Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 41905 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #195 เมื่อ: 23, พฤศจิกายน, 2568, 01:42:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๘/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๖๑.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุลาม.........................ภวนามและรูปยล
"วิญญาณ"ลุก้าวเจาะปฏิสนธิ์.................................ณ ครรภ์แม่ฉะนี้เอย

    ๑๖๒."นามรูป"เหตุปก.......อายะฯที่หก........คือมนายะเผย
กอปรร่วม"นาม"ไซร้....ใจ,วิญญาณเปรย....หน้าที่คิดเอ่ย....รู้อารมณ์แล

    ๑๖๓.มโน"อายะฯ"ที่หก......................................ธุระปกซิเหตุแล้
วิญญ์ฯ,ใจและอายตนะแฉ.....................................ลุสัมผัสมโนสรรค์

    ๑๖๔."ผัสสะ"ปัจจัย......."เวทนา"ร่วมไซร้.......จากกระทบครัน
เกิดรู้สึกหนา....พาชอบใจพลัน.....เวทนารู้มั่น....ผัสมะจึงมี

    ๑๖๕.เพราะ"เวทนา"สิเหตุมาก............................ภว"อยาก"เพราะรู้คลี่
ตัณหาอุบัติเพราะพหุชี้..........................................ประกอบเวทนาหลาย

    ๑๖๖.ตัณหาปัจจัย........"อุปาทาน"ไซร้.......ยึดมากขยาย
ได้แล้วยึดหนุน....กามคุณมิคลาย....ยึดของตนกราย....อุปาทานมี

    ๑๖๗.อุปาทานเจาะยึดครบ................................ภว"ภพ"จะมีคลี่
"ภพ"เหตุสิ"ชาติ"ริประลุชี้......................................อุบัติเยี่ยง ณ ภพหน้า

    ๑๖๘."ชาติ"เป็นปัจจัย......."ชรา,มฤต"ตามไซร้........กฏธรรมชาติหนา
มีทุกข์อีกมาก....จาก"โสกะ"นา...."ปริเทวะ"กล้า....โทมนัสใจแล

    ๑๖๙.ลุสี่"สัมปยุตต์ฯ"กิจ....................................เพราะ"อวิชช์ฯ"มิทราบแล้
สัจจ์สี่ประเสริฐอริยะแฉ........................................มุสังขารมิทำดี

    ๑๗๐."สังขาร"ปัจจัย.........ผลกรรมมีไซร้.......วิญญาณเกิดคลี่
วิญญาณก่อผลาม...."นามรูป"กายมี....ขันธ์ห้าครบชี้....บริบูรณ์แล

    ๑๗๑.เพราะ"นามรูป"สิเหตุหนา.........................ก็ฉอายะฯร่วมแล้
กับ"นาม"มโนหทยะแฉ.........................................เจาะธัมมาฯหทัยรู้

    ๑๗๒.อายะฯที่หก.......คือใจ,เหตุปก........"มโนวิญญาณ"ชู
"อายะฯนอก,ใน"....สามไซร้เกิดกรู....ด้วยผัสสะพรู....อายะฯหกเอย

    ๑๗๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเตร่.............................ภว"เวทนา"เอ่ย
กอปรผัสสะร่วมตริสุขะเผย...................................กะทุกข์,เฉยจะรู้หนา

    ๑๗๔."เวทนา"ปัจจัย.......รู้สึกชอบไซร้.......เกิดอยาก"ตัณหา"
ตัณหาเหตุลุ...."อุปาทาน"กล้า.....เฝ้ายึดมั่นว่า....ของตนเองแล

    ๑๗๕."อุปาทาน"สิยึดจบ.....................................ภว"ภพ"จะเกิดแฉ
มี"ภพ"จะก่อเจาะประลุแน่......................................ซิ"ชาติ"ล่วงประภพหนา

    ๑๗๖."ชาติ"เป็นปัจจัย........ชรา,มฤตไซร้.......พลันเกิดตามมา
กองทุกข์ทั้งปวง....บ่วงเกิดขึ้นมา....โสกะ,เศร้าครา....โทมนัสทางใจ

    ๑๗๗.เจาะ"อัญญ์มัญญะฯ"ตอนหนึ่ง.....................คติพึ่งและอาศัย
จึงเกิดและตั้งสิฐิติได้..............................................ก็จิต,เจตสิกเผย

    ๑๗๘."อวิชชา"ปัจจัย......."สังขาร"เกิดไว........เพราะผลกรรมเอย
แม้"สังขาร"มี....ชี้อวิชช์ฯเหตุเคย....ไม่รู้อวิชช์ฯเลย....จึงยึดทุกข์มา

    ๑๗๙.เพราะ"สังขาร"สิเหตุริน..............................ปะทุวิญญ์ฯและรู้หนา
วิญญาณก็เหตุริภวกล้า..........................................มุ"สังขาร"กระทำเสริม

    ๑๘๐."วิญญาณ,รับรู้".........ปัจจัยเกิดชู......."นาม":จิตคิดเติม
แม้"นาม:ขันธ์สี่....มีวิญญาณเริ่ม....งานร่วมประเดิม....ให้ชีวิตคง

    ๑๘๑.เพราะ"นาม"ขันธ์สิสี่หนา............................ลุฉ"อายะฯ"รู้บ่ง
แม้อายะฯหกหทยะส่ง...........................................มุ"นาม"รู้ซิอารมณ์

    ๑๘๒."อายะที่หก.......ธรรมสามร่วมปก........"ผัสสะ"มีชม
แม้"ผัสสะ"ครบ....กระทบแล้วบ่ม....ใจรับรู้สม....อายะฯหกวน

    ๑๘๓.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุเร่................................ประลุ"เวทนา"ดล
เวท์นาสิรู้และรติท้น...............................................ก็มี"ผัสสะ"อีกครา


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลายเมฆ, เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #196 เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 08:50:19 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๙/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

   ๑๘๔."เวทนา"รู้สึก........ใจชอบแล้วนึก........ก่อ"อยาก,ตัณหา"
"ตัณหา"เกิดผลุน....กระตุ้นใจพา....แสวงเพิ่มจ้า....เพื่อพอใจกราน

    ๑๘๕.เพราะ"ตัณหา"สิอยากดั้น.....................ภวมั่น"อุปาทาน"
ยึดครอง"อุปาฯ"ฐิติประสาน..............................ลุ"ตัณหา"แสวงแล

    ๑๘๖."อุปาทาน"ตรึง.........ยึดของตนพึง........"ภพ"เกิดรอแท้
"ภพ"เป็นปัจจัย....สภาพไซร้มีแล้...."ชาติ"ตามมาแน่....ในภพหน้าเอย

