ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๑- ธนุ เสนสิงห์
๏ ข้างฝ่ายองค์อินทราในครานั้น จักษุพลันแลเล็งเพ่งกสิณ หาพิทยาธรที่มีราคิน ทั่วแดนดินมินานพบพานกาย
๏ ในพริบตาอินทรท่านเสด็จถึง ถมึงทึงเข้าหาว่าเสียหาย “เจ้าเป็นผู้รู้วิชามิน่าร้าย ล่วงทำลายทั้งไร้สิทธิ์คิดเคืองแค้น
๏ ขโมยพระขรรค์ชัยเขาใช้อยู่ เกิดอดสูแก่เจ้าของหมองเหลือแสน ดุจพรากแม่ลูกอ่อนไปก็ไม่แม้น เขาต้องเดินดินแดนอันแสนไกล
๏ เจ้าทำเล่นเห็นสนุกแต่เพียงนิด จะมีคิดเมตตาก็หาไม่ ถ้ารู้ตัวว่าชั่วช้าจงพาไป เอาคืนให้เขาอย่าถึงกึ่งชั่วยาม” ๏ พิทยาธรอ่อนใจหวั่นไหวยิ่ง กลัวเสียจริงโทษทัณฑ์พลันไต่ถาม “เขาดั้นด้นอยู่หนใดไม่รู้ความ จะติดตามคืนพระขรรค์ให้ทันการณ์”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ องค์อินทร์ชี้ทิศที่ไปสู่ชายฝั่ง มิรอรั้งกราบลาอินทราท่าน เหินเวหาฝ่าไปไม่เนิ่นนาน เมื่อพบพานคืนพระขรรค์ในทันที
๏ เห็น “สมุทรโฆษ” ซบสลบอยู่ จึงรับรู้ว่าทุกข์ยากมากเหลือที่ คงตะเกียกตะกายสายวารี กระยาหารนั้นมิมีเลี้ยงกายา
๏ เห็นดังนั้นพลันออกหาผลาผล เป็นเบื้องต้นพอได้ลิ้มชิมภักษา วางเอาไว้ใกล้พระขรรค์แล้ววันทา จิตจดจ่อขอขมาก่อนลาไกล
๏ ครั้น “สมุทรโฆษ” ฟื้นตื่นลืมตา รู้ตัวว่ามาขึ้นยังฝั่งกว้างใหญ่ คงด้วยบุญบารมีที่ทำไว้ แลเทพไท้เบื้องบนดลบันดาล
๏ เห็นพระขรรค์นั้นวางข้างกายด้วย ทั้งเอื้ออวยด้วยนานาผลาหาร เกิดนิยามความหวังกลางดวงมาน ทุกข์คงผ่านไปหนึ่งขั้นพอบรรเทา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๓- ธนุ เสนสิงห์
๏ เสวยผลไม้ใกล้องค์นั้น คิดได้พลัน “พินทุมดี” เล่า จักขึ้นฝั่งยังแดนใดในลำเนา หรือว่าเจ้าชีพวายกลางสายชล
๏ กิจสำคัญอันจะออกซอกซอนหา แม้นเหินฟ้าไปก็เห็นมิเป็นผล ควรจะถามความดูจากหมู่คน ต้องดั้นด้นให้ทั่วถิ่นทุกดินแดน
๏ มิเหมาะที่มีเครื่องทรงวงศ์กษัตริย์ เที่ยวจรจัดผู้คนฉงนแสน เครื่องทรงนอกถอดออกมาผ้าคลุมแทน จึงเหมือนแม้นพราหมณ์อันรักสัญจร
๏ มิต้องหาอาหารชาวบ้านให้ ตอนกลางวันครรไลไม่หยุดหย่อน สืบเค้าลางนางกษัตริย์พลัดนคร ต้องเร่ร่อนตามหาสวามี
