Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 30806 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #195 เมื่อ: 23, พฤศจิกายน, 2568, 01:42:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๘/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๖๑.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุลาม.........................ภวนามและรูปยล
"วิญญาณ"ลุก้าวเจาะปฏิสนธิ์.................................ณ ครรภ์แม่ฉะนี้เอย

    ๑๖๒."นามรูป"เหตุปก.......อายะฯที่หก........คือมนายะเผย
กอปรร่วม"นาม"ไซร้....ใจ,วิญญาณเปรย....หน้าที่คิดเอ่ย....รู้อารมณ์แล

    ๑๖๓.มโน"อายะฯ"ที่หก......................................ธุระปกซิเหตุแล้
วิญญ์ฯ,ใจและอายตนะแฉ.....................................ลุสัมผัสมโนสรรค์

    ๑๖๔."ผัสสะ"ปัจจัย......."เวทนา"ร่วมไซร้.......จากกระทบครัน
เกิดรู้สึกหนา....พาชอบใจพลัน.....เวทนารู้มั่น....ผัสมะจึงมี

    ๑๖๕.เพราะ"เวทนา"สิเหตุมาก............................ภว"อยาก"เพราะรู้คลี่
ตัณหาอุบัติเพราะพหุชี้..........................................ประกอบเวทนาหลาย

    ๑๖๖.ตัณหาปัจจัย........"อุปาทาน"ไซร้.......ยึดมากขยาย
ได้แล้วยึดหนุน....กามคุณมิคลาย....ยึดของตนกราย....อุปาทานมี

    ๑๖๗.อุปาทานเจาะยึดครบ................................ภว"ภพ"จะมีคลี่
"ภพ"เหตุสิ"ชาติ"ริประลุชี้......................................อุบัติเยี่ยง ณ ภพหน้า

    ๑๖๘."ชาติ"เป็นปัจจัย......."ชรา,มฤต"ตามไซร้........กฏธรรมชาติหนา
มีทุกข์อีกมาก....จาก"โสกะ"นา...."ปริเทวะ"กล้า....โทมนัสใจแล

    ๑๖๙.ลุสี่"สัมปยุตต์ฯ"กิจ....................................เพราะ"อวิชช์ฯ"มิทราบแล้
สัจจ์สี่ประเสริฐอริยะแฉ........................................มุสังขารมิทำดี

    ๑๗๐."สังขาร"ปัจจัย.........ผลกรรมมีไซร้.......วิญญาณเกิดคลี่
วิญญาณก่อผลาม...."นามรูป"กายมี....ขันธ์ห้าครบชี้....บริบูรณ์แล

    ๑๗๑.เพราะ"นามรูป"สิเหตุหนา.........................ก็ฉอายะฯร่วมแล้
กับ"นาม"มโนหทยะแฉ.........................................เจาะธัมมาฯหทัยรู้

    ๑๗๒.อายะฯที่หก.......คือใจ,เหตุปก........"มโนวิญญาณ"ชู
"อายะฯนอก,ใน"....สามไซร้เกิดกรู....ด้วยผัสสะพรู....อายะฯหกเอย

    ๑๗๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเตร่.............................ภว"เวทนา"เอ่ย
กอปรผัสสะร่วมตริสุขะเผย...................................กะทุกข์,เฉยจะรู้หนา

    ๑๗๔."เวทนา"ปัจจัย.......รู้สึกชอบไซร้.......เกิดอยาก"ตัณหา"
ตัณหาเหตุลุ...."อุปาทาน"กล้า.....เฝ้ายึดมั่นว่า....ของตนเองแล

    ๑๗๕."อุปาทาน"สิยึดจบ.....................................ภว"ภพ"จะเกิดแฉ
มี"ภพ"จะก่อเจาะประลุแน่......................................ซิ"ชาติ"ล่วงประภพหนา

    ๑๗๖."ชาติ"เป็นปัจจัย........ชรา,มฤตไซร้.......พลันเกิดตามมา
กองทุกข์ทั้งปวง....บ่วงเกิดขึ้นมา....โสกะ,เศร้าครา....โทมนัสทางใจ

