ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เมื่อตัณหาขึ้นหน้าหมายได้เมียเขา หลงลืมตัวมัวเมากามวิสัย ใจมืดมนต้นเหตุแห่งเภทภัย คือเหตุใหญ่ฆ่ากันตายในโลกนี้
๏ อีกการหลงทะนงตนเหนือคนอื่น ย่ำเขาตรมขมขื่นสิ้นศักดิ์ศรี เมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ยอมพร้อมราวี เกิดคดีชิงชัยในโลกา
๏ อีกโลภมากอยากได้ลาภหลายล้น ถึงจี้ปล้นล้างผลาญการเข่นฆ่า อยากมีคุณบุญหนักศักดินา แย่งยศถาเขตขัณฑ์กันทั่วไป
๏ ครานั้น “รณบุตร” ร้ายหมายอมิตร ทักแบบท้าว่า “ถือสิทธิ์เหนือไฉน เมื่อพบข้ามิคารวะจะหลีกไกล คงยังไม่รู้ฤทธาข้าดีพอ
๏ แม้นรักตัวกลัวตายอย่าได้ช้า มอบภรรยามาให้ค่อยไปต่อ มิเช่นนั้นพระขรรค์ข้าไม่รารอ จักเชือดคอเจ้าให้ขาดถึงฆาตพลัน”
[/size]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เมื่อตัณหาขึ้นหน้าหมายได้เมียเขา หลงลืมตัวมัวเมากามวิสัย ใจมืดมนต้นเหตุแห่งเภทภัย คือเหตุใหญ่ฆ่ากันตายในโลกนี้
๏ อีกการหลงทะนงตนเหนือคนอื่น ย่ำเขาตรมขมขื่นสิ้นศักดิ์ศรี เมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ยอมพร้อมราวี เกิดคดีชิงชัยในโลกา
๏ อีกโลภมากอยากได้ลาภหลายล้น ถึงจี้ปล้นล้างผลาญการเข่นฆ่า อยากมีคุณบุญหนักศักดินา แย่งยศถาเขตขัณฑ์กันทั่วไป
๏ ครานั้น “รณบุตร” ร้ายหมายอมิตร ทักแบบท้าว่า “ถือสิทธิ์เหนือไฉน เมื่อพบข้ามิคารวะจะหลีกไกล คงยังไม่รู้ฤทธาข้าดีพอ
๏ แม้นรักตัวกลัวตายอย่าได้ช้า มอบภรรยามาให้ค่อยไปต่อ มิเช่นนั้นพระขรรค์ข้าไม่รารอ จักเชือดคอเจ้าให้ขาดถึงฆาตพลัน”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๓- ธนุ เสนสิงห์
๏ “รณาภิมุข” นั้นพลันตอบโต้ “หยุดยโสเอ่ยย้ำคำเย้ยหยัน เราก็ศิษย์มีครูอยู่เหมือนกัน ชาติพันธุ์มิได้ต่างห่างวรรณวงศ์
๏ มาขอเมียเสียง่ายง่ายกระไรหนา หรือหลงผิดเลิศฤทธาพาเหลิงหลง จึงเหยียบย่ำหยามหยันกันโดยตรง แม้นตกลงปลงให้เหมือนไร้ใจ” ๏ “รณบุตร” หมายฉุดคร่ามิช้าอยู่ เริ่มต่อสู้บนเวหาถลาใส่ ตีฉะฉาดฟาดฟันตะบันไป “รณาภิมุข” ก็มิใช่ไร้ฝีมือ ๏ รับกันไว้ได้ถ้วนกระบวนท่า แต่ถอยล่าหาหลักรักษาชื่อ ป้องที่รักจากคนพาลใจมารยื้อ หนักอกคืออุ้มนางพลางณรงค์
๏ เสียกำลังทั้งมิคล่องการป้องปัด จักฟาดฟัดมิได้ดังตั้งประสงค์ ต้องถอยล่าหาหลักพะวักพะวง “รณบุตร” เห็นจุดปลงคู่ประยุทธ์
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, กอหญ้า กอยุ่ง, รพีกาญจน์, น้ำหนาว, หญิงหนิง พราววลี, ก้าง ปลาทู, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๔- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ ทะลวงฟันมั่นหมายกายคู่รบ ก็เลี่ยงหลบปัดป้องไปไม่สิ้นสุด กลับหมายฟันภรรยาบ้าประทุษ เยี่ยงมนุษย์ทั่วไปทำไม่ลง
