สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๐ การสนทนาธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสฺสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** สนทนาธรรมตามกาลบันดาลให้ เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ไพศาล เรื่องไม่รู้จะได้รู้อย่างเบิกบาน ไม่หดหู่ฟุ้งซ่านจนร้อนรน
** หลักการสนทนาธรรมจำเอาไว้ แบ่งออกได้สามชนิดจิตกุศล จะได้บุญจุนเจือเป็นมงคล มีสุขล้นเพลิดเพลินเกินพรรณนา
** หนึ่ง “สนทนาในธรรม” คำของพระ เรื่องที่จะพูดคุยหรือปรึกษา จะต้องเกี่ยวกับธรรมของศาสดา จึงสมควรนำพามาจำนรรจ์
** สอง “สนทนาด้วยธรรม” จำเถิดหนา ผู้ที่จะพูดจามีธรรมมั่น เช่นสัมมาคารวะสร้างสัมพันธ์ กราบไหว้กันตามฐานะจะอำนวย
** สาม “สนทนาเพื่อธรรม” นำมาใช้ เพื่อจะได้สุขใจเพราะธรรมช่วย จะศึกษาเรียนรู้ไม่งงงวย พ้นความซวยด้วยธรรมช่วยนำทาง
** เรื่องที่ควรสนทนานำมากล่าว เป็นเรื่องราวของธรรมะเพื่อสะสาง ทั้งกิเลสและตัณหาให้จืดจาง จะพบทางสว่างอย่างแน่นอน
** หนึ่ง “คุยกันในเรื่องความมักน้อย” เพื่อปลดปล่อยความอยากได้ให้ถ่ายถอน ทั้งเอารัดเอาเปรียบก็แคลนคลอน ต้องม้วยมรณ์เพราะมักน้อยคอยกีดกัน
** สอง “คุยกันในเรื่องความสันโดษ” เพราะฟุ้งเฟ้อมีโทษอย่างมหันต์ ไม่ดิ้นรนอยากได้ทรัพย์อนันต์ ใช้ชีวิตประจำวันแบบพอดี
** สาม “คุยกันในเรื่องความสงัด” เพื่อขจัดอกุศลหม่นหมองศรี ความสงบเป็นบ่อเกิดบารมี หนทางชี้พ้นอบายคลายกังวล
** สี่ “คุยกันในเรื่องไม่คลุกคลี” เป็นวิธีให้เกิดบรรลุผล คลุกคลีกันจะทำให้วกวน โลภโกรธหลงที่ร้อนรนจะตามมา
** ห้า “คุยกันในเรื่องทำความเพียร” เพื่อขจัดสิ่งเบียดเบียนคือตัณหา และกิเลสทั้งปวงในโลกา ให้เบาบางร้างราลดน้อยลง
** หก “คุยกันในเรื่องรักษาศีล” ไม่ต้องปีนต้นงิ้วดังประสงค์ พ้นนรกทุกขุมเมื่อปลดปลง ศีลมั่นคงอบายอย่าหมายเลย
** เจ็ด “คุยกันในเรื่องสมาธิ” ตั้งจิตมั่นมีสติอย่านิ่งเฉย ประพฤติธรรมภาวนาอย่าเฉยเมย ให้คุ้นเคยเป็นนิสัยไปชั่วกาล
** แปด “คุยกันในเรื่องของปัญญา” เพื่อนำพาให้รอบรู้กัมมัฏฐาน โลกธรรมวิปัสสนาญาณ ได้พบพานความจริงสิ่งไม่ตาย
** เก้า “คุยกันในเรื่องของวิมุตติ” ใจผ่องผุดสมหวังดังจันทร์ฉาย สิ้นตัณหาไร้กิเลสเหตุวุ่นวาย เมื่อหลุดพ้นสบายทั้งกายใจ
** สิบ “คือเรื่องภาวะการพ้นทุกข์” ใจเกษมคือสุขที่ยิ่งใหญ่ ปราศจากมลทินสิ้นเยื่อใย ละโลกไปสุคติมีแน่นอน
** การพูดคุยเป็นเบื้องต้นพ้นอาสวะ แต่ผลจะบังเกิดด้วยการถอน ทั้งกิเลสทั้งตัณหาและนิวรณ์ ปฏิบัติไม่ขาดตอนมองเห็นธรรม
** สนทนาธรรมเป็นมงคลผลที่ได้ จะทำให้จิตผ่องใสใจอิ่มหนำ ขจัดข้อสงสัยใจน้อมนำ ไม่ให้หลงในทางต่ำจิตสำราญ

ทางเสื่อม – ทางเจริญ ** ในสมัยที่องค์พระศาสดา เสด็จมาเชตวันพระวิหาร สาวัตถีพาราทรงเบิกบาน ท่ามกลางบริวารของพระองค์
** ในครั้งนั้นเมื่อล่วงปฐมยาม เทวดารูปงามร่างระหง มาเข้าเฝ้าด้วยเหตุเจตจำนง เพื่อเจาะจงถามปัญหาพระภูมี
** บังคมแล้วยืนในที่อันควร ซึ่งเป็นส่วนที่เหมาะสมก้มเกศี ประณมมือขึ้นทำอัญชลี บังคมแล้วเอ่ยวจีทูลถามมา
** ภนฺเต ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (ภนฺเต อ่านว่า พัน-เต) ตัวข้าน้อยบังเอิญมีปัญหา จึงใคร่ที่จะขอความเมตตา โปรดทรงวิสัชนาตามเห็นควร
** อะไรที่เป็นทางของคนเสื่อม ซึ่งจะเชื่อมสู่อบายได้หลายส่วน อีกทั้งความเจริญไม่เรรวน โปรดใคร่ครวญสงเคราะห์ตามเหมาะเทอญ
** พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงสาเหตุ แยกประเภทด้วยลีลาดังหงส์เหิน เหล่าพุทธบริษัทฟังกันเพลิน ใคร่ชวนเชิญมวลประชามาฟังกัน
** คนจะเสื่อมเพราะประมาทขาดธรรมะ ทั้งทอดทิ้งธุระละเรื่องขันธ์ ไม่สำรวมอินทรีย์ทุกวี่วัน ขอจำนรรจ์สาธกยกถ้อยคำ
** “ผู้ชังธรรม ผู้รู้ชั่ว” พามัวหมอง เป็นครรลองของอบายหมายกระหน่ำ ความเสื่อมทรามถามหาพาระกำ ต้องชอกช้ำทุกข์โหมโทรมใจกาย
** ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ” จะยื้อยุดปัญญาพาเสียหาย ความชั่วร้ายจะคลอบคลุมซุ่มทำลาย ความสุขหายกิเลสหนาพาร้อนรน
** “คนชอบนอนเกียจคร้านและโกรธง่าย” ตกเป็นเหยื่อแพ้พ่ายให้หมองหม่น อกุศลกรรมนำพาให้อับจน เกิดเป็นคนมีธรรมะจะรุ่งเรือง
** “ไม่เลี้ยงบิดามารดา” ชั่วช้านัก ไม่คิดถึงความรักอันฟูเฟื่อง ที่มอบให้ทั้งชีวิตจิตประเทือง ทั้งสิ้นเปลืองข้าวปลาหาให้กิน
** “คนที่ลวงสมณะ” มุสาวาท ทำลายปราชญ์รอบรู้ผู้ทรงศีล การพูดปดตกนรกเป็นอาจิณ มีมลทินติดกายจนวายปราณ
** “ผู้ตระหนี่” ไม่มีมิตรสหาย เหมือนทำลายทางชีวิตติดสงสาร ความตระหนี่คือพิษจิตเป็นพาล ละสันดานตระหนี่เถิดสุขเกิดมา
** “นักเลงหญิงหรือสุรา” จะพาวุ่น มีความทุกข์เป็นทุนเศร้าหนักหนา เสียทรัพย์สินเงินทองหมองอุรา สิ้นชีวาไฟนรกหมกไหม้ตัว
** “ไม่พอใจในภรรยาสามีตน” เที่ยวซุกซนกับใครใครเขาไปทั่ว หลงระเริงลูกเมียเขาเพราะเมามัว เดินทางผิดจึงชั่วสร้างกรรมเวร
** “เป็นคนทะยานอยากมากตัณหา” คือเหตุพาอับอายชั่วหลานเหลน ใช้ชีวิตในทางเสื่อมไร้กฎเกณฑ์ นับเป็นเดนสังคมจมโลกันต์
** ส่วนข้อธรรมตรงกันข้ามตามที่กล่าว เป็นเรื่องราวทางเจริญเดินสู่ฝัน ที่ยิ่งใหญ่ในโลกาค่าอนันต์ มีสวรรค์เป็นแดนเกิดเลิศธาตรี
** ผู้รู้ดีมีบัณฑิตเป็นที่รัก มีความเพียรยิ่งนักขมันขมี เลี้ยงบิดามารดาเป็นอย่างดี มีปิยะวจีเป็นพลัง
** มีจิตใจเอื้อเฟื้อและเผื่อแผ่ ไม่ท้อแท้หยิ่งยโสหรือโอหัง รักสันโดษมักน้อยอย่างจริงจัง ปลูกสำนึกให้ฝังอย่างมั่นคง
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๑ การบำเพ็ญตบะ (ตโป จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** “ตปะ” แปลว่าการเผาบาป กรรมที่หยาบให้หมดไปไม่ไหลหลง ทำให้ใจบริสุทธิ์ด้วยการปลง ปล่อยวางลงจะสว่างห่างอบาย
