
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๔๒.ต้องเป็นผู้รู้ ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้
กาพย์มหาตุรงคธาวี
๑."อาสวะ".......คือกิเลสปะ.......อยู่ ณ จิตอันเศร้า
พุทธองค์....ทรงบ่งตัดเกลา....อาสวะ....ผู้จะรู้และเห็นหนา
ผู้ไม่เห็น......ไม่รู้จะเว้น......ประโยชน์เร้นทุกครา
รู้,เห็นใด....อาสฯไซร้มักพร่า...."โยนิโสฯ"....ใจโขคิดแยบคายจริง
๒."อโยนิฯ"........ไม่แยบคายริ.......อาส์ฯจิเกิดมากยิ่ง
ใจแยบคาย....อาสฯกรายมิสิง....ที่เกิดแล้ว....ก็แคล้วคลาดลดหมดไป
อาสวะ......พึงทิ้งเลิกละ......."ทัสส์นะ"กระจ่างไข
อาสวะ....อาจละก็ได้....ด้วย"สังวร"....การจรสำรวมทยอย
๓.อาสวะ........ที่พึงเลิกคละ.......เรื่อง"ปฏิฯ"ใช้สอย
หรือเพียรริ...."อธิวาส"พลอย....คืออดทน....ข่มล้นใจอย่ากังวล
การงดเว้น.......อาส์วะลดเด่น......."ปริฯ"เน้นเกิดผล
อาสวะ....ควรละทิ้งพ้น...."วิโนท์นะ"....จงยะยั้งให้น้อยลง
๔.อาสวะ.......ตัดหมดแน่ละ.......ด้วยปะ"ภาว์นา"ส่ง
หลายวิธี....จะชี้ความปลง....มีเจ็ดอย่าง....พฤติพลางกิเลสทลาย
หนึ่งลิได้........"ทัสส์นะ"เห็นไว......ชนไม่ชาญธรรมผาย
ไม่รู้ดี....ธรรมที่เลิศพราย....แต่ใส่ใจ....คลอใฝ่ธรรมที่ไม่ควร
๕.ไม่เหมาะสม......เอาใจใส่ชม........สามตรมกิเลสพรวน
"กามาฯ"อยาก....ถอนรากทิ้งด่วน...."ภวาฯ"ชอบ....ถูกครอบติดในภพนาน
"อวิชชา".......ไม่รู้จริงหนา........สามว่าเกิดมากขาน
และเจริญ....ชนเพลินยึดซ่าน....เรียก"อโยฯ"....ใจโผล่มิคิดแยบคาย
๖.ตรงข้ามย่ำ.......ชนใส่ใจธรรม.......ควรพร่ำตัด"อาสฯ"หาย
ทั้ง"กามาฯ"...."ภวาฯ"จะหน่าย...."อวิชช์ฯ"ไซร้....ยังไม่เกิดก็คงเดิม
เมื่อเกิดแล้ว......ละได้หมดแน่ว......"โยนิฯ"แผ้วจะเจิม
ใจแยบคาย....เห็นง่ายถูกเสริม....คำสอนสั่ง....ละ"สังโยชน์สาม"สุขนา
๗.ชนใส่ใจ......มิแยบคายไว......สงสัยสิ่งต่างหนา
เคยเกิดแล้ว....หรือแคล้วเกิดมา....ในอดีต....ที่ขีดไว้ยาวนานไกล
เกิดเป็นใด.......เกิดเป็นอย่างไร.......ในอดีตกาลนานไข
เกิดเป็นไร....แล้วไซร้เกิดไหน....อีกไหมหนอ....ผ่านรอมาแล้วอีกยาว
๘.เกิดอีกหรือ.......จักไม่เกิดครือ......ข้างหน้าหรือเกิดพราว
จักเกิดเป็น....ใดเด่นสกาว....เกิดอย่างไร....กาลไกลข้างหน้าเนิ่นนาน
เราจักเกิด.......เป็นอะไรเพริศ.......ไปเลิศอย่างใดขาน
ปัจจุบัน....นึกหวั่นดวงมาน....สงสัยเรา....ใจเฝ้าคิดมิได้เป็น
