Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 60642 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #150 เมื่อ: 23, กรกฎาคม, 2568, 03:12:40 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

  ๔๖.หากใครซิตู่วะพระพุทธ์ฯ.......................นิรรุดกะญาณจั่ว
มิได้ละทิฏฐิเลาะมัว.......................................จะลุต่ำนรกแฉ

  ๔๗.ก็สาริบุตรสุตะหนา................................เพราะตถาฯจะกล่าวแล้
กำเนิดซิสัตว์เจาะคละแน่...............................จตุแบบ,ก็ในไข่

  ๔๘.สังเสทชะ,ครรภ์และเจาะหนา................."อุปะปาฯ"สิผุดไว
สิเกิดเพราะกรรมดลไข.................................อสุร์กายและเทพ,พรหม

  ๔๙.ผิใครเจาะตู่วะพระองค์..........................นิรบ่งกะญาณสม
ไม่เลิกสิทิฏฐิลุตรม........................................ภวหน้านรกผลาญ

  ๕๐.พุทธ์เจ้าสิกล่าวคติชัด............................กุอุบัติกะสัตว์พาน
ก็ทางซิหลังมรขาน........................................จตุมี"นรก"เอย

  ๕๑."ดิรฯกะเปรต"และมนุษย์........................ภวสุดก็"เทพ"เอ่ย
พุทธ์องค์ซิรู้จะเกาะเกย.................................และเผชิญนรกหนา

  ๕๒.พุทธ์เจ้าซิทราบมรคา.............................ก็นรา ณ โลกหล้า
กระทำสิใดจรพา...........................................เจาะ ณ โลกมนุษย์แฉ

  ๕๓.พระพุทธะรู้ก็วิถี.....................................รุจิรี่สวรรค์แน่
พฤติตนสิใดยุรแท้.........................................มรแล้วสวรรค์จ่อ

  ๕๔.พุทธ์เจ้าตริทราบวตผ่าน.........................นิรวาณประเสริฐส่อ
จะไร้กิเลสประลุก่อ........................................ภวญาณเจาะปัญญา

  ๕๕.ตถาฯซิรู้หฤทัย......................................นฤไซร้จะทำฝ่า
ได้พฤติกะสิ่งอฆะหนา....................................มรน่าอบายครัน

  ๕๖.พุทธ์องค์สิตามจรลี................................ลุเลาะรี่ซิดูพลัน
ปะเขาสิทุกข์ทุษะดั้น......................................ปะทะเวทนากล้า

  ๕๗.ลุหล่นซิหลุมจุพระเพลิง..........................นิรเบิ่งกะควันนา
หลุมลึกก็สูงวธหนา........................................ตะมิตายมิสิ้นสูญ

  ๕๘.พุทธ์องค์เจาะผู้นยะดี.............................มรชี้มนุษย์คูณ
เสาะดูก็เขาสุขะพูน........................................เจาะสบายซิมากมาย

  ๕๙.พระองค์ตระหนักหฤทัย..........................นฤใฝ่ประพฤติกราย
ตายแล้วเจาะสรวงศุภะฉาย.............................ก็เสวยซิสุขเดียว

  ๖๐.กำหนดหทัยระบุเขา................................วตเคล้าพระธรรมเคี่ยว
สิน่าจะได้ประลุเปรียว......................................ก็มิช้ากิเลสถอน

  ๖๑.สิเขาก็ถึงนิรวาณ.....................................รยะผ่านระเร็วช้อน
"เจโตวิมุตติ"ขจร.............................................กะลุ"ปัญวิมุติฯ"เผย

  ๖๒.หมดซึ่งกิเลสตริประหวั่น..........................เพราะเจาะปัญญะยิ่งเอ่ย
ณ ปัจจุบันรติเชย...........................................สุขะเวทนาฉาน

  ๖๓.ตถาฯซิตรัสวจสม...................................วตะพรหมจรรย์ชาญ
ทำกิจประเสริฐจตุพาน....................................ตบะเยี่ยมกับอาหาร

  ๖๔.ข้าว,รำและพืชบริโภค.............................จะโฉลกซิกำยาน
เสาะนุ่งซิผ้าชิระพาน.......................................ก็เสาะผ้าซิห่อศพ

  ๖๕.ประพฤติและถือมทชี้..............................ก็ธุลีเกาะกายครบ
นานปีมิน้อยนิรจบ...........................................สิมิคิดจะปัดไกล

