|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๘/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๔) อุปาทินนติกวิสัชนา (๔.๑) อินทรีย์ ๙ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๔.๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ได้แก่ สัทธินอินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ วิริยินทรีย์ (๔.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๕) สังกิลิฏฐติกวิสัชนา = คำตอบด้านกิเลส (๕.๑) อินทรีย์ ๙ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง และไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๕.๔) อินทรีย์ ๓ ~ ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๕.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๖) สวิตักกติกวิสัชนา (๖.๑) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร (๖.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีทั้งวิตกและวิจาร (๖.๓) อุเปกขินทรีย์ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๖.๔) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี; ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๗) ปีติติกวิสัชนา (๗.๑) อินทรีย์ ๑๑ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ; สหรคตด้วยสุข; หรือสหรคตด้วยอุเบกขา ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์ และ โทมนัสสินทรีย์ (๗.๒) โสมนัสสินทรีย์ ~ ที่สหรคตด้วยปีติแต่ไม่สหรคตด้วยสุขและไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติก็มี (๗.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๗.๔) อินทรีย์ ๔ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๘) ทัสสนติกวิสัชนา (๘.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ (๘.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ~มรรคเบื้องบน ๓ = สกิทาคามิมรรค, อนาคามิมรรค และ อรหัตตมรรค (๘.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๙) ทัสสนเหตุติกวิสัชนา (๙.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ (๙.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๙.๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๑๐) อาจยคามิติกวิสัชนา (๑๐.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน (๑๐.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ (๑๐.๓) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน (๑๐.๔) อัญญินทรีย์ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี (๑๐.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี; ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี (๑๑) เสกขติกวิสัชนา (๑๑.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล (๑๑.๒) อินทรีย์ ๒ ~ เป็นของเสขบุคคล (๑๑.๓) อัญญาตาวินทรีย์ ~ เป็นของอเสขบุคคล (๑๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี; ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี; ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี (๑๒) ปริตตติกวิสัชนา (๑๒.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นปริตตะ - ธรรมด้อย (๑๒.๒) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นอัปปมาณะ-ประมาณไม่ได้ (๑๒.๓) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นปริตตะก็มี; ที่เป็นมหัคคตะก็มี; ที่เป็นอัปปมาณะก็มี ได้แก่ มนินทรีย์, ชีวิตินทรีย์,โสมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ ปัญญินทรีย์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๙/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๑๓) ปริตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์มีกำลังอ่อน ที่เกิดขึ้นชั่วคราว (๑๓.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๓.๒) อินทรีย์ ๒ ~ มีปริตตะเป็นอารมณ์ ได้แก่ สุขินทรีย์ และ ทุกขินทรีย์ (๑๓.๓) อินทรีย์ ๓ ~ มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ (๑๓.๔) โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์แต่ไม่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์หรือมีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี (๑๓.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี (๑๔) หีนติกวิสัชนา (๑๔.๑) อินทรีย์ ๙ ~ เป็นชั้นกลาง (๑๔.๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นชั้นต่ำ (๑๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นชั้นประณีต (๑๔.๔) อินทรีย์ ๓ ~ ที่เป็นชั้นกลางก็มี; ที่เป็นชั้นประณีตก็มี (๑๔.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี; ที่เป็นชั้นกลางก็มี; ที่เป็นชั้นประณีตก็มี (๑๕) มิจฉัตตติกวิสัชนา (๑๕.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น (๑๕.๒) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน (๑๕.๓) อินทรีย์ ๔ ~ ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี (๑๕.๔)โทมนัสสินทรีย์ ~ ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี (๑๕.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี (๑๖) มัคคารัมมณติกวิสัชนา (๑๖.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๖.๒) อินทรีย์ ๔ ~ กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์; มีมรรคเป็นเหตุ; หรือมีมรรคเป็นอธิบดี ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๖.๓) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ ไม่ใช่มีมรรคเป็นอารมณ์; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๑๖.๔) อัญญินทรีย์ ~ไม่ใช่มีมรรคเป็นอารมณ์; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๑๖.๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี; ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มีมรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี (๑๗) อุปปันนติกวิสัชนา =คำตอบด้าน ธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว (๑๗.๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี; แต่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้น (๑๗.๒) อินทรีย์ ๒ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; แต่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอน (๑๗.๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เกิดขึ้นก็มี; ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี; ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี (๑๘) อตีตติกวิสัชนา (๑๘.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ที่เป็นอดีตก็มี; ที่เป็นอนาคตก็มี; ที่เป็นปัจจุบันก็มี (๑๙) อตีตารัมมณติกวิสัชนา (๑๙.๑) อินทรีย์ ๗ ~รับรู้อารมณ์ไม่ได้ (๑๙.๒) อินทรีย์ ๒ ~ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ (๑๙.๓) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์; มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์; หรือ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ (๑๙.๔) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี (๒๐) อัชฌัตตติกวิสัชนา = คำตอบด้าน ธรรมที่นำมาปฏิบัติเพื่อตนเอง (๒๐.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ที่เป็นภายในตนก็มี; ที่เป็นภายนอกตนก็มี; ที่เป็นภายในตน และภายนอกตนก็มี (๒๑) อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา = คำตอบด้านอารมณ์ภายใน-นอกตน (๒๑.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานยินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์ (๒๑.๒) อินทรีย์ ๓ ~ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ (๒๑.๓) อินทรีย์ ๔ ~ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์ และ อุเปกขินทรีย์ (๒๑.