Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 10 11 [12]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 26979 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #165 เมื่อ: 08, พฤศจิกายน, 2568, 02:56:56 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๗/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

    ๑๑๙.ดับสัจนิโรธเจาะนิรผล.......................วิบากดลอะไรขวาง
ไม่เป็นสิเหตุลุภววาง...................................... อุบัติเกิดวิบากใด

    ๑๒๐.ทุกข์สัจเป็นสาม..........มีวิบากตาม..............."เป็นเหตุเกิด"ไซร้
"ไม่เป็นวิบาก...........................และเหตุเกิดจาก.......วิบาก"มีไกล
เช่นทุกข์ธรรม์ดาใกล้..............คือขันธ์ห้าไว.............รูป,เวทนา

    ๑๒๑.เหตุสัจสมุทยภวะกรรม......................มิยึดนำซิตัณหา
กับทิฏฐิแต่จะเซาะเกาะพา.............................สิอารมณ์อุปาทาน

    ๑๒๒.ทุกข์สัจมีกรรม............อยาก,ทิฏฐินำ...........แต่ยึดถือราน
แต่ไร้อารมณ์..........................อุปาทานบ่ม..............ทุกข์สัจที่พาน
ไม่ยึดถือกราน........................มีอารม์ซ่าน...............อุปาทานเอย

    ๑๒๓.เหตุสัจสมุทยะเจาะกิเลส....................ลุหมองเจตน์และกายเอ่ย
อารมณ์สิมีลุพหุเผย........................................จะขุ่นเคืองกระทำทราม

    ๑๒๔.ทุกข์สัจทำเศร้า...........ด้วยกิเลสเร้า............มีอารมณ์ผลาม
ด้วยกิเลสนำ............................บ้างก็ไม่ทำ...............ให้เศร้าใจตาม
ดับทุกข์ได้ความ......................มีอารมณ์ลาม............รู้สึกอยู่แล

    ๑๒๕.ด้วยสัจนิโรธเจาะนิรหมอง....................กิเลสตรองซิดับแน่
อารมณ์กิเลสก็มิเกาะแฉ...................................สงบกายหทัยใส

    ๑๒๖."สมุทย์สัจ"พาน.............วิตก,วิจาร..............เหตุตรึก,ตรองใด
ยังมีอยู่ครบ.............................."นิโรธสัจ"นบ..........เหตุดับแล้วไซร้
จึงไม่มีไร.................................วิตก,ตรึกไย............และวิจารพาน

    ๑๒๗.มัคค์สัจสิแจงกะตตินับ........................."วิตกกับวิจาร"ฉาน
"ไม่มีวิตกเหลือตะตริวิจาร"................................"มิมีทั้งสองครอง"

    ๑๒๘.ทุกข์สัจสี่แบบ..............."วิตกตรอง"แยบ...........ไร้ตรึก,มีตรอง
แบบสาม,"วิตก..........................และวิจาร"ปรก..............ไม่มีใดจอง
สี่,ไม่เป็นนอง............................ทั้งสามแบบผอง.............กล่าวไม่ได้แล

    ๑๒๙.ด้วย"สัจนิโรธ"มิภณะชี้..........................ปะ"สุข,ปีติ,เฉย"แน่
นิพพานสิดับลิทุขะแฉ........................................เจาะอารมณ์มิมีเลย

    ๑๓๐.สมุทยสัจ....................เหตุทุกข์เกิดชัด..............ฆ่ากิเลสเผย
ฆ่าด้วย"โสดา-.........................ปัตติมรรค"หนา..............บ้างมรรคบนเอย
"สกทาคาฯ"เอ่ย......................."อนาคามิฯ"เอ่ย................"อรหัตตมรรค"นา

    ๑๓๑.ด้วยสัจสมุทยะภวะเทิด..........................ซิเหตุเกิดและตายหนา
มัคค์สัจก็เหตุจะประลุกล้า..................................สินิพพานแหละโดยตรง

    ๑๓๒.มัคค์สัจ"คือธรรม..........เสขบุคคลล้ำ.................พระอริยะสงฆ์
พระโสดาบัน............................สกิทาฯครัน...................อนาคามีฯคง
กำลังพฤติตรง.........................สู่อรหันต์บ่ง....................หมายนิพพานพลัน

    ๑๓๓.ทุกข์สัจนิโรธและสมุทัย.........................จะเป็นไซร้กะชนครัน
แต่เสขะชนและอรหันต์......................................มิมีครองซิอย่างใด

    ๑๓๔.ทุกข์สัจ"ปริตตะ"..........เป็นธรรมด้อยปะ.............เช่นทุกข์กายไซร้
เกิดปกติเช่น............................ไม่สบายกายเด่น.............กายป่วย,เจ็บไข้
"มหัคค์ตะ,ใหญ่".......................เกี่ยววัฏฏะไกล................เวียนวนเกิดตาย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

พระไตรปิฏกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] วิภังคปกรณ์ https://share.google/ytQPSkrfQfah2gEPL

สัจจวิภังค์ = คือ การจำแนกแจกแจงอริยสัจ ๔ ให้ละเอียด
สุตตันตภาชนีย์ = แจงอริยสัจจ์ ๔ แบบพระสูตร
อริยสัจ ๑ - ๔ = คือ ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ, สัจจะที่พระอริยะพึงรู้ แยกดังนี้
(๑) ทุกขอริยสัจ - อริยสัจคือทุกข์ เป็นไฉน
ชาติเป็นทุกข์, ชราเป็นทุกข์, มรณะเป็นทุกข์, โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสเป็นทุกข์, การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์, การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
(๑.๑) บรรดาทุกขอริยสัจนั้น ชาติ เป็นไฉน
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชาติ
(๑.๒) ชรา เป็นไฉน
ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ฝาตุ่ม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #166 เมื่อ: 09, พฤศจิกายน, 2568, 09:04:28 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๘/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