  ๖๖.สำรวมระวังวปุกาย..................................มิขยายกะกรรมใหม่
ตริว่าธุลีชิวิไซร้...............................................จะละวางและนิ่งเฉย

  ๖๗.ประพฤติวะเกลียดอฆะเยี่ยม....................สติเปี่ยมละฆ่าเอ่ย
แม้สัตว์กระจิดสิปะเอย....................................ริเพราะชังวะบาปไว

  ๖๘.พฤติเงียบสงัด ณ อรัญ............................วสะดั้นมิยลใคร
และหวังสิใครเสาะเจอะได้...............................ผิเจอะรีบผละเร้นหนี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #151 เมื่อ: 24, กรกฎาคม, 2568, 09:44:09 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

  ๖๙.ผิสัตว์เจอะคน ณ วนา.....................จะริฝ่าสิไกลปรี่
เหมือนพรหมจรรย์วสะรี่..........................ลุสงบซิยอดหนา

  ๗๐.เข้าอยู่พนาก็นรา.............................ซิริ"ราคะ"ล้นพา
จะมักเจาะกลัวภยมา...............................ตริอุเบกฯสิวางเฉย

  ๗๑.สิพราหมณ์จะคิดบริสุทธิ์..................ก็จะรุดเพราะภัตรเอ่ย
พุทราเสาะหนึ่งก็เสวย..............................วปุซูบและผอมครอง

  ๗๒.ลูบท้องก็เจอเจอะกระดูก..................จะแตะถูกหลังปะหนังท้อง
ผิลูบซิขนพหุผอง.....................................ก็จะเน่าและร่วงหล่น

  ๗๓.พระพุทธะกล่าวกะพระสาฯ...............พหุกล้าเจาะพราหมณ์ดล
คิดทิฏฐิ,ภัตรหิตะผล................................ชระดื่นสะอาดชัด

  ๗๔.ไม่เป็นสิเลยเพราะตถาฯ...................มิลุกล้ากะญาณทัสส์ฯ
มิมีวิเศษอติจัด.........................................ก็ซิเหนือมนุษย์ไข

  ๗๕.มิใช่สิทางปฏิบัติ...............................ทุระชัดกะตนไย
เหตุที่กระทำเพราะวะไร้............................นิรปัญญะเลิศล้ำ

  ๗๖.บัดนี้ตถาฯประลุแล้ว.........................ก็จะแน่วแนะสัตว์ย้ำ
นราสิตามเจาะกระทำ...............................อนทุกข์เจาะสุขนาน

  ๗๗.พระพุทธะตรัสกะพระสาฯ.................วทะว่าเพราะพราหมณ์พาน
มีทิฏฐิเห็นชระฉาน....................................เพราะเจาะวัฏฏะมีเชย

  ๗๘.พุทธ์องค์ซิตรัสเจาะอุบัติ....................เลาะลุชัดซิเกิดเอ่ย
พระองค์ตระเวณพหุเผย............................ภวภูมิมิช่วยแล

  ๗๙.ก็เว้นตะ"สุทฯ"สุจิดื่น...........................นิรคืน ณ โลกแล
เวียนเกิดมิใช่จะลุแท้..................................ก็มิมีสะอาดหนา

  ๘๐.พราหมณ์กล่าวสะอาดจะเจาะได้.........เพราะริไซร้ซิเกิดนา
ตะเกิดมนุษย์มิปะพา...................................สิตริหวังมิมีทาง

  ๘๑.ก็พราหมณ์สิคิดบริสุทธิ์.......................เพราะเจาะรุดอะวาสลาง
ขันธ์หลายซิรูปสิจะขวาง.............................ก็กุเกิดซิยากเอย

  ๘๒.ยัญบูชะช่วยศุจิล้ำ..............................ก็กระทำมิง่ายเลย
สิบูชะไฟดุจะเผย........................................มิสะอาดซิแน่แล

  ๘๓.ผิพราหมณ์เห็นยุวชน...........................อธิผลสิเก่งกล้า
วัยร้อยเจาะเสื่อมชิระแฉ..............................เจาะริตรัสมิคิดถอย

  ๘๔.วัยเรา"อสีติ"ลุปรก...............................พระสะวก"สตัง"ร้อย
ยังเพียรสิเรียนสติช้อย................................ริเจาะปัญญะเยี่ยมแฉ