    ๑๘๗.เพราะ"ชาติ"เป็นสิเหตุแท้.......................ชิระแน่,มฤตเอ่ย
เป็นวัฏฏะเวียนปกติเผย.....................................เจาะปัจจัยซิทุกข์ตาม

    ๑๘๘."อัญญ์มัญญ์ฯ"ตอนสอง........อวิชชาผอง........ไม่รู้ธรรมผลาม
อริยสัจสี่....ชี้ทำแน่วกาม....มีผลกรรมตาม...."สังขาร"เกิดแล

    ๑๘๙.เพราะ"สังขาร"ก็เหตุชัด.........................ปฏิบัติมิถูกแล้
ไร้สัจจ์สิเลิศอริยะแฉ........................................."อวิชชา"ก็วนเวียน

    ๑๙๐.สังขาร,เจตนา.........กรรมดี,ชั่วหนา.......ก่อ"วิญญาณ"เถียร
"วิญญาณ"จิตรู้....ชูผลกรรมเชียร....เกิดวิญญาณเนียน....เพราะสังขารเอย

    ๑๙๑.เพราะ"วิญญาณ"สิจิตรู้.........................ภวชูซิ"นาม"เผย
วิญญาณก็หนึ่งลุจตุเอ่ย....................................กะนามขันธ์ประกอบงาน

    ๑๙๒.เมื่อวิญญาณเกิด.......อีกสามนามเพริศ........รูปกายเริ่มสาน
ครบองค์ชีพแล....แน่นาม,วิญญาณ....ปัจจัยร่วมการ....พึ่งพากันนา

    ๑๙๓.เพราะ"นาม"จิตสิเหตุชัด........................ภวผัสสะเกิดกล้า
สัมผัสแตะอายตนะหนา.....................................ซิ"นาม"เกิดและรู้พลัน

    ๑๙๔."ผัสสะ"กระทบ......."เวทนา"มีจบ.......เกิดรู้สึกสรรค์
"เวทนา"รู้สึก....ตรึกกระทบครัน.....เกิด"ผัสสะ"ดั้น....รับรู้ต่อมา

    ๑๙๕.เพราะมี"เวทนา"มาก...............................ประลุ"อยาก"ซิตัณหา
ตัณหาเจาะเพิ่มริภวกล้า.....................................ปะรู้เวทนากราน

    ๑๙๖.ตัณหาปัจจัย........อยากได้,ชอบไซร้.......ยึด,อุปาทาน
"อุปาฯ"ยึดมั่น....สิ่งนั้น"อยาก"พาน....รักษ์ครองอีกนาน...."ตัณหา"เกิดเอย

    ๑๙๗.อุปาทานสิเหตุอึด...................................ธุวยึดปะ"ภพ"เผย
เมื่อ"ภพ"ตริมีลุภวเชย.........................................ลุ "ชาติ"เกิดซิตามมา

    ๑๙๘."ชาติ"เป็นเหตุปะ.......ชรา,มรณะ........บรรลุตามหนา
กองทุกข์ทั้งมวล....เกิดด่วนเศร้าพา....ปริเทวะกล้า....ทุกข์,โทมนัสใจ

    ๑๙๙.ลุ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิสามกิจ........................ตริอวิชช์ฯมิรู้ใฝ่
ความจริงประเสริฐอริยะไซร้...............................มนุษย์กอปรซิกรรมหลาย

    ๒๐๐."อวิชชา,ไม่รู้".........ก่อ"สังขาร"พรู.......ทำดี,ชั่วมาย
"สังขาร",หมั่นปรุง....มุ่งกาย..ใจฉาย....ด้วยไม่รู้กราย....ก่ออวิชช์ฯยล

    ๒๐๑.เพราะ"สังขาร"สิกรรมชิด.......................นิรมิตซิวิญญ์ฯดล
วิญญาณลุผลริปฏิสนธิ์......................................กระทำกรรมเหมาะ"สังขาร"

    ๒๐๒."วิญญาณ"เหตุเกิด......."นามรูป"มีเพริศ........ด้วยสามสิ่งกราน
"วิญญาณ:จิต"ผลาม...."นาม:เจตสิก"พาน...."กัมมัชรูป"ขาน...."นามรูป"เกิดแล

    ๒๐๓.เพราะ"นามรูป"สิมีไซร้...........................หฤทัยและกายแฉ
ห้าขันธ์ซิครบเจาะภวแล้....................................ลุวิญญาณจะแจ้งหนา

    ๒๐๔.นามรูป:กาย,ใจ.......อายะฯหกไซร้.......คือ"มโน"รู้กล้า
"มโน"กระทบล้ำ....ธรรมารมณ์นา.....เกิดนามรูปจ้า....รู้,จำ,ปรุงพาน

    ๒๐๕."มโน,ธัมมะรมณ์,วิญญ์ฯ..........................ตติชินกระทบกราน
เรียก"ผัสสะ"พร้อมลุนิรมาณ...............................มโนหกประดุจเดียว

    ๒๐๖."ผัสสะ"ปัจจัย........กระทบแล้วไซร้.......รู้"เวทนา"เปรียว
"เวทนา,รู้สึก"....ตรึกสุข,ทุกข์เชียว....เกิดผัสสะเหนี่ยว....กระทบรู้หนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #197 เมื่อ: 24, พฤศจิกายน, 2568, 03:31:08 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๐/๑๘) : ๑๓.วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๐๗.เพราะมี"เวทนา"มาก..........................ภว"อยาก"ลุ"ตัณหา"
"ตัณหา"สิหนาลุวสะกล้า................................จะก่อ"เวทนา"ผาย

   ๒๐๘."ตัณหา"ปัจจัย......."อยาก"ได้แล้วไซร้......."อุปาทาน"กราย   
ยึดอุปาทาน....พานยึดมากหลาย...."ตัณหา"เกิดมาย....ด้วยความอยากครัน

    ๒๐๙."อุปาทาน"สิยึดครอง..........................ภว"ภพ"ก็นามขันธ์
แม้"ภพ"ก็ยังหิตะดั้น.......................................ลุก่อ"ชาติ"เพราะจิตนำ

    ๒๑๐."ชาติ"เป็นปัจจัย......ก่อชรา,ตายไซร้......จึ่งตามมาซ้ำ
กองทุกข์ทั้งปวง....เป็นบ่วงเกิดพร่ำ....โสกะ,ครวญคร่ำ....คับแค้น,รำพัน

    ๒๑๑.ผิ"อัญญ์มัญญ์ฯ"สิความจริง.................ทวิสิ่งเจาะเกื้อกัน
ไม่รู้อวิชช์ฯเพราะมทะดั้น................................เจาะชั่ว,ดี,วจี,ใจ