(๑.๓) มรณะ เป็นไฉน
ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความตายกล่าวคือมฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ
(๑.๔) โสกะ เป็นไฉน
ความเศร้าโศก; กิริยาที่เศร้าโศก; ภาวะที่เศร้าโศก; ความแห้งผากภายใน; ความแห้งกรอบภายใน; ความเกรียมใจ; ความโทมนัส ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ; ความเสื่อมโภคทรัพย์; ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค; ความเสื่อมศีลหรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ
(๑.๕) ปริเทวะ เป็นไฉน
ความร้องไห้; ความคร่ำครวญ;  ความพร่ำเพ้อ; ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ; ความเสื่อมโภคทรัพย์; ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค; ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ
(๑.๖) ทุกข์ เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์
(๑.๗) โทมนัส เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส
เจโตสัมผัส = หมายถึง การที่จิต (วิญญาณธาตุ) ได้รับรู้การกระทบโดยไม่มีการกระทบทางกาย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางลิ้น
(๑.๘) อุปายาส เป็นไฉน
ความคับแค้น ภาวะที่แค้น ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า อุปายาส
(๑.๙) การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไปร่วม การอยู่ร่วมกับอารมณ์อันไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือจากบุคคลผู้ปรารถนาแต่สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ผาสุก ไม่ปรารถนาความหลุดพ้นจากโยคะของเขา
นี้เรียกว่า การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์
(๑.๑๐) การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไม่ประชุมร่วม การไม่อยู่ร่วมกับอารมณ์อันเป็นที่ปรารถนาเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือจากบุคคลผู้ที่มุ่งประโยชน์ มุ่งความเกื้อกูล มุ่งความผาสุก มุ่งความเกษมจากโยคะของเขา เช่น เหล่าญาติ นี้เรียกว่า การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์
(๑.๑๑) การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ เป็นไฉน
~เหล่าสัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้มีความเกิดเป็นธรรมดา หรือขอความเกิดอย่าได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความปรารถนา นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์
~เหล่าสัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ
~เหล่าสัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา ฯลฯ
~เหล่าสัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ ~เหล่าสัตว์ผู้มีความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดา ต่างก็เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้เป็นผู้มีความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดาเลย ขอความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้น อย่าได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความต้องการ นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์
(๑.๑๒) โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน
~รูปูปาทานขันธ์ - กองรูปที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
รูปูปาทานขันธ์ = คือ "การยึดมั่นในรูปขันธ์" การยึดติดในรูปร่างกาย หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา ทำให้เกิดความหนักหนาสาหัส ดิ้นรน และทุกข์ใจ
~เวทนูปาทานขันธ์ - กองเวทนาที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เวทนูปาทานขันธ์ = การยึดมั่นใน เวทนา ซึ่งคือความรู้สึกสุข ทุกข์ และเฉยๆ การยึดมั่นในความรู้สึกเหล่านี้ ทำให้เกิดความทุกข์
~สัญญูปาทานขันธ์ - กองสัญญาที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สัญญูปาทาขันธ์ = คือ ความยึดมั่นในสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ว่าสิ่งที่ตนจดจำได้และรับรู้มานั้นเป็นตัวของเขาเอง
~สังขารูปาทานขันธ์ - กองสังขารที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
สังขารูปาทานขันธ์ = การยึดมั่นใน สังขารขันธ์ คือ "สิ่งปรุงแต่งจิต" ทำให้เกิดเจตนาในการกระทำต่างๆ เช่น ความอยากทำดี อยากทำชั่ว หรือเจตนาทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อเรายึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตัวตนของเรา ก็จะทำให้เกิดความยึดติดและนำไปสู่ความทุกข์


