
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑.อะไรเป็นแก่นสารในพุทธศาสนา
กาพย์สุรางคนางค์ ๓๖ (กาพย์ขับไม้)
๑.พระพุทธฯสถิตย์....ณ "เชตะฯ"ชิด....กรุงสาวัตถี
"ปิงคลโกฯ"พราหมณ์....ถาม"เหล่าครู"นาม....ชื่อกระฉ่อนดี
ครูแจ้งทวี....หรือแจ้งบ้างรี่.....หรือไม่แจ้งเลย
๒.ทรงไม่วิจารณ์.....แต่แจงธรรมซ่าน.....แก่ปิงคลฯเผย
เปรียบหาแก่นไม้....แต่ตัดกิ่ง,ใบ....นึกว่าแก่นเชย
คนที่รู้เคย....ก็จะติงเปรย....เสียประโยชน์ปลง
๓.ตัวอย่างหนึ่งไซร้....ถากสะเก็ดไม้....นึกว่าแก่นบ่ง
หรือถากกระพี้....คิดว่าแก่นชี้....ผลดีหมดลง
ถูกพิศวง....ไม่รู้แก่นตรง....จริงแท้แน่เทียว
๔.อุปมาหนึ่ง....ต้องการแก่นพึง....ก็ตัวแก่นเชี่ยว
คนจะกล่าวยิ่ง....รู้แก่น,เปลือก,กิ่ง....ทุกส่วนต้นเจียว
ต้องการแก่นเปรียว....ก็เลือกแก่นเฉี่ยว....ผลมุ่งมากมาย
๕.ดูก่อน"ปิงคลฯ"....บ้างออกบวชก่น....พ้นทุกข์สลาย
เกิด,แก่,เจ็บโศก....ทุกข์ถึงตนโชก....จึงมุ่งบวชกราย
สักการะปลาย....ชื่อเสียงฉ่อนง่าย....ยกตนเหนือใคร
๖.พุทธ์เจ้ากล่าวว่า....บุคคลนี้คว้า....เอาแต่กิ่ง,ใบ
ละเลยแก่นทิ้ง....เอาส่วนอื่นอิง....สำคัญผิดไกล
คุณธรรมหนีไป....พฤติย่อหย่อนไว....กระทำผิดราน
๗.บางคนออกบวช....สักการะยวด....มีอิ่มใจหาญ
มุ่งธรรม,ศีลบ่ม....สงฆ์อื่นถูกข่ม....ผู้อื่นศีลซาน
ตนสมาธิ์พล่าน....พุทธ์องค์เรียกขาน....เอาสะเก็ดครอง
๘.บ้างออกบวชเกิด....สักการะเจิด....ไม่เอาลาภผอง
พฤติศีลขยัน....สมาธิ์ตั้งมั่น....กว่าผู้อื่นกรอง
ธรรมเลิศอื่นพร่อง....พุทธ์องค์กล่าวพร้อง....เอาแค่เปลือกไป
๙.คนออกบวชกราบ....มิพึงในลาภ....ศีล,สมาธิ์ใส
ธรรมะทำแจ้ง...."ญาณทัสฯ"เกิดแกร่ง....ยกตนข่มไผ
ญาณยิ่งไถล....พุทธองค์ว่าไว้....เอากระพี้นา
๑๐.บ้างออกบวชลี้....สักการะมี....ไม่ต้องการหนา
ได้ศีล,สมาธิ์....และ"ญาณทัสฯ"พา....อิ่มใจไม่คว้า
มิข่มใครนา....เพียรแจ้งญาณจ้า....ยิ่งขึ้นชื่นชม
๑๑.ดูก่อน"ปิงคลฯ"....ธรรมยิ่งกว่าท้น....ญาณทัสฯสุดฉม
ภิกษุศาสน์นี้....ปฐมณานชี้....ทุติย์ฌานพรม
"ตติย์ฌาน"รมย์...."จตุต์ฌานฯ"สม...."อากาสฯฌาน"
๑๒."อากาสาฯ"ชี้....อรูปฌานคลี่.....เพ่งอากาศขาน
สู่"วิญฯ"อารมณ์....ไม่สิ้นสุดบ่ม....เข้า"อากิญฯ"งาน
มุ่งอรูปฌาน....ไม่มีใดคาน....แม้แต่น้อยเอย
๑๓."เนวสัญฯ"นี้....ไม่ใช่,ไม่มี....สัญญา,จำเผย
สู่"สัญญาฯ"ปลง....ดับสัญญาลง....มิสุข,ทุกข์เลย
"อาสวะ"เสย....สิ้นสุดลงเปรย....เพราะคุณปัญญา
๑๔.ดูปิงคลพราหมณ์.....คุณธรรมนี้หวาม....กว่า"ญาณทัสฯ"หนา
คนนี้เปรียบได้....ต้องการแก่นไป....ก็ตัดแก่นมา
พรหมจรรย์กล้า....มิใช่ลาภหล้า....มิใช่ศีลทรง
๑๕.มิใช่สมาธิ์...."ญาณทัสฯ"จะคว้า....เป็นอานิสงส์
แต่ใจหลุดพ้น....มิกำเริบก่น....เป็นแก่นสารตรง
ปิงคลพราหมณ์บ่ง....ถึงพระรัตน์ฯทรง....ตลอดชีวิน
๑๖.สรุปลาภครัน....สักการะนั้น....เหมือน"กิ่ง,ใบ"ปิ่น
