
"เชลล์ชวนชิม"
คือวลีของหม่อมเจ้าภีศเดช มิใช่ของม.ร.ว.ถนัดศรี
เปิดตำนานชีวิตเจ้าชายไทย ซึ่งมีพระประวัติน่าทึ่ง
ผู้ต่อสู้ชีวิตสารพัดรูปแบบจนได้ชื่อว่า "เจ้าชายยอดนักสู้"
หรืออีกนัยหนึ่ง "เจ้าชายกล้วยไม้ขาว"
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เจ้าของนามปากกา ภ.ณ ประมวญมารค
ทรงเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นของ น.ม.ส.
กวีและนักเขียนผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทยในอดีต
ทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกับพระบิดาคือ
ทรินิตี คอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
เคยเป็นเสรีไทย กุลี นายทหารอังกฤษ
ผู้ใช้ชีวิตระหกระเหินเพื่อชาติ
ที่น่าสะเทือนใจมากก็คือท่านไปเรียนที่อังกฤษนาน ๗ ปี และ
เกิดสงครามโลก ทางนี้พระบิดาสิ้นพระชนม์
โดย"ลูกชาย"ไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ พระศพ หรือดูพระทัย
ครั้นเมื่อมาพบพระมารดาและ"พี่หญิง"ของท่าน
ก็ต้องเบือนพระพักตร์หนีเกรงจะทรงทักซึ่งเสี่ยงต่อการถูกญี่ปุ่นฆ่า
ต่อมาเมื่อทรงงานที่บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย
ท่านภีศเดชทรงบัญญัติศัพท์คำ Public Relations
โดยทรงแปลเป็นไทยว่า "ประชาสัมพันธ์"
ซึ่งเมื่อ ๕๐ กว่าปีก่อนยังไม่มีใครรู้จัก
ท่านจึงทรงเป็นนักประชาสัมพันธ์คนแรก
เจ้าของวลี "ไปได้สวย ไปด้วยเชลล์"
ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดรายการเชลล์ชวนชิม
และทรงมอบหมายให้ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์
เป็นผู้ตระเวณชิมอาหารรสดีทั่วไทย
แล้วนำมาเผยแพร่ทางหน้าหนังสือพิมพ์
ม.จ.ภีศเดชทรงมีความสามารถพิเศษด้าน
ต่อเรือใบ เคยเป็น Crew(ลูกเรือ) และเป็น"ครู" (ผู้สอน)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ เกี่ยวกับเรื่องเรือใบ
ซึ่งภายหลัง ร.๙ รับสั่งถึงสาเหตุที่ทรงเรือใบว่า
"..เพราะท่านภีฯมายั่วให้เล่น"
จากนั้นท่านภีก็ตามเสด็จ ร.๙ ขึ้นไปคลุกคลีกับชาวไทยภูเขา
เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนเหล่านั้นให้หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้
ท่านภีดำรงตำแหน่ง "ประธานมูลนิธิโครงการหลวง"
ความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งคือ
ท่านและพระชายา ม.ร.ว.ดัชรีรัชนา เป็นเจ้าของห้องอาหารรสดี
"กัลปพฤกษ์"ที่ถูกปากและคุ้นลิ้นคนไทยมาช้านาน
เพื่อความเข้าใจของเยาวชนสมัยนี้ ขอย้อนหลังเล่าว่า
หม่อมเจ้าภีศเดชทรงเป็นพระโอรสองค์สุดท้องของ
น.ม.ส.(พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
กับ หม่อมเจ้าพรพิมลพรรณ(วรวรรณ) รัชนี
พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
ท่านภีทรงมีพระเชษฐภคินี(พี่สาว)ร่วมพระบิดามารดาเดียวกันคือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต (ว.ณ ประมวญมารค)
ซึ่งสิ้นชีพิตักษัยขณะกำลังปฏิบัติราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี
น.ม.ส.พระบิดาของท่านภีมีพระนามเดิมว่า
พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
ทรงเป็นพระโอรสกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ฝ่ายหน้า
รับพระบัณฑูรที่พระมหาอุปราช
ซึ่งทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ
(มีพระนามลำลองว่า ยอร์ช วอชิงตัน)
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ซึ่งทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี)
พระราชอนุชาร่วมพระชนกชนนีเดียวกันของ ร.๔
ซึ่งทรงสนิทเสน่หามากถึงขนาดให้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์
เท่าเทียมกับพระองค์
และหากจะย้อนอดีตขึ้นไปอีก
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็คือ
พระราชโอรสของ ร.๒
น.ม.ส.ทรงเป็นกวีและนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงมาก
ทรงเป็นคนฉลาดและเรียนดี
ทรงเป็นนักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
แต่ยังไม่ทันรับปริญญาก็ถูกเรียกกลับมารับราชการสำคัญ
ในช่วงที่ประเทศสยามกำลังเปลี่ยนเงินตราจากเหรียญพดด้วงเป็นธนบัตร
ทรงมีผลงานที่เลื่องลือคือ
สามกรุง กนกนคร จดหมายจางวางหร่ำ
นิทานเวตาล อัตชีวประวัติ
ทรงออกหนังสือพิมพ์ชื่อ "ประมวญมารค"(หนังสือเล่ม)
ประมวญสาร(หนังสือรายสัปดาห์) กับ ประมวญวัน(น.ส.พ.รายวัน)
ทรงเป็นเจ้าของคอลั่มน์"ผสมผสาน"
ที่ประชาชนยุคนั้นติดกันเกรียวกราว
ท่านภีศเดชทรงหลงใหลเรือใบและการแล่นใบมาก ทรงเล่าว่า
"น้าโอ๋(พระมัญชุวาที)สอนให้ต่อเรือใบชื่อ"นางลม"
พอชักใบหลัง ใบหน้า ให้คนปล่อยเชือกผูกเรือ
โบกมือยิ้มอำลาน้าที่มาส่ง แล้วดึงใบถือท้ายเอาเรือออกจากฝั่ง
ผมก็สดชื่น มีชีวิตชีวา เต้นเบาๆไปบนคลื่นฉันใด เรือก็ฉันนั้น
ผมรู้สึกตัวว่าใจเต้น อยากยิ้มทั้งๆที่ยิ้มคนเดียว
พันธะที่ผมโยงไว้กับโลก เช่น
งานบ้าน ครอบครัว ก็ถูกปลดออก
เหลือแต่น้ำ คลื่น ลม เรือ และผม.."