๏ ออกซอกซอนจรไปเทียวไต่ถาม ทุกเขตคามถามแต่แม่โฉมศรี กล่าวถึงรูปสมบัติกษัตรี จนผู้ที่ยินวาจาระอาใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๔- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ ผู้ถามหาสารรูปซูบโซมาก เมื่อเอ่ยปากหามิ่งมิตรพิสมัย ยอดนารีที่บรรเจิดเลิศพิไล เหลือเชื่อได้ในคำพร่ำพรรณนา
๏ เพียงตอบพอขอไปทีมิมีจิต ที่จักคิดเป็นจริงจังเหมือนดังว่า มักบุ้ยใบ้บ่ายเบี่ยงเลี่ยงกายา บ้างคิดพ้นเป็นคนบ้านินทากัน
๏ จึงมิได้ความใดใครพบหน้า ผู้โฉมงามตามวาจาพรรณนานั่น แม้ซักถามพราหมณ์ทั้งหลายได้ยืนยัน หญิงผ่องพรรณมิเห็นมีวิถีใด
๏ ถึงจะถามความผู้ที่มีพบเห็น “พินทุมดี” ก็มิเป็นเช่นขานไข เพราะผิวพรรณจำแลงเปลี่ยนแปลงไป มิมีใครมองซึ้งถึงความงาม
๏ เมื่อทรงปลอมกายาเช่นทาสี ดังเพชรดีเปื้อนโคลนคนมองข้าม แลเมื่อละโสภีเป็นชีพราหมณ์ เปลี่ยนรูปนามความนัยยากใครรู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๕- ธนุ เสนสิงห์
๏ คนเรามักมองพักตราผ้าสวมใส่ เป็นฉันใดแล้วแยกจำแนกหมู่ กิริยา วาจา ใจมิได้ดู บางคนหลู่ผู้ผิวกายไร้โสภา
๏ เขาจะดีมีคุณใดไม่เกิดผล เพราะเริ่มต้นก็หยามหมิ่นคนสิ้นค่า แยกเลว ดี ขี้เหร่ สวยด้วยสายตา เปื้อนธุลีตีตราคนราคิน
๏ พระบุตราพยายามตามมุ่งมั่น จรจรัลเรื่อยไปหลายท้องถิ่น จนล่วงเข้ามัทราชธานินทร์ จึงได้ยินว่าถิ่นนี้มีโรงทาน
๏ จุนเจือให้ผู้ใดที่มีทุกข์ยาก แม้นอดอยากจาคะกระยาหาร ที่พึ่งพาบรรดาคนพิกลพิการ ผู้แรมรอนจรผ่านมีบ้านพัก
๏ “สมุทรโฆษ” ลิงโลดใจมุ่งไปหา เพื่อเล่าสู่ผู้ไปมาน่ารู้จัก โฉมฉิน “พินทุมดี” ที่แสนรัก คอยถามทักเรื่อยไปตามรายทาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๖- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เมื่อมาถึงโรงทานดังมั่นหมาย คนมากมายเต็มในโถงใหญ่กว้าง แถวลำดับรับอาหารเดินผ่านพลาง แล้วตั้งวางกินกันโรงชั้นใน
๏ ที่อิ่มหนำสำราญกันทั้งหลาย เริ่มแยกย้ายร่วมอีกหมู่สู่โรงใหญ่ เพื่อรับทรัพย์โภคภัณฑ์สิ่งอันใด ที่ตั้งใจขอรับสำหรับตน
๏ ขณะนั่งรอในโถงใหญ่นั้น กิจสำคัญมั่นไว้เพื่อหมายผล ผู้รับทานทั้งหลายยังได้ยล ภาพวาดบนผนังข้างศาลา
๏ “สมุทรโฆษ” ครานั้นพลันพินิจ มิทันคิดชมภาพศิลป์จินต์หรรษา เมื่อดูไปคล้ายชีวาตม์อาตมา จึงย้อนพิจารณาอย่างจริงจัง
๏ เริ่มแต่เทพอุ้มสมภิรมย์รัก สุขยิ่งนักเพียงราตรีที่สมหวัง แล้วความฝันพลันสลายไม่จีรัง ดวงจิตยังปองหมายมิคลายคลอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๗- ธนุ เสนสิงห์