สมบูรณ์ศีลไซร้....เปรียบสะเก็ดไม้....สมาธิ์,"เปลือก"ยิน
ญาณทัสฯเปรียบสิ้น....ปัญญาหลั่งริน....คือกระพี้แล
๑๗.ใจหลุดพ้นเนิบ....ไม่กลับกำเริบ....เปรียบเหมือนแก่นแท้
"อกุปปา"รื่น....มิหวั่นไหวคืน....กำลังจิตแน่
"เจโตวิมุตฯ"แพร่....จิตหลุดพ้นแผ่....ฝึกด้วยสมาธิ์ ฯ|ะ
แสงประภัสสร
ที่มา :จูฬสาโรปมสูตร ๑๒/๓๗๔
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า ๔๘-๕๐
เชตะฯ=เชตวนาราม
ปิงคลฯ,ปิงคลโกฯ=ปิงคลโกจฉะ เป็นชื่อของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงเหล่าสมณพราหมณ์ที่เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียงว่า ได้รู้แจ้งเห็นจริง,หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย,หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้
เหล่าครู=สมณพราหมณ์ข้างต้น ๖ คนซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เช่น ปูรณะ กัสสปะ, มักขลิ โคสาล, อชิตะ เกสกัมพล,ปกุธะ กัจจายนะ,สัญชัย เวสัฏฐบุตร และ นิครนนาฏบุตร
ญาณทัสสนะ=ความเห็นด้วยฌาน
ฌาน=การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ เป็น อัปปนาสมาธิ,ภาวะจิตสงบประณีตซึ่งมีสมาธิเป็นอารมณ์
ปฐมฌาน=เป็นฌานอันแรกที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ ประกอบด้วย องค์ ๕ ได้แก่ ๑)วิตก คือตรึก ๒)วิจาร คือ ตรอง ๓) ปีติ คืออิ่มใจ ๔) สุข คือสบายใจ ๕)เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง
ทุติย์ฌาน=ทุติยฌาน คือฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา
ตติย์ฌาน=ตติยฌาน คือฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข,เอกัคคตา
จตุต์ฌาน=จตุตถฌาน คือฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา,เอกัคคตา
อากาสฯฌาน=อากาสานัญจายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
วิญฯ=วิญญนัญจายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
อากิญฯ=อากิญจัญญายตนะ เป็นอรูปฌาน กำหนดว่าไม่มีอะไรแม้แต่นิดหน่อย
เนว=เนวสัญญาสัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่มีสัญญา (ความจำได้หมายรู้) ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญา ก็ไม่ใช่
สัญญาฯ=สัญญาเวทยิตนิโรธ คือสมาบัติชั้นสูงสุดในพุทธศาสนา
อาสวะ=อาสวกิเลส คือกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง ขุ่นมัวอยู่เสมอ มี ๔ คือ ๑)กาม ติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ ๒) ภพ ความติดอยู่ในภพ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ ๓) ทิฏฐิ ความเห็นผิด ความหัวดื้อรั้น ๔) อวิชชา ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา
พระรัตน์ฯ=พระรัตนตรัย
อกุปปา=ไม่กำเริบ,ไม่หวั่นไหว
เจโตวิมุตฯ=เจโตวิมุตติ คือความหลุดพ้นด้วยอำนาจของสมาธิ
(ขอบคุณเจ้าของภาพจาก อินเทอร์เน๊ต)