    ๑๗๗.เจาะ"อัญญ์มัญญะฯ"ตอนหนึ่ง.....................คติพึ่งและอาศัย
จึงเกิดและตั้งสิฐิติได้..............................................ก็จิต,เจตสิกเผย

    ๑๗๘."อวิชชา"ปัจจัย......."สังขาร"เกิดไว........เพราะผลกรรมเอย
แม้"สังขาร"มี....ชี้อวิชช์ฯเหตุเคย....ไม่รู้อวิชช์ฯเลย....จึงยึดทุกข์มา

    ๑๗๙.เพราะ"สังขาร"สิเหตุริน..............................ปะทุวิญญ์ฯและรู้หนา
วิญญาณก็เหตุริภวกล้า..........................................มุ"สังขาร"กระทำเสริม

    ๑๘๐."วิญญาณ,รับรู้".........ปัจจัยเกิดชู......."นาม":จิตคิดเติม
แม้"นาม:ขันธ์สี่....มีวิญญาณเริ่ม....งานร่วมประเดิม....ให้ชีวิตคง

    ๑๘๑.เพราะ"นาม"ขันธ์สิสี่หนา............................ลุฉ"อายะฯ"รู้บ่ง
แม้อายะฯหกหทยะส่ง...........................................มุ"นาม"รู้ซิอารมณ์

    ๑๘๒."อายะที่หก.......ธรรมสามร่วมปก........"ผัสสะ"มีชม
แม้"ผัสสะ"ครบ....กระทบแล้วบ่ม....ใจรับรู้สม....อายะฯหกวน

    ๑๘๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเร่................................ประลุ"เวทนา"ดล
เวท์นาสิรู้และรติท้น...............................................ก็มี"ผัสสะ"อีกครา


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลายเมฆ, เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #196 เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 08:50:19 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๙/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๘๔."เวทนา"รู้สึก........ใจชอบแล้วนึก........ก่อ"อยาก,ตัณหา"
"ตัณหา"เกิดผลุน....กระตุ้นใจพา....แสวงเพิ่มจ้า....เพื่อพอใจกราน

    ๑๘๕.เพราะ"ตัณหา"สิอยากดั้น.....................ภวมั่น"อุปาทาน"
ยึดครอง"อุปาฯ"ฐิติประสาน..............................ลุ"ตัณหา"แสวงแล

    ๑๘๖."อุปาทาน"ตรึง.........ยึดของตนพึง........"ภพ"เกิดรอแท้
"ภพ"เป็นปัจจัย....สภาพไซร้มีแล้...."ชาติ"ตามมาแน่....ในภพหน้าเอย

    ๑๘๗.เพราะ"ชาติ"เป็นสิเหตุแท้.......................ชิระแน่,มฤตเอ่ย
เป็นวัฏฏะเวียนปกติเผย.....................................เจาะปัจจัยซิทุกข์ตาม

    ๑๘๘."อัญญ์มัญญ์ฯ"ตอนสอง........อวิชชาผอง........ไม่รู้ธรรมผลาม
อริยสัจสี่....ชี้ทำแน่วกาม....มีผลกรรมตาม...."สังขาร"เกิดแล

    ๑๘๙.เพราะ"สังขาร"ก็เหตุชัด.........................ปฏิบัติมิถูกแล้
ไร้สัจจ์สิเลิศอริยะแฉ........................................."อวิชชา"ก็วนเวียน

    ๑๙๐.สังขาร,เจตนา.........กรรมดี,ชั่วหนา.......ก่อ"วิญญาณ"เถียร
"วิญญาณ"จิตรู้....ชูผลกรรมเชียร....เกิดวิญญาณเนียน....เพราะสังขารเอย

    ๑๙๑.เพราะ"วิญญาณ"สิจิตรู้.........................ภวชูซิ"นาม"เผย
วิญญาณก็หนึ่งลุจตุเอ่ย....................................กะนามขันธ์ประกอบงาน

    ๑๙๒.เมื่อวิญญาณเกิด.......อีกสามนามเพริศ........รูปกายเริ่มสาน
ครบองค์ชีพแล....แน่นาม,วิญญาณ....ปัจจัยร่วมการ....พึ่งพากันนา