๏ พระบิดามาเห็นใจให้ประกาศ กษัตริย์ชาติมากหน้ามายกศร ผู้ยกผ่านการเสร็จสมสยมพร ได้ครองคู่ภูธรดั่งใจจินต์
๏ ออกเซ่นไหว้เทวาในป่าลึก ความรู้สึกชื่นชมสมถวิล พิทยาธรเจ็บมากจากเมฆินทร์ ร่วงลงดินช่วยไว้ได้ขรรค์ชัย
๏ ด้วยเดชะพระขรรค์นั้นสูงค่า นำเหินฟ้าสู่แดนไกลใดก็ได้ จึงชวนชมหิมพานต์อันพิไล เริงอยู่ในพนาวันนั้นเนานาน
๏ แสนตื่นตาสารพัดอัศจรรย์ สัตว์ พฤกษ์พรรณนานาหาศาล สระเทโวอโนดาตพิลาสธาร ปทุมมาลย์ดาษดื่นแสนรื่นรมย์
๏ ชมบรรพตกำหนดหมายถึงไกรลาส คีรีมาศนคราน่าสุขสม ปราสาทรายหลายหลากมากเกินชม ถลาลมกลับวนหิมพานต์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๘- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ มากมายยิ่งสิ่งล้วนชวนประพาส ธรรมชาติสรรค์ศิลป์ถิ่นสถาน ขุนคีรีที่สูงเยี่ยมเทียมวิมาน พิสดารทั่วไปในแดนดิน
๏ ชมพงไพรในมุมมองของปักษา เหินนภาเที่ยวไปได้ทุกถิ่น แสนเพลิดเพลินเนิ่นนานปานเทวินทร์ ดั่งลืมดินมั่นนักในศักดา ๏ หิมพานต์อันพิไลท่องไปทั่ว มิคิดกลัวทางไกลในแดนป่า วันหนึ่งเพลินท่องไพรให้เหนื่อยล้า แวะคูหาหนึ่งนอนพอผ่อนคลาย
๏ เคลิ้มหลับไปไม่นานนักพักกลางวัน เมื่อตื่นมาครานั้นพระขรรค์หาย พลันหัวอกตระหนกล้นกระวนกระวาย เมื่อรู้ว่าต้องพากายเดินสายไพร
๏ อนิจจาชะตาผันฝันสลาย สุดมาดหมายกลับยังเวียงวังได้ มิรู้ทิศรู้ทางย่างครรไล ก็จำเป็นจำไปเดินในดง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๙๙- ธนุ เสนสิงห์
๏ พบธารากลางป่าใหญ่น้ำไหลล่อง เราทั้งสองนั่งท่อนไม้คล้ายบุญส่ง ผ่านหลายวันเวลาน้ำพาลง สู่สมุทรสุดจำนงคะนึงคะเน
๏ ตกชะตาวาระทะเลบ้า คลื่น ลม ฟ้าผลักไสให้หักเห ไม้ขาดกลางร่างแยกไกลในทะเล ต้องว้าเหว่อ้างว้างกลางธารา
๏ เมื่อชายที่ฝากชีวามาไกลจาก การจำพรากทั้งแสนรักเศร้านักหนา ชีพยังรอดหรือวอดวายในคงคา อนิจจาความหวังช่างมืดมน
๏ สิ้นสติมิรู้นานสักปานไหน น้ำซัดให้ขึ้นฝั่งอย่างกุศล มิย่นย่อต่อเวรกรรมหรือจำนน จึงดั้นด้นตามหาสวามี
๏ แต่จะไปในฐานะขณะนั้น อาจผกผันปัญหาพาเสื่อมศรี ยามเดินเดี่ยวชายเกี้ยวพาเกิดราคี จึงบวชชีพราหมณ์ให้ไร้มัวมล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๐- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ เข้านครจรไปไต่ถามหา ภัสดาภูบดินทร์สิ้นทุกหน จากนั้นมาพบตายายใจดีล้น ให้พักตนร่วมเคหาตั้งตารอ