๔) อินทรีย์ ๘ ~ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ำ หรือมีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ได้แก่ มนินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์ และ ปัญญินทรีย์ (๒๒) สนิทัสสนติกวิสัชนา (๒๒.๑) อินทรีย์ ๕ ~ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ (๒๒.๒) อินทรีย์ ๑๗ ~ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ทุกมาติกาวิสัชนา = คำตอบหมวดละสอง (๑) เหตุโคจฉกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับเหตุเกิด (๑.๑) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุ ได้แก่ วิริยินทรีย์; สตินทรีย์; สมาธินทรีย์; ปัญญินทรีย์ (๑ ๒) อินทรีย์ ๑๘ ~ไม่เป็นเหตุ (๑.๓) อินทรีย์ ๗ ~ มีเหตุ (๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีเหตุ (๑.๕) อินทรีย์ ๖ ~ ที่มีเหตุก็มี; ที่ไม่มีเหตุก็มี (๑.๖) อินทรีย์ ๗ ~ สัมปยุตด้วยเหตุ (๑.๗) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากเหตุ (๑.๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี; ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี (๑.๙) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุและมีเหตุ (๑.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๑) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๒) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ; ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๑.๑๓) อินทรีย์ ๔ ~ เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๐/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๑.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ; หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ (๑.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ; ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี (๑.๑๗) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ (๑.๑๘) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ (๑.๑๙) อินทรีย์ ๔ ~ กล่าวไม่ได้ว่าไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ; หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ (๑.๒๐) อินทรีย์ ๖ ~ ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี (๒) จูฬันตรทุกวิสัชนา (๒.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ มีปัจจัยปรุงแต่ง (๒.๒) อินทรีย์ ๒๒ ~ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง (๒.๓) อินทรีย์ ๒๒ ~ เห็นไม่ได้ (๒.๔) อินทรีย์ ๕ ~ กระทบได้ (๒.๕) อินทรีย์ ๑๗ ~ กระทบไม่ได้ (๒.๖) อินทรีย์ ๗ ~ เป็นรูป ได้แก่จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสสินทรีย์ (๒.๗) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นรูป ได้แก่ สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๒.๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่เป็นรูปก็มี; ที่ไม่เป็นรูปก็มี (๒.๙) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นโลกิยะ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์,โทมนัสสินทรีย์ (๒.๑๐) อินทรีย์ ๓ ~ เป็นโลกุตตระ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์; อัญญินทรีย์; อัญญาตาวินทรีย์ (๒.๑๑) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นโลกิยะก็มี; ที่เป็นโลกุตตระก็มี (๒.๑๒) อินทรีย์ ๒๒ ~ จิตบางดวงรู้ได้ (๒.๑๓) อินทรีย์ ๒๒ ~ จิตบางดวงรู้ไม่ได้ (๓) อาสวโคจฉกวิสัชนา= คำตอบด้านกิเลส (อาสวกิเลส คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เกิดจากการสั่งสม ความเคยชิน เรียกย่อว่า อาสวะ มี ๔ อย่าง คือ ~กาม - ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ; ~ภพ - ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่; ~ทิฏฐิ - ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น; ~อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ~ความลุ่มหลงมัวเมา (๓.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นอาสวะ (๓.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๓.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากอาสวะ (๓.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยอาสวะ (๓.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี (๓.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ; ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ (๓.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ; ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี (๓.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ (๓.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๓.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ; หรือวิปปยุตจากอาสวะ และไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี (๔) สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา (๔.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นสังโยชน์ (๔.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๔.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๔.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์ (๔.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~สัมปยุตด้วยสังโยชน์ (๔.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี (๕.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์; ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๕.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๑/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๕.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ (๕.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์; ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี (๕.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ (๕.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๕.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์; หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี (๕) คันถโคจฉกวิสัชนา = คำตอบเกี่ยวกับ การผูกมัด ~ คันถะ ๔ = คือ -->๑. อภิชฌากายคันถะ - ผูกมัดอยู่กับความยินดี ชอบใจ อยากได้ องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘ -->๒. พยาปาทกายคันถะ - ผูกมัดอยู่กับความโกรธ อาจมีคิดปองร้ายด้วย องค์ธรรมได้แก่โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิตทั้ง ๒ ดวง -->๓. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ - ผูกมัดอยู่ในความชอบใจในการปฏิบัติที่ผิด ว่าปฏิบัติอย่างนี้แหละเป็นทางให้พ้นทุกข์ โดยเข้าใจว่าเป็นการถูกต้องแล้ว แต่หากมีผู้รู้แนะนำสั่งสอนทางที่ถูกต้องให้ ก็สามารถกลับใจได้ องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคต สัมปยุตตจิต ๔ -->๔. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ - ผูกมัดอยู่ในความชอบใจในการปฏิบัติที่ผิด แต่ว่ารุนแรงมั่นคงแน่วแน่มากกว่าในข้อ ๓ นอกจากนั้นแล้วยังดูหมิ่นและเหยียบย่ำ ทับถมวาทะ หรือมติของผู้อื่นด้วย ถึงแม้ว่าจะมีผู้รู้มาชี้แจงแสดงเหตุผลในทางที่ถูก ที่ชอบประการใด ๆ ก็ไม่ยอมกลับใจได้เลย องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ใน ทิฏฐิคตสัมปยุตต ๔ รวมคันถะมี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๓ คือ โลภเจตสิก โทสเจตสิก และ ทิฏฐิเจตสิก (๕.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ไม่เป็นคันถะ (๕.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๔) อินทรีย์ ๙ ~ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๕.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากคันถะ (๕.