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #167 เมื่อ: 09, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:18 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๙/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~วิญญาณูปาทานขันธ์ - กองวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
วิญญาณูปาทานขันธ์ = ความยึดมั่นถือมั่นในวิญญาณ (จิต) หรือสภาวะจิตที่รับรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัส ทำให้เกิดการปรุงแต่งและยึดติดในสิ่งนั้น ๆ
เหล่านี้เรียกว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ
๒) ทุกขสมุทยอริยสัจ - อริยสัจคือเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นไฉน
คือ ตัณหานี้เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี เป็นเหตุเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ก็ตัณหานี้แหละ = เมื่อเกิด เกิดที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ตั้งอยู่ที่ไหน
(๒.๑) ปิยรูปสาตรูป = (สภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ ส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดตัณหา) เป็นสภาวะที่มีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ปิยรูปสาตรูปนี้
ปิยรูปสาตรูป = หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่ารักน่าชื่นใจ และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอายตนะภายในและภายนอก ซึ่งเป็นบ่อเกิดของตัณหา
~ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
(๒.๑.๑) จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักษุนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักษุนี้ (๒.๑.๒)โสตะ ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓) ฆานะ ... ในโลก (๒.๑.๔) ชิวหา ... ในโลก (๒.๑.๕) กาย ... ในโลก (๒.๑.๖) มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนนี้
(๒.๑.๗) รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปนี้ (๒.๑.๘) เสียง ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๙) กลิ่น ... ในโลก (๒.๑.๑๐) รส ... ในโลก (๒.๑.๑๑)โผฏฐัพพะ ... ในโลก (๒.๑.๑๒) ธรรมเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธรรมนี้ เมื่อตั้งอยู่  ก็ตั้งอยู่ที่ธรรมนี้
(๒.๑.๑๓) จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุวิญญาณนี้ (๒.๑.๑๔)โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๑๕) ฆานวิญญาณ ...ในโลก (๒.๑.๑๖) ชิวหาวิญญาณ ... ในโลก (๒.๑.๑๗) กายวิญญาณ ... ในโลก (๒.๑.๑๘) มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนวิญญาณนี้
(๒.๑.๑๙) จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัสนี้ (๒.๑.๒๐) โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๒๑) ฆานสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๒) ชิวหาสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๓) กายสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๔) มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนสัมผัสนี้
(๒.๑.๒๕) เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ (๒.๑.๒๖) เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๒๗) เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๒๘) เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส... ในโลก (๒.๑.๒๙) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก (๒.๑.๓๐) เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
(๒.๑.๓๑) รูปสัญญา (ความหมายรู้รูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญญานี้ (๒.๑.๓๒) สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓๓) คันธสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๔) รสสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๕)โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก (๒.๑.๓๖) ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ ธัมมสัญญานี้ (๒.๑.๓๗) รูปสัญเจตนา (ความคิดอ่านในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญเจตนานี้ (๒.๑.๓๘) สัททสัญเจตนา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๓๙) คันธสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๐)รสสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๑) โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก (๒.๑.๔๒) ธัมมสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญเจตนานี้เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมสัญเจตนานี้
(๒.๑.๔๓) รูปตัณหา (ความติดใจในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปตัณหานี้ (๒.๑.๔๔) สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๔๕) คันธตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๖) รสตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๗) โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก (๒.๑.๔๘) ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมตัณหานี้
(๒.๑.๔๙) รูปวิตก (ความตรึกถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิตกนี้ (๒.๑.๕๐) สัททวิตก ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๕๑) คันธวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๒) รสวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๓) โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก (๒.๑.๕๔) ธัมมวิตก เป็นปิยรูปสาตรูปในโลกตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิตกนี้
(๒.๑.๕๕) รูปวิจาร (ความตรองถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิจารนี้ (๒.๑.๕๖) สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก (๒.๑.๕๗) คันธวิจาร ...ในโลก (๒.๑.๕๘) รสวิจาร ... ในโลก (๒.๑.๕๙) โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก (๒.๑.๖๐) ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิจารนี้
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ
(๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ - อริยสัจคือความดับทุกข์  เป็นไฉน
ความสำรอกและความดับตัณหานั้นนั่นแลโดยไม่เหลือ; ความปล่อยวาง ความส่งคืน; ความพ้น; ความไม่ติดอยู่; ก็ตัณหานี้เมื่อละ ละที่ไหน เมื่อดับ ดับที่ไหน
ปิยรูปสาตรูปใดมีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ปิยรูปสาตรูปนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #168 เมื่อ: 10, พฤศจิกายน, 2568, 06:35:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๐/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
(๓.๑.๑) จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักษุนี้ เมื่อดับก็ดับที่จักษุนี้ (๓.๑.๒) โสตะ ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๓) ฆานะ ... ในโลก (๓.๑.๔) ชิวหา ... ในโลก (๓.๑.๕) กาย ... ในโลก (๓.๑๖) มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนนี้
(๓.๑๗) รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปนี้ (๓.๑๘) เสียง ฯลฯ ในโลก (๓.๑๙) กลิ่น ... ในโลก (๓.๑.๑๐) รส ... ในโลก (๓.๑.๑๑)โผฏฐัพพะ ... ในโลก (๓.๑.๑๒) ธรรมเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อละ ก็ละที่ธรรมนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธรรมนี้
(๓.๑.๑๓) จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุวิญญาณนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุวิญญาณนี้ (๓.๑.๑๔) โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๑๕) ฆานวิญญาณ ... ในโลก(๓.๑.๑๖) ชิวหาวิญญาณ ... ในโลก (๓.๑.๑๗) กายวิญญาณ ... ในโลก (๓.๑.๑๘) มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนวิญญาณนี้
(๓.๑.๑๙) จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุสัมผัสนี้ (๓.๑.๒๐) โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๒๑) ฆานสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๒) ชิวหาสัมผัส... ในโลก (๓.๑.๒๓) กายสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๔) มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนสัมผัสนี้
(๓.๑.๒๕) เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ (๓.๑.๒๖) เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๒๗) เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๘) เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๒๙) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก (๓.๑.๓๐) เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
(๓.๑.๓๑) รูปสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญญานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญญานี้ (๓.๑.๓๒) สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๓๓) คันธสัญญา ... ในโลก (๓.๑.๓๔) รสสัญญา... ในโลก (๓.๑.๓๕) โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก (๓.๑.๓๖) ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมสัญญานี้
(๓.๑.๓๗) รูปสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญเจตนานี้ (๓.๑.๓๘) สัททสัญเจตนา ฯลฯ ในโลก (๓.๑ ๓๙) คันธสัญเจตนา ...ในโลก (๓.๑.๔๐) รสสัญเจตนา ... ในโลก (๓.๑.๔๑)โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก (๓.๑.๔๒) ธัมมสัญเจตนา เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมสัญเจตนานี้
(๓.๑.๔๓) รูปตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปตัณหานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปตัณหานี้ (๓.๑.๔๔) สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก (๓ ๑.๔๕) คันธตัณหา ... ในโลก (๓.๒.๔๖) รสตัณหา ...ในโลก (๓.๑ ๔๗) โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก (๓.๑.๔๘) ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อละ ก็ละที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมตัณหานี้   
(๓.๑.๔๙) รูปวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิตกนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิตกนี้ (๓.๑.๕๐) สัททวิตก ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๕๑) คันธวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๒) รสวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๓) โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก (๓.๑.๕๔) ธัมมวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิตกนี้
(๓ ๑.๕๕) รูปวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิจารนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิจารนี้ (๓.๑.๕๖) สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก (๓.๑.๕๗) คันธวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๕๘) รสวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๕๙)โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก (๓.๑.๖๐) ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละก็ละที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิจารนี้
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ - อริยสัจคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นแล คือ
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบ เป็นไฉน
(๔.๑.๑)ความรู้ในทุกข์ - ความทุกข์) (๔.๑.๒) ความรู้ในทุกขสมุทัย - เหตุเกิดแห่งทุกข์ (๔.๑.๓) ความรู้ในทุกขนิโรธ - ความดับทุกข์ (๔.๑.๔) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ ๕ = คือ การเห็นชอบ ๕ อย่าง ได้แก่
~ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ - เห็นว่ากรรมมีผล
~ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ - เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔
~ มัคคสัมมาทิฏฐิ - เห็นว่ามรรคมีองค์ ๘ เป็นทางดับทุกข์
~ ผลสัมมาทิฏฐิ - เห็นผลจากการบรรลุธรรม
~ ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ - เห็นคุณแห่งผลที่ได้บรรลุ
(๔.๒) สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ เป็นไฉน
ความดำริในการออกจากกาม; ความดำริในการไม่พยาบาท; ความดำริในการไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #169 เมื่อ: 11, พฤศจิกายน, 2568, 07:26:32 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๑/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