๏ ในที่สุด “สมุทรโฆษ” ถึงโอดไห้ ดวงฤทัย“พินทุมดี” ของพี่หนอ ปากเพ้อพร่ำร่ำหาน้ำตาคลอ เกิดทุกข์ท้อเกินจักหักอาวรณ์
๏ ผ่านสักพักพนักงานแจกทานอยู่ เมื่อรับรู้เช่นที่นายกล่าวไว้ก่อน เธอจึงได้รายงานนางอย่างรีบร้อน มีคนจรเห็นภาพวาดอนาถใจ
๏ “พินทุมดี” ชื่นชีวันพลันมาพบ เมื่อประสบกับพระองค์สิ้นสงสัย นำพาออกนอกโรงทานเข้าบ้านใน แล้วจึงได้ละเพศที่เป็นชีพราหมณ์
๏ และถวายเครื่องทรงพระภูษา เตรียมรอท่าอย่างดีไม่ผลีผลาม สองพระองค์ทรงคืนมาสง่างาม เมื่อสิ้นความที่กระทำการจำแลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๑- ธนุ เสนสิงห์
๏ แสนตื้นตันพลันสองตระกองกอด แลพร่ำพลอดรำพันพร้อมกรรแสง กายพรากไกลไม่อาจผลักรักเปลี่ยนแปลง คงฤทธิ์แรงสวาทมิคลาดคลาย
๏ ผลัดกันเล่าเรื่องราวคราวพลัดพราก ความทุกข์ยากร้าวรานการณ์ทั้งหลาย คลื่นทะเลเหห่างแทบวางวาย รักมิกลายปรารถนามาพบกัน
๏ ด้วยบุญดลกุศลชูจึงอยู่ยั้ง ได้กลับคืนชมชื่นดังที่ใฝ่ฝัน สิ้นเคราะห์กรรมเสียทีหนอชีวัน ถึงกาลอันควรคืนหลังยังพารา
๏ ป่านฉะนี้ปิตุรงค์ มาตุราช ปวงพระญาติทั้งผองสองวงศา ที่อยู่หลังกังวลใจไปนานา ด้วยลับลามาไกลไร้ข่าวคราว ๏ จักคืนถิ่น “พินทุมดี” มีบรรหาร ให้แม่บ้านเชิญยายตามาแล้วกล่าว ถึงความจริงทุกสิ่งสรรพ์อันยืดยาว ทั้งแจ้งข่าวที่ต้องพรากจากกันไกล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๒- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ “อันเงินทองของมีค่าคณานับ หมายนำกลับยังพาราก็หาไม่ ขอแบ่งสรรปันกองสองส่วนไซร้ กึ่งหนึ่งให้ยายมอบตอบแทนคุณ
๏ อีกกึ่งนั้นวานยายแจกจ่ายต่อ สิ่งที่ขอโปรดด้วยช่วยเกื้อหนุน ผู้ยากไร้จงได้เอื้อช่วยเจือจุน ร่วมสร้างบุญด้วยกันมิผันแปร”
๏ ยายรับปากฝากคำแล้วย้ำว่า “ขออาศัยไปประสายายตาแก่ เพียงรับงานการเป็นผู้คอยดูแล ทรัพย์ทั้งหลายมิหมายแท้จักให้ทาน”
๏ ร่วมอนุโมทนาแล้วลาจาก เมื่อจบคำจำพรากจากถิ่นฐาน ครั้นลับตาคราไปไกลเรือนชาน สองพระองค์ทรงทะยานขึ้นเมฆี
๏ ลอยล่องลิ่วปลิวลมดั่งพรหมมาสตร์ มิเคลื่อนคลาดจำนงตรงวิถี โดยเร็วพลันบรรลุถึงบุรี ขึ้นเฝ้า “สีหนรคุปต์” ราชัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๓- ธนุ เสนสิงห์