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยคันถะ (๕.๗) อินทรีย์ ๖ ~ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี (๕.๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๕.๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ; ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๕.๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ (๕.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ; ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี (๕.๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๖) โทมนัสสินทรีย์ ~กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ (๕.๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๕.๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ; หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี (๖-๘) โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา ~ โอฆะ ๔ = คือ -->๑. กาโมฆะ - ห้วงแห่งกาม พาให้สัตว์จมอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘ -->๒. ภโวฆะ - ห้วงแห่งภพ พาให้สัตว์จมอยู่ในความยินดีต่ออัตภาพของตน ตลอดจนชอบใจอยากได้รูปภพ, อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในทิฏฐิคต วิปปยุตตจิต ๔ -->๓. ทิฏโฐฆะ - ห้วงแห่งความเห็นผิด พาให้สัตว์จมอยู่ในความเห็นผิดจาก ความเป็นจริงของสภาวธรรม องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ -->๔. อวิชโชฆะ - ห้วงแห่งความหลง พาให้สัตว์ลุ่มหลงจมอยู่ในความไม่รู้เหตุ ผลตามความเป็นจริงจึง โลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสล จิต ๑๒
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๒/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
~โยคะ ๔ = คือ -->๑. กามโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับกามคุณ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภ มูลจิต ๘ -->๒. ภวโยคะ -ตรึงให้ติดอยู่กับความยินดีในอัตภาพของตน, ตลอดจนชอบใจ ในรูปภพ, อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔ -->๓. ทิฏฐิโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับความเห็นผิดจากความเป็นจริงของสภาวธรรม องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ -->๔. อวิชชาโยคะ - ตรึงให้ติดอยู่กับความหลง เพราะไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง จึงโลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสลจิต ๑๒ ~นิวรณ์ ๖ = คือ -->๑. กามฉันทนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความชอบใจอยากได้ในกามคุณอารมณ์ จึงย่อมขาดสมาธิในอันที่จะทำ ความดี มีฌานและมัคคผลเป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘ -->๒. พยาปาทนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความไม่ชอบใจในอารมณ์ เมื่อจิตใจ มีแต่ความขุ่นเคืองไม่ชอบใจแล้ว ก็ย่อมขาดปีติความอิ่มใจในการกระทำความดี มี ฌานเป็นต้น องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก ที่ในโทสมูลจิต ๒ -->๓. ถีนมิทธนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความหดหู่ท้อถอยในอารมณ์ จึงย่อมขาดวิตก คือไม่มีใจที่จะคิดกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก ที่ในอกุสลสสังขาริกจิต ๕ -->๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะคิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ก็ย่อมขาดความสุขใจในอันที่จะกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ อุทธัจจ เจตสิก กุกกุจจเจตสิก ที่ในอกุสลจิต ๑๒ -->๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ - ขัดขวางไว้เพราะความสงสัย ลังเลใจ ก็ย่อมขาดวิจารในอันที่จะพินิจกระทำความดี องค์ธรรมได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิก ที่ในวิจิกิจฉาสหคตจิต ๑ -->๖. อวิชชานิวรณ์ -ขัดขวางไว้เพราะความไม่รู้ มีการทำให้หลงลืม ก็ย่อมขาด สติ ไม่ระลึกถึงความดีที่ตนจะกระทำ องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิกที่ในอกุสลจิต ๑๒ (๑) อินทรีย์ ๒๒ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ (๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ได้แก่ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์ (๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์ (๖)โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยนิวรณ์ (๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๘) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๙) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๐) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์; ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๑๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๒) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ (๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์; ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี (๑๔) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๖)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ (๑๗) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๑๘) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์; หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี (๙) ปรามาสโคจฉกวิสัชนา = คำตอบด้าน การยึดมั่นถือมั่น ที่ผิดจากความเป็นจริง (๙.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นปรามาส (๙.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๙.๕) อินทรีย์ ๑๖ ~ วิปปยุตจากปรามาส (๙.๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๙.๗) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส (๙.๘) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส (๙.๙) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส; ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี (๙.๑๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๑๑) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาส (๙.๑๒) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๓/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๙.๑๓) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส; หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี (๑๐) มหันตรทุกวิสัชนา (๑๐.๑) อินทรีย์ ๗ ~ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์ (๑๐.๒) อินทรีย์ ๑๔ ~ รับรู้อารมณ์ได้ (๑๐.๓) ชีวิตินทรีย์ ~ที่รับรู้อารมณ์ได้ก็มี; ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๑๐.๔) อินทรีย์ ๒๑ ~ ไม่เป็นจิต (๑๐.๕) มนินทรีย์ ~ เป็นจิต (๑๐.๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ เป็นเจตสิก (๑๐.๗) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เป็นเจตสิก (๑๐.๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่เป็นเจตสิกก็มี; ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี ~ เจตสิก = ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของคน ที่ช่วยตัดสินใจ หรือปรุงแต่งจิตใจ ในการทำบุญและทำบาป ซึ่งธรรมชาตินี้ เกิดพร้อมกับจิต, ดับพร้อมกับจิต, มีอารมณ์เดียวกันกับจิต, อาศัยวัตถุเดียวกันกับจิต (๑๐.๙) อินทรีย์ ๑๓ ~ สัมปยุตด้วยจิต (๑๐.๑๐) อินทรีย์ ๗ ~ วิปปยุตจากจิต (๑๐.๑๑) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี; ที่วิปปยุตจากจิตก็มี (๑๐.๑๒) มนินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต; หรือวิปปยุตจากจิต (๑๐.๑๓) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิต (๑๐.๑๔) อินทรีย์ ๗ ~ ไม่ระคนกับจิต (๑๐.