สัมมาสังกัปปะ ๓ = ได้แก่
~ เนกขัมมสังกัปป์ (หรือ เนกขัมมวิตก) - คือ ความดำริที่ปลอดจากโลภะ ความนึกคิดที่ปลอดโปร่งจากกาม ไม่หมกมุ่นพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยากต่าง ๆ ความคิดเสียสละ และความคิดที่เป็นคุณเป็นกุศลทุกอย่าง จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากราคะหรือโลภะ
~ อพยาบาทสังกัปป์ (หรือ อพยาบาทวิตก) - คือ ดำริในอันไม่พยาบาท หรือเพ่งมองในแง่ร้ายต่าง ๆ มุ่งเอาธรรมที่ตรงข้าม คือเมตตา กรุณา ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากโทสะ
~ อวิหิงสาสังกัปป์ (หรือ อวิหิงสาวิตก) - คือ ดำริในอันไม่เบียดเบียน ไม่มีการคิดทำร้าย หรือไม่มีความโลภ,โกรธมาเกี่ยวข้อง มุ่งเอาธรรมที่ตรงข้าม ปัญญาคือเข้าใจโลกนี้ตามความเป็นจริง รู้ชัดในกฎแห่งกรรม หรือมีสามัญสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเอง จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากโมหะ
(๔.๓) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ เป็นไฉน
(๔.๓.๑) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเท็จ (๔.๓.๒) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดส่อเสียด (๔.๓.๓) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดคำหยาบ (๔.๓.๔) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
นี้เรียกว่า สัมมาวาจา
(๔.๔) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ เป็นไฉน
(๔.๔.๑) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ (๔.๔.๒) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการลักทรัพย์ (๔.๔.๓) เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ
(๔.๕) สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ เป็นไฉน
ข้อที่พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ละมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
(๔.๖) สัมมาวายามะ - พยายามชอบ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (๔.๖.๑) สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตมุ่งมั่นเพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ (๔.๖.๒) เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ (๔.๖.๓) เพื่อทำบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ (๔.๖.๔) สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่นเพื่อความดำรงอยู่ไม่เลือนหาย ภิยโยภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
(๔.๗) สัมมาสติ - ระลึกชอบ เป็นไฉน
   ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้(๔.๗.๑) เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณา เห็นกายในกายอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ (๔.๗.๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ (๔.๗.๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ (๔.๗.๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ นี้เรียกว่าสัมมาสติ
(๔.๘) สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตมั่นชอบ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย (๔.๘.๑) บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ (๔.๘.๒) เพราะวิตกวิจารสงบระงับไปแล้ว บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่  (๕.๘.๓) เพราะปีติจางคลายไป มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่และเสวยสุขด้วยกาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญว่า ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข (๔.๘.๔) เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
สุตตันตภาชนีย์ จบ.
อภิธรรมภาชนีย์
อัฏฐังคิกวารตที่เป็นอกุศลที่เหลือ ได้แก่
~กุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
กุศลมูล ๓ = คือ
->อโลภะ - ความไม่โลภ: ไม่มีความอยากได้เกินควร มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และมีความคิดเผื่อแผ่เสียสละ
-> อโทสะ - ความไม่โกรธ: คือการไม่มีความคิดประทุษร้าย หรือความพยาบาทต่อผู้อื่น ตรงข้ามกับความโกรธ เป็นการมีเมตตาและให้อภัย
-> อโมหะ - ความไม่หลง: คือการไม่หลงผิด ไม่มัวเมา มีปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง ไม่เชื่อในสิ่งที่งมงาย
~สภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ
~วิบากแห่งสภาวธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ
~สภาวธรรมที่เป็นกิริยา ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นวิบากแห่งกรรม และรูปทั้งหมด นี้เรียกว่า ทุกข์
(๒) ทุกขสมุทัย - เหตุเกิดแห่งทุกข์ = เป็นไฉน
ตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย ได้แก่
~ตัณหา และ กิเลสที่เหลือ
~สภาวธรรมที่เป็นอกุศลที่เหลือ
~กุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
~และสภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือ ซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย
(๓) ทุกขนิโรธ - ความดับทุกข์ = เป็นไฉน
~ การละตัณหา, ละกิเลสที่เหลือและ ละสภาวธรรมที่เป็นอกุศลที่เหลือ
~ ละกุศลมูล ๓ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
~ ละสภาวธรรมที่เป็นกุศลที่เหลือซึ่งเป็นอารมณ์ของอาสวะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #170 เมื่อ: 11, พฤศจิกายน, 2568, 08:47:14 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