๙.เป็นอะไร......เราเป็นอย่างใด......จากไหนสัตว์เกิดเห็น
เราจะไป....เกิดไกลอย่างเช่น....ที่ไหนหนอ....เขาจ่อสงสัยมากมาย
เมื่อใส่ใจ......โดยไม่แยบคาย......"ทิฏฐิ"ร้ายหกปลาย
ความเห็นมั่น....เกิดพลันเข้ากราย.....เห็นเป็นจริง....อย่างยิ่งบันดาลทุกข์รน
๑๐.ความเห็นนำ......."อัตตา"ตนย้ำ......ตนซ้ำเรามีผล
เห็นมั่นว่า...."อัตตา"ตัวตน....เราไม่มี....ยึดรี่อย่างเหนียวแน่นคง
ยอมจำว่า......อัตตาชี้หนา......อัตตาเป็นแน่วตรง
ยอมจำว่า....นัตตา,ตัวบ่ง....เป็นอนัตฯ....ที่ชัดไม่ใช่ตนตัว
๑๑.หรือ"เห็น"เฝ้า.......อัตตาของเรา.......ผู้เฝ้าพูด,รู้กลัว
ย่อมรับผล.....กรรมก่นดี,ชั่ว....อัตตาเรา....คิดเขลาว่าเที่ยงยั่งยืน
เป็นเช่นนั้น.......มิเปลี่ยนแปรผัน.......เหมือนครันสิ่งคงอื่น
"ทิฐิ์คตะ"....หลักจะเห็นดื่น....เป็นเห็นผิด.....เนืองนิตย์ไม่ตรงความจริง
๑๒."ทิฏฐิ์คหะฯ".......ยึดถือมั่นปะ......อารมณ์นะมิทิ้ง
ถือผิดเที่ยง....เหมือนเลี่ยงหลงกลิ้ง....เดินผิดทาง....ย่อมพรางสิ่งประเสริฐครัน
"ทิฏฐิ์กันตาฯ".......เห็นทางยากหา......เห็นว่าเป็นภัยพรั่น
"ทิฏฐิ์วิสุฯ"....เห็นปรุแย้งพลัน....เป็นข้าศึก....ข้อตรึก"สัมมาทิฏฐิ์"เอย
๑๓."ทิฏฐิ์วิปฯ"นั้น......เห็นเปลี่ยนผวนผัน......สิ่งอันเที่ยงแน่เผย
บางคราวเห็น....สิ่งเป็น"สูญ"เปรย....ความเห็นผิด....ทำจิตพลิกแปรระคน
"ทิฏฐิ์สังโยชน์ฯ".......เครื่องผูกมัดโลด......ขันธ์โฉดเป็นของตน
ร่างกาย,ใจ....นี้ใช่ตนล้น....เป็นของเรา....คงเฝ้าอยู่กับเรานาน
๑๔.พุทธ์องค์กล่าว......พลาดฟังธรรมสาว.......ทิฏฐิยาวมัดผลาญ
ย่อมไม่พ้น...."เกิด"ด้น"แก่"ราน....ตาย,เศร้าโศก....วิโยคทุกข์ใจ,ทุกข์กาย
แต่ฟังธรรม......พระอริยะล้ำ......พระธรรมใส่ใจผาย
ไม่ใส่ใจ....ธรรมไม่เหมาะกราย....กิเลสเกิด....และเพริศเจริญรุดนา
๑๕.พุทธ์เจ้าชี้.......ไม่ใส่ใจนี้.......ธรรมคลี่แบบใดหนา
คือธรรมที่....ทำรี่"กามาฯ"...."ภวาฯ"เปิด....บังเกิด"อวิชชาฯ"ตรม
ที่เกิดแล้ว.....ขยายมากแนว......ต้องแผ่วใส่ใจสม
ควรใส่ใจ....ธรรมใดที่คม....อาสวะ....ไม่ปะเกิดแล้วละไกล
๑๖.เขาใส่ใจ......ธรรมถูกแล้วไซร้.....กามฯใฝ่,ภวาฯไข
"อวิชชาฯ"....สามคว้าร้างไป....เกิดไม่มี....ถ้าปรี่มาก็ตัดลง
คิดแยบคาย.......นี่คือทุกข์กลาย.......ทุกข์ร้ายทราบเหตุปลง
ดับทุกข์ลิ....ปฏิบัติส่ง...ถึงทางดับ....ทุกข์ลับลาเลิกประเทือง