๑๕) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตก็มี (๑๐.๑๖) มนินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต หรือไม่ระคนกับจิต (๑๐.๑๗) อินทรีย์ ๑๓ ~ มีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๑๘) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๑๙) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ~ชีวิตินทริยเจตสิกจึงเป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกัน เป็นใหญ่ในการรักษาสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมด้วยให้ดำรงอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะดับไป ~ชีวิตรูปเป็นรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน คือเกิดจากกรรม จึงตามอนุบาลรักษากัมมชรูปที่เกิดพร้อมกันเท่านั้น ทำให้รูปของสัตว์ที่มีชีวิตแตกต่างจากรูปของสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสัตว์ที่ตายแล้ว (๑๐.๒๐) อินทรีย์ ๑๓ ~ เกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๒๑) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๒๒) ชีวิตินทรีย์ ~ที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี (๑๐.๒๓) อินทรีย์ ๑๓ ~ เป็นไปตามจิต (๑๐.๒๔) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่เป็นไปตามจิต (๑๐.๒๕) ชีวิตินทรีย์ที่เป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี (๑๐.๒๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๒๗) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่ระคนกับจิต และมีจิตเป็นสมุฏฐาน (๑๐.๒๘) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี (๑๐.๒๙) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๓๐) อินทรีย์ ๘ ~ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต (๑๐.๓๑) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี (๑๐.๓๒) อินทรีย์ ๑๓ ~ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต (๑๐.๓๓) อินทรีย์ ๘ ~ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต (๑๐.๓๔) ชีวิตินทรีย์ ~ ที่ระคนกับจิตมีจิต เป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี; ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี (๑๐.๓๕) อินทรีย์ ๖ ~ เป็นภายใน ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, มนินทรีย์ (๑๐.๓๖) อินทรีย์ ๑๖ ~ เป็นภายนอก ได้แก่ ที่เหลือจากภายใน คือ อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๐.๓๗) อินทรีย์ ๗ ~ เป็นอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ เกิด)ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์ , ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์ (๑๐.๓๘) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นอุปาทายรูป ได้แก่ ชีวิตินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, โสมนัสสินทรีย์, โทมนัสสินทรีย์, อุเปกขินทรีย์, สัทธินทรีย์, วิริยินทรีย์, สตินทรีย์, สมาธินทรีย์, ปัญญินทรีย์, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์ และ อัญญาตาวินทรีย์ (๑๐.๓๙) ชีวิตินทรีย์ ~ที่เป็นอุปาทายรูปก็มี; ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี ~ชีวิตินทรีย์ = อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ -->๑. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป - เป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง มีหน้าที่รักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) -->๒. ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิก - สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) มีหน้าที่รักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือ จิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือ นามชีวิตินทรีย์ (๑๐.๔๐) อินทรีย์ ๙ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ (๑๐.๔๑) อินทรีย์ ๔ ~ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ (๑๐.๔๒) อินทรีย์ ๙ ~ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี; ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๔/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๑๑) อุปาทานโคจฉกวิสัชนา (๑๑.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๑๑.๕) อินทรีย์ ๑๖ ~ วิปปยุตจากอุปาทาน (๑๑.๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี (๑๑.๗) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๘) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๙) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน; ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๑) อินทรีย์ ๑๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน (๑๑.๑๒) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน; ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี (๑๑.๑๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๑๔) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน (๑๑.๑๕) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๑๑.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่าวิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน; หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๑๒) กิเลสโคจฉกวิสัชนา (๑๒.๑) อินทรีย์ ๒๒ ~ ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๓) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๔) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๑๒.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง (๑๒.๖) โทมนัสสินทรีย์ ~ กิเลสทำให้เศร้าหมอง (๑๒.๗) อินทรีย์ ๖ ~ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี; ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี (๑๒.๘) อินทรีย์ ๑๕ ~ วิปปยุตจากกิเลส (๑๒.๙) โทมนัสสินทรีย์ ~ สัมปยุตด้วยกิเลส (๑๒.๑๐) อินทรีย์ ๖ ~ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี (๑๒.๑๑) อินทรีย์ ๑๐ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๒) อินทรีย์ ๓ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๓) อินทรีย์ ๙ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส; ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๑๔) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๕) โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๖) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่าเป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง; ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๑๗) อินทรีย์ ๑๕ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๘)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส (๑๒.๑๙) อินทรีย์ ๖ ~ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส; ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี (๑๒.๒๐) อินทรีย์ ๙ ~ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๑) อินทรีย์ ๓ ~ วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๒)โทมนัสสินทรีย์ ~ กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส (๑๒.๒๓) อินทรีย์ ๓ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๑๒.๒๔) อินทรีย์ ๖ ~ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี; ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส; หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี (๑๓) ปิฏฐิทุกวิสัชนา (๑๓.๑) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค (๑๓.๒) อินทรีย์ ๗ ~ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๑๓.๓) อินทรีย์ ๑๕ ~ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (๑๓.๔) อินทรีย์ ๗ ~ ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๑๓.๕) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๕/๑๕) : ๑๒. อินทริยวิภังค์
