Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป >> ..-๐ ญ่า : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
หน้า: [1]   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ..-๐ ญ่า : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..  (อ่าน 7878 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Black Sword
ผู้บริหารเว็บ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:65535
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 88
จำนวนกระทู้: 10568


เมื่อ มยุรธุชกางปีกฟ้อน... มวลอักษรก็ร่อนรำ


| |
..-๐ ญ่า : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..
« เมื่อ: 09, พฤศจิกายน, 2561, 11:42:12 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: ..-๐ ญ่า : อังคาร กัลยาณพงศ์ ๐-..

ขอบคุณรูปภาพจาก Internet ผลงานของ อ. ประเทือง เอมเจริญ


ญ่า


          สายัณห์หนึ่งในวสันตฤดู  ฝนหายพรายเมฆขาวสะอาด  สุมทุมพุ่มไม้เขียวชะอุ่มลออสดใส  ดวงตะวันยอแสงรุ้งลงกินน้ำ  เบื้องหลังภูเขาสูงลมโชยแมกไม้ยูงยางสลัดน้ำฝนลงแพรวพราย  เป็นชนบทเปล่าเปลี่ยวห่างไกลจากตัวเมือง

          หญิงชราร่างหง่อม  อาศัยกระท่อมเก่า ๆ  กลางไร่ร้าง  นางมีผมเหมือนสีหมอกดอกเลา  ใบหน้านั้นย่นและแห้งเหี่ยว  เว้นแต่แววตายังวาวแต่ก็ราวกะเวลาโพล้เพล้  อายุขัยแปดสิบเศษ  หลังนั้นค่อมลงมากแล้ว

          นางอยู่ในวัยของ  ญ่า  ไร้ญาติขาดมิตร  เก็บผักหักฟืนขายเลี้ยงชีพมาช้านาน  เวลานี้ร่างกายผ่ายผอมลง และเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ  อดมื้อกินมื้อ  อยู่มาวันหนึ่ง  เพิ่งหายไข้  อยากจะกินข้าวกะแกงเลียงยอดผักหญ้า  จึงออกจากกระท่อมเที่ยวเก็บผัก  เห็นยอดตำลึงไหว ๆ  ฉะอ้อนกระแสลม  พอจะเอื้อมเด็ดเถาตำลึงหนึ่งร้องว่า

          ญ่าเก็บฉันก่อนเถอะ  เถานั้นเป็นน้องสาว  รอไว้พรุ่งนี้  บางทีเธออาจจะมีเรื่องสนทนาปราศรัยกะญ่าบ้างก็ได้  นางให้พิศวงงงงวยเป็นที่สุด  แต่ก็แข็งใจตอบไปว่า  แน่แท้หรอกเจ้า  ฝูงคนทั้งแผ่นดินนั้นมีพรุ่งนี้  แต่เฉพาะญ่าแล้ว  วันนี้เป็นวันสุดท้ายเสมอ  ไม่แน่นอนนักพอไก่ขันล่วงสามยามปลาย  ญ่าอาจจะสิ้นลมก็ได้  เกือบตายมาหลายหนแล้ว  วันนี้จึงอยากจะขอกินแกงเลียงให้ชื่นใจสักหน่อยเถอะ

          ยอดกระถินถามนางบ้างว่า  ญ่ามีข้าวสารหรือเปล่า  เออ  พอมีบ้างซื้อไว้สี่ห้าทะนานหลายวันแล้ว  เหลืออยู่สักทะนานกว่า ๆ  แต่ข้าวเป็นมอดต้องเก็บมอดทิ้ง  กะว่าจะได้หุงก็ตอนเข้าไต้เข้าไฟ  โพล้เพล้นี่แหละ

          พอหญิงชราพูดขาดคำ  มะละกอสุกงอมเหลืองอร่าม  ร้องบอกเสียงสั่นเครือว่า  ญ่าเอาผลอันสุกงอมของฉันไปกินก่อนเถอะ  นางยังไม่วายพิศวง  กล่าวขอบอกขอบใจในพืชพันธุ์เหล่านั้นเป็นล้นพ้น

          มะละกอบอกซ้ำว่า  ญ่าเอาผลของฉันไปกินก่อนเถอะ  แรงโอสถบางอย่างจะล้างลำไส้ของญ่าให้สะอาด  แล้วให้ญ่าทำใจให้สบาย  ลืมวิตกกังวลจนสิ้นเชิง  รื่นอารมณ์ชมชื่นในแสงรุ้งตะวันทั้งเจ็ดสี  ตื่นแต่เช้าหายใจอากาศสดบริสุทธิ์ไว้ต้อนรับอุษาเทพเจ้า  อ่อนไท้จะประทานประกายปีติทิพย์มาให้ญ่า  จะยืดอายุขัยออกไปอีก  ญ่าจะมีวันพรุ่งนี้สืบเนื่องไปตามแรงปรารถนาของหัวใจ