ท่านภีศเดชทรงมีพระชนมายุยืนยาวถึง ๑๐๐ พรรษา
ประสูติเมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๔๖๕
สิ้นชีพิตักษัย ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
ท่านเคยถวายงานใกล้ชิด ร.๙ มาโดยตลอด
ตั้งแต่ทรงดำรงพระอิสริยยศพระราชอนุชาใน ร.๘
ท่านมีพระอนุสรณ์รำลึกถึง ร.๙ โดยทรงเล่าว่า
"ทรงเป็นกันเองและพระราชทานความสนิทสนม
ทรงชวนผมต่อเรือ แล่นใบ หลังทรงต่อเรือเสร็จ
มักรับสั่งชวนผมเป็นเพื่อนคุยกับพระองค์จนดึกดื่นเป็นประจำ
คืนหนึ่ง พระองค์กับผมกำลังง่วนแต่งไม้ที่จะเป็นกระดูกงูเรือใบกันอยู่
ทันใดนั้นเกิดมีเสียงระเบิดตูมๆ ตามด้วยเสียงรัวยังกับปืนกล
ผมนึกในใจว่า คงจะเกิดรัฐประหารหรืออย่างไร
เสียงดังใกล้พระตำหนักจิตรลดาเสียด้วย
แต่เอ...คิดอีกทีก็ไม่น่าจะใช่เสียงระเบิดหรือปืน
คิดได้ผมก็พลิกข้อมือดูนาฬิกา เลยทราบว่า
ที่แท้เสียงที่ได้ยินคือเสียงพลุฉลองปีใหม่ที่เขาดิน
ว่าแล้วผมก็ก้มลงกราบพระบาทและถวายพระพรปีใหม่"
"ผมกราบพระบาทพระองค์เป็นคนแรกไม่รู้สักกี่หน
ไม่ว่าวันปีใหม่ วันเฉลิมพระชนมพรรษา
พระองค์ประทับอยู่กับผมโดยไม่มีคนอื่นเลย
ผมปลื้มใจมาก ตอนอายุ ๙๐ รับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าฯ ที่ศิริราช
เพื่อพระราชทานน้ำสังข์ และให้พรวันเกิด
พระสุรเสียงไม่ดังมาก และรับสั่งช้าๆ
แล้วมีพระราชปฏิสันถารกับผมอยู่ตั้ง ๓ ชั่วโมง
เวลาเข้าเฝ้าพระองค์ จะตรัสเรื่องเก่าๆ
รับสั่งถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
และทุกเรื่องที่ทรงพระเกษมสำราญ"
"ต่อไปนี้ แม้จะไม่มีพระองค์อีกต่อไปแล้ว
แต่ผมและทุกคนในโครงการหลวงก็ร่วมใจกัน
ตั้งใจกันทำงานถวายพระองค์ตลอดไป"
หากมองย้อนหลังไปในปี ๒๕๑๒
ไทยประสบปัญหาเรื่องยาเสพติด
เนื่องจากชาวเขาในภาคเหนือนืยมปลูกฝิ่นเพื่อยังชีพ
ร.๙ จึงทรงก่อตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์
มีพระบรมราโชบายให้ชาวเขาร่วมมือกันกำจัดฝิ่นโดยสันติวิธี
และพระราชทานพระราชดำริให้ชาวเขาหันมาปลูกพืชที่มีประโยชน์
และมีรายได้ดีเช่น ท้อ พลับ สตรอเบอรี่ ผักและดอกไม้เมืองหนาว
โดยท่านภีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ
และตามเสด็จเมื่อทรงงานอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และดำรงพระอิสริยยศ
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ จนขึ้นเสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ทรงอ่อนพระชัณษาท่านภีเพียงเล็กน้อย
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในพระทัยของท่านภี คือ
ถวายงานด้านโครงการหลวงจนได้รับความสำเร็จอย่างงดงามและยิ่งใหญ่
ท่านภีศเดชเป็นหม่อมเจ้าองค์สุดท้ายในราชสกุลรัชนี
และเป็นพระนัดดาองค์สุดท้ายในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
เก็บความจาก:-
-wikiwand.com
"ชีวิตชั้นๆ" (พระนิพนธ์ในม.จ.ภีศเดช รัชนี)
-Hellomag.com