    ๑๙๓.เพราะ"นาม"จิตสิเหตุชัด........................ภวผัสสะเกิดกล้า
สัมผัสแตะอายตนะหนา.....................................ซิ"นาม"เกิดและรู้พลัน

    ๑๙๔."ผัสสะ"กระทบ......."เวทนา"มีจบ.......เกิดรู้สึกสรรค์
"เวทนา"รู้สึก....ตรึกกระทบครัน.....เกิด"ผัสสะ"ดั้น....รับรู้ต่อมา

    ๑๙๕.เพราะมี"เวทนา"มาก...............................ประลุ"อยาก"ซิตัณหา
ตัณหาเจาะเพิ่มริภวกล้า.....................................ปะรู้เวทนากราน

    ๑๙๖.ตัณหาปัจจัย........อยากได้,ชอบไซร้.......ยึด,อุปาทาน
"อุปาฯ"ยึดมั่น....สิ่งนั้น"อยาก"พาน....รักษ์ครองอีกนาน...."ตัณหา"เกิดเอย

    ๑๙๗.อุปาทานสิเหตุอึด...................................ธุวยึดปะ"ภพ"เผย
เมื่อ"ภพ"ตริมีลุภวเชย.........................................ลุ "ชาติ"เกิดซิตามมา

    ๑๙๘."ชาติ"เป็นเหตุปะ.......ชรา,มรณะ........บรรลุตามหนา
กองทุกข์ทั้งมวล....เกิดด่วนเศร้าพา....ปริเทวะกล้า....ทุกข์,โทมนัสใจ

    ๑๙๙.ลุ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิสามกิจ........................ตริอวิชช์ฯมิรู้ใฝ่
ความจริงประเสริฐอริยะไซร้...............................มนุษย์กอปรซิกรรมหลาย

    ๒๐๐."อวิชชา,ไม่รู้".........ก่อ"สังขาร"พรู.......ทำดี,ชั่วมาย
"สังขาร",หมั่นปรุง....มุ่งกาย..ใจฉาย....ด้วยไม่รู้กราย....ก่ออวิชช์ฯยล

    ๒๐๑.เพราะ"สังขาร"สิกรรมชิด.......................นิรมิตซิวิญญ์ฯดล
วิญญาณลุผลริปฏิสนธิ์......................................กระทำกรรมเหมาะ"สังขาร"

    ๒๐๒."วิญญาณ"เหตุเกิด......."นามรูป"มีเพริศ........ด้วยสามสิ่งกราน
"วิญญาณ:จิต"ผลาม...."นาม:เจตสิก"พาน...."กัมมัชรูป"ขาน...."นามรูป"เกิดแล

    ๒๐๓.เพราะ"นามรูป"สิมีไซร้...........................หฤทัยและกายแฉ
ห้าขันธ์ซิครบเจาะภวแล้....................................ลุวิญญาณจะแจ้งหนา

    ๒๐๔.นามรูป:กาย,ใจ.......อายะฯหกไซร้.......คือ"มโน"รู้กล้า
"มโน"กระทบล้ำ....ธรรมารมณ์นา.....เกิดนามรูปจ้า....รู้,จำ,ปรุงพาน

    ๒๐๕."มโน,ธัมมะรมณ์,วิญญ์ฯ..........................ตติชินกระทบกราน
เรียก"ผัสสะ"พร้อมลุนิรมาณ...............................มโนหกประดุจเดียว

    ๒๐๖."ผัสสะ"ปัจจัย........กระทบแล้วไซร้.......รู้"เวทนา"เปรียว
"เวทนา,รู้สึก"....ตรึกสุข,ทุกข์เชียว....เกิดผัสสะเหนี่ยว....กระทบรู้หนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #197 เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:08 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๐/๑๘) : ๑๓.วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๐๗.เพราะมี"เวทนา"มาก..........................ภว"อยาก"ลุ"ตัณหา"
"ตัณหา"สิหนาลุวสะกล้า................................จะก่อ"เวทนา"ผาย

   ๒๐๘."ตัณหา"ปัจจัย......."อยาก"ได้แล้วไซร้......."อุปาทาน"กราย   
ยึดอุปาทาน....พานยึดมากหลาย...."ตัณหา"เกิดมาย....ด้วยความอยากครัน