(๑๓.๖) อินทรีย์ ๗ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี (๑๓.๗) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (๑๓.๘) อินทรีย์ ๗ ~ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี; ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี (๑๓.๙) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีวิตก (๑๓.๑๐) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีวิตก (๑๓.๑๑) อินทรีย์ ๑๒ ~ ที่มีวิตกก็มี; ที่ไม่มีวิตกก็มี (๑๓.๑๒) อินทรีย์ ๙ ~ ไม่มีวิจาร (๑๓.๑๓) โทมนัสสินทรีย์ ~ มีวิจาร (๑๓.๑๔) อินทรีย์ ๑๒ ~ ที่มีวิจารก็มี; ที่ไม่มีวิจารก็มี (๑๓.๑๕) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่มีปีติ (๑๓.๑๖) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่มีปีติก็มี; ที่ไม่มีปีติก็มี (๑๓.๑๗) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่สหรคตด้วยปีติ (๑๓.๑๘) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี (๑๓.๑๙) อินทรีย์ ๑๒ ~ ไม่สหรคตด้วยสุข (๑๓.๒๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี (๑๓.๒๑) อินทรีย์ ๑๒ ~ไม่สหรตด้วยอุเบกขา (๑๓.๒๒) อินทรีย์ ๑๐ ~ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี; ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี (๑๓.๒๓) อินทรีย์ ๑๐ ~ เป็นกามาวจร ได้แก่ จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์, อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, สุขินทรีย์, ทุกขินทรีย์, และโทมนัสสินทรีย์, เป็นกามาวจรอย่างเดียว (๑๓.๒๔) อินทรีย์ ๓ ~ ไม่เป็นกามาวจร (๑๓.๒๕) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นกามาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี (๑๓.๒๖) อินทรีย์ ๑๓ ~ ไม่เป็นรูปาวจร (๑๓.๒๗) อินทรีย์ ๙ ~ ที่เป็นรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี (๑๓.๒๘) อินทรีย์ ๑๔ ~ ไม่เป็นอรูปาวจร (๑๓.๒๙) อินทรีย์ ๘ ~ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี; ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี (๑๓.๓๐) อินทรีย์ ๑๐ ~ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๑๓.๓๑) อินทรีย์ ๓ ~ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ อนัญตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญินตาวินทรีย์ (๑๓.๓๒) อินทรีย์ ๙ ~ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี (๑๓.๓๓) อินทรีย์ ๑๑ ~ ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์(๑๓.๓๔) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ (๑๓.๓๕) อินทรีย์ ๑๐ ~ ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี (๑๓.๓๖) อินทรีย์ ๑๐ ~ ให้ผลไม่แน่นอน (๑๓.๓๗) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ~ ให้ผลแน่นอน (๑๓.๓๘) อินทรีย์ ๑๑ ~ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี; ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี (๑๓.๓๙) อินทรีย์ ๑๐ ~ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (๑๓.๔๐) อินทรีย์ ๓ ~ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (๑๓.๔๑) อินทรีย์ ๙ ~ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี; ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี (๑๓.๔๒) อินทรีย์ ๑๕ ~ ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ (๑๓.๔๓) โทมนัสสินทรีย์ ~ เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ (๑๓.๔๔) อินทรีย์ ๖ ~ ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี; ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ปัญหาปุจฉกะ จบ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
อภิธรรมปิฎก : ๑๓ วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์ (แจกปัจจยาการ ๑๒)
นาคาคะนองฝนฉันท์ ๒๖/กาพย์ทัณฑิกา
๑.ผจงน้อมพระโคดม.......................................อติสมพระคุณมั่น ทรงเป็นพระพุทธะอรหันต์....................................ลุตรัสรู้ซิองค์เอง
๒.พระศาสดา.......ทรงพระเมตตา......สอนชน,เทพเผง พ้นจากความทุกข์....ที่รุกกายเพรง....สงฆ์ลุตามเปล่ง....หมายนิพพานแล
๓.ก็"ปัจจ์ยาวิภังค์"แนบ.....................................ตติแบบซิต่างแฉ "สุตตันฯแถลงกะวทะแล้.......................................พระสูตรว่าละเอียดเผย
๔."อภิธรรมภาฯ".......อธิบายหนา.......ปรมัตถ์ธรรมเอ่ย "ปัญหาปุจฉกะ"....จะตอบความเอย....."ปัจจยาการ"เปรย...ตามลำดับนำ
๕.ผิปัจจ์ยาฯรึเรียกชิด.......................................วะปฏิจจะฯหลายธรรม เกิดพร้อมและร่วมประลุกระทำ..............................จะอาศัยซิกันแฉ
๖.หลักธรรมอธิบาย........การเกิดทุกข์ฉาย.......เพราะปัจจัยแน่ มีสิบสองจ่อ....เกิดต่อสืบแน่....อยู่อิงร่วมแล้....ตามลำดับกราน
๗."อวิชชา"สิปัจจัย..............................................ภวไซร้ซิสังขาร สังขารเจาะชาตะลุประสาน....................................กะวิญญาณอุบัติผลาม
๘.วิญญาณปัจจัย.......เป็นเหตุเกิดไซร้........นามรูปมีลาม นามรูปเป็นเหตุ....พิเศษรุกหวาม...."สฬายะฯลาม....ตา,หู..ใจนา
๙."สฬายาตะ"เหตุชัด.........................................ภวผัสสะเกิดหนา ด้วยผัสสะก่อเกาะริตริกล้า.....................................ลุเวทนาเพราะอารมณ์
๑๐.เวทนา,ปัจจัย.........ก่อตัณหาไกล.......ความอยากมีบ่ม ตัณหา,อยากพา....อุปาทานคม....เกิดยึดมั่นสม....ทุกสิ่งของตน
๑๑.อุปาทานสิถือครบ.........................................ลุประภพซิ"ภพ"ท้น "ภพ"เป็นสิเหตุเจาะริสกนธ์.....................................ก็"ชาติ"จึงปรุเกิดหนา
๑๒."ชาติ"แน่ปัจจัย.......มีเกิดแล้วไซร้......ชรา,ตายตามมา มีโศก,ทุกข์,ครวญ....กำสรวลแค้นหนา....กองทุกข์ใหญ่หล้า....เกิดเยี่ยงนี้แล
๑๓.แสดงต้น,ลุปลายโถม...................................."อนุโลมฯ"ซิเรียกแฉ เริ่มจากอวิชช์ฯสิเจาะตริแล้.....................................ชรา,ตายและทุกข์ตาม
๑๔.ถ้าแจงย้อนพา.......ปฏิโลมเทศนา.......เริ่มแก่ตายผลาม เพราะมีเหตุ"ชาติ"....ยาตรมี"ภพ"งาม.....กระทั่งถึงลาม...."อวิชชา"เอย
๑๕.ก็สิบสองสิวนเถียร.........................................ลุเฉวียนตลอดเอ่ย ปัจจัยซิสันตติเจาะเผย...........................................ลุเหตุผลมิสิ้นแล
๑๖."สุตตันตภาฯ"........แจงปัจจัยหนา.......สิบสองกรานแล้ อวิชชานำ....เหตุถลำแฉ....มีสังขารแท้....อวิชชาคือใด
๑๗.อวิชชามิรู้ชัด.................................................อริย์สัจอะไรไข "ทุกข์ผองและเหตุเจาะสมุทัย.................................."นิโรธ"ทางลิทุกข์ผลาญ
๑๘.สังขารมีใด.......ปรุงกุศลไซร้........ท่องกามาฯพาน ด้วยกามคุณห้า....ฝ่า"รูปาฯ"ชาญ....สำเร็จด้วยทาน....ศีล,ภาวนา
๑๙.ก็สังขารสิปรุงชั่วยล.......................................อกุศล ณ กามาฯ "อาเนญภิสังฯ"หทยะหนา.........................................สมาธิ์แน่วลุฌานสี่
๒๐.เจตนากุศล.........ท่อง"อรูปฯ"ด้น.......อรูปพรหมชี้ กายสังขารหนา....เจตนากายคลี่....ตั้งใจพูดดี....มโนดีพาน
๒๑.เพราะสังขารสิเหตุปรก....................................ภวหกเจาะวิญญาณ ปรุงผ่านเลาะอายตนะฉาน........................................ซิตา,หู..มโนแฉ
๒๒.วิญญาณปัจจัย.......เกิดนาม,รูปไซร้......"นาม"เป็นใดแล้ ขันธ์สี่คือใด....ใช่เวทนาแน่....สัญญาขันธ์แท้....สังขาร,วิญญาณ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๒๓.ปะ"รูป"จาก"มหาภูฯ"..................................จตุกรูซิ"ดิน.."พาน แหล่งเกิด"อุปาทยะฯ"เจาะผ่าน............................จะเกิดรูปเจริญหนา