** ความหมายของการบำเพ็ญตบะ คือการใช้ธรรมะเผาสลาย ซึ่งกิเลสเหตุพาให้วุ่นวาย กิเลสสิ้นทุกข์คลายสบายใจ
** ตบะธรรมในพุทธศาสนา ขอยกมาให้รู้แจ้งแถลงไข เป็นแนวทางปฏิบัติขจัดไฟ ที่เผาไหม้ในอุรามานานครัน
** คือ “อินทรีย์สังวร” อ้อนเฉลย ขอเปิดเผยสิ่งจะมารังสรรค์ ช่วยประหารอภิชฌามาโรมรัน คอยฟาดฟันทำลายให้ร้อนรน
** “อาตาปี” คือความเพียรและมุ่งมั่น ช่างขยันทำงานไม่หมองหม่น คอยกำจัดความเกียจคร้านให้อับจน ชีวิตไม่มืดมนและหมองมัว
** “ขันติ” ความอดทนเพื่อพ้นทุกข์ เมื่อผลสุกจะสลายซึ่งความชั่ว คือย่อท้ออ่อนแอและความกลัว ปิดรอยรั่วของใจที่ไหวเอน
** ธุดงค์วัตร” จะขัดเกลากิเลส ซื่งเป็นเหตุมักมากอยากดังเด่น ธุดงค์จะทำให้ไม่เหลือเดน จะป้องกันกรรมเวรให้ห่างไกล
** “ศีล” รักษาซึ่งกายและวาจา ให้สงบดูสง่าและสดใส อีกหมดจดจากทุจริตผ่องอำไพ อกุศลใดใดไม่เกี่ยวพัน
** “สมาธิ” ความตั้งมั่นแห่งดวงจิต จะพิชิตนิวรณ์ห้ามาขวางกั้น ไม่ให้บรรลุความดีนิจนิรันดร์ ตกนรกปิดสวรรค์และนิพพาน
** “วิปัสสนาปัญญา” ความรู้รอบ ส่วนประกอบที่สำคัญของสังขาร มีเกิดแก่เจ็บตายไปตามกาล จะเผาผลาญความเห็นเป็นอัตตา
** การบำเพ็ญตบะมีอานิสงส์ ให้มั่นคงในพุทธศาสนา ป้องกันบาปและกำจัดบาปนานา บรรลุฌานสิ้นตัณหามาครอบงำ
** พร้อมทำให้รู้แจ้งอริยสัจ เป็นธรรมะปรมัตถ์อันดื่มด่ำ จะทำลายความทุกข์ความระกำ ที่ล่วงล้ำจิตใจผู้ใฝ่ดี

เรื่อง การบำเพ็ญตบะ ** เมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้ประทับ ณ ที่บรรพตาพาสุขี ชื่อภูเขาคิชฌกูฏขุนคีรี ราชคฤห์ธานีที่งดงาม
** สันธานคหบดีมีศรัทธา ได้มุ่งหน้าไปเฝ้าเพื่อทูลถาม ข้อสงสัยในธรรมที่ลุกลาม เพื่อลดความร้อนรนกระวนกระวาย
** เมื่อเดินถึงปริพาชการาม ของนิโครธผู้ลือนามกับสหาย ร่วมประชุมคุยกันอย่างมากมาย จึงแวะเข้าทักทายเชื่อมไมตรี
** พวกนิโครธต่างสรวลเสและเฮฮา คำพูดจาชวนให้น่าบัดสี หาสาระสักนิดก็ไม่มี เห็นสันธานคหบดีหยุดคุยกัน
** สันธานจึงได้เอ่ยเผยวจี ปริพาชกนี้ช่างขยัน พูดคุยไร้สาระทุกวี่วัน เสียงดังลั่นโวยวายคล้ายคนพาล
** ส่วนองค์สมเด็จพระโคดม น่าชื่นชมชอบสงบได้ประสาน ความสงัดวิเวกเป็นประธาน เป็นความสุขสำราญของพระองค์
** นิโครธปริพาชกจึงกล่าวว่า พระศาสดาทรงมีจุดประสงค์ จะหลบหลีกผู้คนอย่างเจาะจง เพราะท่านคงไร้ปัญญามาพูดคุย
** ถ้าพระองค์ทรงอยู่ในที่นี่ จะต้อนให้หัวหมุนจี๋จนหลุดลุ่ย เหมือนหม้อเปล่าถูกหมุนจนกระจุย เราจะลุยจนพระองค์ทรงเหนื่อยแรง
** พระพุทธองค์ทรงสดับสนทนา ด้วยทิพย์โสตอภิญญาไม่หน่ายแหนง รู้เรื่องราวทั้งหมดไม่เคลือบแคลง อยากแสดงให้เห็นความเป็นจริง
** จึงเสด็จมาจงกรมริมสระน้ำ ที่งามล้ำสดใสไปทุกสิ่ง ชื่อสุมาคธาน่าพักพิง ทั้งค่างลิงสัตว์นานาระเริงไพร
** นิโครธได้มองเห็นจึงสั่งศิษย์ เลิกคุยโววิปริตเรื่องเหลวไหล พระพุทธองค์จึงได้ทรงคลาไคล เสด็จไปที่ประชุมกลุ่มสัมพันธ์
** สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสถาม ถึงเนื้อความที่ปรึกษาเฮฮาลั่น นิโครธจึงเล่าถวายไปโดยพลัน ทุกถ้อยคำที่จำนรรจ์กับบริวาร
** ปริพาชกทูลถามซึ่งปัญหา กับสมเด็จพระศาสดาอย่างอาจหาญ ว่าทรงสอนสาวกให้เบิกบาน ในพรหมจรรย์อันโอฬารด้วยธรรมใด
** พระองค์จึงได้ตรัสพระวัจจนะ ว่าธรรมะที่สอนนั้นยิ่งใหญ่ แม้เราบอกพวกท่านไม่เข้าใจ เพราะลัทธิต่างไปคนละทาง
** เรามาคุยในเรื่องที่ท่านรู้ เราคิดดูเหมาะสมกันทุกอย่าง เพราะท่านรู้ท่านเข้าใจไม่ระคาง จะได้ไม่ต้องอ้างถูกรังแก
** อันพวกเราพอใจรังเกียจบาป บำเพ็ญตบะเพื่อปราบสิ้นกระแส จึงอยากทราบความคิดเห็นที่แน่แท้ อย่างไรแน่สมบูรณ์ไม่สมบูรณ์
** พระพุทธองค์ตรัสว่าฟังนะท่าน อันว่าการล้างบาปให้สิ้นสูญ เป็นสิ่งที่ประเสริฐเจิดจำรูญ จะเพิ่มพูนซึ่งบุญอันสุนทร
** ตบะที่พวกท่านนั้นบำเพ็ญ ไม่ว่าเป็นเปลือยกายให้ล่อนจ้อน ไร้มารยาทเลียมือเฝ้าอ้อนวอน ให้คนจรสนใจใคร่ศรัทธา
** ไม่กินเนื้อไม่กินปลาอดอาหาร ทรมานนอนบนหนามให้กังขา ในบรรดาตบะที่กล่าวมา ท่านคิดว่าสมบูรณ์แล้วหรือยัง
** ฝ่ายนิโครธตอบว่าสมบูรณ์แล้ว เพราะเป็นแนวรังเกียจบาปที่ฉมัง แต่เราว่ายังบกพร่องโปรดจงฟัง ท่านจงนั่งเราจะอรรถาธิบาย
** พระพุทธองค์ทรงกล่าวเป็นข้อข้อ ครั้นบำเพ็ญไม่ทำต่อเพราะเบื่อหน่าย จึงยึดมั่นตบะละใจกาย เพราะมั่นหมายว่าสำเร็จตามต้องการ
** ยกตนข่มผู้อื่นเพราะหลงผิด มัวหลงคิดมัวเมาเป็นกิ่งก้าน ติดในลาภสักการะเป็นสันดาน ติดรสชาติอาหารจนเมามัว
** บำเพ็ญตบะเพียงให้คนเคารพ แล้วประจบเอาหน้าพายิ้มหัว คอยรุกรานสมณะให้เกรงกลัว กล่าวโอ้อวดไปทั่วตบะเรา
** ไม่ยอมรับในเรื่องที่ควรรับ มักผูกโกรธประกอบกับความโง่เขลา ลบหลู่คุณถือตัวจัดไม่ขัดเกลา ยึดถือเอาความตระหนี่มีมายา
** นิโครธเอ๋ยสิ่งที่เรากล่าวมานี้ ตัวบ่งชี้อุปกิเลสเหตุปัญหา