    ๒๑๒.หรือทำดีด้วย........ผลกรรมอำนวย......ก่อสังขารได้
"สังขาร"หลายเกิด....เพริดไม่รู้ไซร้...."อริยสัจ"ไข....ก่อ"อวิชชา"

    ๒๑๓.เพราะ"สังขาร"ลุเจตน์ดล.....................อกุศลกุศลหนา
สังขารก็ก่อหทยะพา.......................................ลุ"วิญญาณ"เหมาะรับกรรม

    ๒๑๔.วิญญาณคือจิต........เป็นปัจจัยชิด........ก่อ"สังขาร"นำ
วิญญาณเกิดเพราะ....เหมาะผลกรรมทำ....เกิด"สังขาร"ซ้ำ....จิตเหมือนกันยล

    ๒๑๕.เพราะ"วิญญาณ"สิเหตุผลาม................ภว"นามและรูป"ดล
วิญญาณลุครรภ์เจาะ"ปฏิสนธิ์ฯ".......................มโน,กายอุบัติพลัน

    ๒๑๖."นามรูป"มีอยู่........."วิญญาณ"มีอยู่........ย่อมเวียนกลับกัน
หานามรูปไซร้....ไม่ไปไหนครัน....ชนจึงเกิดดั้น....แก่,ตายบ้างเอย

    ๒๑๗.เพราะ"นามรูป"สิมีหนา..........................เจาะ"สฬายะฯ"มีเผย
ด้วยมี"สฬายตนะ"เกย.......................................จะมี"นามกะรูป"แล

    ๒๑๘."อายะฯที่หก"........มโนเป็นเหตุปรก........ด้วยธรรมารมณ์แฉ
มโน,มโนวิญญาณ....พานสามเกิดแล้...."ผัสสะ"แล้วแน่....เกิด"มโน"อีกครา

    ๒๑๙.เพราะมี"ผัสสะ"เหตุครบ.........................ลุกระทบเจาะ"เวท์นา"
"เวท์นา"จะรู้และรติหนา.....................................จะก่อ"ผัสสะ"เวียนวน

    ๒๒๐."เวทนา,รู้สึก".........ชอบ,ยินดีนึก......."อยาก,ตัณหา"ดล
"ตัณหา"อยากเพิ่ม....เสริมหาอีกค้น...."เวทนา"เกิดล้น....รู้สึกต่อพาน

    ๒๒๑.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุเชิด.......................ภวเกิด"อุปาทาน"
ยึดมั่นอุปาฯเจาะดนุกราน.................................จะรักษ์คงลุ"ตัณหา"

    ๒๒๒."อุปาทาน"คือ.......ยึดปรุงมั่นครือ........ก็มี"ภพ"หนา
ก็ภพดำรงไป....ตามไขว่ใจกล้า....จึงเกิด"ชาติ"คว้า....สภาพตัวตน

    ๒๒๓.เพราะ"ชาติ"สิเหตุจบ...........................ลุประภพซิตนผล
ความแก่,มฤตก็ระยะท้น...................................จะเสื่อมลงปะทุกข์รอ

    ๒๒๔."สังขาร"ปัจจัย.......จิตก่อกรรมไซร้......."อวิชช์ฯ"มิรู้จ่อ
วิญญาณรับรู้....สิ่งพรูต่างก่อ.....ไร้ปัญญาส่อ...."อวิชชา"มี

    ๒๒๕.เพราะ"นาม,ใจ"ก็ยังนึก.........................เจาะระลึกและปรุงชี้
นามขันธ์สิสี่ริธุวคลี่..........................................และยึดก่อ"อวิชช์ฯ"แฉ

    ๒๒๖."อายะฯหกมโน"........ไม่รู้จริงโอ่.......เกิด"อวิชชา"แน่
"ผัสสะ"กระทบ....จบยินดีแล้....ไม่รู้ธรรมแท้...."อวิชช์ฯ"เกิดพลัน

    ๒๒๗.เพราะมี"เวทนา"รู้.................................รติชูรึโศกครัน
ไร้สัจจ์ประเสริฐอริยะนั้น..................................จะก่อเกิดอวิชชา

    ๒๒๘."ตัณหา"เหตุไซร้.......ก่อ"อวิชชา"ได้........ขาดอริยสัจจ์พา
"อุปาทาน"มั่น....ยึดยันตนหนา....ไม่มีปัญญา...."อวิชช์ฯ"เกิดดล

    ๒๒๙."อวิชชา"ปรุ"สังขาร".............................ประลุพานเพราะกรรมผล
"สังขาร"สิเหตุริอกุศล.......................................กุศลเกื้อซิ"วิญญาณ"


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #198 เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 08:06:04 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๑/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

    ๒๓๐."วิญญาณ"ปัจจัย......ก่อเกิด"นาม"ไซร้......สร้างจิต,ชีพกราน
"นาม,เจตสิก"หนา....อายะฯหกมาน....ด้วยมีพึ่งพาน....เกิดร่วมกันมา

    ๒๓๑."มนาฯหก"สิเหตุชัด..............................ปะทะผัสสะเกิดหนา
ใจธรรมะรมณ์และภวกล้า................................มโนวิญญ์ฯกระทบแล

    ๒๓๒."ผัสสะ"กระทบ........ก่อ"เวทนา"จบ......รู้สุข,ทุกข์แฉ
"เวทนา"รู้สึก....นึกยินดึแล้....อยากได้อีกแท้....เกิด"ตัณหา"พาน

    ๒๓๓.เพราะ"ตัณหา"สิเหตุพฤติ.....................ประลุยึดอุปาทาน
ด้วยมีอุปาฯจะหิตะฉาน....................................จะก่อ"ภพ"เพราะยึดคง

    ๒๓๔."ภพ"เป็นเหตุมี........ดำรงอยู่ชี้........"ชาติ"มีตามบ่ง
"ชาติ"เป็นเหตุหนา....ชรา,มรณะส่ง....ความเสื่อมทุกข์ตรง....ตามธรรมชาติกลาย

    ๒๓๕.สิทุกข์สิ้นกุเกิดนี้..................................ดุจะชี้ลุความฉาย
สังขารซิมูลเสาะอธิบาย....................................ก็ทุกสิ่งเจาะทุกข์เข็ญ

    ๒๓๖.ปัจจยาการ.........หรือปฏิจจ์สมุปฯขาน........แจงความจริงเด่น
ตามเหตุปัจจัย....ในธรรมชาติเน้น....แจ้งเหตุทุกข์เป็น....ทางดับทุกข์แล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เป็นต้น : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
วิภังคปกรณ์ https://share.google/kbChnYRRrpQ96ZrRG