๒๔.นามรูป,ปัจจัย.......สฬาย์ตนะไซร้.......จึงเกิดมีกล้า มีปสาทรูป,ตา....พาเห็นรูปหล้า.....รู้กระทบมา....เรียก"จักขาฯ"เอย
๒๕.ประสาทหู,จมูก,ลิ้น......................................วปุชิน"มโน"เผย ด้วยมีประสาทก็ดุจะเอ่ย.......................................และรับรู้ซิเหมือน"ตา"
๒๖."โสตายะฯ,หู"........"ฆานายะฯ"กรู......."ชิวหายะฯ"หนา "กายายะฯ,กาย"....พราย"มนายะฯ"กล้า....หกทางเชื่อมนา....รับรู้ได้แล
๒๗."สฬายาตะฯ"เหตุชัด....................................ภว"ผัสสะ"เกิดแน่ ทางเชื่อมเพราะอายตนะแฉ..................................ลุสัมผัสซิหกเอย
๒๘.จักขุสัมผัส.......โสตสัมฯชัด........ฆานสัมฯเอ่ย ชิวหาสัมฯ,ลิ้น....ชินกายสัมฯเชย....มโนสัมฯเผย....กระทบทางใจ
๒๙.เจาะชี้"ผัสสะ"เหตุเร่....................................ภว"เวทนา"ไข อารมณ์สิก่อปะทุมุไว............................................เพราะตา,จักขุสัมฯแฉ
๓๐.เช่นกัน"เวทนา".........เกิดแต่หูพา.......โสตสัมผัสแน่ ฆานสัมผัสมา....ชิวหาสัมฯแล้....กายสัมผัสแท้....มโนสัมฯนา
๓๑.เพราะ"เวทนา"สิก่อมาก.................................ภว"อยาก"ซิตัณหา อยากได้นะ"รูป"ศิริวิภา...........................................ปะอยาก"สัททตัณฯ"เอย
๓๒.อยากได้กลิ่นฉม......."คันธตัณฯ"ดม......"รสตัณหา"เผย "โผฏฐัพพ์ตัณหา"....พาสัมผัสเชย...."ธัมม์ตัณหา"เสย....ใจคิด"อยาก"แล
๓๓.เพราะ"ตัณหา"ริเหตุหนา..............................ตริ"อุปาฯ"ซิยึดแน่ ถือ"กามุปาฯ"ลุธุวแล้.............................................ริ"รูป,รส.."รตีหนา
๓๔."ทิฏฐุปาทาน".......ยึดคำสอนพาน.......ผิดความจริงพา "สีลัพพ์ตุ"ติด....ชิดลัทธินา.....เชื่อความขลังมา...ไร้เหตุผลอิง
๓๕.เพราะ"อัตต์วาทุปาทาน"...............................ฐิติพานเจาะคิดยิ่ง ถือวาทะตนลุภวจริง.............................................มิคำนึงซิเหตุผล
๓๖."อุปาทาน"หนา........เหตุก่อ"ภพ"มา.......มี"กรรมภพ"ดล กรรมเป็นเหตุทำ....นำวิญญาณด้น....สู่"ภพ"ต่างยล....ตามดี,ชั่วแล
๓๗.เพราะ"อุปัตติภพ"ชัด....................................มติสัตว์เจาะ"เกิด"แน่ วิญญาณอุบัติเลาะภวแท้.......................................ณ "กามภพ"เพราะท่องกามหนา
๓๘."กามภพ"สิบเอ็ด.......ที่อยู่สัตว์เด็ด........พฤติกามคุณพา ใน"อบายสี่"....ที่โลกมนุษย์นา....สวรรค์หกชั้นหล้า....อายุต่างกัน
๓๙.ก็"รูปภพ"สิสิบหก.......................................ภวปรกพระพรหมลุฌานครัน พรหมมีซิรูปเจาะอติสรรค์.....................................เผดิม"ปาริสัชชา"
๔๐."อรูปภพ"ไซร้.........ผู้เกิด"รูป"ไร้.......อรูปพรหมหนา มีสี่ชั้นจุ....ลุอรูปฌานกล้า....เริ่ม"อากาสาฯ"....ถึง"เนวสัญญ์ฯ"แล
๔๑.เจาะ"สัญญาฯ"สิภพลาม...............................ภว"นามขันธ์"แฉ สัญญาสิมีเลาะพหุแน่............................................ซิเช่นกามภพหนา
๔๒."อสัญญาภพ".......ไร้นามขันธ์จบ......มีรูปขันธ์กล้า เพียงอย่างเดียวเอย....เผยอบรมมา....จนลุฌานห้า....พรหมมี"รูป"ครัน
๔๓.ลุภพ"เนวสัญญาฯ".......................................คติหนาซินามขันธ์ มีหรือมิมีภณะยัน..................................................อรูป์พรหม ณ ชั้นสี่
๔๔."เอกโวการภพ".......มีรูปขันธ์จบ.......ไร้นามธรรมคลี่ "จตุโวการภพ"....สี่ครบนามชี้.....ไร้รูปขันธ์มี....อรูปพรหมเอย
๔๕.ผิภพ"ปัญจโวฯ"ชัด.......................................ภวสัตว์เจาะห้าเอ่ย ขันธ์ห้าสิ"นาม"เกาะจตุเผย....................................เลาะหนึ่ง"รูป"ประกอบกาย
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๓/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๔๖.เช่นสัตว์เกิดใน........กามภูมิไซร้.......รูปภูมิขจาย สิบห้าเว้นครัน....อสัญญสัตว์กราย....มีแค่หนึ่งฉาย....เพียงรูปขันธ์แล
๔๗.เพราะ"ภพ"เป็นสิเหตุยาตร...........................ภว"ชาติ"จะเกิดแฉ สัตว์มีซิอายตนะแล้..............................................และ"ภพ"เหตุเหมาะ"ชาติ"หนา
๔๘."ชาติ"เป็นปัจจัย.......มีเหตุตามไว........ชรา,มฤต,โศกกล้า คร่ำครวญ,ทุกข์โถม....โทมนัสใจมา...."อุปายาส"ครา....เกิดทุกข์ทั้งมวล
๔๙."ชรา"เป็นสิคร่ำคร่า.....................................พละล้าซิกายผวน กายเสื่อมและหง่อมชิรณะซวน..............................เจาะทรุดโทรมและอ่อนแรง
๕๐.มรณะไฉน.........ตาย,ทลายไว.......ขันธ์แตกทลายแจง ชีวิตินทรีย์....ชี้ขาดสูญแกร่ง....เรียก"ชาติ"เหตุแต่ง....ชรา,ตายมีครัน
๕๑.พิลาป"โสกะ"เป็นใด.....................................รวะไซร้เพราะโศกศัลย์ เสื่อมโรคะ,ญาติลุทุขะหวั่น...................................ลุเสื่อมศีลและเงินทอง
๕๒."ปริเทวะ".......ความร้องไห้ปะ......ครวญ,พร่ำเพ้อร้อง "ทุกข์"เป็นไฉน....กายไม่สุขผ่อง....อารมณ์ทุกข์ผอง....ไม่สำราญเลย
๕๓."อุปายาส"สิแค้นเคือง..................................ชิระเรื่องซิเสื่อมเผย "โทม์นัส"เจาะทุกข์หทยะเอ่ย................................มิสำราญกะอารมณ์
๕๔."อภิธรรมภาช์นีย์".......ปัจจยาการชี้.......ละเอียดมากชม แจง"ปัจจยฯ"สี่....รี่"เหตุจตุฯ"คม....."สัมปยุตฯ"สม....อัญญมัญญ์ฯไกล
๕๕.ผิปัจจายะฯแจกแจง....................................เจาะแสดงซิปัจจัย สิบสองสิองค์ตะมิวิไล..........................................มิสมบูรณ์ซิแหล่งสอง
๕๖.อวิชชา,ปัจจัย........ก่อให้เกิดไซร้.......สังขาร,ปรุงผอง สังขารปรุงผาย....กาย,พูด,ใจจ้อง....วิญญาณรู้ส่อง....หกวิญญาณแล
๕๗.เพราะ"วิญญาณ"สิปัจจัย............................ภวไซร้ซิ"นาม"แน่ วิญญาณก็จิตจะเจาะลุแฉ...................................ซิครรภ์แม่เพาะตัวอ่อน
๕๘.มีทั้งรูป,นาม.......กายและใจลาม........เกิดชีวิตจร เจริญสืบไป....ไร้วิญญาณสลอน....หรือตายดับคลอน....ไร้นามรูปเอย
๕๙.เพราะ"นาม"หนุน"มโน,ใจ"..........................หฤทัยอุบัติเคย ปัจจัยมนายตนะเผย............................................กระทบผัสสะมีครัน
๖๐.มี"ผัสสะ"แล้.........ก่อ"เวทนา"แน่.......รู้สึกได้สรรค์ เวทนา,ปัจจัย....ได้"ตัณหา"พลัน....พึงพอใจดั้น....สุข,ทุกข์,เฉยแล
๖๑.เพราะ"ตัณหา"กระตุ้นหนา...........................ริ"อุปาฯ"เจาะเกิดแน่ ยึดมั่นสิพลันวะดนุแฉ...........................................และกลายเป็นอุปาทาน
๖๒."อุปาทาน"ไซร้.......ยึดติดมั่นไว......หนุนสร้าง"ภพ"พาน ด้วยปรุงสิ่งต่าง....พลางตามยึดกราน....ภาวะพร้อมขาน....เกิด"ภพ"ได้ดล
๖๓.สิ"ภพ"หนุนและเกื้อ"ชาติ"............................ภวยาตรเจาะเกิดยล ทำกรรมกุศล,รึอกุศล.............................................ประเดิมเกิดซิรูป,นาม
๖๔.มี"ชาติ"เกิดแล้ว.......ขันธ์ห้าก่อแน่ว.......ชีวิตเกิดผลาม "ชรามรณะ"....จะตามเร็วลาม.....ความหง่อม,เสื่อมทราม...ความตายจำปลง
๖๕.ผิ"ปัจจายะฯ"ตอนสอง..................................ภวพร่องมิครบองค์ ปัจจัยอวิชช์ฯเจาะหิตะบ่ง......................................ลุสังขารซิเกิดครัน
๖๖.สังขาร,ปัจจัย........ปรุงแต่งแล้วไซร้.......วิญญาณเกิดพลันฯ วิญญาณเกื้อหนุน....จุนให้เกิดสรร...."นาม"จึงมีดั้น....และ"รูป"เกิดพาน
๖๗.พระพุทธเจ้าสิตรัสชื่อ....................................มนะคือสิวิญญาณ ย่อมเวียนแวะ"นาม"จะมิมลาน.................................ไถลพร้อมจะเกิดวน
๖๘."นาม"เป็นปัจจัย.......เกิด"ผัสสะ"ได้........จากกระทบผล "ผัสสะ"ปัจจัย....ไซร้กระทบดล....เกิด"เวทนา"ล้น....รู้สึกตามมา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๔/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๖๙.เพราะ"เวท์นา"สิปัจจัย..................................หิตะไวกะ"ตัณหา" รู้แล้วก็"อยาก"ริวสะหนา........................................ซิมากขึ้นตลอดกาล