ของผู้บำเพ็ญตบะในโลกา ที่เรียกว่าความเศร้าหมองใช่หรือไร
** ฝ่ายนิโครธฟังจบสงบนิ่ง ก้มหน้ารับความจริงว่าใช่ใช่ บางคนมีอุปกิเลสทุกอย่างไป แล้วแต่ใครจะฝึกฝนให้พ้นมัน
** ดูกรนิโครธโปรดฟังเถิด (ดูกร=คำทักทาย อ่าน ดู-กะ-ระ) จะได้เกิดความเข้าใจไม่ไหวหวั่น ยึดตบะแต่บริสุทธิ์มีเหมือนกัน อุปกิเลสไม่มีวันเศร้าหมองเลย
** เช่นสาวกของเราเป็นตัวอย่าง มีสังวรคอยขัดขวางขอเปิดเผย ได้แก่ความระวังจนคุ้นเคย ความเศร้าหมองถูกสังเวยด้วยคุณธรรม
** สังวรสี่มีฤทธามหาศาล กำจัดมารทำหน้าที่อุปถัมภ์ แก่ผู้บำเพ็ญตบะเป็นประจำ ได้ชื่นฉ่ำบริสุทธิ์ดุจเดือนเพ็ญ
** หนึ่ง “งดเว้นจากการฆ่าหมู่สัตว์ เที่ยวประหัตประหารเป็นของเล่น ไม่ดีใจเมื่อผู้อื่นต้องลำเค็ญ ทุกข์ทรมานแสนเข็ญทั้งใจกาย
** สอง “ไม่ลักทรัพย์หรือใช้ให้ลักทรัพย์” เป็นการทำที่นับว่าเสียหาย ไม่ยินดีพฤติกรรมน่าอับอาย ผิดศีลธรรมอย่างเลวร้ายในสังคม
** สาม “ไม่พูดปดหรือใช้ให้พูดปด” พูดเพ้อเจ้อจะรันทดพาขื่นขม ตกนรกอบายให้โศกตรม เว้นเสียได้น่าชื่นชมสุขกายใจ
** สี่ “ไม่เสพกามหรือใช้ให้เสพกาม” ดูไม่งามจะหมกมุ่นและฝันใฝ่ อยู่ในกามตัณหาอยู่ร่ำไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดมลทิน
** เมื่อเกิดมีสังวรทั้งสี่แล้ว ดวงจิตจะผ่องแผ้วเป็นนิจสิน พึงเสพความสงัดอยู่อาจิณ ชำระจิตตัดสิ้นจากนิวรณ์
** จิตสงบตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ครบทั้งสี่ประการไม่ทอดถอน คือเมตตากรุณาครบวงจร และคำสอนอุเบกขามุทิตา
** ธรรมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำสอน เป็นขั้นตอนเริ่มต้นแสวงหา โมกขธรรมอันล้ำเลิศของศาสดา สอนสาวกเรื่อยมาทั่วหน้ากัน
** ธรรมเหล่านี้ที่เราใช้สอนสั่ง ให้สาวกลุกนั่งหฤหรรษ์ ทุกคนจึงสดใสในพรหมจรรย์ มีคืนวันล่วงไปอิ่มในบุญ
** ถึงตอนนี้สันธานได้ไต่ถาม ที่นิโครธลวนลามให้เคืองขุ่น ว่าพระพุทธองค์ไร้ปัญญามาเจือจุน จะแกล้งให้หัวหมุนจนเสียคน
** นิโครธได้ประจักษ์อย่างแน่วแน่ พุทธองค์เป็นเพชรแท้ไม่มัวหม่น ทรงเลิศด้วยปัญญาในสากล ผู้หลีกพ้นสังสารวัฏตัดบ่วงมาร (สังสารวัฏ อ่านว่า สัง-สา-ระ-วัด)
** จึงได้เอ่ยวาจาขมาโทษ ขอจงโปรดอโหสิที่กล่าวขาน ได้ล่วงเกินเพราะความโง่ดักดาน ขอพระองค์ทรงประทานความเมตตา
** พระพุทธองค์ตรัสว่าช่างมันเถิด เรื่องที่เกิดผ่านไปไม่ถือสา จงลืมมันเถอะนะอย่านำพา แล้วเสด็จไคลคลาไม่ช้าพลัน
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๒ การประพฤติพรหมจรรย์ (พรฺหฺมจริยญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** พรหมจรรย์คือความประพฤติอันประเสริฐ เป็นแดนเกิดของพรหมในสวรรค์ คือความดีน่าสรรเสริญเกินจำนรรจ์ และหนทางสร้างสวรรค์สู่นิพพาน
** พรหมจรรย์นั้นมีความหมายว่า ปรมัตถโชติกาได้กล่าวขาน ขุททกนิกายคือตำนาน มีอยู่สี่ประการโปรดจงฟัง
** หนึ่ง “เมถุนวิรัติ” จัดว่างาม เว้นจากการเสพกามอย่างขึงขัง แม้ภรรยาของตนอย่างจีรัง ไม่อินังในกลกามโลกีย์
** สอง “สมณธรรม” เป็นธรรมที่สดใส เหมืออื่นใดคือคำสอนพระชินศรี ปฏิบัติธรรมสมณะไร้ราคี เจริญกัมมัฏฐานนั่นดีไม่ขุ่นมัว
**สาม “ศาสนา” คือคำสอนพระพุทธองค์ ปฏิบัติตรงปฏิบัติดีหนีความชั่ว จิตผ่องใสใจสงบค้นพบตัว กิเลสที่พันพัวถูกฆ่าพลัน
** สี่ “อริยมรรค” คือหนทางที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเดินไปสู่นิพพานอันสุขสันต์ ความเห็นชอบดำริชอบคุณอนันต์ อรหันต์สุดท้ายพึงหมายปอง
** ส่วนในมังคลัตถทีปนี กล่าวว่ามีสิบข้อขอสนอง เป็นความรู้เสริมศรัทธาให้เรืองรอง พรหมจรรย์ไม่บกพร่องจนเสียการ
** “ทาน” คือการเสียสละและแบ่งปัน เพื่อมนุษย์ด้วยกันเพราะสงสาร ทั้งสิ่งของความรู้มาเจือจาน ให้อภัยเป็นทานด้วยเมตตา
** “เวยยาวัจจะ” คือการขวนขวาย ทำประโยชน์หลากหลายไม่กังขา ให้บังเกิดแก่ผู้อื่นด้วยเจตนา เพื่อสังคมล้ำค่าทุกข์ไม่มี
** “เบญจศีล” ตั้งอยู่ในศีลห้า จะควบคุมกายวาจาให้ถ้วนถี่ ไม่ลักทรัพย์ฆ่าสัตว์ตัดชีวี ไม่เบียดเบียนด้วยวจีให้ร้อนรน
** “อัปปมัญญา” แผ่เมตตาแก่หมู่สัตว์ ในสังสารวัฏทุกแห่งหน ไม่จำเพาะเจาะจงตัวบุคคล แบ่งส่วนบุญและกุศลด้วยเต็มใจ
** “สทารสันโดษ” โปรดเมียตน พอใจไม่ดิ้นรนไปมีใหม่ มีรักเดียวใจเดียวตลอดไป ไม่เยื่อใยใฝ่หามาครอบครอง
** เมถุนวิรัติ” เว้นจากเสพเมถุน กามคุณจะทำให้เศร้าหมอง อย่าเอาแต่สนุกควรไตร่ตรอง เพราะผลของสนุกจะทุกข์นาน
** “วิริยะ” ทำความเพียรชำระบาป ที่แสนหยาบชั่วช้ามาเผาผลาญ ให้ใจใสสะอาดตลอดกาล อกุศลวายปราณจบสิ้นลง
** “อุโบสถ” รักษาศีลอุโบสถ ที่กำหนดข้อห้ามปรามโลภหลง ให้มีกายวาจามั่นดำรง อยู่ในองค์ความดีที่ยงยืน
** อริยมรรค” คือแนวทางที่ใหญ่ยิ่ง เป็นความจริงเพื่อหลุดพ้นอันราบรื่น คือการเดินสายกลางไม่หวนคืน สุขอื่นอื่นเทียบไม่ได้หาไม่มี
** “ศาสนา” คือปฏิบัติธรรมทุกข้อ ไม่ย่อท้อตั้งมั่นเพื่อสุขี ปฏิบัติตามคำสอนองค์ภูมี ไม่ให้ทุกข์ย่ำยีจงตริตรอง
** ทั้งหมดนี้ข้าศึกพรหมจรรย์ ที่ห้ำหั่นทำให้ใจเศร้าหมอง สามประการสำคัญหมั่นยึดครอง คอยจ้องมองทำลายให้ยับเยิน
** “กามตัณหา” คือความทะยานอยาก เกิดยินดีมักมากต่อสรรเสริญ ทั้งรูปเสียงกลิ่นรสจนเพลิดเพลิน หลงมัวเดินในวังวนจนหลงทาง
** “ปมาทะ” ประมาทในวัยเวลา ด้วยคิดว่ายังหนุ่มสาวราวฟ้าสาง