ปฏิจจสมุปบาท = หรือ ปัจจยาการ ๑๒ - การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น
(๑/๒) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา =  เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
อวิชชา - ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา ๘ , อวิชชา ๔
(๓) สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ = เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
สังขาร - สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๒ หรือ อภิสังขาร ๓
(๔) วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ = เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
วิญญาณ - ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖
(๕) นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ = เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
นามรูป - นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
(๖) สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส = เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
สฬายตนะ อายตนะ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖
(๗) ผสฺสปจฺจยา เวทนา = เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
ผัสสะ - ความกระทบ  ได้แก่ สัมผัส ๖
(๘) เวทนาปจฺจยา ตณฺหา = เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เวทนา - ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖
(๙) ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ = เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
ตัณหา - ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์)
(๑๐) อุปาทานปจฺจยา ภโว = เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
อุปาทาน - ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔
(๑๑) ภวปจฺจยา ชาติ = เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
ภพ - ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม ตรงกับ อภิสังขาร ๓) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ
(๑๒) ชาติปจฺจยา ชรามรณํ = เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี
ชาติ - ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
ชรามรณะ - ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)
~โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ = ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
~เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ = ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้
แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์ = แจง ปัจจยาการ ๑๒
(๑/๒) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๑) อวิชชา = เป็นไฉน ไม่รู้อริยสัจ ๔ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า อวิชชา
~เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #199 เมื่อ: 25, พฤศจิกายน, 2568, 04:51:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

๒) สังขารเป็นไฉน = การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มีความหมาย ๓ ประการ คือ เป็นสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งมา; เป็นเหตุปัจจัยที่ไปปรุงแต่งสิ่งอื่น; เป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตนเอง สังขาร มี ๖ อย่าง
(๒.๑) ปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็นกามาวจร; เป็นรูปาวจร สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา
กามาวจร = ภพที่ท่องกามคุณ ๕
รูปาวจร = ภพของรูปพรหมที่เจริญฌาน
(๒.๒) อปุญญาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว เป็นไฉน
~ เจตนาที่เป็นอกุศลซึ่งเป็นกามาวจร
(๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร = สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว = เป็นไฉน
อเนญชาภิสังขาร = ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
อรูปาวจร = ภพของอรูปพรหมที่เจริญฌาน
~ เจตนาที่เป็นกุศลซึ่งเป็น อรูปาวจร
(๒.๔) กายสังขาร = กายสัญเจตนา คือเจตนาทางกาย (๒.๕) วจีสังขาร = วจีสัญเจตนาเป็นเจตนาทางวาจา (๒.๖) จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา เป็นเจตนาทางใจ
เหล่านี้เรียกว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
(๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี = เป็นไฉน
~ จักขุวิญญาณ; โสตวิญญาณ; ฆานวิญญาณ; ชิวหาวิญญาณ; กายวิญญาณ; และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
(๔) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี = เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑
(๔.๑) นาม เป็นไฉน = เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, และสังขารขันธ์ นี้เรียกว่า นาม (๔.๒) รูป เป็นไฉน = มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป นี้เรียกว่า รูป
นามและรูปดังกล่าว นี้เรียกว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
มหาภูตรูป ๔ = ดิน น้ำ ไฟ ลม
อุปาทายรูป ๒๔ = รูปที่อาศัยมหาภูตรูป เกิด
(๕) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขายตนะ ,โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวหายตนะ, กายายตนะ, และมนายตนะ
(๖) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี = เป็นไฉน
~ ได้แก่ จักขุสัมผัส; โสตสัมผัส; ฆานสัมผัส; ชิวหาสัมผัส; กายสัมผัส; และมโนสัมผัส
(๗) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี = เป็นไฉน
~ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส; เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส; นี้เรียกว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
(๘) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี = เป็นไฉน
(๘.๑) รูปตัณหา - อยากได้รูป (๘.๒) สัททตัณหา -อยากได้เสียง (๘.๓) คันธตัณหา - อยากได้กลิ่น (๘.๔) รสตัณหา - อยากได้รส (๘.๕) โผฏฐัพพตัณหา - อยากได้โผฏฐัพพะ (๘.๖) ธัมมตัณหา - อยากได้ธรรมารมณ์ นี้เรียกว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
(๙) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี = เป็นไฉน ได้แก่
(๙.๑) กามุปาทาน - ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
(๙ ๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ
(๙.๓) สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล
(๙.๔) อัตตวาทุปาทาน - ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลาย หรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวง อันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ นี้เรียกว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
(๑๐) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี = เป็นไฉน
(๑๐.๑) กรรมภพ - กรรมที่เป็นเหตุให้ไปสู่ภพ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร, และอาเนญชาภิสังขาร นี้เรียกว่า กรรมภพ
(๑๐.๒) อุปปัตติภพ -ได้แก่
(๑๐.๒.๑) กามภพ - คือสัตว์ที่เกิดในกามภูมิ มี ๑๑ ภูมิ ได้แก่ที่อยู่ของสัตว์ใน อบาย ๔ (นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน); มนุษย์ ๑, และเทวดา ๖ ชั้น (คือ จาตุมมหาราชิกา, ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรดี, ปรนิมมิสสวัตตี)
(๑๐.๒.๒) รูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในรูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของรูปพรหม ๑๖ ชั้น (ได้แก่ พรหมปาริสัชชา, พรหมปุโรหิตา, มหาพรหมา, ปริตตาภาพรหม, อัปปมาณาพรหม, อาภัสสราพรหม, ปริตตสุภาพรหม, อัปปมาณสุภาพรหม, สุภกิณหาพรหม, เวหัปผลาพรหม, อสัญญสัตตาพรหม, อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี, อกนิฏฐา)


