|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๓/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
ปัญหาปุจจฉกะ ติกมาติกาวิสัชนา = เป็นการศึกษาทำความเข้าใจหลักธรรมในพระอภิธรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจในเรื่องของจิต เจตสิก รูป และนิพพาน ธาตุ ๑๘ = คือ ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งเป็นธรรมชาติอันเป็นปกติของตนเองไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่ประการใด ได้แก่ (๑) จักขุธาตุ = จักขุ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่รูปารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ จักขุประสาท (๒) รูปธาตุ = รูปารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับจักขุปสาทได้องค์ธรรม ได้แก่ สีต่างๆ (๓) จักขุวิญญาณธาตุ = จักขุวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราทรงไว้ซึ่งการเห็นองค์ธรรม ได้แก่ จักขุวิญญาณจิต ๒ (๔) โสตธาตุ =โสตะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่สัททารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท (๕) สัททธาตุ = สัททารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับโสตปสาทได้ องค์ธรรมได้แก่ เสียงต่างๆ (๖) โสตวิญญาณธาตุ = ชื่อว่าธาตุ ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน องค์ธรรมได้แก่ โสตวิญญาณจิต ๒ (๗) ฆานธาตุ = ฆานะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่คันธารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท (๘) คันธธาตุ = คันธารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับฆานปสาท ได้องค์ธรรมคือ กลิ่นต่างๆ (๙) ฆานวิญญาณธาตุ = ฆานวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้กลิ่นองค์ธรรม ได้แก่ ฆานวิญญาณจิต ๒ (๑๐) ชิวหาธาตุ = ชิวหา ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่รสารมณ์มากระทบได้องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท (๑๑) รสธาตุ = รสารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับชิวหาปสาทได้องค์ธรรม ได้แก่ รสต่างๆ (๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ = ชิวหาวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้รสองค์ธรรมิ ได้แก่ ชิวหาวิญญาณจิต ๒ (๑๓) กายธาตุ = กายะ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งความใสที่โผฏฐัพพารมณ์มากระทบได้ องค์ธรรมได้แก่ กายปสาท (๑๔) โผฏฐัพพธาตุ = โผฏฐัพพารมณ์ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการกระทบกับกายปสาท ได้องค์ธรรมได้แก่ สัมผัสต่างๆ (๑๕) กายวิญญาณธาตุ = กายวิญญาณ ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้สัมผัสองค์ธรรม ได้แก่ กายวิญญาณจิต ๒ (๑๖) มโนธาตุ = จิต ๓ ดวง ชื่อว่ามโนธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้ปัญจารมณ์อย่างสามัญ องค์ธรรมได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันจิต ๒ ~ปัญจทวาราวัชชนจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่ "น้อม" หรือ "หัน" อายตนะทั้ง ๕ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไปรู้อารมณ์ที่มากระทบก่อนเป็นลำดับแรก ทำให้เกิดการรับรู้ทางทวารทั้ง ๕ เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น เป็นต้น จิตนี้เป็นกิริยาจิตที่เกิดขึ้นเพื่อรับรู้ว่าอารมณ์ใดกระทบทวารใด ก่อนที่วิบากจิต (จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ) จะเกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์นั้นจริงๆ ~สัมปฏิจฉันจิต ๒ = หรือ สัมปฏิจฉันนะกิจ คือ หน้าที่ของจิตที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ต่อจากวิญญาณวิถีจิต โดยจะรับรู้ถึงสิ่งที่กระทบเข้ามาทางประสาทสัมผัส (เช่น สิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส หรือความคิด) แล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไป เช่น สันตีรณจิต เกิดขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์นั้นต่อ (๑๗) ธัมมธาตุ = สภาพธรรม ๖๙ ชื่อว่าธัมมธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตนๆ องค์ธรรมได้แก่ เจตสิก ๕๒ สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน ๑ ~ สุขุมรูป ๑๖ = คือ "อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป" เป็นรูปละเอียด มองไม่เห็นและกระทบไม่ได้ รับรู้ได้ด้วยธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยใจเท่านั้น สุขุมรูปประกอบด้วย อาโปธาตุ ๑ - ธาตุน้ำ; ภาวรูป ๒ - รูปที่เกิดจากการปรุงแต่งทางใจ; หทัยรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของจิต; ชีวิตรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของชีวิต; อาหารรูป ๑ - รูปอันเป็นที่ตั้งของอาหาร; ปริจเฉทรูป ๑ - รูปอันเป็นที่กำหนดเขต; วิญญัตติรูป ๒ - รูปอันสื่อแสดง; วิการรูป ๓ - รูปอันเป็นรูปที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น บิดงอ ย่น; ลักขณรูป ๔ - รูปอันเป็นเครื่องหมายของรูปทั้งปวง เช่น เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (๑๘) มโนวิญญาณธาตุ= จิต ๗๖ ดวง ชื่อว่ามโนวิญญาณธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งการรู้ อารมณ์เป็นพิเศษองค์ธรรมได้แก่ จิต ๗๖ (เว้นทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ และ มโนธาตุ ๓) ~ทวิปัญจวิญญาณจิต = คือ จิตที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยประกอบด้วยจิต ๑๐ ดวง (๒ ฝ่าย ฝ่ายละ ๕ ดวง) ได้แก่ จักขุวิญญาณ (เห็น), โสตวิญญาณ (ได้ยิน), ฆานวิญญาณ (ได้กลิ่น), ชิวหาวิญญาณ (รู้รส), และกายวิญญาณ (สัมผัส) จิตเหล่านี้เกิดขึ้นจากผลของกรรม ทำให้วิบากนั้นมีทั้งฝ่ายดี (กุศลวิบาก) และฝ่ายไม่ดี (อกุศลวิบาก) ทุกมาติกาปุจฉา บรรดาธาตุ ๑๘ ธาตุ = เท่าไรเป็นกุศล; เท่าไรเป็นอกุศล; เท่าไรเป็นอัพยากฤต; ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้; เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้;
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๔/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
(๒.๒) อาโปธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติ ที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น น้ำรากไม้ น้ำลำต้น น้ำเปลือกไม้ น้ำใบไม้ น้ำดอกไม้ น้ำผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำในพื้นดิน น้ำในอากาศ หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่ซึมซาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายนอก (๓) เตโชธาต - ธาตุไฟ มี ๒ อย่าง คือ (๓.๑) เตโชธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือซึ่งเป็นภายในตน เช่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ที่ทำให้เร่าร้อนและที่ทำให้ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ถึงความย่อยไปด้วยดี หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายใน (๓.๒) เตโชธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟ อสนิบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายนอก (๔) วาโยธาตุ - ธาตุลม มี ๒ อย่าง คือ (๔.๑) วาโยธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา(ลมที่พัดหมุนไป ประดุจตัดสิ่งที่ต่อกันไว้ที่ผูกกันไว้ด้วยมีดโกน); ลมมีดโกน(ลมที่เฉือดเฉือน ประดุจเฉือนหทัยด้วยมีดอันคม); ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูปเป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายใน (๔.