  ๘๕.ผิพลธนูปะทะยิง..................................ก็ลุจริงซิชาญแท้
ดั่งศิษย์สิเราดุจะแท้.....................................ธิติเยี่ยมนะปัญญา

  ๘๖.พวกเธอกุถาม"สติปัฏฐ์ฯ"......................ก็จะจัดและตอบนา
ระลึกจะแจ้งธุวหนา......................................มิเจาะถามซิเกินสอง

  ๘๗.เพราะธรรมะเราปริยาย.........................ลุขยายและพ้นตรอง
ปัญหาก็จบประลุผ่อง....................................บริษัทเจาะร้อยปี

  ๘๘.แล้วจึงลุสิ้นมรณา.................................ผิลุนาและถามคลี่
ก็ปัญญะพุทธะเลาะชี้....................................จะมิแปรสิแน่เอย

  ๘๙.กุกล่าววะสัตว์ภวใฝ่..............................มทไร้อุบัติเอ่ย
ในโลกริเกื้อหิตะเชย.....................................กะมนุษย์และเทวา

  ๙๐.ก่อสุขประชานิรทุกข์.............................เหมาะเจาะรุกสิเรียกหนา
"ตถาฯ"นะเองกรุณา......................................นยสอนนิกรแล

  ๙๑.ก็ปัญญะค้นอริย์สัจจ์.............................ก็ริชัดพระคุณแฉ
ทรงตัดกิเลสลิเลาะแน่...................................บริสุทธิ์สงบใส


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #152 เมื่อ: 24, กรกฎาคม, 2568, 03:31:25 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๕/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

  ๙๒.เรียกพุทธะคุณติริจุน.......................สิพระคุณประชาไท
พระนาคฯสิยินสุตะพร่ำ............................ตริพระธรรมซิอัศ์จรรย์

  ๙๓.พระธรรมสิฟังเหมาะเจาะแล้ว...........ระดะแน่วซิขนชัน
ธรรมชื่ออะไรดลพลัน..............................มิริยินปะมาฉาย

  ๙๔.ขนลุกระเร็วรติหนา..........................พระตถาฯแนะจำง่าย
ก็"โลมฯ"ซิเรื่องอธิบาย.............................และพระนาคฯก็ชมเผย

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๒.มหาสีหนาทสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=12