๏ เลี่ยงก็ขัดปัดมิได้เอากายป้อง ด้วยรักน้องนิ่มนุชสุดใหลหลง จึงถูกคมพระขรรค์ฟันโดยตรง ร่วงสู่พงพับกับพื้นพสุธา
๏ แล้วศัตรูผู้เป็นปรปักษ์ ชิงคนรักจากไกลไปซึ่งหน้า ทั้งเจ็บแค้นแสนทุกขเวทนา วอนวาจาพึ่งแม่พระธรณี
๏ พระบุตราครานั้นจรัลผ่าน เห็นเหตุการณ์ทั้งผองเศร้าหมองศรี ช่างใจดำทำได้ร้ายสิ้นดี คิดแย่งชู้คู่ชีวีบั่นชีวา
๏ เข้าโอบอุ้มอภิบาลดวงมานห่วง สั่งหมอหลวงทั้งหลายให้รักษา เลิศโอสถกำหนดหมายใช้เยียวยา หลายเพลาจึงฟื้นคืนพลัง
รายนามผู้เยี่ยมชม : ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, กอหญ้า กอยุ่ง, รพีกาญจน์, น้ำหนาว, หญิงหนิง พราววลี, ก้าง ปลาทู, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๕- ธนุ เสนสิงห์
๏ โอ้ “รณาภิมุข” ทุกข์เหลือที่ ดวงฤดีพังภินท์สิ้นความหวัง ดุจกลางทรวงไร้ดวงแดแม้ชีพยัง แล้วจึงตั้งสติพินิจการณ์
๏ “ความสุขสันต์พลันสลายกลายเป็นเศร้า เพราะใจเรามีความหลงติดสงสาร หมายเชิดชูบูชาเมียที่จิตมาร พบคนพาลชิงสวาทเห็นธาตุแท้
๏ รักนารีผู้มีใจไม่คงมั่น ความผูกพันอันใดไม่แยแส ชอบเปลี่ยนชายมิหมายอยู่กับผู้แพ้ เจ็บดวงแดกว่าแผลกายหลายเท่านัก”
๏ วอนวาทะ “สมุทรโฆษ โปรดฟังฉัน รับพระขรรค์อันมอบให้ใจแน่นหนัก แทนบุญคุณยิ่งใหญ่ด้วยใจภักดิ์ และความรักท่านที่งามด้วยน้ำใจ
๏ เมื่อท่านถือพระขรรค์เทพสรรค์นี้ เกิดฤทธีเดชาเหินฟ้าได้ แม้นหมายจรนครเขตประเทศใด เหาะเหินไปตามถวิลจินตนา”
รายนามผู้เยี่ยมชม : รพีกาญจน์, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, หญิงหนิง พราววลี, ปลายฝน คนงาม, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, กอหญ้า กอยุ่ง, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๖- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ พระบุตราว่าแย้งสำแดงนั้น “ของสำคัญมอบให้ไฉนหนา ควรเป็นของครองอยู่คู่กายา ในภายหน้าท่านต้องไว้ป้องตน”
๏ “รณาภิมุข” ว่า “ครานี้ไซร้ ซึ้งฤทัยเมื่อตรองความตามเหตุผล รักและชังตั้งใจตัดขาดกมล หมายนักพรตกำหนดพ้นกามโลกีย์”
๏ “สมุทรโฆษ” ยังมีข้อต่อคำถาม “ฉงนความผันแปรไปไวเหลือที่ ผู้มากในเสน่หายอดนารี ถึงยอมพลีร่างให้ป้องกายนาง”
๏ “เรารักหลงอนงค์นาฏอย่างมาดมั่น ก็รับกันโดยดีมิอางขนาง เมื่อตรองการณ์เป็นกรรมที่อำพราง ตาสว่างสิ้นเขลาเลิกเมาใจ