๒) วาโยธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายนอกตนที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมปีกครุฑ ลมใบกังหัน ลมพัดโบก หรือความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูปเป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตนแม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายนอก (๕) อากาสธาตุ - ธาตุคือที่ว่าง มี ๒ อย่าง คือ (๕.๑) อากาสธาตุที่เป็นภายในก็มี ~ อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มและช่องสำหรับของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มไหลลงเบื้องต่ำ หรืออากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุที่เป็นภายใน (๕.๒) อากาสธาตุที่เป็นภายนอกก็มี ~ อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ; ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า; (ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่างซึ่งมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้องแล้ว) เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน (๖) วิญญาณธาตุ - ธาตุคือวิญญาณ คือ จิต หรือ ธาตุรู้ จิตโดยธรรมชาตินั้น ผุดผ่องเป็นประภัสสร เรียกว่าเป็น วิญญาณธาตุ ได้แก่ (๖.๑) จักขุวิญญาณธาตุ (๖.๒) โสตวิญญาณธาตุ (๖.๓) ฆานวิญญาณธาตุ (๖.๔) ชิวหาวิญญาณธาตุ (๖.๕) กายวิญญาณธาตุ (๖.๖) มโนวิญญาณธาตุ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๕/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
กุสลติกวิสัชนา = คำตอบที่เป็นกุศล ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอัพยากฤต ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นกุศลก็มี; ที่เป็นอกุศลก็มี; ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (ธาตุ ๒ คือ ธัมมธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ) เวทนาติกวิสัชนา = คำตอบที่เป็น เวทนา ธาตุ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) สัมปยุตด้วยสุขเวทนา (๒)สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา (๓) หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ธาตุ ๕ ~ สัมปยุตด้วย (๑) อทุกขมสุขเวทนา (๒) กายวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๓) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๔) มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๕) ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๖) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๗) ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี (๘)ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี (๙) ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๑๐) ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยสุขเวทนา, สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา, หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี วิปากติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับวิบาก ธาตุ ๑๐ ~ ไม่เป็นวิบาก, และไม่เป็นเหตุให้เกิด วิบาก ธาตุ ๕ ~ เกี่ยวกับวิบาก มโนธาตุที่เป็นวิบากก็มี; ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี; ธาตุ ๒ ~ เกี่ยวกับวิบาก (๑) ที่เป็นวิบากก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓) ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี อุปาทินนติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับอุปาทาน ธาตุ ๑๐ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สัททธาตุ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ธาตุ ๕ ~ เกี่ยวกับอุปาทาน (๑) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ธาตุ ๒ ~ เกี่ยวกับอุปาทาน (๑) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๓) ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องเศร้าหมอง ธาตุ ๑๖ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๒) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๓) ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มีสวิตักกติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ วิตก วิจาร ธาตุ ๑๕ ~ (๑)ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร (๒) มโนธาตุมีทั้งวิตกและวิจาร (๓) มโนวิญญาณธาตุ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๔) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๕) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ธัมมธาตุ = (๑) ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒) ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี (๓) ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตก และ วิจารก็มี ปีติติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับปีติ ธาตุ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคต(ร่วมด้วย)ปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๕ ~ สหรคตด้วยอุเบกขา กายวิญญาณธาตุ ~ (๑)ไม่สหรคตด้วยปีติ (๒) ที่สหรคตด้วยสุขแต่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยสุขก็มี ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สหรคตด้วยปีติก็มี (๒) ที่สหรคตด้วยสุขก็มี (๓) ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ทัสสนติกวิสัชนา = การเห็นแจ้ง ซึ่งเป็นผลมาจากการวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนเห็นความจริงของสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง คือ ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ธาตุ ๑๖ ~ ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ มรรคเบื้องบน ๓ ~ ที่เหนือกว่าโสดาปัตติมรรค คือ สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และ อรหัตตมรรค ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ทัสสนเหตุติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับเหตุต้องประหาร ธาตุ ๑๖ ~ ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๒) ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๖/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
อาจยคามิติกวิสัชนา = ธรรมทั้งหลายที่เป็นไปของสัตว์ผู้ดําเนินไปสู่ปฏิสนธิ และจุติ ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี (๒) ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี (๓) ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี เสกขติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับ เสขะ,อเสขะ ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี (๒) ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี (๓) ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี ปริตตติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องธรรมที่ด้อย ธาตุ ๑๖ ~ เป็นปริตตะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นปริตตะ(ธรรมด้อย) ก็มี (๒) ที่เป็นมหัคคตะ(ธรรมใหญ่) ก็มี (๓) ที่เป็นอัปปมาณะ (ธรรมที่ไม่มีประมาณ) ก็มี ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องปริตตธรรม ปริตตารัมมณธรรม คือ สภาวธรรม ที่กระทำปริตตธรรมให้เป็นอารมณ์มีอยู่ (ปริตตธรรม คือสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แต่จิตก็ยินดีพอใจติดข้องในปริตตธรรมนั้นอยู่เสมอ เพราะการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของปริตตธรรมนั้นๆ จึงดูเสมือนไม่ดับไป) ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ ~ มีปริตตะเป็นอารมณ์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์, มีมหัคคตะเป็นอารมณ์, หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี หีนติกวิสัชนา =คำตอบของธรรมที่ต่ำ ธาตุ ๑๖ ~ เป็นชั้นกลาง ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นชั้นต่ำก็มี (๒) ที่เป็นชั้นกลางก็มี (๓) ที่เป็นชั้นประณีตก็มี มิจฉัตตติกวิสัชนา =คำตอบที่มีความเห็นผิด,เห็นถูก ธาตุ ๑๖ ~ เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี (๒) ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี (๓) ที่เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี มัคคารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์ของมรรค ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ (๒) มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดี ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี (๓) ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์, มีมรรค เป็นเหตุ, หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี อุปปันนติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ การเกิดขึ้น ธาตุ ๑๐ ~ (๑) ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้นก็มี สัททธาตุ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ธาตุ ๖ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เกิดขึ้นก็มี (๒) ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี (๓) ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี (๔) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้น หรือ จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่อง ธรรมมีอารมณ์ภายในตน ธาตุ ๑๐ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ ~ (๑) ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี (๒) ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี (๓) ที่มีธรรมภายในก็มี ทุกมาติกาวิสัชนา สนิทัสสนติกวิสัชนา = คำตอบการกระทบ รูปธาตุ ~ เห็นได้และกระทบได้ ธาตุ ๙ ~ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ธาตุ ๘ ~ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เหตุโคจฉกวิสัชนา =คำตอบเรื่องเหตุ ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นเหตุ ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่มีเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุต(ไม่ประกอบด้วย) จากเหตุ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ, หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี (๒) ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ, หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ, หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ, หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๗/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี (๒) ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ, หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี จูฬันตรทุกวิสัชนา = ธาตุ ๑๗ ~ มีปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี (๒) ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี ธาตุ ๑๗ ~ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี (๒) ที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี รูปธาตุ ~ เห็นได้ ธาตุ ๑๗ ~ เห็นไม่ได้ ธาตุ ๑๐ ~ กระทบได้ ธาตุ ๘ ~ กระทบไม่ได้ ธาตุ ๑๐ ~ เป็นรูป ธาตุ ๗ ~ ไม่เป็นรูป ธัมมธาตุ ~ (๑)ที่เป็นรูปก็มี (๒) ที่ไม่เป็นรูปก็มี ธาตุ ๑๖ ~ เป็นโลกิยะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นโลกิยะก็มี (๒) ที่เป็นโลกุตตระก็มี ธาตุ ๑๘ ~ (๑) ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี (๒) ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี อาสวโคจฉกวิสัชนา =คำตอบเรื่องกิเลส ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นอาสวะ ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ (๑) เป็นอารมณ์ของอาสวะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอาสวะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือ (๒) เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น อาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ, หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือ (๒) สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ (๔) หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๔) หรือวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นสังโยชน์ ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มโนวิญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑)เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๒) หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็สังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๔) หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๘/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔) หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี คันถโคจฉกวิสัชนา = การอธิบายว่า สิ่งใดเป็นเครื่องรบกวนจิตใจ (คันถะ) และสิ่งใดไม่เป็นเครื่องรบกวนจิตใจ (ไม่เป็นคันถะ) ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นคันถะ ธัมมธาตุ ~ ที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของคันถะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากคันถะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มโนวิญญาณธาตุ ~ กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๒) หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มโนวิญญาณธาตุ ~กล่าวไม่ได้ว่า (๑) เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ (๔) หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๔) หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา = ธาตุ ๑๗ ~ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ ธัมมธาตุ ~ ที่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ (๑)กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๒) หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๔) หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๒) หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มโนวิญญาณธาตุ ~ (๑) กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมธาตุ ~ (๑) ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี (๒) ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๔) หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ธาตุ ๒ ~ (๑) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๒) ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๓) ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๔) หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๙/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