เวสาฯ = เมืองเวสาลี
สุนักฯ = สุนักขัตตลิจฉวี เป็นโอรสของ เจ้าลิจฉวี แคว้นวัชชี
ญาณฯ = ญาณทัสสนะที่ประเสริฐ หมายถึงมหัคคตโลกุตตรปัญญา(ปัญญาชั้นโลกุตตระที่ถึงความเป็นใหญ่) อันประเสริฐ บริสุทธิ์ สูงสุด สามารถกำจัดกิเลสได้
ธรรมของมนุษย์ = ในที่นี้หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ทางแห่งกุศลกรรม, ทางทำความดี, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติ มีหัวข้อย่อ ดังนี้
ก) กายกรรม ๓ - การกระทำทางกาย
(๑) ปาณาติปาตา เวรมณี - เว้นจากปลงชีวิต
(เวรมณี แปลว่า เจตนาที่ทำให้เว้น, การกระทำที่ว่างจากการคิดเบียดเบียนชีวิต)
(๒) อทินนาทานา เวรมณี - เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้โดยอาการขโมย
(๓) กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี - เว้นจากประพฤติผิดในกาม
ข) วจีกรรม ๔ - การกระทำทางวาจา
(๔) มุสาวาทา เวรมณี - เว้นจากพูดเท็จ
(๕) ปิสุณาย วาจาย เวรมณี - เว้นจากพูดส่อเสียด
(๖) ผรุสาย วาจาย เวรมณี - เว้นจากพูดคำหยาบ
(๗) สัมผัปปลาปา เวรมณี - เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ
ค) มโนกรรม ๓ - การกระทำทางใจ
(๘) อนภิชฌา - ความไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา
(๙) อพยาบาท - ความไม่คิดร้ายผู้อื่น
(๑๐) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ถูกต้องตามคลองธรรม
พระสาฯ = พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศปัญญา ของ พระโคตมะพุทธเจ้า
โมฆะบุรุษ = แปลว่า บุคคลผู้ว่างเปล่า ไร้แก่นสาร ไม่ก่อประโยชน์ทั้งส่วนตนแลส่วนรวม ดังพุทธวจน "ดูก่อนกัสสปะ อะไรอื่นเป็นต้นว่า ปฐวีธาตุ หาทำให้พระสัทธรรมเสื่อมได้ไม่ แต่สิ่งที่ทำให้พระสัทธรรมเสื่อมก็คือ "โมฆะบุรุษ" ที่เกิดขึ้นในศาสนานี้นี่เอง "
กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ = เป็นเหตุให้
ก) ปฏิญญาฐานะที่องอาจ คือ ฐานะที่องอาจ (อาสภะ)  หมายถึงฐานะที่ประเสริฐที่สุด  หรือฐานะของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดในปางก่อน (คำว่า อาสภะ เป็นชื่อโคจ่าฝูงของโคจำนวนมากตั้ง ๑๐๐ ตัว ๑,๐๐๐ ตัว ๑๐๐ คอก ๑,๐๐๐ คอก มีสีขาว น่าดู มีกำลังสามารถนำภาระหนักยิ่งไปได้ ยืนหยัดด้วยเท้าทั้ง ๔ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงฟ้าร้องตั้ง ๑๐๐ ครั้ง พระตถาคตเปรียบเหมือนโคอุสภะ คือ ประทับยืนข่มบริษัททั้ง ๘ ได้อย่างมั่นคงด้วพระบาท (ฐานะ) คือ เวสารัชชญาณ ๔ ประการ ไม่มีปัจจามิตรใดในโลกและเทวโลกที่สามารถทำให้พระองค์หวั่นไหวได้
ข) บันลือสีหนาท =ในที่นี้หมายถึงตรัสพระวาจาด้วยท่าทีองอาจดังพญาราชสีห์ ไม่ทรงหวั่นเกรงผู้ใด เพราะทรงมั่นพระทัยในศีล สมาธิ ปัญญาของพระองค์
ค) ประกาศพรหมจักร ๔
(๑) พรหมจักร ๔ คือ ธรรมจักรอันประเสริฐ ยอดเยี่ยม บริสุทธิ์ มี ๒ ประการ
(๑.๑) ปฏิเวธญาณ ได้แก่ญาณระดับโลกุตตระ แสดงถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า (๑.๒) เทสนาญาณ ได้แก่ ญาณระดับโลกิยะ แสดงถึงพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า ญาณทั้ง ๒ นี้ชื่อว่าโอรสญาณ (ญาณส่วนพระองค์) มีเฉพาะพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ไม่มีแก่คนทั่วไป
ง) บริษัท ๘ = บริษัท คือ หมู่, คณะ, ที่ประชุม ในที่นี้ คือ (๑) ขัตติยบริษัท (๒) พราหมณบริษัท (๓) คหบดีบริษัท (๔) สมณบริษัท (๕) จาตุมหาราชบริษัท (๖) ดาวดึงสบริษัท (สวรรค์ชั้นที่ ๒ แห่งสวรรค์ใน ๖ ชั้น) (๗) มารบริษัท (๘) พรหมบริษัท


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #153 เมื่อ: 25, กรกฎาคม, 2568, 09:16:47 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