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #200 เมื่อ: 26, พฤศจิกายน, 2568, 08:42:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๑๐.๒.๓) อรูปภพ - คือสัตว์ที่เกิดในอรูปภูมิ มี ๔ ภูมิ เช่นภูมิที่อยู่ของ อรูปพรหม มี ๔ ชั้น คือ อรูปภูมิ ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ, วิญญาณัญจายตนภูมิ, อากิญจัญญายตนภูมิ, และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
(๑๐.๒.๔) สัญญาภพ - ภพที่มีนามขันธ์ ได้แก่ กามภพ ๑๑, รูปภพ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตตาภพ), อรูปภพ ๓ (เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ)
~สัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้มีสัญญา
~อสัญญาภพ - ภพของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่มีสัญญา
~เนวสัญญานาสัญญา - ธรรมชาติที่เป็น มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา ก็มิใช่ เพราะไม่มีสัญญาหยาบ และ เพราะมีแต่สัญญาละเอียด มีอยู่ในภพนั้น
(๑๐.๒.๕) อสัญญาภพ - ภพที่ไม่มีนามขันธ์ได้แก่ ภพฝ่าย อสัญญสัตตภูมิ
 ~อสัญญสัตตภูมิ = ที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา หมายถึง สถานที่เกิดของบุคคลที่อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน แต่เป็นผู้ที่ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรม เพราะเห็นโทษว่าความคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิใน อสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิที่มีแต่รูปล้วนๆ โดยที่ปราศจากนามธรรม เป็นภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์เท่านั้น
(๑๐.๒.๖) เนวสัญญานาสัญญาภพ - คือ สัตว์ที่จะนับว่าไม่มีนามขันธ์ก็ไม่ใช่ จะว่ามีนามขันธ์ก็ไม่เชิง ได้แก่ สัตว์ในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
~เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ - คือ พรหมโลกชั้นสูงสุดในกลุ่ม อรูปพรหม ๔ ชั้น เป็นที่อยู่ของพระพรหมที่ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นฌานสมาบัติที่ละเอียดประณีตที่สุด โดยจิตจะเข้าสู่สภาวะที่ ไม่มีสัญญา (ความจำ) และ ไม่ใช่ไม่มีสัญญา (ไร้ความคิด)
(๑๐.๒.๗) เอกโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีรูปขันธ์เพียงขันธ์เดียว ได้แก่ สัตว์ใน อสัญญสัตตภูมิ
(๑๐ ๒.๘) จตุโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ ๔ ขันธ์ (เว้นรูปขันธ์) ได้แก่ สัตว์ใน อรูปภูมิ ๔ ภูมิ คือ อรูปพรหม
(๑๐.๒.๙) ปัญจโวการภพ - สัตว์ที่เกิดมาโดยมีขันธ์ครบทั้ง ๕ ขันธ์ ได้แก่ สัตว์ ในกามภูมิ ๑๑ และในรูปภูมิ ๑๕ (เว้นอสัญญสัตต มีแต่รูปอย่างเดียว) นี้เรียกว่า อุปปัตติภพ; กรรมภพและอุปปัตติภพที่กล่าวมานี้ นี้เรียกว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
(๑๑) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี = เป็นไฉน
คือ ความเกิด; ความเกิดพร้อม; ความหยั่งลง; ความบังเกิดเฉพาะ; ความปรากฏแห่งขันธ์; ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ; นี้เรียกว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
(๑๒) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสจึงมี กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๑๒.๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี = เป็นไฉน
(๑๒.๑) ชรา เป็นไฉน
~ ความแก่, ความคร่ำคร่า, ความมีฟันหัก, ความมีผมหงอก  ความมีหนังเหี่ยวย่น, ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา
(๑๒.๒) มรณะ เป็นไฉน
~ ความจุติ, ความเคลื่อนไป, ความทำลายไป, ความหายไป, ความตายกล่าว คือ มฤตยู, การทำกาละ, ความแตกแห่งขันธ์, ความทอดทิ้งร่างกาย, ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ ชราและมรณะที่กล่าวมา นี้เรียกว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
(๑๒.๓) โสกะ เป็นไฉน
~ ความเศร้าโศก, กิริยาที่เศร้าโศก, ความแห้งผากภายใน, ความแห้งกรอบภายใน, ความเกรียมใจ, ความโทมนัส, ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่ถูก, ความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ
(๑๒.๔) ปริเทวะ เป็นไฉน
~ ความร้องไห้, ความคร่ำครวญ, กิริยาที่ร้องไห้, กิริยาที่คร่ำครวญ, ภาวะที่ร้องไห้, ความบ่นถึง, ความพร่ำเพ้อ, ความร่ำไห้,  กิริยาที่พิไรรำพันของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ  ของผู้ที่
กด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ
(๑๒.๕) ทุกข์ เป็นไฉน
~ ความไม่สำราญทางกาย, ความทุกข์ทางกาย, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์
(๑๒.๖) โทมนัส เป็นไฉน
~ความไม่สำราญทางใจ, ความทุกข์ทางใจ, ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส, กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #201 เมื่อ: 26, พฤศจิกายน, 2568, 02:31:06 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๔/๒๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๑๒.๗) อุปายาส เป็นไฉน
~ ความแค้น, ความคับแค้น, ภาวะที่คับแค้น ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ, ความเสื่อมโภคทรัพย์, ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค, ความเสื่อมศีล, หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยงความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า อุปายาส
สุตตันตภาชนีย์
อภิธรรมภาชนีย์ = แจงพระธรรมแบบพระอภิธรรม
(๑) ปัจจยจตุกกะ =แจงปัจจัยธรรม ๔ ตอน
(๒) เหตุจตุกกะ = แจงเหตุธรรม ๔ ตอน
(๓) สัมปยุตตจตุกกะ = ธรรมที่ประกอบพร้อมกัน ๔ ตอน
(๔) อัญญมัญญจตุกกะ = สภาพธรรมที่ต่างอาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกัน จึงจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้
ปัจจยจตุกกะ
อวิชชามูลกนัย = หลักธรรมที่อธิบายว่า สังขาร -การปรุงแต่ง เกิดขึ้นเพราะ อวิชชา - ความไม่รู้ เป็นปัจจัย และอวิชชาคือรากเหง้าของทุกข์ทั้งปวง อธิบายตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท หรือการเวียนว่ายตายเกิด โดยเริ่มจาก "ความไม่รู้" นี้ อวิชชามูลกนัย จะแจงเป็น ๔ ตอน ดังนี้
(๑) ตอนที่ ๑ ปัจจยจตุกกะ = พระพุทธเจ้าทรงรวบรวมองค์ธรรมไว้ทั้งหมด ชื่อว่าทวาทสังคิกวาร (วาระประกอบด้วยองค์ ๑๒ มีองค์สองไม่บริบูรณ์ เพราะตรัสนามไว้ในที่แห่งนามรูป และตรัสอายตนะที่ ๖ ไว้ในที่แห่งสฬายตนะ
(๑.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๑.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๑.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามจึงมี (๑.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ (มนายตนะ) จึงมี (๑.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๑.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๑.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๑.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๑.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๑.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๒) ตอนที่ ๒ = ปัจจยจตุกกะ ทรงถือเอาด้วยความต่างกันแห่งปัจจัย วาระนี้ชื่อว่าเอกาทสังคิกวาร (วาระประกอบด้วยองค์ ๑๑) ซึ่งประกอบด้วยองค์หนึ่งไม่บริบูรณ์ เพราะตรัสนามอย่างเดียวในที่แห่งนามรูป และไม่ตรัสองค์อะไรๆ ในที่แห่งสฬายตนะ วาระที่ ๒ นี้ทรงถือเอาด้วยอำนาจมหานิทานสูตร
(๒.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๒.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๒.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามจึงมี (๒.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๒.๕) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๒.๖) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๒.๗) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๒.๘) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๒.๙) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๒.๑๐) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๓) ตอนที่ ๓ ปัจจยจตุกกะ = นี้ชื่อว่าทวาทสังคิกวาร (ประกอบด้วยองค์ ๑๒) ประกอบด้วยองค์หนึ่งบริบูรณ์ เพราะตรัสอายตนะที่ ๖ ไว้ในที่แห่งสฬายตนะ ทรงถือเอาด้วยความสามารถแห่งสัตว์มีอายตนะไม่บริบูรณ์ ด้วยอำนาจแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
(๓.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๓.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๓.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี (๓.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๓.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๓.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๓.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๓.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๓.๙)เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๓.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๓.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๔) ตอนที่ ๔ ปัจจยจตุกกะ = มีองค์ ๑๒ บริบูรณ์แล้ว ด้วยอำนาจกามภพ สัตว์มีอายตนะ เป็นโอปปาติกะ
(๔.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๔.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๔.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี (๔.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี (๔.๕) เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๔.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๔.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๔.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๔.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๔.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๔.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
ปัจจยจตุกกะ จบ
เหตุจตุกกะ = แจงเหตุธรรม ๔ ตอน
อวิชชามูลกนัย
(๑) ตอนที่ ๑ เหตุจตุกกะ
(๑.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่มีอวิชชาเป็นเหตุจึงมี (๑.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่มีสังขารเป็นเหตุจึงมี (๑.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามที่มีวิญญาณเป็นเหตุจึงมี
~ วิญญาณ หมายถึงจิต (วิบากจิต)
~ นาม หมายถึง เจตสิก
~ รูป หมายถึง กัมมชรูป
ธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยกันเกิดขึ้น โดยปัจจัจหลายปัจจัย เช่น เมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจัย นามคือ เจตสิก และกัมมชรูป จึงเกิดขึ้น
(๑.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ ที่มีนามเป็นเหตุจึงมี (๑.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่มีอายตนะที่ ๖ เป็นเหตุจึงมี (๑.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่มีผัสสะเป็นเหตุจึงมี (๑.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่มีเวทนาเป็นเหตุจึงมี (๑.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่มีตัณหาเป็นเหตุจึงมี (๑.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #202 เมื่อ: 27, พฤศจิกายน, 2568, 06:13:56 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๕/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๑.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
~อิทัปปัจจัย = คือ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หมายถึง "เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมี"
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๒) ตอนที่ ๒ เหตุจตุกกะ   
(๒.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่มีอวิชชาเป็นเหตุจึงมี
(๒.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่มีสังขารเป็นเหตุจึงมีล
(๒.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามที่มีวิญญาณเป็นเหตุจึงมี