๏ ทั้งองค์พระราชา ราชินี ทรงยินดีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ประกาศข่าวชาวพารามาร่วมกัน งานรับขวัญจัดยิ่งใหญ่ในนคร
๏ “สมุทรโฆษ - พินทุมดี” มีสุขสม รื่นอารมณ์สมอุราเหมือนคราก่อน นึกขึ้นได้ให้สัญญาว่าจะย้อน เมืองบิดร “พินทุทัต” ผลัดวันมา
๏ ทูลลา “สีหนรคุปต์” ท้าว ยินเสียงกล่าวคำเปรยเอ่ยขึ้นว่า.. “อย่าไปนานควรแก่กาลคืนพารา ทำพิธีราชาภิเษกพลัน
๏ ด้วยบิดาชรามากอยากสละ ซึ่งราชสมบัติรัฐเขตขัณฑ์ หมายกำหนดเป็นนักพรตในอรัญ ครองชีวันสงบวัยปลายชีวี”
๏ แล้วมีพระบัญชาเสนามาตย์ จัดเตรียมราชยาตราสง่าศรี เพื่อเดินทางไปยัง “พรหมบุรี” ให้เป็นที่สมพระเกียรติเกริกไกร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๔- สมุทรโฆษคำกลอน
๏ กองช้างศึกเคยฮึกหาญชาญณรงค์ แต่งเครื่องทรงชูธงทิวปลิวไสว กองอัศวทหารผู้ชาญชัย แต่งยศใหญ่หมวกยอดพู่ดูโสภี
๏ เหล่าพลราบปราบริปูผู้เหี้ยมหาญ ประจำการโห่ร้องก้องวิถี ทั้งสองแถวแนวมรรคาประชาชี ร่วมยินดีส่งเสด็จถึงชายแดน
๏ ครั้นถึงเขต “พรหมบุรี” มีพหล เป็นกองพลเมื่อทราบความตามแห่แหน ประชาชีดีใจหาใดแม้น ชมบุญญาหนาแน่นถึงวังใน ๏ “ท้าวพินทุทัต - นางเทพยธิดา” ความห่วงหาเลือนหายกลายสดใส ตั้งตารอจนแทบท้อหฤทัย สองพระองค์ทรงเดินไพรไปนานครัน
๏ เมื่อเข้าเฝ้าเล่าความยามที่จาก ทนทุกข์ยากเดินทางกลางไพรสัณฑ์ บุญช่วยดลกุศลส่งคงชีวัน แม้ผกผันห่างหายหลายเพลา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธนุ เสนสิงห์
|
Permalink: Re: สมุทรโฆษคำกลอน
-๑๐๕- ธนุ เสนสิงห์
๏ พระบิดร พระมารดามารับขวัญ ราชบุตรพร้อมกันพระสุณิสา “สิ้นเคราะห์โศกมีโชคชัยให้วัฒนา แต่วันนี้ถึงภายหน้าสถาวร
๏ จะให้มีพิธีราชาภิเษก เป็นงานเอกใหญ่กว่าที่มีมาก่อน ตั้งให้ลูกทั้งสองครองนคร เป็นมิ่งขวัญราษฎรสืบต่อไป”
๏ ครานั้น “สมุทรโฆษ - พินทุมดี” เมื่อทรงมีพระเมตตามิช้าได้ กราบถวายพระบังคมราชาชัย รับหน้าที่อันมีในสันตติวงศ์
๏ “พินทุทัต” ออกหมายกำหนดการ ให้จัดงานพระราชพิธีที่ประสงค์ เชิญพระญาติกามาทุกองค์ เจตจำนงประจักษ์สักขีพยาน
๏ ทั้งราชาสหายหลายแว่นแคว้น ผู้ครองแดนใกล้ไกลอันไพศาล ลุวาระราชกุศลมงคลวาร ทำพิธีที่โอฬารกลางเวียงวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|