มหัคคตจิต = จิตที่ถึงความเป็นใหญ่ หมายถึง รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง และอรูปาวจรจิต ๑๒ ดวงรวมเป็นมหัคคตจิต ๒๗ ดวงที่ได้ชื่อว่า เป็นจิตที่ถึงความเป็นใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ตลอดเวลาที่มหัคคตจิตเกิดขึ้นเป็นกระแสฌาน สามารถเข้าสมาบัติเพื่อระงับความทุกข์กายและถ้าฌานไม่เสื่อม มีผลเป็นครุกรรมนำเกิดในรูปพรหมภูมิ และอรูปพรหมภูมิ
ตถาคต = คือพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้หลายนัย คือ
(๑) ผู้เสด็จมาอย่างนั้น (๒) ผู้เสด็จไปอย่างนั้น (๓) ผู้เสด็จมาสู่ลักษณะที่แท้ (๔) ผู้ตรัสรู้ธรรมที่แท้จริง ตามที่เป็นจริง (๕) ผู้ทรงรู้เห็นอารมณ์ที่แท้จริง (๖) ผู้มีพระวาจาที่แท้จริง (๗) ผู้ตรัสอย่างไรทรงทำอย่างนั้น (๘) ผู้ทรงครอบงำ
กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑) ตถาคตรู้ชัดฐานะ = ในที่นี้หมายถึงเหตุและปัจจัย ที่เรียกว่า “ฐานะ” เพราะเป็นแดนตั้งขึ้น เกิดขึ้น และเป็นไปแห่งผลโดยเป็นฐานะ และอฐานะในโลกนี้ตามความเป็นจริง จึงเป็นกำลังของตถาคตที่ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๒) ตถาคตรู้ชัดวิบากแห่งการยึดถือกรรมที่เป็นทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันโดยฐานะ โดยเหตุตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของตถาคตที่จะ ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักร ในบริษัท
(๓) ตถาคตรู้ชัดปฏิปทาที่ให้ถึงภูมิทั้งปวง ในที่นี้หมายถึงคติที่ควรไป(คติ) และคติที่ไม่ควรไป(อคติ) นี้เป็นกำลังที่จะปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๔) ตถาคตรู้ชัดโลกที่มีธาตุหลายชนิด ในที่นี้หมายถึงธาตุ ๑๘ มีจักขุธาตุเป็นต้น นี้เป็นกำลังของตถาคตที่จะปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๕) ตถาคตรู้ชัดว่าหมู่สัตว์เป็นผู้มีอัธยาศัยต่างกันตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของตถาคตที่จะปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๖) ตถาคตรู้ชัดว่าสัตว์เหล่าอื่น และบุคคลเหล่าอื่นมีอินทรีย์แก่กล้า และอินทรีย์อ่อนตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของตถาคตที่ตถาคตอาศัยแล้ว ปฏิญญา ฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๗) ตถาคตรู้ชัดความเศร้าหมอง (หมายถึงธรรมฝ่ายเสื่อม ได้แก่ กาม วิตก วิจาร และปีติ เป็นต้น ที่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญฌานตามลำดับขั้นของผู้ที่มีฌานยังไม่คล่องแคล่ว) ตามความเป็นจริง การที่ตถาคตรู้ชัดความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้วแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ และการออกจากฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของตถาคตที่ตถาคตอาศัยแล้ว ปฏิญญาฐานะที่องอาจบันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๘) ตถาคตระลึกถึงชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง ๓ ชาติบ้าง ๔ ชาติบ้าง ๕ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาติบ้าง ๓๐ ชาติบ้าง ๔๐ ชาติบ้าง ๕๐ ชาติบ้าง ๑๐๐ ชาติบ้าง ๑,๐๐๐ ชาติบ้าง ๑๐๐,๐๐๐ ชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง วิวัฏฏกัปบ้างว่า ‘ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มี วรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นก็ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นแล้วจึงมาเกิดในภพนี้’ ตถาคตระลึกชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ การที่ตถาคตระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง ฯลฯพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ นี้เป็นกำลังของตถาคตที่ตถาคตอาศัยแล้ว ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๙) ตถาคตเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ(เคลื่อน) กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า ‘หมู่สัตว์ที่ประกอบ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำตามความเห็นผิด พวกเขาหลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่หมู่สัตว์ที่ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ไม่กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นชอบ และชักชวนผู้อื่นให้ทำตามความเห็นชอบ พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นกำลังของตถาคตที่ตถาคตอาศัยแล้วปฏิญญาฐานะที่องอาจบันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
(๑๐) ตถาคตทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน นี้เป็นกำลังของตถาคตที่ตถาคตอาศัยแล้ว ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท
ภิกษุทั้งหลาย กำลังของตถาคต ๑๐ ประการนี้แล ที่ตถาคตมีแล้ว เป็นเหตุให้ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #154 เมื่อ: 25, กรกฎาคม, 2568, 03:13:17 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗ /๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