    ๒๐๙."อุปาทาน"สิยึดครอง..........................ภว"ภพ"ก็นามขันธ์
แม้"ภพ"ก็ยังหิตะดั้น.......................................ลุก่อ"ชาติ"เพราะจิตนำ

    ๒๑๐."ชาติ"เป็นปัจจัย......ก่อชรา,ตายไซร้......จึ่งตามมาซ้ำ
กองทุกข์ทั้งปวง....เป็นบ่วงเกิดพร่ำ....โสกะ,ครวญคร่ำ....คับแค้น,รำพัน

    ๒๑๑.ผิ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิความจริง.................ทวิสิ่งเจาะเกื้อกัน
ไม่รู้อวิชช์ฯเพราะมทะดั้น................................เจาะชั่ว,ดี,วจี,ใจ

    ๒๑๒.หรือทำดีด้วย........ผลกรรมอำนวย......ก่อสังขารได้
"สังขาร"หลายเกิด....เพริดไม่รู้ไซร้...."อริยสัจ"ไข....ก่อ"อวิชชา"

    ๒๑๓.เพราะ"สังขาร"ลุเจตน์ดล.....................อกุศลกุศลหนา
สังขารก็ก่อหทยะพา.......................................ลุ"วิญญาณ"เหมาะรับกรรม

    ๒๑๔.วิญญาณคือจิต........เป็นปัจจัยชิด........ก่อ"สังขาร"นำ
วิญญาณเกิดเพราะ....เหมาะผลกรรมทำ....เกิด"สังขาร"ซ้ำ....จิตเหมือนกันยล

    ๒๑๕.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม................ภว"นามและรูป"ดล
วิญญาณลุครรภ์เจาะ"ปฏิสนธิ์ฯ".......................มโน,กายอุบัติพลัน

    ๒๑๖."นามรูป"มีอยู่........."วิญญาณ"มีอยู่........ย่อมเวียนกลับกัน
หานามรูปไซร้....ไม่ไปไหนครัน....ชนจึงเกิดดั้น....แก่,ตายบ้างเอย

    ๒๑๗.เพราะ"นามรูป"สิมีหนา..........................เจาะ"สฬายะฯ"มีเผย
ด้วยมี"สฬายตนะ"เกย.......................................จะมี"นามกะรูป"แล

    ๒๑๘."อายะฯที่หก"........มโนเป็นเหตุปรก........ด้วยธรรมารมณ์แฉ
มโน,มโนวิญญาณ....พานสามเกิดแล้...."ผัสสะ"แล้วแน่....เกิด"มโน"อีกครา

    ๒๑๙.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุครบ.........................ลุกระทบเจาะ"เวท์นา"
"เวท์นา"จะรู้และรติหนา.....................................จะก่อ"ผัสสะ"เวียนวน

    ๒๒๐."เวทนา,รู้สึก".........ชอบ,ยินดีนึก......."อยาก,ตัณหา"ดล
"ตัณหา"อยากเพิ่ม....เสริมหาอีกค้น...."เวทนา"เกิดล้น....รู้สึกต่อพาน

    ๒๒๑.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุเชิด.......................ภวเกิด"อุปาทาน"
ยึดมั่นอุปาฯเจาะดนุกราน.................................จะรักษ์คงลุ"ตัณหา"

    ๒๒๒."อุปาทาน"คือ.......ยึดปรุงมั่นครือ........ก็มี"ภพ"หนา
ก็ภพดำรงไป....ตามไขว่ใจกล้า....จึงเกิด"ชาติ"คว้า....สภาพตัวตน

    ๒๒๓.เพราะ"ชาติ"สิเหตุจบ...........................ลุประภพซิตนผล
ความแก่,มฤตก็ระยะท้น...................................จะเสื่อมลงปะทุกข์รอ

    ๒๒๔."สังขาร"ปัจจัย.......จิตก่อกรรมไซร้......."อวิชช์ฯ"มิรู้จ่อ
วิญญาณรับรู้....สิ่งพรูต่างก่อ.....ไร้ปัญญาส่อ...."อวิชชา"มี

    ๒๒๕.เพราะ"นาม,ใจ"ก็ยังนึก.........................เจาะระลึกและปรุงชี้
นามขันธ์สิสี่ริธุวคลี่..........................................และยึดก่อ"อวิชช์ฯ"แฉ