ปรามาสโคจฉกวิสัชนา = ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นปรามาส ~ ธัมมธาตุที่เป็นปรามาสก็มี, ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของปรามาส ~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาส ~ มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี, ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี ~ ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี, ที่วิปปยุตจาก ปรามาสก็มี, ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส, หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส ~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ~ ธัมมธาตุที่เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของ ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส ~ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี มหันตรทุกวิสัชนา ~ ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ~ ธาตุ ๗ รับรู้อารมณ์ได้ ~ ธัมมธาตุที่รับรู้อารมณ์ ได้ก็มี; ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี ~ ธาตุ ๗ เป็นจิต ~ ธาตุ ๑๑ ไม่เป็นจิต ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นเจตสิก ~ ธัมมธาตุที่เป็นเจตสิกก็มี; ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี ~ ธาตุ ๑๐ วิปปยุตจากจิต ~ ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี; ที่วิปปยุตจากจิตก็มี ~ ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต หรือวิปปยุตจากจิต ~ ธาตุ ๑๐ ไม่ระคนกับจิต ~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตก็มี ~ ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต, หรือไม่ระคนกับจิต ~ ธาตุ ๑๒ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ~ ธาตุ ๖ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เกิดพร้อมกับจิต ธัมมธาตุที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นไปตามจิต ~ ธัมมธาตุที่เป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน ~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต ~ ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็สมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี ~ ธาตุ ๑๒ เป็นภายใน ธาตุ ๖ เป็นภายนอก ~ ธาตุ ๙ เป็นอุปาทายรูป ~ ธาตุ ๘ ไม่เป็นอุปาทายรูป ~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทายรูปก็มี; ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี อุปาทานโคจฉกวิสัชนา ~ ธาตุ ๑๐ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ~ สัททธาตุ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ~ ธาตุ ๗ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นอุปาทาน ~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานก็มี, ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒๐/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทาน ~ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; ที่สัมปยุตด้วอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~ ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปทานก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ~ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี กิเลสโคจฉกวิสัชนา =ตอบเรื่องกิเลส ~ ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นกิเลส ~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสก็มี, ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของกิเลส ~ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง ~ ธาตุ ๒ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี ~ ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากกิเลส ~ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส, หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส ~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส ~ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~ ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ~ ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส ~ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธัมมธาตุ~ ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธาตุ ๑๖ ~ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ธาตุ ๒ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ปิฏฐิทุกวิสัชนา ธาตุ ๑๖ ~ ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค ธาตุ ๒ ~ ที่ต้องประหารด้วย โสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ~ ที่ต้องประหารด้วย มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรค
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒๑/๒๑) ๑๐.วิภังค์ : ธาตุวิภังค์
ธาตุ ๒ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ธาตุ ๑๕ ~ไม่มีวิตก มโนธาตุ ~ มีวิตก ธาตุ ๒ ~ ที่มีวิตกก็มี; ที่ไม่มีวิตกก็มี ธาตุ ๑๕ ไม่มีวิจาร มโนธาตุ ~ มีวิจาร ธาตุ ๒ ~ ที่มีวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิจารก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่มีปีติ ธาตุ ๒ ~ ที่มีปีติก็มี; ที่ไม่มีปีติก็มี ธาตุ ๑๖ ไม่สหรคตด้วยปีติ ธาตุ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี ธาตุ ๑๕ ~ไม่สหรคตด้วยสุข ธาตุ ๓ ~ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี ธาตุ ๑๑ ~ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๕ ~ สหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ธาตุ ๑๖ ~ เป็นกามาวจร ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นกามาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นรูปาวจร ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ ~ ไม่เป็นอรูปาวจร ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ ~ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ธาตุ ๒ ~ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ ธาตุ ๒ ~ ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ธาตุ ๑๖ ~ ให้ผลไม่แน่นอน ธาตุ ๒ ~ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี ธาตุ ๑๖ ~ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ธาตุ ๒ ~ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี; ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ธาตุ ๑๖ ~ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ ธาตุ ๒ ~ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ปัญหาปุจฉกะ จบ ธาตุวิภังค์ จบบริบูรณ์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
อภิธรรมปิฎก : ๑๑. สัจจวิภังค์ (แจกอริยสัจจ์ ๔)
วสันตปยาตฉันท์ ๑๔/กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖
๑.ขอกราบสิโคตมะพระพุทธ์ฯ.............พระองค์รุดซิตรัสรู้ เมตตาสถานะเหมาะเจาะครู....................แนะธรรมล้ำลิทุกข์ผลาญ
๒.สัจจวิภังค์...................ทางดับทุกข์พัง.............."อริยสัจจ์"ชาญ แจงสามแบบต่าง................"สุตตันต์ภาฯ"พลาง........แบบพระสูตรพาน "อภิธรรมภาฯ"งาน..............ธรรมขั้นสูงกราน............"ปุจจฉฯ"ตอบธรรม
๓.ความจริงประเสริฐ"อริยสัจจ์"............ประพฤติชัดซิทราบล้ำ กับสัจจะมีเจาะจตุหนำ.............................ก็"ทุกข์"คืออะไรเผย
๔."ทุกข์สมุทัย"...............เหตุเกิดทุกข์ไซร้............รู้เหตุดับเลย "นิโรธอริยสัจจ์"..................ทางดับทุกข์ชัด..............ทำลายหมดเอย "ทุกข์นิโรธฯ"เกย................ทางปฏิบัติเชย................ทุกข์หมดสิ้นแล
๕.ทุกข์สัจไฉนลุทุขะ"ชาติ"...................จะเกิดยาตร ณ ขันธ์แน่ สัตว์มีสิอายตนะแฉ...................................ทวารหกซิตา,หู..