          นางถามว่า  ทำไม  ต้นไม้จึงพูดได้เล่า  วันก่อน ๆ  ก็เห็นนิ่งเป็นใบ้อยู่ทั้งสิ้นหรือชะรอยเจ้าจะมีน้ำใจ  ซ่อนเร้นอยู่อย่างลี้ลับลึกซึ้งดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  มีเมตตาธรรมกว้างขวางหนักหนา  ทำให้ญ่าดีอกดีใจจนเกิดปีติเป็นแรงทิพย์มีกำลังวังชาสดชื่นขึ้น

          บัดดลนั้น  พฤกษชาติในไร่เปรย ๆ  ประสานเสียงขึ้นพร้อมกันว่า  ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์  แต่อุปนิสัยใจคออันคับแคบตระหนี่ถี่เหนียวของมนุษย์  มิได้มีอิทธิพลเหนือเราเลย  เราไม่เอาอย่างจริต  มารยาสาไถย
 ของมนุษย์เป็นอันขาด  เว้นจากญ่าแล้วเราก็มิได้พูดด้วย  เราเห็นญ่าถูกทอดทิ้ง  ขาดน้ำใจจากสังคมมนุษย์  จึงสุดที่จะสมเพชเวทนาอดวาจาไว้มิได้

          ที่จริง  เทพเจ้า  ก็ได้ประทานดวงวิญญาณแก่สรรพสิ่งทั้งหลาย แต่เรารักจะเป็นใบ้  ถึงจะมีภาษาก็เสมือนหามีไม่  ซึ่งบางครั้งเราก็สนทนากันบ้าง แต่ภาษานั้น  ลี้ลับลึกซึ้งจนเกินหูสามัญมนุษย์จะล่วงรู้ถึง  ครั้งแรกเราหลงว่าญ่าจะสิ้นลมในคืนนี้  แต่โชคดีเหลือเกินที่รู้ว่า  ญ่าเกิดแรงยินดีมีปีติเป็นทิพย์เท่ากับยาอายุวัฒนะ  ทำให้ญ่ายืดอายุขัยออกไปอีกนานทีเดียว  นางนิ่งฟังวังเวงใจ  ทันใดยอดผักบุ้งในสระหลังกระท่อมพูดขึ้นบ้างว่า

          ญ่าจ๋า  ฉันจะแตกยอดให้ญ่าเก็บไปขายที่ตลาดทุก ๆ วัน  ภายหน้าผู้คนจะมากมายขึ้น  ฉันจะมีราคาแพงขึ้นบ้างละ  แล้วญ่าช่วยตีฆ้องร้องป่าวไปด้วยว่า  ผักบุ้งเป็นโอสถวิเศษ  กินแล้วช่วยให้สายตาดีขึ้นมากด้วย

          หญิงชราตื้นตันใจ  จนน้ำตาพร่าพรายลงอาบแก้ม  ก้มกราบกับแผ่นดิน  ขอบใจในบุญคุณพระแม่ธรณี  และผักหญ้าพฤกษชาติเป็นล้นพ้น  แล้วออกปากว่า  ญ่าให้รู้สึกเกรงอกเกรงใจเต็มที

          เวลาเก็บเจ้าไปขายนั้นนะ  เจ้าไม่เจ็บปวดบ้างเลยหรือ  ยอดผักบุ้งไหว ๆ  หัวเราะแล้วตอบว่า  เทพเจ้าเท่านั้นที่มีน้ำพระทัยประเสริฐเลิศล้ำ  ญ่าคิดหรือว่าถ้าเทพเจ้าสร้างประสาทมาในผักหญ้านานาพันธุ์ไม้ไว้รู้สึก  แผ่นดินนี้จะระงมไปด้วยเสียงคร่ำครวญ  บาดเจ็บ  สาหัส  จากผลการกระทำของมนุษย์ทุกคืนวัน  ที่ฉันพูดได้ รู้สึกระลึกได้  เหตุด้วยแรงจากดวงวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์

          โชคดีมาก  ต้นไม้ทั้งหลายไม่มีประสาทไว้รู้สึกเจ็บปวด  ถ้าสู้ความทุกข์ระทมขมขื่นไม่ได้ก็ตายไปเลย  ขอให้ญ่าเก็บฉันไปขายเถอะ  ฉันยินดีจะงอกงามขึ้นใหม่เสมอ

          หลังจากวันนั้น  ผักบุ้งในสระก็ทอดยอดงดงาม  หญิงชราเก็บไปขายที่ตลาดพอได้เงินซื้อข้าวซื้อกับกิน  ครองชีวิตในกระท่อมเก่า ๆ  จากบางตับผุขาดจนเห็นแสงดาวระยับย้อยมาตามช่องโหว่นั้น  ดาวไถก็คล้อยฟ้าไปแล้ว  กบเขียดร้องเสียงใสเป็นเวลาดึกสงัด

