวะที่โกรธ; ความคิดปองร้าย; กิริยาที่คิดปองร้าย; ภาวะที่คิดปองร้าย; ความพยาบาท; กิริยาที่พยาบาท; ภาวะที่พยาบาท; ความพิโรธ; ความพิโรธตอบ; ความดุร้าย; ความเกรี้ยวกราด; ความที่จิตไม่แช่มชื่น; นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ
(๓) วิหิงสาธาตุ ~คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วยวิหิงสา นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมใช้ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา หรือเชือกอย่างใดอย่างหนึ่งเบียดเบียนสัตว์; ความเบียดเบียน; กิริยาที่เบียดเบียน; ความรังแก; กิริยาที่รังแก; ความเกรี้ยวกราด; กิริยาที่กระทบกระทั่งอย่างรุนแรง; ความเข้าไปเบียดเบียนสัตว์อื่นเห็นปานนี้; นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ   
(๔) เนกขัมมธาตุ ~คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบด้วยเนกขัมมะ นี้เรียกว่า เนกขัมมธาตุ
(๕) อัพยาปาทธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบด้วยอัพยาบาท นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ
ความมีไมตรี ความเจริญเมตตา ภาวะที่แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย เมตตา เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นทางใจที่มีเมตตาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ
(๖) อวิหิงสาธาตุ ~ คือ ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ; ความดำริที่ประกอบด้วยอวิหิงสา; ความที่จิตแนบแน่นในอารมณ์; ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์; ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์; สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ
กรุณา; ความเจริญกรุณา; ภาวะที่แผ่กรุณาในสัตว์ทั้งหลาย; กรุณาเจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นทางใจที่มีกรุณาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ
ประมวลย่อธาตุ ๖ สามหมวดนี้เข้าเป็นหมวดเดียวกันจึงเป็นธาตุ ๑๘ ด้วยอาการอย่างนี้
สุตตันตภาชนีย์ จบ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 8 9 [10]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.18 วินาที กับ 109 คำสั่ง
กำลังโหลด...