ยังอีกนานชีวิตจึงวายวาง บุญกุศลไม่สร้างปล่อยว่างฟรี
** “โกธะ” ความขัดเคืองและอึดอัด ที่ต้องถูกจำกัดเฉพาะที่ ให้อยู่แต่ในกรอบของความดี สุดแสนที่จะรำคาญบ่นพึมพำ
** จงฟังก่อนเถิดภิกษุทั้งหลาย มีมนุษย์มากมายที่ถลำ ปล่อยให้อวิชชาเข้าครอบงำ ดังม่านดำบังตาให้มืดมน
** เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นดี ปัญญามีเหมือนไม่มีขาดเหตุผล เสมือนทารกน้อยที่ซุกซน หลงเข้าป่าผจญอันตราย
** อันมนุษย์ในโลกของเราไซร้ ดูร่าเริงสดใสมีความหมาย แต่ส่วนลึกของใจแสนวุ่นวาย ว้าเหว่และเดียวดายสักปานใด
** ถ้าหากว่าว้าเหว่ในชีวิต ไม่มีสิ่งจะยึดติดเป็นหลักให้ เหมือนไม้หลักปักเลนที่เอนไกว เป็นที่พึ่งไม่ได้โปรดจงฟัง
** ธรรมคือสิ่งสำคัญมากที่สุด ในชีวิตมนุษย์สุดจะหยั่ง จะเพศใดภาวะใดมั่นจิรัง ประดุจดังเกราะหุ้มคุ้มกันภัย
** แม้ว่าจะประสบความทุกข์ยาก จะลำบากหมดสิ้นที่อาศัย ไม่ทิ้งธรรมทิ้งคำสอนหมดอาลัย ทุกเพศและทุกวัยจงจดจำ
** พรหมจรรย์เป็นมงคลที่ดลให้ เมื่อตายไปก็เกิดในสวรรค์ เป็นปัจจัยเพื่อบรรลุธรรมสำคัญ อนาคตปัจจุบันตลอดกาล
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ (อริยสจฺจาน ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** “อริยสัจ” เป็นปรมัตถ์ธรรมชั้นสูง เครื่องลากจูงมีค่ามหาศาล คือสภาวะเป็นจริงอันยาวนาน จะกล่าวขานพอเข้าใจในเนื้อความ
** การเห็นอริยสัจต้องใช้ญาณ มีทั้งหมดมาประสานรวมเป็นสาม จงตั้งใจเรียนรู้อย่าวู่วาม จะรู้เห็นเป็นไปตามกฎความจริง
** “สัจจญาณ” รู้ความจริงอริยสัจ อย่างเด่นชัดแต่ละข้อหมดทุกสิ่ง เช่นรู้ว่ามีทุกข์คอยพักพิง จะเดือดร้อนอย่างยิ่งเมื่อทุกข์มา
** “กิจจญาณ” รู้หน้าที่จะพึงทำ ควรเว้นควรน้อมนำควรใฝ่หา กำหนดรู้เรื่องทุกข์ทุกเวลา รู้แจ้งนิโรธพาให้สุขใจ
** “กตญาณ” รู้ว่ากิจเหล่านั้น ได้ทำมันให้สำเร็จดังฝันใฝ่ พยายามทำตามขั้นตอนลุล่วงไป ไม่มีส่วนใดขาดตกบกพร่องแล้ว
** อริยสัจมีอยู่สี่ประการ สามารถตัดบ่วงมารให้ผ่องแผ้ว หมดกิเลสสิ้นตัณหาพาเพริดแพรว ปราศจากวี่แววของมลทิน
** หนึ่ง “ทุกข์” ความเดือดร้อนใจและกาย ทรมานมากมายไม่จบสิ้น ต้องทุรนทุรายเป็นอาจิณ จะนั่งนอนเดินกินก็กังวล
** อันทุกข์นั้นมีอยู่สองสถานะ องค์พุทธะตรัสไว้อย่าสับสน ขอนำมาเผยแพร่แก่ปวงชน จะได้ยลและเข้าใจไปนานวัน
** “สภาวะทุกข์” คือทุกข์ของสังขาร มีเกิดแก่วายปราณคอยห้ำหั่น เป็นปัจจัยปรุงแต่งและผูกพัน ไม่มีวันที่ใครจะหนีพ้น
** “ปกิณณกะทุกข์” คือทุกข์จร ที่เข้ามาหลอกหลอนให้หมองหม่น เช่นผิดหวังเศร้าใจและร้อนรน ทั้งท้อแท้เกินทนจนร้อนใจ
** สอง “สมุทัย” เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไร้ความสุขโศกเศร้าไม่สดใส เกิดจากความทะยานอยากอยู่ภายใน เรียกเสียใหม่ว่าตัณหามาครอบครอง
** อกุศลมูลนิวรณ์และกิเลส ก็เป็นเหตุทำให้ทุกข์หม่นหมอง อีกมลทินทุจริตผิดทำนอง เป็นเหตุของการเกิดทุกข์อีกมากมาย
** ตัณหาแบ่งเป็นสามประเภท จะนำเอาขอบเขตมาขยาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจไม่งมงาย ขอบรรยายวิสัชนาจะหายงง
** “กามตัณหา” หมายความว่าความอยากได้ คือปัจจัยทำให้เกิดความหลง ในโลกีย์วิสัยอย่างมั่นคง โดยเจาะจงกามคุณหมกมุ่นกาม
** “ภวตัณหา” คือความอยากเป็น ที่พึงมีพึงเห็นในโลกสาม อยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ทุกยาม อยากคงอยู่ไม่เป็นตามอนิจจัง
** “วิภวตัณหา” ไม่อยากเป็น ดังเฉกเช่นไม่อยากพบความผิดหวัง ไม่อยากแก่ไม่อยากตายอย่างจิรัง ไม่เจ็บป่วยไม่ภินท์พังจนชั่วกาล
** สาม “นิโรธ” การดับทุกข์ที่รุกเร้า มาคลอเคล้าให้สิ้นไม่เผาผลาญ ด้วยทำลายสมุทัยเจ้าตัวการ ตัดรากฐานของตัณหาทุกข์วอดวาย
** สี่ “มรรค” คือหนทางการดับทุกข์ ให้เกิดสุขชั่วฟ้าดินสูญหาย คือนิพพานไม่เกิดแก่เจ็บตาย เป็นการดับสลายนิรันดร์กาล
** “สัมมาทิฏฐิ” คือความเห็นชอบ ตามระบอบอริยมรรคเป็นแก่นสาร มีปัญญาเป็นตัวตั้งในหลักการ และประสานกับความจริงดียิ่งนัก
** “สัมมาสังกัปปะ” ดำริชอบ ต้องประกอบด้วยคิดดีที่ตระหนัก ไม่พยาบาทออกจากกามจงประจักษ์ ไม่เบียดเบียนแต่รักซึ่งความดี
** “สัมมาวาจา” เจรจาชอบ ให้รอบคอบวาจางามตามวิถี การพูดเท็จพูดคำหยาบต้องไม่มี พูดส่อเสียดเป็นที่น่าชิงชัง
** “สัมมากัมมันตะ” การงานชอบ อยู่ในกรอบของธรรมที่ไหลหลั่ง เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวัง การฉ้อโกงไม่อินังเพราะเลวทราม
** สัมมาอาชีวะ” เลี้ยงชีวิตชอบ ต้องนอ้มนอบจิตกุศลคนไม่หยาม ไม่ผิดธรรมผิดวินัยน้ำใจงาม ปฏิบัติตามคำสอนองค์สัมมา
** “สัมมาวายามะ” ความเพียรชอบ จงรอบคอบระวังบาปที่หยาบหนา ไม่ให้เกิดและละบาปที่เกิดมา เพียรรักษากุศลกรรมไม่ย่ำยี
** “สัมมาสติ” การระลึกชอบ เพื่อรู้รอบสติปัฏฐานให้ถ้วนถี่ ว่าร่างกายต้องเน่าเปื่อยไปทุกที ความสุขทุกข์เกิดมีเป็นอารมณ์
** “สัมมาสมาธิ” ความตั้งใจชอบ ตามเขตขอบของฌานสี่ให้เหมาะสม เพื่อวิตกวิจารณ์พาลระทม ผลาญให้จมเข้าสู่ฌานเบิกบานจริง
** การเห็นอริยสัจเป็นมงคล เป็นเรื่องที่เลิศล้นกว่าทุกสิ่ง เข้าถึงเรื่องสังขารไม่ประวิง ใช้อ้างอิงเรียนรู้ธรรมให้ชำนาญ
** ทำให้ได้เป็นพระอริยะเจ้า ไม่หมองเศร้าด้วยกิเลสมาเผาผลาญ เพราะเข้าถึงความดับคือนิพพาน ทั้งกำจัดตัวมารเกิดแก่ตาย

ใบประดู่ลายในมือ ** สมัยหนึ่งสมเด็จจอมโมลี ได้ทรงมีพระทัยอย่างมั่นหมาย ในการจะเสด็จเยื้องย่างกราย โกสัมพีเพื่อผ่อนคลายแห่งอารมณ์