~ นาม =ได้แก่ (๒.๓.๑) เวทนา - ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข (๒.๓.๒) สัญญา - ความจำได้หมายรู้ (๒.๓.๓) เจตนา - ความจงใจ (๒.๓.๔) ผัสสะ - ความกระทบแห่งอายตนะภายในภายนอก และ วิญญาณ รวมกัน คือเป็นความกระทบแห่งอารมณ์ถึงจิตที่มีความแรง ให้เกิดเวทนาขึ้นได้ ( เริ่ม ) (๒.๓.๕) มนสิการ - ความทำไว้ในใจ คือใส่ใจในอารมณ์นั้นๆ ในเรื่องนั้นๆ
(๒.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะที่มีนามเป็นเหตุจึงมี (๒.๕) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่มีผัสสะเป็นเหตุจึงมี (๒.๖) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่มีเวทนาเป็นเหตุจึงมี (๒.๗) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่มีตัณหาเป็นเหตุจึงมี (๒.๘) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๒.๙) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๒.๑๐) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๓) ตอนที่ ๓ เหตุจตุกกะ
(๓.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่มีอวิชชาเป็นเหตุจึงมี (๓.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่มีสังขารเป็นเหตุจึงมี
~วิถีวิญญาณ = วิญญาณที่มีหลังสัตว์เกิด
(๓.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปที่มีวิญญาณเป็นเหตุจึงมี (๓.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ ที่มีนามรูปเป็นเหตุจึงมี
~อายตนะที่ ๖ = มนายตนะ, มโน
(๓.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่มีอายตนะที่ ๖ เป็นเหตุจึงมี (๓.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่มีผัสสะเป็นเหตุจึงมี (๓.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่มีเวทนาเป็นเหตุจึงมี (๓.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่มีตัณหาเป็นเหตุจึงมี (๓.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๓.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๓.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๔) ตอนที่ ๔ เหตุจตุกกะ
(๔.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่มีอวิชชาเป็นเหตุจึงมี (๔.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่มีสังขารเป็นเหตุจึงมี
~ปฐมวิญญาณ = ในที่นี้ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ คือวิญญาณแรกที่ลงสู่ครรภ์
(๔.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปที่มีวิญญาณเป็นเหตุจึงมี (๔.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะที่มีนามรูปเป็นเหตุจึงมี (๔.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่มีอายตนะที่ ๖ เป็นเหตุจึงมี (๔.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่มีผัสสะเป็นเหตุจึงมี (๔.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่มีเวทนาเป็นเหตุจึงมี (๔.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่มีตัณหาเป็นเหตุจึงมี (๔.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๔.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๔.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
เหตุจตุกกะ จบ
สัมปยุตตจตุกกะ = สัมปยุตต์ คือนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ ประกอบพร้อมมี ลักษณะ ๔ คือ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดวัตถุเดียวกัน ส่วน จตุกกะ แจกเป็น ๔ ตอน คือ
อวิชชามูลกนัย
(๑) ตอนที่ ๑ สัมปยุตตจตุกกะ
(๑.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่สัมปยุตด้วยอวิชชาจึงมี
~สังขาร ที่เป็นอภิสังขารจึงเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้เกิดวิบาก  ๓ (๑.๑.๑) เจตนาที่เป็นไปในกุศลขั้นกามาวจรและกุศลขั้นรูปาวจรกุศล (๑.๑.๒) เจตนาที่เป็นไปในอกุศลกรรม (๑.๑.๓) เจตนาที่เป็นในกุศลขั้นอรูปาวจรกุศล
(๑.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสังขารจึงมี
~วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท = ไม่ได้หมายถึงจิตทุกประเภท แต่เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม คือ ปฏิสนธิวิญญาณ (ปฏิสนธิจิต) ขณะที่เกิด รวมทั้ง ทวิปัญจวิญญาณ คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้
(๑.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามที่สัมปยุตด้วยวิญญาณจึงมี (๑.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ ที่สัมปยุตด้วยนามจึงมี
~อายตนะที่ ๖ = มนายตนะ
~นาม =ได้แก่ เจตสิก ๓๕ ดวง ที่ประกอบกับโลกียวิปากจิต ๓๒ ดวง (จักขุวิญญาณ ๒, โสตวิญญาณ ๒, ฆานวิญญาณ ๒, ชิวหาวิญญาณ ๒, กายวิญญาณ ๒, มโนวิญญาณ ๒๒)
(๑.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่สัมปยุตด้วยอายตนะที่ ๖ จึงมี (๑.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่สัมปยุตด้วยผัสสะจึงมี
(๑.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่สัมปยุตด้วยเวทนาจึงมี (๑.๘ )เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่สัมปยุตด้วยตัณหาจึงมี (๑.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๑.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #203 เมื่อ: 27, พฤศจิกายน, 2568, 02:08:14 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๖/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๒) ตอนที่ ๒ สัมปยุตตจตุกกะ
(๒.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่สัมปยุตด้วยอวิชชาจึงมี (๒.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสังขารจึงมี (๒.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามที่สัมปยุตด้วยวิญญาณจึงมี (๒.๔) เพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะที่สัมปยุตด้วยนามจึงมี (๒.๕) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่สัมปยุตด้วยผัสสะจึงมี (๒.๖) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่สัมปยุตด้วยเวทนาจึงมี (๒.๗) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่สัมปยุตด้วยตัณหาจึงมี (๒.๘) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๒.๙) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๒.๑๐) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
~ ธัมมัฏฐิตตา = ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
~ ธัมมนิยามตา = ความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
~ อิทัปปัจจยตา = ความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #204 เมื่อ: 28, พฤศจิกายน, 2568, 09:20:27 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๗/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๓) ตอนที่ ๓ สัมปยุตตจตุกกะ
(๓.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่สัมปยุตด้วยอวิชชาจึงมี (๓.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสังขารจึงมี (๓.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปและนามที่สัมปยุตด้วยวิญญาณจึงมี (๓.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ ที่สัมปยุตด้วยนามรูปจึงมี (๓.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่สัมปยุตด้วยอายตนะที่ ๖ จึงมี (๓.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่สัมปยุตด้วยผัสสะจึงมี (๓.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่สัมปยุตด้วยเวทนาจึงมี (๓.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่สัมปยุตด้วยตัณหาจึงมี (๓.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๓.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๓.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๔) ตอนที่ ๔ สัมปยุตตจตุกกะ
(๔.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารที่สัมปยุตด้วยอวิชชาจึงมี (๔.๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสังขารจึงมี (๔.๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปและนามที่สัมปยุตด้วยวิญญาณจึงมี (๔.๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ และอายตนะที่ ๖ ที่สัมปยุตด้วยนามจึงมี (๔.๕) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะที่สัมปยุตด้วยอายตนะที่ ๖ จึงมี (๔.๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาที่สัมปยุตด้วยผัสสะจึงมี (๔.๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาที่สัมปยุตด้วยเวทนาจึงมี (๔.๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานที่สัมปยุตด้วยตัณหาจึงมี (๔.๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๔.๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๔.๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
สัมปยุตตจตุกกะ จบ
อัญญมัญญจตุกกะ = สภาพธรรมที่ต่างอาศัยพึ่งพิงซึ่งกันและกัน จึงจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้
อวิชชามูลกนัย
(๑) ตอนที่ ๑ อัญญมัญญจตุกกะ
(๑.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๑.๒) แม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี (๑.๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๑.๔) แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๑.๕) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามจึงมี (๑.๖) แม้เพราะนามเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
~ นามขันธ์สี่ = เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
(๑.๗) เพราะนามเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๑.๘) แม้เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย นามจึงมี (๑.๙) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๑.๑๐) แม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๑.๑๑) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๑.๑๒) แม้เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๑.๑๓) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๑.๑๔) แม้เพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๑.๑๕) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๑.๑๖)แม้เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๑.๑๗) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑.๑๘) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๑.๑๙) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๒) ตอนที่ ๒ อัญญมัญญจตุกะ
(๒.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๒.๒) แม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี (๒.๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๒.๔) แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๒.๕) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามจึงมี
~ นาม หมายถึง นามขันธ์สี่ ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
(๒.๖) แม้เพราะนามเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๒.๗) เพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๒.๘) แม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย นามจึงมี (๒.๙) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๒.๑๐) แม้เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๒.๑๑) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๒.๑๒) แม้เพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๒.๑๓) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๒.๑๔) แม้เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๒.๑๕) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๒.๑๖) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๒.๑๗) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #205 เมื่อ: 28, พฤศจิกายน, 2568, 12:01:57 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๑๘/๑๘) : ๑๓. วิภังค์ : ปัจจยาการวิภังค์