~ อาสวะ = เป็นกิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตใจ มี ๔ ประเภท คือ:
กามาสวะ - ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ; ภวาสวะ - ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่; ทิฏฐาสวะ - ความเห็นผิด ความยึดในความคิดของตน; อวิชชาสวะ - ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงในสิ่งผิด
~ อนาสวะ = บุคคลที่สามารถกำจัดอาสวะทั้ง ๔ หมดสิ้น เป็นผู้มีจิตใจที่ อนาสวะ หรือเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง หรือบรรลุถึงขั้น โลกุตตระ
~ สาสวะ = ผู้ยังมีอาสวะอยู่
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา - ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ = เป็นไฉน
~ภิกษุในธรรมวินัยนี้เจริญฌานที่เป็นโลกุตตระซึ่งเป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ให้ถึงนิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม ฯลฯ
~บรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น มรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ก็เกิดขึ้น
ปฏิปทา ๔ ประการ= แบ่งตามความยากง่ายในการปฏิบัติ (สุขา/ทุกขา) และความเร็วในการรู้แจ้ง (ขิปปาภิญญา/ทันธาภิญญา) ได้แก่:
-> ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา: ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า
-> ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา: ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว (ตัวอย่างคือพระโมคคัลลานะ)
-> สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา: ปฏิบัติสะดวกสบาย แต่รู้ได้ช้า
-> สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา: ปฏิบัติสะดวกสบาย และรู้ได้เร็ว (ตัวอย่างคือพระสารีบุตร)
~ สภาวธรรมที่เหลือสัมปยุตด้วยทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น = เป็นอย่างไร
(๔.๑) สัมมาทิฏฐิ = เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรมสัมมาทิฏฐิ, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
โพชฌงค์ ๗ =ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ได้แก่ 
(๔.๑.๑) สติสัมโพชฌงค์ - ความระลึกได้ (๔.๑.๒) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ - การพิจารณาธรรม (๔.๑.๓) วิริยสัมโพชฌงค์ - ความเพียร (๔.๑.๔) ปีติสัมโพชฌงค์ - ความอิ่มเอิบใจ (๔.๑.๕) ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ - ความสงบกายใจ (๔.๑.๖) สมาธิสัมโพชฌงค์ - ความตั้งมั่นของจิต (๔.๑.๗) อุเบกขาสัมโพชฌงค์ - ความมีใจเป็นกลาง
เมื่อมีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ทำให้สามารถรู้เท่าทันความปรุงแต่งของจิตใจ, จะกำจัดอกุศลธรรมที่มีอยู่, และป้องกันอกุศลใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น, ช่วยให้การเจริญสติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ และเป็นเหตุให้เข้าถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้
(๔.๒) สัมมาสังกัปปะ = เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่างๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันเป็นองค์มรรคนับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ
(๔.๓) สัมมาวาจา = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากวจีทุจริต ๔ การไม่ทำ การเลิกทำ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุ (แห่งวจีทุจริต ๔) สัมมาวาจา อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาวาจา
วจีทุจริต ๔ = การประพฤติชั่วทางวาจา ได้แก่
มุสาวาท; พูดคำหยาบ -ผรุสวาจา; พูดส่อเสียด -ปิสุณาวาจา; พูดเพ้อเจ้อ - สัมผัปปลาปะ
(๔.๔) สัมมากัมมันตะ = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากกายทุจริต ๓ การไม่ทำ, การเลิกทำ, การไม่ล่วงละเมิด, การไม่ล้ำเขต, การกำจัดต้นเหตุ (แห่งกายทุจริต ๓) สัมมากัมมันตะ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ
กายทุจริต ๓ = ได้แก่
ปาณาติปาตา - การฆ่าสัตว์ หรือการทำให้สัตว์เดือดร้อนด้วยการทรมาน จองจำ หรือกักขัง; อทินนาทานา - ลักทรัพย์ ขโมยหยิบฉวย หรือการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยมิชอบ; กาเมสุมิจฉาจารา - ประพฤติผิดในกาม, การล่วงละเมิดคู่ครองของผู้อื่น
(๔.๕) สัมมาอาชีวะ = เป็นไฉน
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเป็นเหตุเว้นจากมิจฉาชีพ การไม่ทำ การเลิกทำ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุ(แห่งมิจฉาชีพ) สัมมาอาชีวะ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
(๔.๖) สัมมาวายามะ = เป็นไฉน
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ, วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
~ สัมมาวายามะ = มีหน้าที่ ๔ ประการ คือ:
(๔.๖.๑) อนุปปันนกุศลธรรมธัมมการนธรรม - เพียรระวังไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดขึ้น บังเกิดขึ้น
(๔.๖.๒) ปหานาย โอกุปันนกุศลธรรมธัมมการนธรรม - เพียรละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
(๔.๖.๓) อุปปาทยปจฺจเวกฺขณธมฺม - เพียรให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น
(๔.๖.๔) ฐานานุวุตฺติ - เพียรให้กุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่ และพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นต่อไป


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #171 เมื่อ: 12, พฤศจิกายน, 2568, 08:31:36 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

(๔.๗) สัมมาสติ = เป็นไฉน
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ, สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรคนับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสติ
(๔.๘) สัมมาสมาธิ = เป็นไฉน
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่ ฯลฯ สัมมาสมาธิ, สมาธิสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาวธรรมที่เหลือสัมปยุตด้วยทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ปัญหาปุจฉกะ
อริยสัจ ๔ = คือ
(๑) ทุกขอริยสัจ - อริยสัจคือทุกข์
(๒) ทุกขสมุทยอริยสัจ - อริยสัจคือเหตุเกิดแห่งทุกข์
(๓) ทุกขนิโรธอริยสัจ - อริยสัจคือความดับทุกข์
(๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ - อริยสัจคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
บรรดาอริยสัจ ๔ = มี อริยสัจเท่าไรเป็นกุศล, เท่าไรเป็นอกุศล, เท่าไรเป็นอัพยากฤต, ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้, เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้
ติกมาติกาวิสัชนา
กุสลติกวิสัชนา = คำตอบด้านกุศล
(๑) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นกุศลก็มี, ที่เป็นอกุศลก็มี, ที่เป็นอัพยากฤตก็มี (๒) สมุทยสัจ ~ เป็นอกุศล (๓) นิโรธสัจ ~ เป็นอัพยากฤต (๔) มัคคสัจ ~ เป็นกุศล
เวทนาติกวิสัชนา = คำตอบด้านเวทนา
(๑) สัจจะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี, ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
สัจจะ ๒ =คือ นิโรธ กับ มรรค
(๒) นิโรธสัจกล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา; สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา; หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
(๓) ทุกขสัจที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี; ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิปากติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับวิบาก
(๑) สัจจะ ๒ ~ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
(๒) นิโรธสัจ ~ไม่เป็นวิบาก, และไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
(๓) ทุกขสัจที่เป็นวิบากก็มี; ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี; ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
อุปาทินนติกวิสัชนา= คำตอบเกี่ยวกับอุปาทาน
(๑) สมุทยสัจ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๒) สัจจะ ๒ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบด้านกิเลส
(๑) สมุทยสัจ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส
(๒) สัจจะ ๒ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สวิตักกติกวิสัชนา = คำตอบด้านวิตก วิจาร
(๑) สมุทยสัจ ~ มีทั้งวิตกและวิจาร
(๒) นิโรธสัจ ~ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
(๓) มัคคสัจ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร; ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ปีติติกวิสัชนา = คำตอบด้านปีติ
(๑) สัจจะ ๒ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๒) นิโรธสัจ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขา (๓) ทุกขสัจ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ทัสสนติกวิสัชนา
(๑) สัจจะ ๒ ~ไม่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
(๒) สมุทยสัจ ~ ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๓) ทุกขสัจ ~ ที่ต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #172 เมื่อ: 12, พฤศจิกายน, 2568, 03:49:47 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๑๔) : ๑๑. สัจจวิภังค์

ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
(๑) สัจจะ ๒ ~ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
(๒) สมุทยสัจ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
(๓) ทุกขสัจ ~ ที่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหารด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหารด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
อาจยคามิติกวิสัชนา = คำตอบเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ (๒) มัคคสัจ ~ เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน (๓) นิโรธสัจ ~ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
เสกขติกวิสัชนา
(๑) มัคคสัจ ~ เป็นของเสขบุคคล
(๒) สัจจะ ๓ ~ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล
ปริตตติกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับความสงบ
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นปริตตะ - ธรรมด้อย (๒) สัจจะ ๒ ~ เป็นอัปปมาณะ -ไม่มีประมาณ (๓) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นปริตตะก็มี; ที่เป็นมหัคคตะก็มี
ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบเรื่องความสุข โดยการทำอารมณ์ที่สงบ
(๑) นิโรธสัจ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๒) มัคคสัจ ~ มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์
(๓) สมุทยสัจ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์แต่ไม่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์ หรือมีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี
(๔) ทุกขสัจ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์ มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
หีนติกวิสัชนา =คำตอบเกี่ยวกับธรรมทราม
(๑) สมุทยสัจ ~ เป็นชั้นต่ำ (๒) สัจจะ ๒ ~ เป็นชั้นประณีต (๓) ทุกขสัจ ~ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี; ที่เป็นชั้นกลางก็มี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #173 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 07:43:48 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๑๒.วิภังค์ : อินทริยวิภังค์ (แจกอินทรีย์ ๒๒)

พิบูลรัชนีฉันท์ ๑๔/กาพย์ทัณฑิกา

    ๑.ขอน้อม"พระโคดม"ครัน.........................พระอรหันต์พระสัมมาฯเจ้า
ผู้ตรัสรู้เองเพรา............................................และนยสอนมนุษย์,เทวา

    ๒.อินทรีย์,ธรรมชาติ.....ทำกิจใหญ่ยาตร......หน้าที่ตนหนา
ยี่สิบสองนี้.....อินทรีย์สัตว์นา.....รู้อารมณ์มา.....ทำกิจสมบูรณ์

    ๓.แจกแจง"อภิธรรมฯ"ฉาย........................เจาะอธิบายกะอินทรีย์พูน
"สุตตันตภาฯ"เว้นสูญ....................................ตะภณะ"ปุจฉ์กฯ"ตอบถ้อยเอย

    ๔.อินทรีย์แตกชัด........แต่การสัมผัส.........ทวารรู้เผย
ชีวิต,รู้สึก.....คิดนึกสุขเอ่ย......พลังจิตเชย......โลกุตตระแล

    ๕.แรกเอ่ยก็ม"จักขุนทรีย์"..........................เจาะอติชี้ซิตาเห็นแน่
หู,โสตะ"โสตินฯ"แท้.......................................ลุมหิมาเพราะหูยินเสียง

    ๖."ฆานินทรีย์"ชาญ.......จมูกเป็นใหญ่ด้าน.......ดมกลิ่นเผดียง
"ลิ้น,ชิวหินทรีย์".....ใหญ่ชี้ชิมเคียง.....รสชาติเลิศเกรียง.....หรือเลวกว่านา

    ๗.เป็นใหญ่เซาะ"กายินทรีย์".......................ลุพหุคลี่ทวารกายกล้า
จิตใจ"มนินทรีย์"หนา.....................................ลุมหึมาริรู้อารมณ์

    ๘."มนินทรีย์"หมวด.......ละหนึ่งมีรวด.......สัมปยุตบ่ม
ร่วมอินทรีย์หก.....ปรกสัมผัสคม......ตา,หู,จมูก..ชม......รู้อารมณ์เอย

    ๙.หมวดสองมนินทรีย์ชี้.......................ลุภวะที่เจาะ"มีเหตุ"เอ่ย
ผลจากกุศลยิ่งเผย........................................และมหะ"อัพยาฯ"เป็นกลาง

    ๑๐.มนินทรีย์"ไร้เหตุ"......"วิบาก"พิเศษ......"อัพยากฤต"วาง
ผลกรรมที่เน้น.....ชี้เป็นกลางพลาง.....ไม่เกี่ยวข้องขวาง......การทำบุญใด

    ๑๑.มีสามมนินทรีย์ดล................................ปะ"อกุศล,กุศล"มีใส
เป็น"อัพยากฤต"ไซร้......................................เจาะนิรสองซิชั่ว,ดีเอย

    ๑๒.มนินทรีย์หมวดละ.......สี่ก็มีปะ......."กามาวะฯ"เอ่ย
ผู้อยู่กามภพ.....สบ"รูปาฯ"เกย.....อยู่"รูปภพ"เชย......พรหมมีรูปแล

    ๑๓.ผู้อยู่"อรูปาฯ"สม...................................ก็ภวพรหมซิไร้รูปแน่
"ไกลวัฏฏะทุกข์"ผู้แท้.....................................พระอรหันต์มิมีภพเผย

    ๑๔.มนินทรีย์หมวดละ......ห้าก็มีปะ......."สุขินทรีย์"เชย
กายเป็นสุขชิน......"ทุกขินทรีย์"เกย......กายเกิดทุกข์เผย......ไม่มีสำราญ

    ๑๕.มี"โสมนัสสินทรีย์".................................สุขะฤดีมโนเบิกบาน
มี"โทมนัสสินฯ"ผลาญ.....................................ทุขะหทัยมิมีสุขใจ

    ๑๖."อุเปกขินทรีย์".........เวทนาชี้.......สุขและทุกข์ไร้
ไม่มีเกิดกราย.....ทั้งกายและใจ.....สภาพธรรมไซร้......เป็นกลางกลางนา

    ๑๗.หมวดหกมนินทรีย์ชิน.............................ก็ลุฉวิญญะทั้งหกพา
รับรู้อะรมณ์ผ่านอา-.........................................ยตนะหกจมูก,ตา,หู..

    ๑๘."จักขุวิญญาณ".......รู้รูปเห็นกราน.......รู้ทางตากรู
"โสตวิญญ์ฯ"ชิน.....ได้ยินเสียงพรู......"ฆานวิญญ์"อยู่......รู้กลิ่นด้วยดม

    ๑๙.รู้รสเพราะ"ชิวหาวิญญ์ฯ"........................เจาะรสะกินซิลิ้มลองสม
"กายวิญญ์ฯ"สิรู้อารมณ์...................................แตะปะทะกายเสาะร้อน,เย็น,หนาว

    ๒๐."มโนวิญญาณ"......ธรรมารมณ์พาน......รู้อารมณ์กล่าว
เกิดเพราะรู้ตาม.....ธรรม,นามธรรมพราว.....หกวิญญาณสาว......ภายใน-นอกกาย

    ๒๑.หมวดเจ็ดมนินทรีย์เตือน.......................ก็ดุจะเหมือนกะหกต่างเผย
ที่ตัวมโนกลับกลาย........................................หทยะเรียก"มโนธาตุ"แล