** ทรงประทับ ณ สีสปาวัน ในการนั้นทรงมีแต่สุขสม จึงประสงค์แสดงธรรมอันอุดม ให้เป็นที่ชื่นชมตลอดกาล
** ครั้นจะทรงเปรียบเทียบธรรมที่สั่งสอน ในบวรศาสนามาไขขาน กับธรรมที่ตรัสรู้มาเนิ่นนาน ว่าอย่างไหนปริมาณมากกว่ากัน
** ทรงหยิบใบประดู่ลายมาสองใบ มาวางไว้บนพระหัตถ์หฤหรรษ์ แล้วตรัสถามความเห็นเป็นสำคัญ กับภิกษุเหล่านั้นในทันที
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจงฟังเรา เปรียบเทียบเอาใบไม้ในมือนี่ กับใบไม้บนต้นเขียวขจี ที่ไหนมีมากกว่าจงยืนยัน
** ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่ต้นมีมากเกินจะเสกสรร บนพระหัตถ์น้อยกว่าเป็นร้อยพัน ขอจำนรรจ์กราบทูลความที่ถามมา
** อย่างนั้นเหมือนกันภิกษุทั้งหลาย เราตรัสรู้ธรรมหลากหลายมากหนักหนา แต่ที่นำมาสั่งสอนทุกเวลา มีน้อยกว่าที่เรารู้อีกมากมาย
** เพราะเหตุใดจึงไม่นำมาสอนเล่า เพราะไม่เร้าให้เกิดความเบื่อหน่าย อีกทั้งความกำหนัดก็ไม่คลาย ความสงบไม่ย่างกรายมาให้ครอง
** ไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ ไม่ตั้งอยู่เพื่อนิพพานตอบสนอง เพื่อความรู้ที่ใหญ่ยิ่งสิ่งควรปอง ตามครรลองความหลุดพ้นผจญมาร
** ดูก่อนบรรดาภิกษุทั้งหลาย เรามุ่งหมายนำธรรมมาประสาน ให้ได้รู้นี่คือทุกข์อันร้าวราน อีกทั้งการดับทุกข์ให้สิ้นไป
** นี่คือทางให้ถึงความดับทุกข์ เกิดความสุขชั่วนิรันดร์อันยิ่งใหญ่ นี้คือสิ่งที่เราสอนอย่างตั้งใจ ให้ใครใครได้เรียนรู้อยู่ทุกวัน
** เพราะเหตุใดเราจึงเอาสิ่งเหล่านี้ มาแนะชี้เพราะหวังให้สุขสันต์ ได้ก้าวสู่เบื้องต้นพรหมจรรย์ เพื่อรู้ยิ่งสิ่งสำคัญคือดับทุกข์
** ดูก่อนบรรดาภิกษุทั้งหลาย เราก็ได้อธิบายเพื่อสร้างสุข เพื่อให้เธอเข้าใจไม่เจ่าจุก เลิกสนุกละตัณหาจะพ้นภัย
** เมื่อรู้แล้วขอให้จงได้คิด บำเพ็ญเพียรจนติดเป็นนิสัย ละกิเลสตัณหาไม่อาลัย สู่เส้นชัยแห่งชีวิตคือนิพพาน
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๔ การทำให้แจ้งพระนิพพาน (นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** การออกจากตัณหาเครื่องร้อยรัด เหมือนการตัดพ้นจากเครื่องประหาร จะร่มเย็นเป็นสุขนิรันดร์กาล เรียก “นิพพานสัจฉิกิริยา”
** คือการทำนิพพานให้รู้แจ้ง รู้ถึงแหล่งของทุกข์ที่โถมถา รู้วิธีการดับทุกข์ที่เกิดมา ด้วยคำสอนพระศาสดาของปวงชน
** ลักษณะของนิพพานกล่าวขานไว้ เพื่อจะได้เข้าใจไม่สับสน ขออนุญาตนำเสนอแก่ทุกคน ตามที่ได้สืบค้นและเล่าเรียน
** หนึ่ง “ความสิ้นตัณหา” ทะยานอยาก ซึ่งเกิดจากอยากได้คุมบังเหียน ความอยากเป็นไม่อยากเป็นที่หมุนเวียน มาเบียดเบียนทำลายให้ร้าวราน
** สอง “จุดจบของความทุกข์” ที่รุกเร้า เกิดถูกเผาให้มอดไหม้ไร้รากฐาน ด้วยนิโรธตัวดับทุกข์ให้วายปราณ ดังตัณหาถูกเผาผลาญสิ้นเชื้อไฟ
** สาม “ความดับแห่งภพชาติ” ไม่มีเหลือ หมดสิ้นเชื้อการตายแก่และเกิดใหม่ ดับจนสิ้นไม่เหลือแม้เยื่อใย ครั้นผ่านไปสังขารได้สลายลง
** ภาวะของผู้บรรลุนิพพานแล้ว มีดวงจิตผ่องแผ้วไม่ไหลหลง มีสติเป็นพื้นฐานที่มั่นคง จะดำรงยึดพระรัตนตรัย
** “ภาวะทางปัญญา” สามารถมอง สิ่งทั้งผองตามเป็นจริงไม่สงสัย รู้เท่าทันเรื่องสังขารและโพยภัย ไร้เลศนัยเห็นข้อดีว่าเป็นดี
** “ภาวะทางจิต” มีอิสระ จากกิเลสที่จะมาเสียดสี ไม่เป็นทาสของอารมณ์ที่ยวนยี ไม่หวั่นไหวดุจเสาทีมั่นแข็งแรง
** “ภาวะทางการดำเนินชีวิต” รักษาศีลเป็นนิจในทุกแห่ง ให้สมบูรณ์ไม่เสียหายไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคลือบแคลงเพราะกิเลสเป็นเหตุนำ
** การที่ทำให้แจ้งแห่งนิพพาน เป็นมงคลในจักรวาลที่คมขำ ทำให้พ้นจากทุกข์ไม่ระกำ ปราศจากสิ่งมาตอกย้ำหรือย่ำยี
** เป็นผู้ไม่มีเวรกับใครใคร ชีวิตดำเนินไปอย่างสุขี ไม่มีความประมาทในชีวี สิ้นภพไปไม่มีเกิดแก่ตาย

ความสงบ ** ภิกษุทั้งหลายฟังเรานะ ในบรรดาธรรมะที่หลากหลาย ไม่มีความสุขใดจะมากมาย ที่จะคล้ายหรือเสมอ “สงบ” เลย
** ความสุขนี้มีอยู่ในตัวเรา เพราะความเขลาจึงทิ้งไปเฉยเฉย เอาแต่วุ่นวิ่งหาเพราะคุ้นเคย นิจจาเอ๋ยไม่เคยจะไล่ตามทัน
** จะไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะมัววิ่งตามอารมณ์เป็นอาถรรพ์ วุ่นกับกามกับกินและเกียรติกัน จนลืมเรื่องสำคัญคือจิตตน
** ดวงจิตที่ผ่องใสหรือผ่องแผ้ว ดุจดังแก้วเจียระไนไม่หมองหม่น สามารถให้ความสุขแก่ทุกคน ไม่ต้องมัววิ่งวนคอยไล่ตาม
** ผู้มองแต่ความเจริญของวัตถุ ในใจร้อนระอุอย่างล้นหลาม ไม่สงบเยือกเย็นเพราะไฟลาม จมในความเหม็นคาวของโลกา
** เปรียบดังผู้ที่แบกซึ่งของหนัก วิ่งโดยไม่หยุดพักเหนื่อยหนักหนา เท้าวิ่งไปปากบ่นไปจนระอา แต่ไม่วางลงมาเพื่อผ่อนปรน
** ดูกรบรรดาภิกษุทั้งหลาย ในโลกนี้ที่วุ่นวายและสับสน ใส่หน้ากากหลอกกันอลวน โลกหมองหม่นเพราะพิษร้ายจนเรื้อรัง
** ดังอาคารดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายทั่วทั้งหลัง มีดนตรีเสียงเพลงกล่อมให้ฟัง ไพเราะดังคนธรรพ์คอยบรรเลง
** ผู้คนที่อาศัยใจเร่าร้อน ดุจนั่งนอนในกองไฟด้วยรีบเร่ง ไม่มีสุขระแวงภัยให้หวั่นเกรง ใจตัวเองหวาดผวาพาลุกลน
** ไม่สงบจิตใจไม่มีสุข ต้องเจ่าจุกในปราสาทไร้กุศล ผู้สงบอยู่โคนไม้ไม่ร้อนรน มีความสุขมากล้นหาใดปาน
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหว (ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** คำ “จิตตะ” แปลว่านึกหรือคิด ถ้าคิดถูกคือสุจริตดีไพศาล ถ้าคิดผิดคือไม่ดีเหมือนมีมาร คอยล้างผลาญให้โศกเศร้าร้าวระบม