ธาตุ ๑๘ = คือสิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง ตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นไปธรรมดา ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาล และมีรูปแบบจำเพาะตัว อันพึงกำหนดเอาเป็นหลักได้แต่ละอย่างๆ
(๑) จักขุธาตุ - ธาตุคือจักขุปสาท (๒) รูปธาตุ - ธาตุคือรูปารมณ์ (๓) จักขุวิญญาณธาตุ - ธาตุคือจักขุวิญญาณ (๔) โสตธาตุ - ธาตุคือโสตปสาท (๕) สัททธาตุ - ธาตุคือสัททารมณ์ (๖) โสตวิญญาณธาตุ - ธาตุคือโสตวิญญาณ (๗) ฆานธาตุ - ธาตุคือฆานปสาท (๘) คันธธาตุ - ธาตุคือคันธารมณ์ (๙) ฆานวิญญาณธาตุ - ธาตุคือฆานวิญญาณ (๑๐) ชิวหาธาตุ - ธาตุคือชิวหาปสาท (๑๑) รสธาตุ - ธาตุคือรสารมณ์ (๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ - ธาตุคือชิวหาวิญญาณ (๑๓) กายธาตุ - ธาตุคือกายปสา (๑๔) โผฏฐัพพธาตุ - ธาตุคือโผฏฐัพพารมณ์ (๑๕) กายวิญญาณธาตุ - ธาตุคือกายวิญญาณ (๑๖) มโนธาตุ (ธาตุคือมโน (๑๗) ธรรมธาตุ - ธาตุคือธรรมารมณ์ (๑๘) มโนวิญญาณธาตุ - ธาตุคือมโนวิญญาณ
อินทรีย์ ๒๒= คือ สิ่งที่เป็นใหญ่ในการทำกิจของตน คือ ทำให้ธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามตน ในกิจนั้นๆ ในขณะที่เป็นไปอยู่นั้น
หมวดที่ ๑
(๑) จักขุนทรีย์ - อินทรีย์ คือ จักขุปสาท (๒) โสตินทรีย์ - อินทรีย์ คือ โสตปสาท (๓) ฆานินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ฆานปสาท (๔) ชิวหินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ชิวหาปสาท (๕) กายินทรีย์ - อินทรีย์ คือ กายปสาท (๖) มนินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ใจ ได้แก่ จิต ที่จำแนกเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ก็ตาม
หมวดที่ ๒
(๗) อิตถินทรีย์ - อินทรีย์ คือ อิตถีภาวะ (๘) ปุริสินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ปุริสภาวะ (๙) ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ชีวิต
หมวดที่ ๓
(๑๐) สุขินทรีย์ - อินทรีย์ คือ สุขเวทนา (๑๑) ทุกขินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ทุกขเวทนา (๑๒) โสมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์ คือ โสมนัสสเวทนา
(๑๓) โทมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์ คือ โทมนัสสเวทนา (๑๔) อุเปกขินทรีย์ - อินทรีย์ คือ อุเบกขาเวทนา
หมวดที่ ๔
(๑๕) สัทธินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ศรัทธา (๑๖) วิริยินทรีย์ - อินทรีย์ คือ วิริยะ (๑๗) สตินทรีย์ - อินทรีย์ คือ สติ (๑๘) สมาธินทรีย์ - อินทรีย์ คือ สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตา (๑๙) ปัญญินทรีย์ - อินทรีย์ คือ ปัญญา
หมวดที่ ๕
(๒๐) อนัญญาตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ - อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ (๒๑) อัญญินทรีย์ - อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ ๖ ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ (๒๒) อัญญาตาวินทรีย์ - อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ
ความผ่องแผ้ว = หมายถึงธรรมฝ่ายเจริญ ได้แก่ การสงัดจากกาม การระงับวิตกวิจาร การจางคลายไปแห่งปีติเป็นต้น ซึ่งเป็นคุณค่าต่อการเจริญฌานให้ยิ่งขึ้นไป
สมาบัติ = คือ อนุปุพพสมาบัติ ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
และสัญญาเวทยิตนิโรธ ๑
วิโมกข์ ๘ =ความหลุดพ้น, ภาวะที่จิตปลอดพ้นจากสิ่งรบกวนและน้อมดิ่งเข้าไปในอารมณ์นั้นๆ อย่างปล่อยตัวเต็มที่ ซึ่งเป็นไปในขั้นตอนต่างๆ
(๑) ผู้มีรูป มองเห็นรูปทั้งหลาย (ได้แก่ รูปฌาน ๔ ของผู้ได้ฌานโดยเจริญกสิณที่กำหนดวัตถุในกายของตน เช่น สีผม
(๒) ผู้มีอรูปสัญญาภายใน มองเห็นรูปทั้งหลายภายนอก ได้แก่ รูปฌาน ๔ ของผู้ได้ฌานโดยเจริญกสิณกำหนดอารมณ์ภายนอก
(๓) ผู้น้อมใจดิ่งไปว่า “งาม” ได้แก่ ฌานของผู้เจริญวรรณกสิณ กำหนดสีที่งามหรือเจริญอัปปมัญญา
(๔) เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ โดยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้
(๕) เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ โดยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
(๖) เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ โดยมนสิการว่า ไม่มีอะไรเลย
(๗) เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่
(๘) เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
ฌาน = หมายถึงฌาน ๔ (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน) 
สมาธิ ๓ = คือ
(๑)สวิตักกสวิจารสมาธิ (สมาธิที่มีวิตกและวิจาร)
(๒) อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร)
(๓) อวิตักกาวิจารสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร)
สังวัฏฏกัป = คือ กัปที่กำลังเสื่อมลง มี ๓ คือ
(๑) เตโชสังวัฏฏกัป - กัปที่พินาศไปเพราะไฟ (๒) อาโปสังวัฏฏกัป - กัปที่พินาศไปเพราะน้ำ (๓) วาโยสังวัฏฏกัป - กัปที่พินาศไปเพราะลม