๖."ชรา"เป็นอย่างใด.........แก่,คร่ำคร่าไซร้..............ฟันหลุด,หงอกกรู หนังเหี่ยวย่นตรง..................กาย,วัยเสื่อมลง.............ร่างแก่หง่อมดู กายงกเงิ่นอยู่.......................เคลื่อนไหวช้ารู้.............ของเหล่าสัตว์นา
๗.ความทุกข์ก็ตาย"มรณะ"ไซร้...............ก็เคลื่อนไปทลายหนา ขันธ์แตกมลานลุภิทะพา.............................และชีวีสลายเอย
๘."โสกะ"เป็นใด.................ภาวะเศร้าใจ.................ความแห้งผากเผย โทมนัสใจรุก.........................ใจพลอยเป็นทุกข์..........ภาวะเสื่อมเปรย "ปริเทวะ"เอ่ย........................ร้องไห้,ครวญเคย...........มีความเสื่อมซม
๙."ทุกข์"เป็นไฉนเจาะมิสราญ..................กะกายพานและอารมณ์ กายถูกกระทบลุทุขะตรม............................ลุอารมณ์ซิทุกข์กราย
๑๐."โทมนัส"เป็นใด...........มิสำราญใจ....................เกิดทุกข์ใจฉาย "เจโตสัมผัส"........................เกิดกระทบชัด................ทางวิญญาณปราย ไม่ผ่านทางกาย....................ตา,หู,จมูกปลาย..............หรือลิ้นอย่างใด
๑๑.คับแค้น"อุปาฯ"สิหทยา......................สภาพหนาทุรนไซร้ เสื่อมญาติและโรคะภยะไว..........................รู้เสื่อมศีลและทรัพย์แฉ
๑๒.ประสบ"อารมณ์..........ที่ไม่รัก"ตรม....................เป็นอย่างใดแล อยู่ร่วมในกาล......................ไม่พอใจขาน...................ไม่ต้องการแล้ จากรูป,เสียงแน่....................กลิ่น,รสที่แย่...................โผฎฐัพพ์ฯหรือใคร
๑๓."พลัดพรากกะสิ่งลุปิยะ"ล้น..................จะทุกข์ทนซิอย่างไร ไม่ได้ลุร่วมเจาะภวะใด..................................สิชื่นชอบก็ทุกข์ถม
๑๔."พลาดสิ่งต้องการ".......เหล่าสัตว์จะพาน.............ทุกข์อย่างใดซม ผู้ที่เกิดมา.............................ต้องการขอหนา...............อย่าเกิดอีกตรม ไม่สำเร็จชม.........................ปรารถนาสม.....................จึงเป็นทุกข์เอย
๑๕.ผู้มีชราปกติไซร้.................................จะเจ็บไข้รึตายเอ่ย ผู้โทมนัสรวะเฉลย.......................................ซิขอเว้นมิได้แฉ
๑๖."อุปาทานขันธ์"............มีห้าอย่างครัน..................เป็นทุกข์ไยแล "รูปูปาทานฯ"........................มีอารมณ์กราน.................ยึดรูปกายแน่ "เวทนูปาฯ"แล้.......................กองเวทนาแท้..................อารมณ์ยึดมา
๑๗."สัญญูปะทาฯ"ธุวระลึก......................กะสิ่งนึกและยึดหนา ที่ตนเจาะจำเกาะหทยา...............................และหลงว่าซิของตน
๑๘."สังขารูปาทานฯ"..........ยึดถือมั่นกราน................สิ่งปรุงแต่งผล นำสู่ความทุกข์......................."วิญญาณูฯ"รุก................รู้สิ่งต่างด้น ผ่านสัมผัสชน........................จิตยึดติดล้น....................ทุกข์จึงเกิดมา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒/๑๔) ๑๑. สัจจวิภังค์
๑๙.ด้วย"ทุกข์สมุทอริยสัจฯ"..............ก็เหตุชัดลุทุกข์หนา ตัณหาสิอยากเจาะรติคว้า......................ริอารมณ์และเพลินใจ
๒๐.ตัณหาเมื่อเกิด........เกิดที่ใดเชิด.............เมื่ออยู่,ที่ไหน ตัณหาเกิด,อยู่..................ที่"ปิยรูปฯ"ชู.............ด้วยรัก,ชอบไว คือรูป,เสียงไซร้................รวมกลิ่น,รส..ใกล้.....ท้ายธรรมารมณ์
๒๑.โลกมีอะไรลุ"ปิยะรูปฯ"...................เจาะมีจูบซิมากสม ภายในสิอายตนะชม...............................ก็ตา,หู,จมูก..เอย
๒๒.ปิยรูปฯเช่นตา..........เมื่อเกิดตัณหา........เกิดที่ตาเผย ตัณหาตั้งอยู่......................ก็ที่"ตา"ชู...............ไม่อยู่ไหนเลย "มโนฯ"เหมือนเอ่ย..............เกิดอยู่ใจเคย..........มิเปลี่ยนแปรไป
๒๓.ภายนอกสิอายตนะเกรียง................ก็รูป,เสียงและกลิ่นไข "รูป"เมื่ออุบัติรึศยะไซร้..............................ณ รูปเดิมมิผันแปร