(๓) ตอนที่ ๓ อัญญมัญญจตุกกะ
(๓.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๓.๒) แม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี (๓.๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๓.๔) แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๓.๕) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
~กัมมชรูป = รูปที่เกิดจากกรรม
(๓.๖) แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๓.๗) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี
~ อายตนะที่ ๖ = มนายตนะ, มโน
(๓.๘) แม้เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
~ ธรรมารมณ์ = สี่งที่รู้ได้ด้วยใจ
(๓.๙) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๓.๑๐) แม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๓.๑๑) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๓.๑๒) แม้เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๓.๑๓) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๓.๑๔) แม้เพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๓.๑๕) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๓.๑๖) แม้เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๓.๑๗) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๓.๑๘) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๓.๑๙) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
(๔) ตอนที่ ๔ อัญญมัญญจตุกกะ
(๔.๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๔.๒) แม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี (๔.๓) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๔.๔) แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๔.๕) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี (๔.๖) แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๔.๗ ) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
~ สฬายตนะ = สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกันหกช่องทางสฬายตนะ, อายตนะ ๖ เป็นสภาพธรรม ซึ่งประชุมกัน เพื่อรู้ในอารมณ์ ที่เกิดขึ้นจากทวารทั้ง ๖ อายตนะภายใน ๖ คือ (จักขายตนะ, โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวหายตนะ  กายายตนะ, และมนายตนะ)
~ อายตนะภายนอก ๖ = รูปายตนะ, สัททายตนะ, คันธายตนะ, รสายตนะ, โผฏฐัพพายตนะ, ธัมมายตนะ
(๔.๑๐) แม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๔.๘) แม้เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี (๔.๙) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
~ อายตนะ ที่ ๖ = มนายตนะ คือมโน
(๔.๑๐) แม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๔.๑๑) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๔.๑๒) แม้เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๔.๑๓) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๔.๑๔) แม้เพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๔.๑๕) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๔.๑๖) แม้เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๔.๑๗) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๔.๑๘) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๔.๑๙) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
อัญญมัญญจตุกกะ จบ
อภิธรรมมาติกา = คือ แม่บท เป็นส่วนที่ ๓ ของพระไตรปิฎก ซึ่งกล่าวถึงคำสอนทางพระพุทธศาสนาในระดับที่สูงและลึกซึ้งขึ้น
นัย ๘ มีสังขารมูลกนัย = คือ การอธิบายธรรมะโดยมองจาก "สังขาร" ซึ่งหมายถึงสิ่งทั้งหลายที่เกิดจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย
การพิจารณา ด้วยสังขารมูลกนัยจะทำให้เห็นว่าสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
(๑) เพราะสังขารเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๒) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๓) เพราะนามเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๔) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๕) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๖) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๗) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๘) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี ฯลฯ (๙) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (๑๐) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี (๑๑) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามจึงมี (๑๒) เพราะนามเป็นปัจจัย อายตนะที่ ๖ จึงมี (๑๓) เพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี (๑๔) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี (๑๕) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี (๑๖) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี (๑๗) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี (๑๘) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี (๑๙) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
กองทุกข์ทั้งมวลนี้มีการเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
มาติกา จบแล.