    ๒๒๖."อายะฯหกมโน"........ไม่รู้จริงโอ่.......เกิด"อวิชชา"แน่
"ผัสสะ"กระทบ....จบยินดีแล้....ไม่รู้ธรรมแท้...."อวิชช์ฯ"เกิดพลัน

    ๒๒๗.เพราะมี"เวทนา"รู้.................................รติชูรึโศกครัน
ไร้สัจจ์ประเสริฐอริยะนั้น..................................จะก่อเกิดอวิชชา

    ๒๒๘."ตัณหา"เหตุไซร้.......ก่อ"อวิชชา"ได้........ขาดอริยสัจจ์พา
"อุปาทาน"มั่น....ยึดยันตนหนา....ไม่มีปัญญา...."อวิชช์ฯ"เกิดดล

    ๒๒๙."อวิชชา"ปรุ"สังขาร".............................ประลุพานเพราะกรรมผล
"สังขาร"สิเหตุริอกุศล.......................................กุศลเกื้อซิ"วิญญาณ"


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #198 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 08:06:04 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๑/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๓๐."วิญญาณ"ปัจจัย......ก่อเกิด"นาม"ไซร้......สร้างจิต,ชีพกราน
"นาม,เจตสิก"หนา....อายะฯหกมาน....ด้วยมีพึ่งพาน....เกิดร่วมกันมา

    ๒๓๑."มนาฯหก"สิเหตุชัด..............................ปะทะผัสสะเกิดหนา
ใจธรรมะรมณ์และภวกล้า................................มโนวิญญ์ฯกระทบแล

    ๒๓๒."ผัสสะ"กระทบ........ก่อ"เวทนา"จบ......รู้สุข,ทุกข์แฉ
"เวทนา"รู้สึก....นึกยินดึแล้....อยากได้อีกแท้....เกิด"ตัณหา"พาน

    ๒๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพฤติ.....................ประลุยึดอุปาทาน
ด้วยมีอุปาฯจะหิตะฉาน....................................จะก่อ"ภพ"เพราะยึดคง

    ๒๓๔."ภพ"เป็นเหตุมี........ดำรงอยู่ชี้........"ชาติ"มีตามบ่ง
"ชาติ"เป็นเหตุหนา....ชรา,มรณะส่ง....ความเสื่อมทุกข์ตรง....ตามธรรมชาติกลาย

    ๒๓๕.สิทุกข์สิ้นกุเกิดนี้..................................ดุจะชี้ลุความฉาย
สังขารซิมูลเสาะอธิบาย....................................ก็ทุกสิ่งเจาะทุกข์เข็ญ

    ๒๓๖.ปัจจยาการ.........หรือปฏิจจ์สมุปฯขาน........แจงความจริงเด่น
ตามเหตุปัจจัย....ในธรรมชาติเน้น....แจ้งเหตุทุกข์เป็น....ทางดับทุกข์แล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์ https://share.google/kbChnYRRrpQ96ZrRG

ปฏิจจสมุปบาท = หรือ ปัจจยาการ ๑๒ - การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น
(๑/๒) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา =  เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
อวิชชา - ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา ๘ , อวิชชา ๔
(๓) สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ = เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๒ หรือ อภิสังขาร ๓
(๔) วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ = เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
วิญญาณ - ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖
(๕) นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ = เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
นามรูป - นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๖) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส = เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
สฬายตนะ อายตนะ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๗) ผสฺสปจฺจยา เวทนา = เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
ผัสสะ - ความกระทบ  ได้แก่ สัมผัส ๖
(๘) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา = เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๙) ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ = เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
ตัณหา - ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๑๐) อุปาทานปจฺจยา ภโว = เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
อุปาทาน - ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
(๑๑) ภวปจฺจยา ชาติ = เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
ภพ - ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร ๓) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ
(๑๒) ชาติปจฺจยา ชรามรณํ = เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
ชาติ - ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
ชรามรณะ - ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
~โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ = ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
~เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ = ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์ = แจง ปัจจยาการ ๑๒
(๑/๒) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๑) อวิชชา = เป็นไฉน ไม่รู้อริยสัจ ๔ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา
~เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #199 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 04:51:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