๒๔."ปิยรูปฯ"มีธรรม........ตัณหาเกิดนำ...........เกิดที่ธรรมแน่ ตัณหาตั้งอยู่......................ณ ที่ธรรมชู..............ก็ไม่หนีแล โผฏฐัพพะแล้.....................เกิด,อยู่จริงแท้..........เช่นเดียวกันพาน
๒๕.วิญญาณสิผองก็ปิยะรูปฯ..................เลาะหกจูบซิวิญญาณ เริ่มจักขุวิญญ์ฯลุศยะกราน.........................ซิโสตวิญญ์ฯและฆาน์วิญญ์ฯ
๒๖.ชิวหาวิญญาณ..........กายวิญญาณพาน......มโนวิญญ์ชิน ตัณหาเกิดที่.......................หกวิญญาณชี้............ต่างแยกผลิน ตัณหาอยู่สิ้น......................แต่ละวิญญ์ฯยิน.........อยู่ที่นั่นแล
๒๗.สัมผัสสิเป็นเจาะปิยะรูปฯ....................ลุ"อยาก"หลุบทะยานแผ่ ที่เกิดเพราะอายตนะแฉ................................ทวารห้านะเกิดอยู่
๒๘.จักขุสัมผัส.................ฆานสัมผัสชัด...........โสตสัมผัสฯชู ชิวหาสัมฯลิ้น.......................กายสัมผัสชิน............มโนสัมฯพรู ตัณหาเกิดอยู่......................จะเกิด,อยู่กรู.............หกสัมผัสนา
๒๙.เวท์นาลุอายตนะใน.............................ซิ"ตา"ไซร้จมูก"..หนา ลิ้นและกายกะหทยา.....................................ลุ"เกิด,อยู่" ณ เวทน์เผย
๓๐.สัญญา,จำดอก...........อายตนะนอก..............เป็นปิยะรูปฯเอย ตัณหาเกิด,อยู่.....................ที่รูปสัญฯชู..................แน่นอนมิเอ่ย สัททสัญญาเกย..................คันธ์สัญญาเชย............รสสัญญาแล
๓๑.โผฆฐัพพ์ฯอุบัติและศยะครัน...............กะธัมม์สัญญะนี้แล้ว สัญญาสิหกลุภวแน่......................................และตั้งอยู่ ณ ที่นั้น
๓๒.สัญเจตนาดอก............อายตนะนอก...............เป็นปิยะรูปครัน "รูปสัญเจต์นา"......................สัทท์สัญเจต์ฯมา.........."คันธ์สัญเจต์ฯสรร รสสัญเจต์ฯนั้น....................."โผฏฐัพพ์สัญฯ"ครัน......."ธัมม์สัญเจต์นา"
๓๓.สัญเจตะหกริรติหนา...........................สิตัณหาจะเกิดมา ตั้งอยู่ ณ สัญลุเฉพาะคว้า.............................เจาะแยกไม่ปะปนกัน
๓๔.อายตนะนอก...............ทั้งหกมีบอก................ที่เกิดอยู่ครัน ของตัณหาแล.......................เป็นปิยรูปฯแท้............."รูปตัณหา"พลัน "สัทท์ตัณหา"ยัน..................."คันธ์ตัณหา"ดั้น..........."รสตัณหา"เอย
๓๕."โผฏฐัพพะตัณฯ"ภวกระทบ..................จะเกิดจบและอยู่เผย ท้าย"ธัมมตัณฯ"ตริวสะเอ่ย.............................หทัยคิดเสาะ"อยาก"ไข
๓๖.อายตนะนอก...............ทั้งหกรวมพอก..............ที่เกิด,อยู่ไว ของตัณหาเอย......................เป็นปิย์รูปฯเชย............."รูปวิตก"ไกล "สัทท์วิตก"ใด........................"คันธ์วิตก"ไซร้.............."รสวิตก"ยล
๓๗."โผฏฐัพพะฯ"ตรึกภวกระทบ...................เจาะสิ่งพบ ณ กายล้น ท้าย"ธัมมะฯ"ตรึกตริอกุศล...............................ริคิด"กาม,วิหิงสา"
๓๘.อายตนะนอก................มีหกรวมหรอก.............ที่เกิด,อยู่พา ของตัณหาแล........................เป็นปิย์รูปฯแน่.............."รูปวิจาร"นา "สัทท์วิจาร"กล้า......................"คันธ์วิจาร"หนา..........."รสวิจาร"เอย
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๓/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์
๓๙."โผฏฐัพพ์วิจาร"ตริปะทะจริง..............ริตรองสิ่งแตะกายเอ่ย "ธัมมาวิจารฯ"มนะริเกย...............................ปรุอารมณ์และตรงแฉ
๔๐."ทุกข์นิโรธ-...............อริยสัจ"โชติ............ความดับทุกข์แน่ เป็นอย่างใดนับ...................สำรอก,ความดับ.......โดยไม่เหลือแล ตัณหา,ละแล้......................ดับที่ใดแล้................ปิย์รูปรักนา
๔๑.รูปรักและชื่นลุอติชี้............................ก็ที่นี้ซิดับหนา รูปมีอะไรเจาะปิยะกล้า................................ลุหกสิบเหมาะดับสม
๔๒.จักษุ,โสตะ...................ชิวหา,ฆานะ................กาย,มโนคม ตัณหาจะดับ......................ก็หกสิ่งนับ..................ต่างทำระดม หกน่ารักชม.......................น่าชอบใจรมย์.............แลสำราญใจ