๏ อันฝีมือชื่อชั้นการต่อสู้ มันเป็นผู้เหนือกว่าก็หาไม่ มีภรรยาเป็นภาระช่างกระไร ความว่องไวปัดป้องมิคล่องตัว
รายนามผู้เยี่ยมชม : รพีกาญจน์, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, หญิงหนิง พราววลี, ปลายฝน คนงาม, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, กอหญ้า กอยุ่ง, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๗- ธนุ เสนสิงห์
๏ ซึ้งอุรานารีนี้ไฉน ดูท่าทีดีใจได้เปลี่ยนผัว แลดวงเนตรสังเกตได้ใฝ่พันพัว โดนชิงตัวไร้วาจากล่าวอาลัย
๏ เห็นผัวเอียงเพลี่ยงพล้ำจนย่ำแย่ เมียถีบแพทิ้งเพื่อพึ่งเรือใหม่ เสียแรงเราเอากายป้องต้องช้ำใน เหมือนเปลไกวใจแม่มิแน่นอน
๏ คล้ายฝูงสัตว์จตุบาทชาติกักขฬะ ผู้ชนะเป็นใหญ่แห่งไกรสร เมื่อแพ้พ่ายตัวเมียไม่อนาทร ร่วมสมจรคู่ใหม่ผู้ชัยชาญ”
๏ ครั้นจบคำร่ำลามิช้าอยู่ จรลีปรี่สู่หมู่ไพรสาณฑ์ “สมุทรโฆษ” มิอาจขัดหรือทัดทาน มอบดวงมานซึ้งจาคะเอกอดุลย์
๏ น้อมคำนับรับพระขรรค์อันสูงค่า คำนึงคิดกฤษฎามาเกื้อหนุน วาสนาชะตาดลด้วยผลบุญ รำลึกคุณแล้วลองเหินเดินเมฆี
รายนามผู้เยี่ยมชม : รพีกาญจน์, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, หญิงหนิง พราววลี, ปลายฝน คนงาม, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, กอหญ้า กอยุ่ง, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๘- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เหาะเวหนวนรอบขอบพนัส วกฉวัดเฉวียนไปกลางไพรศรี แล้วกลับคืนยังพื้นธรณี แสนยินดีมีพระขรรค์เทพสรรค์มา
๏ อยากประพาสหิมพานต์อันลึกล้ำ เคยยินคำบอกเล่าเพียงเขาว่า อัศจรรย์พันลึกพฤกษ์พนา นานนักหนาหมายเที่ยวเล่นเย็นฤทัย
๏ ยิ่งได้ชวนนวลฉวีท่องชี้ชม คงสุขสมยิ่งนักจักหาไหน ขอเหินฟ้าถลาล่องท่องแดนไกล ชมพงไพรคล้ายวิหกผกนภา
๏ จึงชวน “พินทุมดี” ศรีสมร คเนจรชมมฤคพรรณพฤกษา เลิศวิไลในวนหิมวา พอปรีดาค่อยนิวัตรัฐบุรินทร์
๏ สองตกลงปลงจิตลิขิตสาส์น ทูลภูบาลลาเดินทางดั่งถวิล เล่าความหลังตั้งแต่มาจากธานินทร์ หมดทั้งสิ้นจนพบพิทยาธร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๖๙- ธนุ เสนสิงห์
๏ ให้พระขรรค์อันเรืองเดชวิเศษนัก สามารถจักเหินเมฆาถลาร่อน ขอทูลลาครานี้ไปไกลนคร ชมดงดอนค่อยคืนหลังยังเวียงชัย
๏ แล้วให้หมู่เสนามหาอำมาตย์ ยุรยาตรคืนวังลำพังได้ ทรงรับสั่ง “เราทั้งสองจักท่องไพร” ปวงข้าไททูลถวายพระพรลา
๏ สักพักหนึ่งดึงชายาเข้ามากอด พระกรสอดบั้นพระองค์มั่นคงท่า แล้วชูพระขรรค์ชัยโดยไม่ช้า ลอยล่องฟ้าลิ่วไปได้ดั่งจินต์