** อันจิตนี้มีหน้าที่สามประการ ตามหลักฐานบอกไว้อย่างเหมาะสม มาเถิดหนาศึกษากันและชื่นชม เพื่อเพาะบ่มจิตใจให้ใฝ่ดี
** หนึ่งทำหน้าที่นึกคิดหรือปรุงแต่ง ตามวัตถุที่แสดงเป็นสักขี เช่นสวยหรือไม่สวยที่เกิดมี มาย่ำยีดวงจิตนิจนิรันดร์
** สองรับรู้อารมณ์ที่ผ่านมา ทั้งทางหูทางตาพาไหวหวั่น อีกทั้งลิ้นกายใจก็เหมือนกัน สัมผัสพลันรับรู้ได้ทันที
** อันอารมณ์ทั้งหกยกมากล่าว เป็นเรื่องราวต้องสัมผัสในทุกที่ คือรูปรสกลิ่นเสียงที่ยวนยี โผฏฐัพพะมีธรรมารมณ์มา
** สามสั่งสมหรือเก็บสิ่งที่ทำ พูดคิดเป็นประจำมากหนักหนา ทั้งอารมณ์ต่างต่างชั่วชีวา เก็บสะสมทุกคราตลอดกาล
** “โลกธรรม” ทำให้จิตหวั่นไหว ซึ่งใครใครหลีกไม่ได้ในสงสาร มีประจำกับชีวิตมาเนิ่นนาน เวลาผ่านยังอยู่คู่โลกา
** โลกธรรมมีอยู่รวมแปดข้อ แต่เมื่อย่อจะเป็นสองต้องศึกษา คือฝ่ายที่ต้องการทุกเวลา ภาษาธรรมเรียกว่า “อิฏฐารมณ์”
** คืออารมณ์ที่พีงปรารถนา แยกออกมาสี่ประการล้วนสุขสม คือได้ลาภได้ยศน่าชื่นชม สรรเสริญสุขยอดนิยมของทุกคน
** “อนิฏฐารมณ์” คือธรรมตรงกันข้าม เรียกตามตามกันว่าอกุศล คือเสื่อมลาภเสื่อมยศรันทดทน ถูกนินทาตกทุกข์จนเดือดร้อนใจ
** ธรรมเหล่านี้มีสภาพที่ไม่เที่ยง ย่อมแปรปรวนสุดจะเลี่ยงไปทางไหน ไม่แน่นอนแปรผันทุกวันไป แล้วแต่ใครจะยอมรับกับความจริง
** ท่านผู้ใดมีสติมีปัญญา ยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้ทุกทุกสิ่ง ย่อมแปรเปลี่ยนไม่คงอยู่ให้พักพิง ไม่หยุดนิ่งเป็นธรรมดาอย่ากังวล
** เมื่อใดที่อนิฏฐารมณ์มากระทบ ก็สยบมันได้ไม่หมองหม่น มีจิตไม่หวั่นไหวให้ร้อนรน เรียกว่าคนมีจิตที่ฝึกแล้ว

หมาจิ้งจอกขี้เรื้อน ** สมัยหนึ่งสมเด็จพระศาสดา เสด็จมาประทับอย่างผ่องแผ้ว ณ พระเชตวันอันเพริดแพรว ในเมืองแก้วสาวัตถีที่มั่นคง
** ทรงปรารภเรื่องลาภสักการะ ซึ่งครอบงำหมู่พระภิกษุสงฆ์ ยกตัวอย่างหมาจิ้งจอกโดยจำนง ซึ่งมันแก่ตัวลงที่เชตวัน
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเอ๋ย เห็นไหมเอ่ยหมาจิ้งจอกที่ยืนนั่น อาศัยอยู่ที่นี่มานานครัน ตัวของมันเป็นขี้เรื้อนเปื้อนทั่วกาย
** มันเป็นสัตว์ที่ดูน่าสงสาร ยืนตัวสั่นสะท้านน่าใจหาย เมื่อมันอยู่ลานดินไม่สบาย จึงได้ย้ายที่นอนเพื่อผ่อนปรน
** ไปอาศัยนอนอยู่โคนต้นไม้ หวังจะให้ดีขึ้นคงได้ผล แต่ปรากฏว่าคิดผิดที่ดิ้นรน สุดจะทนเหมือนกันกับวันวาน
** แม้จะเปลี่ยนที่นอนไปหลายที่ ก็ไม่มีที่ใดไม่ร้าวฉาน ความเจ็บปวดไม่สบายทรมาน มาก้าวร้าวรุกรานอยู่เหมือนเดิม
** เหมือนภิกษุบางรูปในศาสนา ใช้ชีวิตกันมาอย่างฮึกเหิม ติดในลาภสักการะจนเหิมเกริม ไม่ฝึกเพิ่มความเพียรสิ่งควรทำ
** ผู้ที่ถูกลาภสักการะย่ำยีแล้ว ก็ไม่แคล้วถูกตัณหามากระหน่ำ จะนั่งนอนที่ไหนก็ระกำ ต้องชอกช้ำเพราะทุกข์บุกทำลาย
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเอ๋ย อย่ามัวเฉยให้ชีวิตล่มสลาย ลาภสักการะทารุณและหยาบคาย เป็นอันตรายต่อการบรรลุธรรม
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก (อโสกํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** จิตไม่โศกคือจิตไม่แห้งผาก มีความชุ่มชื้นมากจนเย็นฉ่ำ ไม่หดหู่ระทมด้วยผลกรรม เพราะไม่ทำความชั่วตัวอัปรีย์
** จิตไม่โศกคือจิตที่หลุดพ้น จากวังวนของวัฏฏะมาเสียดสี ปราศจากราคะสิ้นราคี ทั้งโทสะที่มีก็สิ้นไป
** อีกโลภะก็สละมันจนสิ้น ไม่มีเหลือให้เกาะกินเกิดหวั่นไหว จะไม่ติดในกามตัดสายใย อกุศลบาปใดใดไม่ข้องมัน
** แม้อารมณ์ต่างต่างไม่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้ลอยละล่องไม่ใฝ่ฝัน ละกิเลสละตัณหาสารพัน ดังคำภควันต์ได้ตรัสมา
** ผู้ถึงธรรมไม่เศร้าโศกถึงความหลัง ไม่ฝันเพ้อสิ่งที่ยังอยู่ข้างหน้า คืออนาคตมองไม่เห็นอยู่ไกลตา อยู่กับปัจจุบันดีกว่าอย่าดิ้นรน
** อีกนัยหนึ่งความโศกเกิดจากรัก ถ้าห้ามหักเสียได้ไม่หมองหม่น ผู้บรรลุนิพพานบันดาลดล ให้หลุดพ้นจากรักที่ปักใจ

น้ำตามากกว่าน้ำทะเล ** พระพุทธองค์ทรงประทับอย่างสุขสันต์ ณ พระเชตะวันวิหารใหญ่ ที่กรุงสาวัตถีเรืองวิไล เพื่อจะได้แสดงธรรมเสริมปัญญา
** ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกนี้ช่างวุ่นวายเสียหนักหนา สัตว์ทั้งหลายต้องใช้กรรมที่ทำมา ไปจนกว่าจะหมดกำหนดกรรม
** สังสารวัฏของสัตว์โลก มีทั้งโศกทั้งสุขทุกข์ร้องร่ำ ต้องวนเวียนเปลี่ยนไปเป็นประจำ ล้วนแต่เป็นสัจธรรมไม่ว่าใคร
** สังสารวัฏยาวไกลตั้งเหลือหลาย ไม่รู้เบื้องต้นเบื้องปลาอยู่ที่ไหน เพราะสรรพสัตว์เกิดตายมีทั่วไป นับไม่ได้ว่ากี่ชาติกี่ภพกัน
** ภิกษุทั้งหลายพวกเธอคิดอย่างไร น้ำตาของสัตว์ที่ไหลเพราะโศกศัลย์ ต้องคร่ำครวญร้องไห้อยู่ทุกวัน ในแต่ละชาตินั้นมีมากมาย
** มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร อันกว้างใหญ่ที่สุดไร้จุดหมาย ซึ่งเกิดจากความทุกข์มากล้ำกราย เพราะการเจ็บการตายเป็นตัวการ
** พวกข้าพระองค์เคยได้ศึกษา