๔๓."รูป"เป็นสิสิ่งลุปฏิพัทธ์........................จะดับชัดซิโดยไว "เสียง,กลิ่นและรส"ก็ดุจะไซร้........................กะ"โผฏฐัพพะ,ธัมมาฯ"
๔๔.สิ่งเป็นที่รัก...............หกวิญญาณจัด............ดับที่นี่หนา จักขุวิญญาณ....................โสตวิญญ์ฯกราน...........ฆานวิญญ์ฯพา ชิวหาวิญญ์ฯมา..................กายวิญญาณกล้า.........มโนวิญญาณ
๔๕.สัมผัสเลาะอายตนะ,ใน.......................ลุดับไว ณ หกกราน มี"จักขุสัมฯ"แตะปะทะพาน...........................กะรูปเกิดรตีแฉ
๔๖.จักขุสัมผัส................ละดับได้ชัด.................ที่จักขุแน่ อีกห้าเช่นกัน.......................ที่น่ารักครัน.................ต่างก็ดับแล "โสต,ฆานะ"แล้...................."ชิวหา,กาย"แน่............"มโนสัมผัส"เอย
๔๗.เวท์นาเจาะอายตนะใน.........................ลุดับไซร้ ณ หกเอ่ย มี"จักขุสัมฯ"เจาะทะลุเผย.............................กะรูปแล้วกฤษฎ์หนา
๔๘."จักขุสัมผัส"...............ดับได้เลยจัด...............ที่จักขุพา อีกห้าเยี่ยงนั้น......................เป็นที่รักพลัน...............ต่างก็ดับนา "โสต,ฆานะ"มา....................."ชิวหา,กาย"กล้า.........."มโนสัมผัส"เอย
๔๙.สัญญาเจาะอายตนะนอก.....................จะดับดอกซิหกเอ่ย "รูปสัญญะ"ครันเกาะทะลุเผย........................ระลึกรูปภิรมย์ใจ
๕๐."รูปสัญญา"ไซร้............ตัณหาดับได้...............ณ ที่นี้ไส อีกห้าเช่นกัน........................."สัทท์สัญญา"ครัน........"คันธ์สัญญา"ไว "รสสัญญา"ไกล....................โผฏฐัพพ์สัญฯไซร้.........ธัมมสัญญา
๕๑.เจต์นาเกาะอายตนะนอก......................ละตัดดอกซิหกกล้า "รูปสัญฯ"สิมั่นริวสะหนา.................................ซิเห็นรูปรตีแล
๕๒."รูปสัญเจต์นา".............ตัณหาดับฆ่า..................ณ ที่นี้แฉ อีกห้าเช่นกัน........................."สัทท์สัญเจตน์ฯ"ครัน......"คันธ์สัญเจตน์"แน่ "รสสัญเจตน์ฯ"แล้.................."โผฏฐัพพ์สัญฯ"แท้.........ธัมมสัญเจต์นา
๕๓.ตัณหาเกาะติดลุสุมนัส..........................ละดับตัด ณ หกหนา "รูปตัณฯ"สิเห็นและวสะกล้า............................ซิ"อยาก"ทิ้งละที่นี่
๕๔.ตัณหาอีกห้า.................เช่นเดียวกันหนา............ต่างดับเองดี "สัททตัณหา".........................."คันธ์ตัณหา"กล้า..........."รสตัณหา"มี "โผฏฐัพพ์ตัณฯ"ชี้..................."ธัมมตัณหา"คลี่.............ดับตรงนี้เอย
๕๕.ความตรึกวิตกลุอภินันท์........................จะดับพลัน ฉ สิ่งเอ่ย สิ่งนอกสิอายตนะเผย.....................................ก็มี"รูปวิตก"แล้
๕๖.อีกห้ามีปรก.................."สัททวิตก"......................"คันธ์วิตก"แฉ "รสวิตก"เอย.........................."โผฏฐัพพ์วิฯ"เคย............."ธัมม์วิตก"แล ตัณหาดับแท้.........................ณ ที่หกแน่.......................ต่างก็กระทำ
๕๗.ความตรองวิจารลุอภิรมย์......................จะดับสม ฉ สิ่งนำ สิ่งนอกสิอายตนะหนำ....................................ก็มี"รูปวิจาร"เอย
๕๘.อีกห้ามีพาน.................."สัททวิจาร"......................"คันธ์วิจาร"เผย "รสวิจาร"ลิ้ม.........................."โผฏฐัพพ์วิ"นิ่ม.................."ธัมม์วิจาร"เคย ตัณหาดับเชย........................ณ ที่หกเกย.......................แตกต่างกันแล
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๔/๑๔) : ๑๑ . สัจจวิภังค์
๕๙.ดับ"ทุกข์นิโรธปฏิปทาฯ"....................ซิทางหนาลุดับแฉ ความจริงประเสริฐริจตุแน่............................มุมรรคแปดสว่างดล
๖๐.สัมมาฏฐิ....................เห็นชอบ,จริงตริ........รู้ทุกข์ใดยล "เหตุเกิดทุกข์"ไซร้..............."การดับทุกข์"ได้.......ทางดับทุกข์พ้น มีความคิดท้น.......................ถูกต้องจริงล้น..........มีห้าอย่างแล