๒) สังขารเป็นไฉน = การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มีความหมาย ๓ ประการ คือ เป็นสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งมา; เป็นเหตุปัจจัยที่ไปปรุงแต่งสิ่งอื่น; เป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตนเอง สังขาร มี ๖ อย่าง
(๒.๑) ปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็นกามาวจร; เป็นรูปาวจร สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา
กามาวจร = ภพที่ท่องกามคุณ ๕
รูปาวจร = ภพของรูปพรหมที่เจริญฌาน
(๒.๒) อปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นอกุศลซึ่งเป็นกามาวจร
(๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว = เป็นไฉน
อเนญชาภิสังขาร = ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
อรูปาวจร = ภพของอรูปพรหมที่เจริญฌาน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็น อรูปาวจร
(๒.๔) กายสังขาร = กายสัญเจตนา คือเจตนาทางกาย (๒.๕) วจีสังขาร = วจีสัญเจตนาเป็นเจตนาทางวาจา (๒.๖) จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา เป็นเจตนาทางใจ
เหล่านี้เรียกว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = เป็นไฉน
~ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
(๔) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑
(๔.๑) นาม เป็นไฉน = เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ นี้เรียกว่า นาม (๔.๒) รูป เป็นไฉน = มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป นี้เรียกว่า รูป
นามและรูปดังกล่าว นี้เรียกว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป ๒๔ = รูปที่อาศัยมหาภูตรูป เกิด
(๕) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขายตนะ ,โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวหายตนะ, กายายตนะ, และมนายตนะ
(๖) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขุสัมผัส; โสตสัมผัส; ฆานสัมผัส; ชิวหาสัมผัส; กายสัมผัส; และมโนสัมผัส
(๗) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี = เป็นไฉน
~ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส; นี้เรียกว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
(๘) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี = เป็นไฉน
(๘.๑) รูปตัณหา - อยากได้รูป (๘.๒) สัททตัณหา -อยากได้เสียง (๘.๓) คันธตัณหา - อยากได้กลิ่น (๘.๔) รสตัณหา - อยากได้รส (๘.๕) โผฏฐัพพตัณหา - อยากได้โผฏฐัพพะ (๘.๖) ธัมมตัณหา - อยากได้ธรรมารมณ์ นี้เรียกว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
(๙) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี = เป็นไฉน ได้แก่
(๙.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
(๙ ๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ
(๙.๓) สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล
(๙.๔) อัตตวาทุปาทาน - ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลาย หรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวง อันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ นี้เรียกว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
(๑๐) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี = เป็นไฉน
(๑๐.๑) กรรมภพ - กรรมที่เป็นเหตุให้ไปสู่ภพ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร, และอาเนญชาภิสังขาร นี้เรียกว่า กรรมภพ
(๑๐.๒) อุปปัตติภพ -ได้แก่
(๑๐.๒.๑) กามภพ - คือสัตว์ที่เกิดในกามภูมิ มี ๑๑ ภูมิ ได้แก่ที่อยู่ของสัตว์ใน อบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน); มนุษย์ ๑, และเทวดา ๖ ชั้น (คือ จาตุมมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรดี, ปรนิมมิสสวัตตี)
(๑๐.๒.๒) รูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในรูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของรูปพรหม ๑๖ ชั้น (ได้แก่ พรหมปาริสัชชา, พรหมปุโรหิตา, มหาพรหมา, ปริตตาภาพรหม, อัปปมาณาพรหม, อาภัสสราพรหม, ปริตตสุภาพรหม, อัปปมาณสุภาพรหม, สุภกิณหาพรหม, เวหัปผลาพรหม, อสัญญสัตตาพรหม, อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี, อกนิฏฐา)


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5855
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 909