ตามพระองค์สั่งสอนมาเป็นพื้นฐาน ว่าน้ำตาสรรพสัตว์ในจักรวาล มีมากเกินประมาณจะคำนวณ
** ถูกแล้ว ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเกิดแล้วต้องตายสุดถ่ายถอน เสียน้ำตาเพราะพ่อแม่มาม้วยมรณ์ มากกว่าน้ำในสาครทั่วโลกา
** อีกทั้งญาติหลายหลากก็ไม่น้อย ที่พวกสัตว์ต้องคอยละห้อยหา เมื่อพวกเขาละโลกเศร้าโสกา ก็ต้องเสียน้ำตาด้วยอาลัย
** นอกจากนี้ยังมีอีกนานับ ความทุกข์โศกที่ได้รับเกินสงสัย มากัดกินรุมเร้าในฤทัย จนตลอดอายุขัยไม่สร่างเซา
** ความเสื่อมลาภโรคภัยมาเบียดเบียน อุตส่าห์เพียรค้าขายก็เงียบเหงา จะทำไร่ไถนาสุดบรรเทา เป็นรากเหง้าของการเสียน้ำตา
** ภิกษุเอ๋ย รู้แล้วไฉนหนอ จึงไม่หยุดไม่พอเสน่หา ในสังสารวัฏที่เกิดมา เพราะมันพาให้หลงวงเวียนมาร
** ด้วยเหตุนี้ควรที่สัตว์ทั้งหลาย ควรคิดจะเบื่อหน่ายในสังขาร ที่เกิดเกิดตายตายอีกแสนนาน อีกกี่ชาติจึงพ้นผ่านทุกข์ทั้งปวง
** จิตไม่โศกเป็นมงคลผลดีนัก จะประจักษ์ได้ด้วยใจไม่ต้องห่วง รับรองว่าดีจริงจริงมิใช่ลวง มีผลพวงอีกมากมายเล่าให้ฟัง
** ทำให้จิตมั่นคงดุจดังเขื่อน ความทุกข์เลือนการเกิดสิ้นดังที่หวัง ด้วยกิเลสต้นเหตุเกิดมาภินท์พัง ผลของมันถูกยับยั้งให้สิ้นเชื้อ
** เป็นที่สักการะและเคารพ แก่ผู้ที่ได้พบอย่างล้นเหลือ อีกทั้งเทวดาไม่คลุมเครือ เพราะเขาเชื่อความหมดจดของจิตใจ
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๗ จิตหมดธุลี (วิรชํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** ธุลี คือกิเลสเหตุหมองเศร้า คอยรุมเร้าให้เดือดร้อนนอนไม่ไหว ต้องร้อนรุ่มทั้งภายนอกและภายใน คอยลวกไหม้จนวอดวายตายทั้งเป็น
** ทีสำคัญมีอยู่สามประการ จะไขขานยกมาให้ได้เห็น หลีกให้พ้นหนีให้ไกลไม่ลำเค็ญ ก็จะเป็นผู้หมดจดจากธุลี
** หนึ่ง “โลภะ ความโลภ” หรืออยากได้ ซึ่งทรัพย์สินน้อยใหญ่เป็นเศรษฐี อันความโลภความอยากได้เมื่อเกิดมี จะรวมตัวเป็นธุลีคอยกัดกิน
** สอง “โทสะ ความโกรธ” พยาบาท ความเจ็บแค้นอาฆาตและหยามหมิ่น คิดปองร้ายเดือดดาลเป็นอาจิณ ทำลายสิ้นความดีที่เคยทำ
** สาม “โมหะ ความหลง” ความเห็นผิด เป็นยาพิษตัวร้ายคอยกระหน่ำ ความถือตัวความฟุ้งซ่านเกิดประจำ ความไม่รู้สัจธรรมเฝ้ารุกราน
** ใจหมดธุลีคือใจหมดกิเลส ซึ่งเป็นเหตุทำลายหลายสถาน ให้หมดสิ้นเปรียบได้ดังตัวมาร สามประการข้างต้นให้พ้นไป
** การปฏิบัติเพื่อกำจัดธุลี ต้องศึกษาให้ดีเพราะเรื่องใหญ่ ถ้าทำได้กิเลสหนีไปไกล คงเหลือไว้ความผ่องแผ้วในกมล
** ไตรสิกขาคือข้อธรรมต้องศึกษา เพื่อนำมากำจัดจะได้ผล ธุลีจะหมดไปไม่ร้อนรน เชิญทุกคนลองมาศึกษากัน
** ไตรสิกขามีอยู่รวมสามข้อ เป็นรากฐานตัดตอได้คงมั่น ความวุ่นวายภายในสิ้นไปพลัน คงมีสุขทุกวันตลอดกาล
** “ศีล” ทำให้กายวาจานั้นเรียบร้อย ไม่ด่างพร้อยด้วยมลทินสิ้นร้าวฉาน ชีวิตจะมีสุขทุกวันวาร เพราะตัวการไม่กล้ามารบกวน
** ศีลสามารถกำจัดกิเลสหยาบ ไม่ให้มาจ้วงจาบจนผันผวน ไม่มีศีลกายวาจาถูกลามลวน ด้วยกิเลสคอยกวนไม่เบิกบาน
** “สมาธิ” คือภาวะจิตที่สงบ จะได้พบความจริงของสังขาร ว่าเป็นทุกข์ไม่เที่ยงไม่ยืนนาน ภาวะกาลไม่แน่นอนเปลี่ยนได้ไว
** ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมองไม่ร้อนรุ่ม คอยควบคุมกิเลสอย่างกลางได้ จะอิ่มเอิบร่าเริงสิ้นเยื่อใย และอยู่ในภาวะที่สมดุล
** “ปัญญา” ความรอบรู้อริยสัจ รู้วิธีการตัดความเคืองขุ่น อีกทั้งตัดกิเลสขาดเป็นจุณ เป็นธรรมที่ให้คุณกับทุกคน
** ปัญญาขจัดกิเลสอย่างละเอียด ไม่ให้เฉียดเข้าใกล้ในทุกหน เพราะรู้เห็นตามเป็นจริงไม่วกวน จะหลุดพ้นจากกิเลสเหตุรัดรึง
** จิตปราศจากธุลีแสนดีนัก จะประจักษ์โมกขธรรมที่ยากถึง เป็นผู้ไม่หวั่นไหวไม่พรั่นพรึง คอยทำลายเครื่องรัดรึงอันตรธาน

ที่ใดมีความรักที่นั่นมีทุกข์ ** ครั้งเมื่อองค์สมเด็จพระชินศรี ประทับที่บุพพารามพระวิหาร ใกล้นครสาวัตถีเมื่อมินาน พร้อมด้วยบริวารติดตามมา
** ในกาลนั้นอุบาสิกาใหญ่ เป็นผู้มีน้ำใจชื่อวิสาขา เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระศาสดา ด้วยใบหน้าเศร้าโศกวิโยคครวญ
** เนื่องด้วยหลานรักถึงตักษัย ประสพภัยเจ็บไข้อาลัยหวน ยังตัดใจไม่ได้ให้รัญจวน โอ้เนื้อนวลจากไปไม่กลับคืน
** พระพุทธองค์ตรัสถามเนื้อความว่า ดูก่อนวิสาขาเธออย่าฝืน ชีวิตของคนเราไม่ยั่งยืน เวลาย่อมจะกลืนชีวิตคน
** ได้ยินว่าเธอมีความปรารถนา ให้ลูกหลานเกิดมาเป็นห่าฝน มีจำนวนมากมายหลายหมื่นคน เท่าจำนวนประชาชนในนคร
** ใช่เจ้าค่ะ พระองค์โปรดทรงทราบ ข้าพระองค์ขอกราบช่วยสั่งสอน พระองค์โปรดพิจารณาเป็นขั้นตอน อย่าอาทรความนึกคิดข้าพระองค์
** พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูก่อนวิสาขาเธออย่าหลง เธอทราบไหมจำนวนคนที่ปลดปลง ในนครต้องตายลงวันเท่าไร
** วิสาขากราบทูลพระศาสดา ในพาราสาวัตถีทั้งไกลใกล้ ต้องพบความเศร้าโศกและเสียใจ เพราะมีคนตายไปทุกทุกวัน
** พระพุทธองค์จึงตรัสวิสาขา ตามที่เธอกล่าวมาถูกแล้วนั่น เธอต้องซับน้ำตาชั่วนิรันดร์ เพราะลูกหลานเธอนั้นต้องมาตาย
** เมื่อรักมากความทุกข์ก็มีมาก ความพลัดพรากเกิดทุกข์ความสุขหาย ถ้ารักร้อยทุกข์ร้อยไม่ผ่อนคลาย รักมลายหายสิ้นทุกข์ภินท์พัง
** คนผู้ใดไม่มีสิ่งเป็นที่รัก ผู้นั้นจักไม่มีทุกข์เป็นบ่อฝัง ให้ติดในสังสารวัฏทรงพลัง เป็นทาสของอนิจจังอนัตตา
** เรากล่าวว่าไม่มีทุกข์ไม่เศร้าโศก เปรียบดังโลกได้รับการรักษา หมดกิเลสดุจธุลีชั่วชีวา ทั้งโลกนี้โลกหน้าสุขสำราญ
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
 มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ มงคลที่ ๓๘ จิตเกษม (เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ** จิตเกษม คือปลอดภัยจากกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้ผ่องใสไม่เผาผลาญ เพราะกิเลสถูกทำลายจนแหลกลาญ ด้วยโยคะสี่ประการถูกตัดไป
** โยคะคือเครื่องผูกให้สังขาร ต้องวนเวียนทรมานในห้วงใหญ่ คือวัฏฏะสงสารที่กว้างไกล ต้องขจัดให้ได้จะร่มเย็น
** “กามโยคะ” เครื่องผูกคือความใคร่ หรือพอใจกามคุณวุ่นเหลือเข็ญ มีความอยากในรูปรสทุกประเด็น และกลิ่นเสียงก็ไม่เว้นอีกมากมาย
** “ภวโยคะ” เครื่องผูกคือความยินดี เพราะอยากเป็นอยากมีอย่างเหลือหลาย ติดในภพคือเกิดแก่และตาย ต้องวุ่ยวายวนเวียนเปลี่ยนไปมา
** “ทิฏฐิโยคะ” เครื่องผูกคือความเห็น เห็นผิดเป็นเรื่องถูกเศร้าหนักหนา ตัวอย่างเช่นเห็นสังขารเป็นอัตตา หรือเห็นว่าสังขารเที่ยงแน่นอน
** “อวิชชาโยคะ” คือความบอด ขาดปัญญาพาวายวอดสุดทอดถอน ไม่รู้เหตุไม่รู้ผลทนร้าวรอน ชีวิตต้องสั่นคลอนนอนไม่ลง
** โยคะนี้เปรียบได้เชือกสี่เกลียว ผูกรัดอย่างแน่นเหนียวให้ไหลหลง ในโลกีย์วิสัยอย่างมั่นคง หนีจากวงล้อมของภัยไม่ได้เลย
** ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จวบสูญฟ้าสิ้นดินอย่านิ่งเฉย รีบตัดขาดจากโยคะจะเสบย หวังเกาะเกยสวรรค์ชั้นวิมาน
** จิตเกษมเป็นมงคลกุศลนัก ปราศจากทุกข์สุขประจักษ์ทุกสถาน เป็นสาวกที่สมบูรณ์ควรกราบกราน เป็นแบบอย่างของวงศ์วานองค์พุทธา
** หมดเหตุและปัจจัยแห่งการเกิด เป็นสิ่งที่ประเสริฐเกินจักหา พบขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกา สูงคุณค่าที่สุดดุจจักรวาล

ธรรมะมีค่าดังทอง
** อดีตกาลผ่านมาหลายพันปี ณ กรุงพาราณสีอันไพศาล มีชาวนาคนขยันทำการงาน ไม่ปล่อยเวลาผ่านอย่างเลื่อนลอย
** ได้จับจองที่ดินซึ่งรกร้าง เป็นที่ดินปล่อยว่างไม่ใช้สอย เพื่อถากถางเป็นที่นาไว้รอคอย ปลูกข้าวกล้าพอได้พลอยอาศัยกิน
** อันที่ว่างแห่งนี้มีประวัติ ปรากฏชัดของเศรษฐีดังถวิล ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนบนที่ดิน จวบจนได้ย้ายถิ่นเมื่อก่อนนั้น
** ชายหนุ่มได้ออกไปเพื่อไถนา เป็นประจำทุกวันมาอย่างมุ่งมั่น ครั้นวันหนึ่งเกิดเหตุอัศจรรย์ ผานไถชะงักงันหยุดทันที
** คล้ายกับติดท่อนไม้ที่ฝังอยู่ เพราะอยากรู้รีบขุดอย่างเร็วรี่ พบแล้วจึงรีบคว้าไม่รอรี เอ๊ะ....มันทองหรือนี่น่าแปลกจัง
** ตามประวัติกล่าวว่าทองคำนี้ เป็นของท่านเศรษฐีในหนหลัง ด้วยกลัวจะไม่ปลอดภัยต้องระวัง จึงได้ฝังเอาไว้ให้ไกลตา
** ชายชาวนาตั้งใจเอากลับบ้าน แต่แท่งใหญ่เกินการราวหินผา จึงแบ่งเป็นสี่ส่วนด้วยเจตนา จะจัดสรรให้คุ้มค่าตามสมควร
** ส่วนที่หนึ่งขายนำทรัพย์มาเลี้ยงตัว พร้อมทั้งเลี้ยงครอบครัวอย่างครบถ้วน ส่วนที่สองฝังไว้ไม่เรรวน ยามขัดสนได้หวนเอาไปกิน
** ส่วนที่สามเป็นทุนเพื่อค้าขาย หากำไรใช้จ่ายเพิ่มทรัพย์สิน ส่วนที่สี่ทำบุญล้างราคิน ให้ตระหนี่สูญสิ้นหมดจากใจ
** ชายชาวนาไม่บอกให้ใครรู้ การเป็นอยู่ก็เหมือนเดิมไม่หลงใหล ไม่ลืมตัวใช้จ่ายผ่องอำไพ จนใครใครคิดว่ารวยด้วยทำงาน
** พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถา ใจความว่าชนใดมีพื้นฐาน บำเพ็ญธรรมเป็นกุศลอย่างสำราญ จิตเบิกบานสดใสและร่าเริง
** ชนนั้นพึงบรรลุสิ้นสังโยชน์ เป็นประโยชน์จิตเกษมอย่ามัวเหลิง อีกโยคะทั้งหลายเปรียบดังเพลิง จะมอดไหม้สิ้นเชิงหมดเชื้อไฟ
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: มงคลชีวิต ๓๘ ประการคำกลอน
มงคล ๓๘ ประการคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ บทส่งท้าย
** หลังจากที่องค์สมเด็จพระศาสดา จบการแสดงเทศนาทรงผ่องใส รัศมีแผ่ดังทองเป็นยองใย เป็นที่พึ่งของเวไนยสัตว์ทั้งปวง
**อันหมู่เทวดาและมนุษย์ รับประโยชน์สูงสุดอย่างใหญ่หลวง ได้กระทำมงคลชื่นฉ่ำทรวง จนสำเร็จลุล่วงมีในตน
** จึงเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในทุกที่ กิเลสตัณหาไม่มีเป็นกุศล จิตสะอาดผ่องใสไร้กังวล ความมืดมนเพราะโอฆะก็มลาย
** ถึงความสุขสดใสในชีวิต ปลอดภัยจากมลพิษบาปทั้งหลาย เจริญธรรมสั่งสมบุญไม่วุ่นวาย นรกไม่กล้ำกรายหมายนิพพาน
** ทั้งหมดนี้ประโยชน์ของมงคล จะให้ผลสูงค่ามหาศาล แสนประเสริฐเลิศล้นจักรวาล พระพุทธองค์ทรงประทานเพื่อโลกา
** พระพุทธองค์ได้ตรัสเพื่อทิ้งท้าย การที่สัตว์ทั้งหลายปรารถนา ได้กระทำมงคลดังกล่าวมา เป็นผู้ปราบปัจจาให้พ่ายแพ้
** ถึงความสวัสดีทุกสถาน จะชนะหมู่มารได้แน่แน่ มีความสุขเริงรื่นชื่นดวงแด เป็นเพชรแท้ของชาวโลกโชคอำนวย
** ขอขอบคุณที่อ่านผลงานนี้ ดีไม่ดีชมว่าสละสลวย ขอให้ท่านผู้อ่านจงร่ำรวย อุดมด้วยธรรมะพระพุทธองค์
** ปรารถนาสิ่งไหนได้สิ่งนั้น สำเร็จพลันตามที่ใจประสงค์ มีฐานะการงานที่มั่นคง เงินทองจงมากมีตามที่ปอง
** ตั้งมั่นในองค์ธรรมคำสั่งสอน ของบวรพุทธศาสนาอย่าเป็นสอง ให้แสงธรรมนำส่องใจใสเรืองรอง บรรดาผองชาวไทยจงไพบูลย์

ธรรมะมีค่าดังทอง
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
|