๏ ข้ามขุนเขาโขดเขินเนินพนัส ชมรกชัฏ โอฆะ กระแสสินธุ์ ดั่งใจปองว่องไวไกลธานินทร์ ลงสู่ดินหิมพานต์โอฬารอรัญ
๏ ชมบรรดาวารีที่สวยใส มองลงไปถึงท้องน้ำงามเฉิดฉัน น่าชื่นชูหมู่มัจฉานานาพันธุ์ เห็นเวียนว่ายเล่นไล่กันล้วนเพลินแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๐- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ ปลาเกต กา กริม กราย แน่นสายน้ำ ปลากดดำกบดานธารกระแส ปลากระทิง หลด ไหล ไน ตุ๊กแก ปลากระแห กระโห้ ชะโด พลวง
๏ ปลาฉลาด เทพา ปลาเนื้ออ่อน ถูกปลาช่อนไล่ล่าน่าเป็นห่วง ปลาเค้า ดุก มัดมีสีด่างดวง บึกใหญ่กว่าปลาทั้งปวงไร้เทียมทัน
๏ ปลาซิว สร้อยลอยผิวน้ำตามเป็นฝูง หางนกยูง ตะเพียนมากหลากสีสัน กริม ตะกรับ เทโพ ม้า ปลานวลจันทร์ อีกส่วนนั้นหลบเร้นในหมู่ใบบัง
๏ แนวพนาป่าอุดมสมบูรณ์สัตว์ สารพัด แรด ช้าง กวาง ละมั่ง สิงโต เสือกินเนื้อผู้อยู่ลำพัง สัตว์ใหญ่น้อยคอยระวังเตลิดไกล
๏ พวกกินพืชสัมพันธ์กันใกล้ชิด มองเป็นมิตรรวมหมู่อยู่กันได้ เหล่าลิง ค่าง บ่างโหนบนต้นไม้ กระรอก กระแต ไก่ นางอาย ชะนี
รายนามผู้เยี่ยมชม : กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, รพีกาญจน์, ปลายฝน คนงาม, นักเลงกลอน, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, กอหญ้า กอยุ่ง, ลิตเติลเกิร์ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๑- ธนุ เสนสิงห์
๏ มากหลายหมู่อยู่อย่างมิตรไม่คิดล่า เก้ง ควายป่า ตัวนิ่มขด ชะมด หมี ตุ่น กระต่าย กระซู่ เม่น กูปรี อีกมากที่เร้นกายอยู่ไกลเกิน
๏ ยามชมไพรไปเจอทางก้าวย่างยาก เมื่อลำบากย่างกรายใช้เหาะเหิน ลอยเวหาฟ้ากว้างพลางมองเพลิน ข้ามเขาเขินเนินผาสารพัน
๏ แล้วแวะลงสรงสระอโนดาต แลพิลาสละลานธารสวรรค์ มากจงกล อุบล ปัทม์ สัตตบรรณ อัศจรรย์ปานดลด้วยมนตรา
๏ น้ำสะอาดเย็นใสหนึ่งในโลก ท้องธารโบกดินและหินปิ่นคุณค่า โอบล้อมอยู่ด้วยยอดภูมหึมา อัศจรรย์ทั้งนั้นห้านคินทร
๏ แสงรพีคีรีป้องยากส่องถึง นับเป็นหนึ่งร่มรื่นนักน่าพักผ่อน นาคราช เทวินทร์ ยักษ์ กินนร ใช้สาครนี้ลงสรงกายา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ จากนั้นสู่หมู่พนมชมทิวทัศน์ แม้เหล่าสัตว์ร่วมพันธุ์พงศ์สืบวงศา แต่ต่างถิ่นดินแดนธรรมดา ดูแปลกตาสีสันแปรผันไป
๏ บริบทงดงามตามธรรมชาติ แปลกประหลาดแต่จริงและยิ่งใหญ่ ทั้งพรรณพฤกษ์ มฤคา ผกาไพร ดูทางใดจำเริญเพลินอุรา
๏ บนเนินไพรมองได้เด่นเห็นถนัด สารพัด ม้า ช้างกลางทุ่งหญ้า เหล่าเก้ง กวาง ต่างพันธุ์กันนานา พวกที่เริงเหลิงนภาทิชากร
๏ กลางธารไหลเวียนว่ายอยู่หมู่มัศยา โพระดก กระโงก กาถลาร่อน ดูหลายหลากปักษาพนาดร กลุ่มจับปลากลางสาครบินว่อนวน
๏ พวกกินผลพฤกษาผลาหาร เกาะกิ่งก้านโยกย้ายอยู่ปลายต้น เป็นพ่อแม่คอยแลลูกวัยซุกซน คละปะปนพวกลิงค่างบ่างชะนี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๓- ธนุ เสนสิงห์
๏ แล้วดำเนินเหินลมชมบรรพต เหนือกำหนดยอดรายกลางไพรศรี บางปลายล่วงทะลวงไปในเมฆี เนินคีรีมีปราสาทราชวัง
๏ รู้ไกรลาสนิวาสสถานอันกว้างใหญ่ การลงไปจนถึงมิพึงหวัง วงศ์กินนรแต่ก่อนผู้อยู่ลำพัง ถือศักดิ์ดังเทวัญอันเรืองไกร
๏ มิมีความสัมพันธ์กันมาก่อน เข้านครเหมือนล่วงล้ำหางามไม่ พึงควรเพียงแต่ชมพนมไพร จึงตัดใจวนกลับหลังยังหิมวา
๏ ข้ามนิเวศเขตห้าร้อยสิงขร ศิขรินนคินทรซ้อนแนวผา ภูพนมบรรพตงดงามตา พบคูหาวิจิตรพิสดาร
๏ ผนัง เพดานมีมณีดาด พื้นปูลาดด้วยจินดามหาศาล ดั่งทิพย์ท้องพระโรงโล่งโอฬาร กลางสถานมีพระแท่นไพฑูรย์ทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๔- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ สองพระองค์ลงพักอิริยาบถ ลมโชยชื่นรื่นรสหมดจิตหมอง ทอดบรรทมชมเพดานอันรังรอง แล้วทั้งสองม่อยหลับประทับทรวง
๏ ครานั้นมีพิทยาธรตนหนึ่ง ผ่านมาถึงสถานอันใหญ่หลวง ไม่นานนักเคยพักนั่งเหมือนรังรวง อยากจะทวงพระแท่นที่บรรทม
๏ แลเห็นพระขรรค์วางข้างหัตถา ริษยาจะยื้อแย่งแกล้งให้สม ลักพระขรรค์พลันเหินฟ้าด้วยอาคม ลอยตามลมจากไปมิใยดี
๏ “สมุทรโฆษ” ตื่นองค์ทรงไขว่คว้า ข้างกายาพระขรรค์ไม่อยู่ในที่ ต้องลุกขึ้นตื่นฤทัยไห้โศกี เหมือนชีวีถูกทิ้งขว้างกลางพงไพร
๏ แม้นหวนคืนผืนดงเหมือนหลงป่า จักฟันฝ่าก้าวย่างหนทางไหน ต้องลำบากตรากตรำย่ำย่างไป พนาลีมากมีภัยสารพัด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๗๕- ธนุ เสนสิงห์
๏ เรามาไกลเกินกว่าหาทางกลับ แสนลึกลับครรลองล้วนข้องขัด สุดจะคิดจำทิศาพานิวัต ก้าวเลาะลัดดั้นด้นไปอย่างไรกัน
๏ ในครานั้น “นางพินทุมดี” เห็นพักตร์พระสวามีสีเปลี่ยนผัน จึงสอบถามความเป็นมาปัญหานั้น พระเผยคำจำนรรจ์ที่พรั่นพรึง
๏ “เราเหินฟ้ามาไกลไม่ยั้งคิด ลืมพินิจระยะทางย่างกลับถึง มีพระขรรค์พานเริงใจไม่คำนึง ฉะนั้นจึงเหาะมาห่างธานินทร์
๏ ยามสนิทนิทราในครานี้ อาจเจ้าที่เขาป่ารักษาถิ่น เกิดขัดเคืองเรื่องใดไม่ซึ้งจินต์ แท้มิหมิ่นทั้งปวงที่ล่วงล้ำ
๏ ชิงพระขรรค์อันเหมือนว่าพาหนะ เกิดภาวะชีวีที่ตกต่ำ ให้ระหกระเหินเดินตามกรรม คงชอกช้ำเกินจักรักษ์ชีวิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|