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), เฒ่าธุลี, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:6026
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 940



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #206 เมื่อ: วันนี้ เวลา 11:25:13 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๑๔.วิภังค์ : สติปัฏฐานวิภังค์ (แจกสติปัฏฐาน)

ลลิตาฉันท์ ๑๒/โคลงสี่สุภาพ

    ๑.ขอน้อมประณตพระอรหันต์...........................ศรัณย์ประชา
ผู้ตรัสรู้สิตนุหนา..................................................พระธรรมประเสริฐ

    ๒.เลิศอริยสัจสี่แท้............................................ทุกข์วาย
กรุณสั่งสอนชนกราย...........................................ยิ่งรู้
ชนมากทราบธรรมฉาย.........................................ตามแน่ว
จึงล่วงอรหันต์จู้....................................................ภพหน้ามิถลำ

    ๓.หมวดนี้แจรงสามกะ"สติปัฏฐ์ฯ".......................เจาะชัดริจำ
"สุตตันตภาฯ"และอภิธรรมฯ".................................ลุปัญหะแฉ

    ๔.แลสุตตันฯก่นชี้..............................................การวาง สติทราบ
กับสิ่งตามจริงลาง.................................................แน่แท้
มีสติปัฏฐานพลาง..................................................รวมสี่ ละคลาย
กิเลสทุกข์หมดแล้.................................................สู่ห้วงนิพพาน

    ๕."กายานุปัสสะฯ"ริตริหนา.................................กะกายะกราน
กายนั้นมิใช่จะดนุขาน............................................รึสัตว์อะไร

    ๖."กายในกาย"แต่เท้า.........................................ถึงหัว
ลงต่ำปลายผมตัว...................................................มุ่งพื้น
"นอกกายสิ่งคลุม"รัว ..............................................หนังแน่
มิสะอาดในกายปื้น.................................................ปอด,ไส้,เอ็น,ขน

    ๗.สงฆ์ชาญนิมิตเจาะประลุชิด.............................พินิจซิยล
"กายอื่น"กระทำริดุจะตน.........................................วิธีเสมือน

    ๘.เตือนทำใจคิดแล้............................................."กายในกาย"
"ในตน,นอกตน"ไข..................................................ดั่งพร้อง
ความเพียรเร่งสติไว................................................มีเพิ่ม สัมป์ชัญญะ
ขจัดโลภ,โศกคล้อง................................................หมดได้เชียวหนา

    ๙."คำว่าพิจารณ์"เจาะประลุคิด............................พินิจคณา
"ปัญญา"สิล้ำมิมทะกล้า..........................................พระธรรมเจาะเฟ้น

    ๑๐.เป็น"สัมมาทิฏฯ"แท้......................................ถูกตรอง คลองธรรม
สงฆ์จ่อถึงจุดครอง................................................เพียบพร้อม
มาถึงแน่วดีผอง.....................................................ประกอบร่วม
จึงเรียกพิจารณ์น้อม..............................................ดั่งนี้เลยเผย

    ๑๑."คำอยู่"สิหมายภวประจักษ์............................เจาะพักซิเอ่ย
รักษาและสันตติเลาะเกย.......................................ณ ที่เหมาะแฉ

    ๑๒.แล"คำเพียร"ว่าแล้........................................ความหมาย อย่างไร
ปรารภใจเพียรฉาย................................................ยิ่งแล้ว
เพียรชอบมุ่งละวาย................................................ธรรมชั่ว
เพียรเร่งพิบูลย์แพร้ว..............................................เปี่ยมล้นกุศล

    ๑๓.คำ"สัมปชัญญะ"จะเจาะใด............................อะไรซิผล
ปัญญาสิมีลิมทะดล................................................เสาะเรียกเหมาะเผย

    ๑๔.คำ"สติ"เปรยมุ่งแท้.......................................ถึงใด
ความระลึกตามเร็วไว.............................................ครบถ้วน
เตือนตนไม่คิดไกล................................................พฤติห่าง ความดี
สติช่วยมิหลงล้วน..................................................ยึดไซร้ตนพรู

    ๑๕.ตรึก"เวทนานุสติฯ"ชี้.....................................ฤดีเจาะรู้
ความจริงวะรู้ตะนิรชู..............................................ซิตัวและตน

    ๑๖.สติดลชัดรู้...................................................สุขเปรม
ทนทุกข์หรือเฉยเอม...............................................ช่วงนั้น
สามิสจ่อใจเกษม ...................................................ตรึงแน่น กามคุณ
หรือเหยื่อมิมีดั้น.....................................................นิ่งแท้สงบหนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 12 13 [14]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.3 วินาที กับ 153 คำสั่ง
กำลังโหลด...