๖๑."กัมมัสสฯ"สิมีลุพละผล........................เจาะกรรมท้นจะดีแน่ หรือชั่ววิบากจะประลุแท้...............................ซิปัจจัยอุบัติหนุน
๖๒."วิปัสส์นา-...................สัมมาทิฏฐ์ฯ"พา.........เห็นแจ้งจริงคุณ อริยสัจสี่..............................สภาพธรรมจริงชี้.......เห็นชัดทุกข์วุ่น เหตุแห่งทุกข์ดุน...................ความดับทุกข์ลุ้น........ทางดับทุกข์ราน
๖๓."มัคค์สัมมะทิฏฐิ"ปฏิบัติ........................ลุมรรคชัดซิแปดชาญ เป็นทางสิถูกเจาะคติกราน.............................และดับทุกข์ทุรนเอย
๖๔."ผลสัมมาทิฏ-..............ฐิ"ได้เห็นชิด...............บรรลุธรรมเผย เห็นผลกระทำ.......................หลังลุธรรมนำ............ผลสำเร็จเอ่ย "ปัจจ์เวกสัมฯเกย..................พิจารณ์คุณเชย..........ได้บรรลุธรรม
๖๕."สังกัปปะฯ"ดำริเหมาะเจาะชอบ.............ลุคิดนอบเจาะสามนำ "เนกขัมม์สังฯ"เกาะนิรหนำ..............................ปลาต"กาม"กุศลเผย
๖๖."อพยาบาท-.................สังกัปป์ฯ"จะคลาด........ไม่ฆาตใครเอ่ย เมตตา,กรุณา........................มีไมตรีจ้า....................."อวิหิงสา"เอย ไม่เบียดเบียนเลย..................ปราศโมหะเกย.............มีปัญญาตรอง
๖๗.สัมมาวาจา"มุสุจริต................................ริพูดกิจซิถูกต้อง เว้นพฤติพจีกะจตุผอง....................................."มิเท็จ,หยาบ,และเสียด,เพ้อ
๖๘.พูดไม่เดือดร้อน............มีประโยชน์ป้อน...........พัฒนาตนเออ "สัมมากัมมัน-.........................ตะ"ทำชอบครัน............เว้นพฤติกายเอ่อ งดฆ่า,ลักเผลอ......................ผิดในกามเจอ...............ทำถูกต้องกราย
๖๙."สัมมาอะชีวะ"สุจริต...............................เจาะไม่ผิดซิกฏหมาย ซื่อสัตย์มิลวงลิภยวาย.....................................มิเดือดร้อนกะสังคม
๗๐."สัมมาวายา-................มะ"เพียรชอบหนา..........สร้างฉันทะสม ป้องอกุศลธรรม....................มิให้เกิดนำ.....................เกิดแล้วละจม แน่กุศลชม............................จิตดำรงคม....................มิเลือนหายไป
๗๑.สัมมาระลึกลุสติครัน...............................ระลึกพลันจะทำใด เป็นนิตย์เจาะรู้ซิจตุไข......................................สภาพธรรมหทัยฉาน
๗๒."กายานุฯ"ผาย.............พิศกายในกาย...............ดำรงสติกราน หายใจเข้า-ออก....................นิ่ง-เดินทุกซอก..............สัมป์ชัญญะพาน สิ่งสกปรกขาน.....................ไต,ปอด,เลือดผ่าน...........น้ำมูก,อื่นสดมภ์
๗๓.ดูกายวะธาตุริจตุล้ำ................................เจาะดิน,น้ำและไฟ,ลม พิศกายวะศพมรณะถม.....................................จะขึ้นอืดกระดูกราน
๗๔.สงฆ์ย่อม"เห็นกาย-.......ในกาย"นอกปราย..........ธรรมในกายฉาน ธรรมในกายเกิด....................และเสื่อมลงเพริด...........สติมั่นรู้มาน อาศัยกายชาญ......................"อยาก"ทิฏฐิผลาญ.........ไม่ถือมั่นใด
๗๕."เวท์นานุปัสส์ฯ"ริประลุเว-.........................ทนาเท่ซิรู้ไหน ทุกข์,สุข,รึกลางมิเจาะอะไร...............................เลาะความเสื่อมก็รู้พลัน
๗๖.สติรู้เวท์นา....................แค่มีอยู่หนา.................เพื่อรำลึกครัน ตัณหาไม่มี.............................ไร้ทิฏฐิคลี่....................ไม่ถือมั่นยัน สงฆ์มีนี้สรร............................เห็นเวท์นาดั้น...............ใน-นอกเวท์นา
๗๗."จิตตานุปัสส์ฯ"มนปะจิต..........................ก็ใจคิดและรู้หนา ปราศราคะ,โกรธรึมทพา...................................รึหดหู่และฟุ้งซ่าน
๗๘.จิตมีสมาธิ.....................ก็รู้ดีตริ........................ไม่มีรู้กราน จิตที่ยิ่งใหญ่...........................ก็รู้ใหญ่ไซร้..................มิมีเทียมทาน จิตหลุดพ้นผ่าน......................ก็ได้รู้ชาญ....................ว่าหลุดพ้นนำ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|