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #200 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:42:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๑๐.๒.๓) อรูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในอรูปภูมิ มี ๔ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของ อรูปพรหม มี ๔ ชั้น คือ อรูปภูมิ ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
(๑๐.๒.๔) สัญญาภพ - ภพที่มีนามขันธ์ ได้แก่ กามภพ ๑๑, รูปภพ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตาภพ), อรูปภพ ๓ (เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ)
~สัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้มีสัญญา
~อสัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่มีสัญญา
~เนวสัญญานาสัญญา - ธรรมชาติที่เป็น มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา ก็มิใช่ เพราะไม่มีสัญญาหยาบ และ เพราะมีแต่สัญญาละเอียด มีอยู่ในภพนั้น
(๑๐.๒.๕) อสัญญาภพ - ภพที่ไม่มีนามขันธ์ได้แก่ ภพฝ่าย อสัญญสัตตภูมิ
 ~อสัญญสัตตภูมิ = ที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา หมายถึง สถานที่เกิดของบุคคลที่อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน แต่เป็นผู้ที่ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น
(๑๐.๒.๖) เนวสัญญานาสัญญาภพ - คือ สัตว์ที่จะนับว่าไม่มีนามขันธ์ก็ไม่ใช่ จะว่ามีนามขันธ์ก็ไม่เชิง ได้แก่ สัตว์ในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
~เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ - คือ พรหมโลกชั้นสูงสุดในกลุ่ม อรูปพรหม ๔ ชั้น เป็นที่อยู่ของพระพรหมที่ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นฌานสมาบัติที่ละเอียดประณีตที่สุด โดยจิตจะเข้าสู่สภาวะที่ ไม่มีสัญญา (ความจำ) และ ไม่ใช่ไม่มีสัญญา (ไร้ความคิด)
(๑๐.๒.๗) เอกโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีรูปขันธ์เพียงขันธ์เดียว ได้แก่ สัตว์ใน อสัญญสัตตภูมิ
(๑๐ ๒.๘) จตุโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ ๔ ขันธ์ (เว้นรูปขันธ์) ได้แก่ สัตว์ใน อรูปภูมิ ๔ ภูมิ คือ อรูปพรหม
(๑๐.๒.๙) ปัญจโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ครบทั้ง ๕ ขันธ์ ได้แก่ สัตว์ ในกามภูมิ ๑๑ และในรูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตต มีแต่รูปอย่างเดียว) นี้เรียกว่า อุปปัตติภพ; กรรมภพและอุปปัตติภพที่กล่าวมานี้ นี้เรียกว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
(๑๑) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี = เป็นไฉน
คือ ความเกิด; ความเกิดพร้อม; ความหยั่งลง; ความบังเกิดเฉพาะ; ความปรากฏแห่งขันธ์; ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ; นี้เรียกว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
(๑๒) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสจึงมี กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๑๒.๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี = เป็นไฉน
(๑๒.๑) ชรา เป็นไฉน
~ ความแก่, ความคร่ำคร่า, ความมีฟันหัก, ความมีผมหงอก  ความมีหนังเหี่ยวย่น, ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา
(๑๒.๒) มรณะ เป็นไฉน
~ ความจุติ, ความเคลื่อนไป, ความทำลายไป, ความหายไป, ความตายกล่าว คือ มฤตยู, การทำกาละ, ความแตกแห่งขันธ์, ความทอดทิ้งร่างกาย, ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ ชราและมรณะที่กล่าวมา นี้เรียกว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
(๑๒.๓) โสกะ เป็นไฉน
~ ความเศร้าโศก, กิริยาที่เศร้าโศก, ความแห้งผากภายใน, ความแห้งกรอบภายใน, ความเกรียมใจ, ความโทมนัส, ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่ถูก, ความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ
(๑๒.๔) ปริเทวะ เป็นไฉน
~ ความร้องไห้, ความคร่ำครวญ, กิริยาที่ร้องไห้, กิริยาที่คร่ำครวญ, ภาวะที่ร้องไห้, ความบ่นถึง, ความพร่ำเพ้อ, ความร่ำไห้,  กิริยาที่พิไรรำพันของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ  ของผู้ที่
กด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ
(๑๒.๕) ทุกข์ เป็นไฉน
~ ความไม่สำราญทางกาย, ความทุกข์ทางกาย, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์
(๑๒.๖) โทมนัส เป็นไฉน
~ความไม่สำราญทางใจ, ความทุกข์ทางใจ, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.195 วินาที กับ 77 คำสั่ง
กำลังโหลด...