    ๒๒."มโนวิญญาณธาตุ".......รู้ทางใจยาตร.......เกิดหกทวารแน่
ตา,หู..กาย,ใจ.....ไซร้"มโนธาตุ"แล.....รู้แค่ห้าแฉ......ตา,หู,จมูก..กาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #174 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 02:03:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

    ๒๓.หมวดแปด"มนินทรีย์"เกลื่อน...............ก็จะเสมือนซิหมวดเจ็ดกราย
ต่างที่ลุกายวิญญ์ฯฉาย.................................เจาะภว"ทุกขะ"กับ"สุข"แล

    ๒๔.มนินทรีย์หมวดละ.....เก้าเหมือนเจ็ดปะ.....ต่างกันที่แน่
มโนวิญญาณธาตุ.....แจงยาตรสามแล้....."กุศล,กลาง"แท้....."อกุศล"นา

    ๒๕.หมวดสิบมนินทรีย์ฉาย........................ก็จะคะคล้ายกะหมวดเก้าหนา
ต่างที่ลุกายวิญญ์ฯกล้า.................................เจาะตติ"ทุกขะ,สุข"พึงเป็น

    ๒๖."อิตถินทรีย์"แจง.......ความเป็นใหญ่แจ้ง.......เป็น"เพศหญิง"เด่น
"ปุริสินทรีย์".....ใหญ่ชี้"ชาย"เห็น......"ชีวิตินฯ"เน้น......ชีพดำรงไกล

    ๒๗.มี"ชีวิตินทรีย์"สอง...............................ทุติยะครองมิมีรูป,ไร้
มีรูปจะเป็นเช่นใด.........................................ก็วปุที่เจริญเติบล้ำ

    ๒๘.อชีวตินทรีย์.......ไม่เป็นรูปชี้.......สิ่งเป็นนามธรรม
เช่นจิต,เวท์นา.....สัญญาความจำ.....วิญญาณรู้นำ.....หรือของเหลวเอย

    ๒๙.สำราญ"สุขินทรีย์"ลัก-.........................ษณะประจักษ์กะสุขกายเอ่ย
ด้วยถูกกระทบกายเผย.................................ลุมหึมาเจาะเรื่องสุขเลอ

    ๓๐."ทุกขินทรีย์"นาม.......ไม่สำราญตาม.......ด้วยทุกข์กายเอ่อ
"โสมนัสสินฯไซร้.....สุขใจเพลินเจอ......ด้วย"เจโตฯ"เปรอ......สัมผัสด้วยใจ

    ๓๑.สุขใจเพราะ"เจโตฯ"หนา.......................ประลุสมาธิใจสุขใส
ไม่ต้องทวารห้าไซร้........................................ซิทะลุ"ตา,จมูก,หู..กาย"

    ๓๒."โทมนัสสินฯ"ไซร้......ไม่สำราญใจ......เกิดทุกข์ใจกราย
เกิดอารมณ์พาน.....จิตคลานทุกข์ปราย.....เจโตฯทุกข์ฉาย......ไม่สบายใจ

    ๓๓.เป็นกลาง"อุเปกขินทรีย์"........................เจาะอนะชี้มิใช่สุขไซร้
หรือทุกข์หทัยเกิดได้......................................ลุศยะเฉยซิอารมณ์

    ๓๔."สัทธินทรีย์"ชี้.......ความศรัทธาคลี่.......ปลงใจใดสม
ความเลื่อมใสจริง.....ฐานยิ่งระดม.....พลังจิตคม......ลุสิ่งต้องการ

    ๓๕.ปรารภฤดีเพียรสิ้น................................ลุ"วิริยินฯ"ซิเป็นใหญ่ขาน
มุ่งมั่นมิทอดทิ้งงาน.........................................หทยะมีพลังความดี

    ๓๖."สตินทรีย์"หนา......สติระลึกกล้า.......สติพละรี่
ไม่มีลืมหลง......ความทรงจำปรี่......หวนระลึกคลี่......สติชอบเอย

    ๓๗.จิตคง"สมาธินทรีย์"...............................เจาะธุวะชี้มิซัดส่ายเลย
กำลังสมาธิ์ยิ่งเผย..........................................ลุมหึมามิฟุ้งซ่าน

    ๓๘."ปัญญินทรีย์"นำ.........ความเลือกเฟ้นธรรม.......รู้ชัดแจ้งชาญ
ไม่หลงงมงาย.....คิดหมายถูกกราน.....หยั่งรู้ธรรมฉาน......ปัญญาใหญ่แล

    ๓๙.ตั้งใจ"อนัญาตัญฯ"...............................เจาะธุวะมั่นจะรู้แน่
ธรรมที่มิเคยรู้แท้...........................................ตะมิลุหวังกระทำแจ้งคง

    ๔๐."อัญญินทรีย์"แกล้ว.......บรรลุธรรมแล้ว.......ทำให้ยิ่งยง
เลือกเฟ้นธรรมปะ.....ธัมมะโพชฌงค์ฯ......โสดาฯประสงค์......ถึงอรหัตต์แล

    ๔๑.ชัดแจ้งสิ"อัญญาฯ"พลัน........................ลุอรหันต์เจาะเป็นใหญ่แล้
ถึงธรรมอร์หัตต์ผลแน่....................................ลุนิรวาณกิเลสรานผอง

    ๔๒."ปัญหาปุจฉ์กะ"......ตอบ"อินทรีย์"คละ......รวมยี่สิบสอง
"อนัญญ์ตัญฯ"ชู.....มุ่งรู้สัจจ์ตรอง.....ถึงมรรคผลถ่อง......เป็นกุศลเอย

    ๔๓.อินทรีย์ประกอบ"สุข,ทุกข์"....................และภวะรุกเจาะ"กลาง"มีเผย
ชีพ"ชีวิตินทรีย์"เอ่ย........................................ก็เลาะผนวกกะสุข,ทุกข์,กลาง

    ๔๔."อัญญินทรีย์"ชี้.......ตรัสรู้มรรคคลี่.......เป็น"วิบาก"พลาง
ได้ลุอรหัตต์ฯ.....ชัดเหตุกระจ่าง.....ปัญญาสว่าง......เกิดผลนิพพาน