๗๐.มี"ตัณหา"แล้ว.........เป็นปัจจัยแน่ว.......เกิด"อุปาทาน" อุปาฯปัจจัย....ทำให้เกิดผ่าน....ณ ภพหน้าพาน....เวียนเช่นนี้แล
๗๑.เพราะ"ภพ"เน้นสิหนุนชัด..............................เจาะอุบัติซิ"ชาติ"แท้ "ชาติ"มี"ชรา,มรณะแน่...........................................ก็ตามพลันเกาะทุกข์ผอง
๗๒."ปัจจ์ยะฯตอนสาม.......แจกแจงสัตว์ตาม........เกิดในครรภ์ครอง "อวิชชา"หนา....หารู้จริงคล่อง....อริย์สัจสี่ตรอง...."สังขาร"มีกราน
๗๓.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง..............................หิตะแจ้งลุ"วิญญาณ" "วิญญาณ"จะก่อลุภวพาน......................................และ"นามรูป"เจาะนาม,กาย
๗๔."นามรูป"ปัจจัย......."อายตนะ"ไว.......คือ"มโน"เกิดฉาย "อายตนะหก"....ปรกปัจจัยกราย.....เกิด"ผัสสะ"พราย....เริ่มกระทบพา
๗๕.เพราะมี"ผัสสะ"ปัจจัย..................................ภวไวลุ"เวท์นา" "เวท์นา"สิหนุนตริวสะกล้า.....................................ซิ"ตัณหา"เจาะมากหลาย
๗๖."ตัณหา"ปัจจัย........"อุปาทาน"ไซร้.......เกิดยึดมั่นกราย มี"อุปาทาน"....พานยึดสิ่งพราย....เป็นของตนหมาย...."ภพ"หน้ามีครา
๗๗.เพราะ"ภพ"หนุนสิเด่นชัด..............................เจาะอุบัติซิ"ชาติ"หนา "ชาติ"เริ่ม"ชรา,มรณะ"มา......................................ซิตามพร้อมปะทุกข์ผอง
๗๘.ปัจจ์ยะฯตอนสี่.......แจกแจงสัตว์คลี่........"โอปปาติฯ"ครอง เริ่ม"อวิชชา"....พาไม่รู้ถ่อง....อริยสัจส่อง...."สังขาร"มีพาน
๗๙.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง.............................ตริแจรงลุ"วิญญาณ" "วิญญาณ"ซิเกื้อเจาะประสาน...............................มุ"นามรูป"อุบัติมี
๘๐."นามรูป"ปัจจัย........."สฬาย์ตนะ"ไว.......ทวาร,ตา..ใจคลี่ เพราะ"สฬาย์ตนะ"....เกิดประภพชี้....ผัสสะรู้รี่....เกิดกระทบมา
๘๑.เพราะมี"ผัสสะ"ปัจจัย..................................ภวไซร้ลุ"เวท์นา" เวท์นาสิเอื้อเกาะวสะคว้า......................................ซิ"ตัณหา"รตีเผย
๘๒."ตัณหา"ปัจจัย......."อุปาทาน"ไว......ก่อเกิดตามเอย มี"อุปาทาน"....ไม่รานเลิกเลย....มั่นทุกสิ่งเปรย...."ภพ"หน้ามีแล
๘๓.เพราะ"ภพ"เป็นสิปัจจัย................................ฐิติไซร้ลุ"ชาติ"แน่ "ชาติ"หนุน"ชรา,มรณะ"แท้....................................และตามพร้อมเจาะทุกข์หลาย
๘๔."เหตุจตุกกะ".......เหตุสี่ตอนปะ.......วนวัฏฏะปลาย เหตุตอนหนึ่งชิด...."อวิชชา"หนุนกราย.....ให้"สังขาร"ผาย....ปรุงดี,ชั่วกราน
๘๕.เพราะ"สังขาร"สิเริ่มดล................................ปฏิสนธิวิญญาณ คราจิตอุบัติและระยะพาน....................................ซิหลังเกิดมนุษย์ หนา
๘๖.สังขารปรุงปก........รู้ผ่านทวารหก.......จักขุวิญญ์ฯกล้า โสตวิญญ์ฯ,ฆานวิญญ์ฯ....มีลิ้น,ชิวหาฯ....กายวิญญาณมา....มโนวิญญ ฯเอย
๘๗.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม......................ภว"นาม"ซิมีเอ่ย วิญญาณก็คือหทยะเผย.....................................ซิ"นาม,เจตสิก"แล
๘๘."วิญญาณ"กับ"นาม".......เป็นเหตุเด่นตาม........อยู่ชิดกันแน่ เวียนและวนไป....เหมือนไซร้"จิต"แท้....กับ"เจตสิก"แล้....เกิดพร้อมกันเลย
๘๙.เพราะ"นาม,เจตสิก"หนา............................หิตะ"อายะฯหก"เอ่ย ด้วยอายะฯคือหทยะเผย.....................................จะมี"เจตสิก,นาม"
๙๐.อายะฯที่หก.........คือ"มโน"ปก.......เป็นปัจจัยผลาม กับ"ผัสสะ"ชี้....ถ้ามี"มโน"ลาม....เกิดกระทบตาม....ผัสสะมีพลัน
๙๑.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเตร่...............................ภว"เวทนา"สรรค์ เวท์นาสิหนุนริวสะดั้น..........................................ลุ"ตัณหา"ซิมากหนา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๕/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๙๒."ตัณหา"เหตุเอย.......อยากหลายสิ่งเผย........ยึดของตนคว้า เรียก"อุปาทาน"....พานเหตุตัณหา....อุปาฯมีกล้า....จากตัณหากราน
๙๓.เพราะ"อุปาฯ"สิเหตุจบ.................................ภว"ภพ"ลุมีขาน จิตยึดอะไรก็นิรมาณ............................................ซิภพภูมิและเวียนวน
๙๔.เพราะ"ภพ"เป็นปัจจัย.......เช่นสัตว์เกิดไซร้.......ในกามภพยล มียึดถือมั่น....ครันต้องเกิดดล.....ภพเป็นเหตุผล...."ชาติ"จึงมีตาม
๙๕.เพราะมี"ชาติ"สิเหตุหนา..............................ก็ชราและตายผลาม ปัจจัย"อิทัปฯ"เจาะระบุลาม...................................จะต้องมีซิ"นี้"หนา
๙๖.เหตุจตุกกะ........อันที่สองปะ.......ไม่รู้"อวิชชา" "อวิชชา"เจือจาน...."สังขาร"ปรุงมา....เพราะไม่รู้นา....ปรุงสังขารมาย
๙๗.เพราะ"สังขาร"สิปรุงแต่ง..............................มนะแจ้งซิรู้หลาย วิญญาณก็คือหทยะฉาย.......................................จะเกิดมีเพราะสังขาร
๙๘."วิญญาณ"รับรู้.......ก่อให้"นาม"ชู........สุข,ทุกข์รู้พาน เจตนา,จำบ่ม....อารมณ์มีผ่าน....รู้ได้ด้วยทวาร....ตา..ใจนั้นแล
๙๙.เพราะ"นาม,เจตสิก"มุ่ง................................ภวปรุงซิเกิดแน่ เกิดผัสสะทางหทยะแฉ........................................ฉะนี้ผัสสะเหตุนาม
๑๐๐."ผัสสะ"ปัจจัย.........นำก่อเหตุให้.......เกิด"เวทนา"ผลาม สิ่งสามต่างหนา...."ตา"เห็น"รูป"ลาม...."จักขุวิญญ์ฯ"ตาม....จึงรู้เวทนา
๑๐๑.เพราะ"เวท์นา"เจาะรู้ใด..............................รติไซร้ลุ"ตัณหา" เวท์นามิมีก็นิรหนา................................................สิตัณหาอะไรเลย
๑๐๒."ตัณหา"ปัจจัย......."อุปาทาน"ไซร้........เกิดด้วย"อยาก"เผย ได้แล้วชอบใจ....ยึดไว้พลันเอย....ยึดอุปาฯเอ่ย....เหตุตัณหาแล
๑๐๓."อุปาทาน"สิยึดมั่น....................................จะลุสรรค์ซิ"ภพ"แฉ เหตุยึดมุภพลุภวแน่..............................................เหมาะเหมือนกับสภาพตน
๑๐๔."ภพ"เป็นปัจจัย......."ชาติ"จึงมีได้.......เมื่อยึดภพดล ยึดมั่นสิ่งหวัง....ที่ตั้งภพยล.....ภายภาคหน้าผล....จึงต้องเกิดเวียน
๑๐๕.เพราะ"ชาติ"เป็นสิเหตุหนา........................ลุชราและตายเถียร เกิดแล้วก็เป็นปกติเปลี่ยน.....................................สภาพธรรมชาติเอย
๑๐๖.เหตุจตุกกะ........ตอนที่สามปะ.......ปฏิจจ์สมุปฯเผย เริ่มเหตุ"อวิชชา"....หารู้จริงเอ่ย....อริยสัจจ์ฯเชย...."สังขาร,ปรุง"ยล
๑๐๗.เพราะสังขารสิเหตุชิน...............................ภววิญญ์ฯซิเกิดดล สังขารเจาะก่อลุ"ปฏิสนธิ์".....................................จะเกิดมา ณ ภพหน้า
๑๐๘.เมื่อเกิดมาแล้ว.......สังขารปรุงแน่ว........"วิถีวิญญ์ฯมา เกิดวิญญาณหก....ปรก"จักขุฯ"หนา...."โสตวิญญาณ"กล้า....และมโนวิญญาณ
๑๐๙.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม.....................ภว"นามและรูป"พาน วิญญาณริก่อลุนิรมาณ..........................................ซินามขันธ์และรูปขันธ์
๑๑๐.นามขันธ์สี่หนา.........เวทนา,สัญญา.......สังขาร,วิญญ์ฯครัน รูปขันธ์คือกาย....ฝ่ายวิญญ์ฯเวียนดั้น....ใกล้นามรูปพลัน....จึงเกิดตายวน
๑๑๑.เพราะ"นามรูป"สิเหตุหนา............................ก็"มนายะฯ"ใจผล นามรูปประกอบหทยะท้น.......................................เจาะเป็นเหตุ"มโน"เผย
๑๑๒."อายะฯที่หก".......เป็นปัจจัยปก.......ของ"ผัสสะ"เอย "ผัสสะ"เกิดไซร้....อาศัยมโนเอ่ย....จิตแหล่งเกิดเกย...."ผัสสะ"จึงมี
๑๑๓.เพราะมี"ผัสสะ"เตร็ดเตร่............................ภว"เวทนาคลี่ เมื่อเกิดแตะอายตนะชี้...........................................ซิสามสิ่งประชุมแล
๑๑๔.สามสิ่งอายะฯ.......ทั้งใน-นอกปะ.......และวิญญาณแฉ เกิดผัสสะแน่ว....รู้แคล่วสุขแน่.....รู้ทุกข์,เฉยแล้....คือเวทนา