          ขณะนี้หญิงชราล้มเจ็บป่วย  เป็นมาเลเรียมาหลายวันแล้วพิษไข้ขึ้นสูง  ให้หูอื้อ  ตาลาย  ละเมอเพ้อเจ้อ  อากาศแปรปรวน  อบอ้าว  เมฆสีหม่นหมองมาบดบังจันทร์  กระแสลมเริ่มพัดจนรุนแรงจัดขึ้นเป็นวายุกล้า  หวั่นไหวไกวเมือง  หมู่ไม้เสมือนชิงช้ากลางสายฝน  สายฟ้าแลบแปลบปลาบ  แล้วฟาดเปรี้ยงสนั่นลั่นโลก  หญิงชราตกใจสลบไปร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำฝน  ล่วงไปหลายนาฬิกาฝนก็ซาหาย  ฟ้าจวนสางแสงเงินแสงทอง  เสียงโประดก  นกหกร้องร่าเริงอยู่แจ้ว ๆ

          นางฟื้นขึ้นแล้ว  พิษไข้กลับย้อนซ้ำอีก  อนิจจา  ละเมอเพ้อสิ้นสติ  หลงใหลลงเก็บผักบุ้ง  ยอดผักบุ้งร้องบอกว่า  ญ่าอย่าลงมา ๆ  มีงูร้ายอยู่ริมสระ  มันกำลังร่านคู่ประสมพันธุ์กัน  แต่นางไม่ได้ยินเสียงอันหวังดีนั้น  ดุ่มเดินลงไป

          บังเอิญ  ถึงคราวเคราะห์ร้าย  เหยียบปลายหางงูเห่าฉกรรจ์  งูตกใจฉกกัดเอาเต็มที่  ฝังสองเขี้ยวพิษไว้เต็มแรง นางรู้สึกเสียวปลาบที่หลังเท้า  ก็เอามือลูบคลำ  งูกัดซ้ำเข้าที่มือจึงรู้สึกตัวว่าถูกงูกัด  ก็พลันตกใจสิ้นสติ  เป็นลมล้มลงขอบสระนั้น  มินานนักฤทธิ์อันร้ายแรงของอสรพิษ  ก็ทวนกระแสโลหิตในวัยชราอันมีกำลังต้านทานน้อยเหลือเกินเร่งฝ่ากระแสโลหิตเข้าสู่ห้องหัวใจ  ดับแรงเต้นของชีพจรให้วอดวายลง  หญิงชราก็สิ้นลม  แต่ตานั้นลืมโพลงราวจะเป็นห่วงถึงผักหญ้าพฤกษาลดามาลย์  เสมือนมิตรสหายอันยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้  เสี้ยวจันทร์เจ้าข้างแรมทอแสงหรุบหรู่ลับทิวไม้ไปแล้ว  ฟ้าสาง  สายฝนก็หายนานอากาศสงบยะเยือกเย็นลง  จนวิเวกวังเวง  น้ำค้างเผาะ ๆ  บนใบไม้  เหลือแต่ดาวดวงหนึ่งระยับระย้าอยู่ในห้วงสวรรค์อันบริสุทธิ์

          ถ้าแม้ใครมีหูทิพย์  ก็จะได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากพฤกษาลดามาลย์ในไร่นั้น  ยอดผักบุ้ง  มะละกอ  กระถิน และเถาตำลึงก็ครวญคร่ำร่ำไห้

          ดอกไม้เล็ก ๆ  เสียงสั่นว่า  พี่พฤกษชาติทั้งหลายเอย  ฉันเสียใจ  หมายมั่นไว้ว่าจะบานแย้มดอกสีม่วงใสในเช้านี้  ถ้าญ่าได้เห็นสีอันสวยสดงดงาม  จะทำให้บรรเทาความเจ็บป่วยลงบ้าง  น่าเสียดายเหลือเกิน  ตำลึงว่าดูเถอะนั่น  ฝูงมดคันไฟกำลังรุมแทะกินลูกตาดำ ๆ  ของญ่า  มันรุมกินกันเป็นกลุ่ม ๆ  จนเป็นก้อน  ไม่กี่วันอสุภซากนั้นจะเน่าพอง  แร้งกาจะมาจิกกิน  กระดูกจะเรี่ยรายกลิ้งกระจายกลางทรายดิน  นึกน่าสมเพชเวทนานักหนาแล้ว

          ขาดคำรำพึงรำพัน  เถาตำลึงก็ซ้ำร่ำไห้  สะอึกสะอื้นจนเกิดน้ำตาขึ้นกลางเกษรของดอกสีขาวนวลละออง  น้ำนั้นละลายปนกับน้ำค้าง  หยดหยาดระรินลงราวกับกระแสทุกข์โศกาดูร  หลั่งไหลไว้อาลัยหญิงชราผู้ลาโลก  จากลับแล้วชั่วนิจนิรันดร


อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ กวีนิพนธ์ ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๔๐))


รายนามผู้เยี่ยมชม : ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลมหนาว ในสายหมอก, รพีกาญจน์, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, กรกช, เอกราช, Toom Na

บันทึกการเข้า

รวมบทกลอน "ที่นี่เมืองไทย..."
รวมบทกลอน "ร้อยบุปผา"
รวมบทประพันธ์ทั่วไป "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์กลบท "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์ฉันท์ "Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
กลอนสุภาษิต-คำพังเพย-สำนวนไทย บ้านกลอนน้อย
ลานอักษร มยุรธุชบูรพา
..

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.431 วินาที กับ 45 คำสั่ง
กำลังโหลด...