    ๔๕.อินทรีย์สิสามผลหนา.............................ประลุวิปากธรรมก่อกราน
"ทุกขินฯ,สุขินทรีย์"ผ่าน..................................และนิรวาณเพราะ"อัญญาตาฯ"


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5734
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 884



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #175 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:55:30 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๓/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์

    ๔๖.อินทรีย์มีสอง.........วิปากธรรมครอง.......เกิดผลกรรมหนา
"โทมนัสสินทรีย์".....กับชี้"อนัญญาฯ".....เข้าถึงมรรคพา.....ลุ"โสดาบัน"

    ๔๗.ด้วย"โทมนัสสินทรีย์".......................ลุภวชี้ประกอบ"อยาก"ครัน
พร้อมทิฎฐิไม่ยึดพลัน................................ตะจะอุบัติอุปาทานแล

    ๔๘.อินทรีย์สามมาก......มีตัณหา,อยาก......และทิฏฐิแล้
ไม่ยึด,ไม่เป็น.....เด่นอุปาฯแน่.....คือ"สัทธินฯ"แท้....."สมาธินฯ,เพียร"

    ๔๙.ด้วย"โทมนัสสินทรีย์".......................ลุภวชี้กิเลสเศร้าเวียน
อารมณ์กิเลสที่เถียร..................................ประลุอุบัติซิทุกข์ทางใจ

    ๕๐.โทมนัสสินทรีย์........มิ"วิตก"ชี้........และ"วิจาร"ไซร้
"อุเปกขินฯ"ครอง.....มีสองอย่างไว.....บ้างก็จะไร้.....ไม่มีใดเลย

    ๕๑.ด้วย"โสมนัสสินทรีย์"........................เจาะประลุ"ปีติ"ตะไร้"สุข"เอ่ย
พร้อมไร้อุเบกขาเผย..................................จะภณะปีติมียากหนา

    ๕๒.โทมนัสสินทรีย์......ต้องประหาณชี้......ด้วยมรรคโสดาฯ
บ้างต้องฆ่าผลัก.....ด้วยมรรคบนหนา....."สกิทาฯ,อนาคาฯ.....และอรหัตต์ฯแล

    ๕๓.ด้วย"โทมนัสสินฯ"ดล.........................ลุปฏิสนธิเกิด,ตายแน่
อินทรีย์"อนัญญาฯ"แท้.................................เจาะภวเหตุลุนิพพานเผย

    ๕๔.แน่"อัญญินทรีย์".....เป็นเหตุถึงชี้.....นิพพานได้เอย
บ้างไม่เป็นเหตุ.....พิเศษสามเอ่ย.....ทั้งเกิด,ตายเลย.....หรือนิพพานแล

    ๕๕.อินทรีย์สิสองมีชิด..............................ประลุปริตตะอารมณ์แน่
มีอยู่สิน้อยเกิดแท้........................................ก็ระยะสั้นเลาะสุขฯ,ทุกฯหนา

    ๕๖.โทมนัสสินทรีย์.......ธรรมชั้นต่ำชี้.......อกุศลธรรมคว้า
เช่นโลภ,โกรธ,หลง.....พะวงชั่วช้า......เดือดร้อนตนล้า......โลกนี้,หน้าทอน

    ๕๗.อินทรีย์"อนัญญาฯ"...........................ประลุสภาวะชอบ,ผลป้อน
แม้"โทมนัสสินฯ"จร.....................................เจาะภวผิดและผลมีสอง

    ๕๘.อินทรีย์สี่หนา.......ไม่กล่าวชี้ว่า......."มรรคเป็นเหตุ"ครอง
"มรรคเป็นอารมณ์".....หรือชม"ใหญ่"ตรอง.....ทุกฯ,สุขินฯส่อง.....โทมนัส,อัญญาฯ

    ๕๙.อินทรีย์สิเจ็ด,อารมณ์.........................เจาะนิรชมและรับรู้หนา
"อิตถินฯ",ทวารในห้า...................................และ"ปุริสินฯ"แสดงเพศชาย

    ๖๐.อินทรีย์สี่ยล.......มีอารมณ์ตน......."ในและนอกกาย"
คือ"สุขินทรีย์".....ชี้"ทุกขินฯ"หน่าย......"โสมนัสสินฯ"กราย......"อุเปกขินฯ"ไว

    ๖๑.อินทรีย์สิแปดอารมณ์........................ตริเสาะระดม ณ ภายนอก-ใน
ไม่อาจจะกล่าวธรรมได้...............................ลุภวมีซินอก-ในเลย

    ๖๒.เช่นมนินทรีย์......"ชีวิตินฯ"คลี่......"อุเปกขินฯ"เผย
สัทธินฯ,สตินฯหนา....."สมาธินฯ"เอ่ย....."วิริยินฯเชย"......"ปัญญินทรีย์"แล

    ๖๓.อินทรีย์สิสี่เหตุเกิด.............................เลาะภวเลิศกระทำผลแน่
"ปัญญินฯ,สตินทรีย์"แท้...............................เหมาะ"วิริยินฯสมาธินฯ"ใส

    ๖๔.อินทรีย์ยี่สิบ-.......สอง,ปัจจัยยิบ.......ปัจจัย,ปรุงไว
อินทรีย์เจ็ดเน้น.....เป็นรูปชัดไข.....ตา,หู..กายไซร้......"ปุริฯ,อิตถินฯ"เอย

    ๖๕.ด้วย"ชีวิตินทรีย์"ชี้.............................เจาะภวมีซิรูปกายเอ่ย
ไร้รูปก็มีอยู่เผย...........................................เพราะภณะขานสิเป็น"นาม"แล

    ๖๖.อินทรีย์สามปะ......เป็นโลกุตตระ.......ธรรมเหนือโลกแฉ
"อนัญญาตัญฯ"......"อัญญินทรีย์"แล้......"อัญญาตาฯ"แน่......อรหัตต์ฯเอย

    ๖๗.อินทรีย์สิยี่สิบสอง..............................หทยะครองเจาะรู้ได้เอ่ย
บางดวงฤดีนั้นเผย.......................................มิประลุรู้ซิอย่างใดนา

    ๖๘.อินทรีย์ยี่สิบ-.........สองไม่เป็นลิบ.......อาสวะหนา
กิเลสสะสม.....หมักหมมใจจ้า.....เหตุ"อยากได้"มา......อยากในภพแล


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 10 11 [12]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.237 วินาที กับ 119 คำสั่ง
กำลังโหลด...