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๖/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๑๑๕.เพราะ"เวท์นา"สิสาเหตุ...........................วสะเจตน์เจาะตัณหา รู้สึกรตีซิพหุกล้า................................................ลุตัณหาเพราะเวท์นา
๑๑๖."ตัณหา,อยาก"ฉาน........ยิ่งแสวงหาพาน.......ได้แล้วชอบหนา จึงเกิดยึดมั่น....ดั้น"อุปาฯ"กล้า....เพราะมีตัณหา...."อยาก"เป็นเหตุนำ
๑๑๗."อุปาทาน"สิเหตุจบ.................................ภว"ภพ"อุบัติพร่ำ ยึดติดอุปาฯและจะกระทำ...................................ซิกรรมหลายเจาะ"ภพ"วน
๑๑๘."ภพ"ที่อาศัย.......สัตว์ทำกรรมไซร้........ดี,ชั่วบ้างผล ตายแล้วจึงไป....ภพใหม่ต่างยล....ภพปัจจัยด้น...."ชาติ"เกิดจึงมี
๑๑๙.เพราะ"ชาติ"เหตุชราล้า...........................มรณาซิแน่ชี้ มีเกิดก็ต้องชิระฉะนี้............................................มฤตตามเผชิญหนา
๑๒๐.เหตุจตุกกะ.........มีสี่ตอนปะ.......เริ่ม"อวิชชา" ความไม่รู้จริง....ยิ่งอริย์สัจจ์กล้า....เกิดปรุงแต่งพา....เหตุ"สังขาร"แล
๑๒๑.เพราะ"สังขาร"สิก่อผล.............................อกุศล,กุศลแน่ "วิญญาณ"ปฐมก็ภวแน่.........................................อุบัติเด่นเพราะสังขาร
๑๒๒."วิญญาณ"เหตุดั้น.......รูปขันธ์,นามขันธ์........ให้บังเกิดพาน "นามรูป"เหตุมี....ชี้เพราะวิญญาณ....วิญญาณเกิดกราน....เพราะนามรูปพรู
๑๒๓.เพราะ"นามรูป"สินำมา...............................เจาะ"สฬายะฯ"ตา,หู.. แต่เกิดและรู้ลุภวกรู..............................................กระทำงานลุล่วงหนา
๑๒๔.ทางติดต่อสม.......รูป,ธรรมารมณ์.......ประสานงานพา เกิดวิญญาณครบ....รู้จบสิ่งคว้า.....นามรูปนี้นา....ก่อสฬายะฯแล ๑๒๕.เพราะ"อายาตะฯ"ที่หก..............................มนะปรกก็ใจแฉ ก่อผัสสะ,"อายาตะฯ"แล้........................................ซิใน-นอกกระทบหนา
๑๒๖.วิญญาณทางใจ........เกิดรู้สึกไซร้.......สุข,ทุกข์,เฉยมา มนายตนะ....ปะปัจจัยกล้า....เกิดกระทบพา....เหตุผัสสะเอย
๑๒๗.เพราะมีผัสสะเหตุคุม.................................จะประชุมสิสามเอ่ย ด้วยอายะฯในและพหิเผย.....................................กะวิญญาณลุเวท์นา
๑๒๘.กระทบสามสิ่ง.......พลันรู้เวท์นาจริง........สุขเวทนาหนา ทุกข์เวท์นาเอย....เผยอุเบกขา....เรียกเวท์นาว่า....ผล"ผัสสะ"มี
๑๒๙.เพราะเวทนาสิรู้สึก..................................สตินึกและยินดี เกิด"อยาก"จิรังลุฐิติชี้..........................................เจาะ"ตัณหา"เพราะเวท์นา
๑๓๐."ตัณหา"คิดอยาก........."อุปาทาน"มาก.......ยึดเพราะอยากพา สิ่งนั้นของเรา....เฝ้ายึดทุกข์มา...."อยาก"เหตุยึดหนา....เกิดอุปาทาน
๑๓๑."อุปาทาน"สิยึดมั่น.....................................ภวดั้นซิ"ภพ"พาน กอปรกรรมซิมายเจาะพละขาน.............................จะก่อภพอุบัติตาม
๑๓๒."ภพ"เป็นปัจจัย.......จิตครานี้ไซร้........ยึดมั่นตนลาม เร่าร้อนเป็นทุกข์....เหตุรุกเกิดความ....คือ"ชาติ"แน่ผลาม....ในภพต่อไป
๑๓๓.เพราะ"ชาติ"แน่วสิเกิดหนา........................ก็ชรา,มฤตไว เศร้าโศกพิไรปกติไซร้..........................................เพราะเป็นธรรมชาติแล
๑๓๔.สัมปยุตต์ฯแจก.......ตอนที่หนึ่งแตก.......ความไม่รู้แฉ คือ"อวิชชา"....เหตุพาเกิดแท้.....สังขารปรุงแน่....กาย,วาจา,ใจ
๑๓๕.กระทำผิดมิรู้จริง......................................มทะดิ่งและยึดไว้ สังขารประภพก็เพราะหทัย...................................ประกอบด้วยอวิชชา
๑๓๖."สังขาร"ปัจจัย........เหตุวิญญาณไซร้.......ร่วมสังขารหนา อภิสังขาร....กรานดี,ชั่วมา....ผลกรรมส่งพา....วิญญาณเกิดพาน
๑๓๗.ณ ภพหน้าเพราะ"ปรุง"ดล.........................ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณสิเกิดภวประสาน....................................กะสังขารซิแท้เทียว
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๗/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์
๑๓๘."วิญญาณ"ปัจจัย........ประกอบร่วมไซร้........กับ"นาม"แน่เชียว นามรู้อารมณ์....ได้ชมเฉลียว....จากวิญญาณเปรียว....หก"อายะฯ"แล
๑๓๙.ก็"ตา,จักขุฯ"โสตฯท้น..........................สุวคนธ์จมูกแฉ "ชิวหาฯและกายฯ"หทยะแล้.............................มโนวิญญ์ฯสิใจรู้
๑๔๐.นาม:เจตสิกไซร้.........ปัจจัยร่วมไว......."มนายะฯหก"พรู เหตุผลซึ่งกัน....นามนั้นไร้กรู....โลภ,โกรธ,หลงชู....ช่วยมนายะพา
๑๔๑.ก็นามมีวิตกพาน...................................และวิจารลุเวท์นา ศรัทธา,ฉลาดวิริยะหนา....................................ลุช่วยเหลือมนาฯเอย
๑๔๒.มนายตนะ.......เหตุประกอบปะ........กับผัสสะเอ่ย สามสิ่งกระทบ....ครบอายะฯเผย....ใน-นอก,วิญญ์ฯเชย....ผัสสะเกิดแล
๑๔๓.กระทบผัสสะรู้สึก.................................สุขะตรึกรึทุกข์แฉ สุขทุกข์สิไร้เจาะนิรแท้......................................ซิกลาง,เวทนาเผย
๑๔๔."เวทนา"รู้ตรึง.......ยินดีคะนึง.......เกิด"ตัณหา"เอย อยากด้วยติดใจ....ชอบไซร้จนเคย.....ตัณหาเกิดเอ่ย....จากรู้สึกครัน
๑๔๕.เพราะ"ตัณหา"สิปัจจัย...........................วสะได้รตีพลัน เกิดยึดมิปล่อยตริธุวมั่น.....................................หทัยเกิด"อุปาทาน"
๑๔๖."อุปาทาน"ถือ........ยึดสิ่งนั้นครือ.......เป็นของตนพาน เกิดความเคยชิน....ยินดีสภาพกานต์....เกิด"ภพ"หน้าขาน....เกิดวนเวียนไป
๑๔๗.เพราะ"ภพ"แหล่งอุบัติชัด........................ศยะสัตว์เจาะ"ชาติ"ไซร้ ผลกรรมจะนำลุภวไว..........................................จะมี"ภพ"เหมาะตนเผย
๑๔๘."ชาติ"เป็นปัจจัย.......เมื่อเกิดแล้วไว........ชรา,ตายตามเอย ตามธรรมชาติ....กายยาตรเสื่อมเปรย....แล้วสิ้นสูญเลย....เป็นวงจรแล
๑๔๙.ผิ"สองสัมปยุตต์ฯ"กิจ.............................เจาะ"อวิชช์ฯ"มิรู้แฉ ความจริงประเสริฐอริยะฯแท้...............................กุ"สังขาร"เลอะเลือนปรุง
๑๕๐."สังขาร"เหตุนำ.........ปรุงแต่งผิดถลำ.......วิญญาณรู้ผลุง ผิดตามสังขาร....วิญญาณกอปรผดุง....รอบรู้บำรุง....ด้วยสังขารเอย
๑๕๑.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม....................ภวนามประกอบเอ่ย วิญญาณก็จิตจะหิตะเผย.....................................กะนาม,เจตสิกแล
๑๕๒."นาม"คือจิต,มโน-.......วิญญาณธาตุโผล่........ประกอบร่วมแน่ กับนามธรรมอื่น....มีดื่นเหมาะแล้....กระทบร่วมแท้....เกิด"ผัสสะ"มา
๑๕๓.เพราะมี"ผัสสะ"ชี้จบ................................ตริกระทบซิรู้หนา เกิด"เวทนา"ลุสุขะกล้า........................................ลุทุกข์หรือเจาะเฉยเฉย
๑๕๔."เวทนา"ปัจจัย.......รู้สึกเกิดไซร้.......ในกามคุณเอ่ย เพลิดเพลินรูป,รส....คิดจดเพิ่มเอ่ย....."อยาก,ตัณหา"เกย....ร่วมเกิดเร็วพาน
๑๕๕.เพราะ"ตัณหา"สิปัจจัย............................ภวไซร้"อุปาทาน" ได้สิ่งซิครบก็ธุวขาน...........................................เจาะยึดมั่นวะของตน
๑๕๖.เหตุ"อุปาทาน"........ยึดทุกสิ่งกราน.......ก่อ"ภพ"เกิดดล ยึดติดเหล่านี้....ก็ชี้เวียนวน....สังสารวัฏผล....มีภพหน้าแล
๑๕๗.เพราะภพหน้าอุบัติยาตร...........................ภว"ชาติ"เกาะเกี่ยวแน่ เจต์นาและจิตลุขณะแฉ.......................................ณ ภพนี้จะไปไกล
๑๕๘."ชาติ"เป็นเหตุนา.......ชรา,ตายมีหนา........กฏธรรมชาติไข "ธัมมัฏฯ"ตั้งจด....กฏ"ธัมม์นิฯ"ไว...."อิทัปปัจจ์ฯ"ไซร้....เกิดด้วยเหตุแล
๑๕๙.เจาะสาม"สัมปยุตต์ฯ"กิจ..........................เพราะ"อวิชช์ฯ"มิรู้แท้ ความจริงประเสริฐอริยะแล้..................................ลุ"สังขาร"ซิกรรมหลาย
๑๖๐."สังขาร"ปัจจัย.........เกิด"วิญญาณ"ไซร้.......ด้วยสังขารฉาย ทำกรรมชั่ว,ดี....ชี้"จิต"รับกราย....ปฏิสนธิ์วิญญ์ฯพราย....เกิดภพหน้าดล
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|