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #155 เมื่อ: 26, กรกฎาคม, 2568, 05:33:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๘/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

เขตแดนแห่งสังวัฏฏกัปมี ๓ =
คือ ชั้นอาภัสสระ, ชั้นสุภกิณหะ, ชั้นเวหัปผละ
(๑) ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะไฟ, ในกาลนั้น โลกย่อมถูกไฟเผา ภายใต้ตั้งแต่ชั้นอาภัสสระลงมา
(๒) ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะน้ำ ในกาลนั้น โลกย่อมถูกน้ำทำลายให้แหลกเหลวไป ภายใต้ตั้งแต่ชั้นสุภกิณหะลงมา
(๓)ในกาลใด กัปย่อมพินาศไปเพราะลม, ในกาลนั้น โลกย่อมถูกลมพัดให้กระจัดกระจายไป ภายใต้ตั้งแต่ชั้นเวหัปผละลงมา
วิวัฏฏกัป = กัปที่กำลังเจริญขึ้น
อบาย ๔= ภพที่หาความสุขได้ยาก ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดียรฉาน
สวรรค์ = ภพที่มีความสุขมาก เหนือชั้นมนุษย์ มีอยู่ ๖ ชั้น
เจโตวิมุตติ =ความหลุดพ้นแห่งจิต ด้วยกำลังแห่งสมาธิ
ปัญญาวิมุตติ = ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากจากอวิชชา, ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง
เวสารัชชญาณ = ญาณเป็นเหตุให้แกล้วกล้า ๔ ประการนี้
ที่ตถาคตมีแล้วเป็นเหตุให้ปฏิญญา(ยืนยัน)ฐานะที่องอาจ,บันลือสีหนาท, ประกาศพรหมจักร,ในบริษัท
เวสารัชชญาณของตถาคต ๔ ประการ = อะไรบ้าง คือ
(๑) เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า “สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า ‘ท่านปฏิญญาว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ธรรมเหล่านี้ท่านก็ยังไม่รู้” เราเมื่อไม่เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษม ไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่
   (๒) เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า “สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า ‘ท่านปฏิญญาว่าเป็นพระขีณาสพ อาสวะเหล่านี้ของท่านก็ยังไม่สิ้นไป” เราเมื่อไม่เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษม ไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #156 เมื่อ: 27, กรกฎาคม, 2568, 05:24:25 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๙/๙) ๔๐.มหาสีหนาทสูตร

(๓) เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า “สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า ‘อันตรายิกธรรม(คือ ธรรมที่เป็นอันตรายต่อการบรรลมรรคผล ได้แก่ อาบัติ ๗ กอง ซึ่งเป็นโทษ) ที่ท่านกล่าวไว้ไม่อาจก่ออันตรายแก่ผู้เสพได้จริง” เราเมื่อไม่เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษม ไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่
   (๔) เราไม่เห็นนิมิตนี้ว่า “สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจักทักท้วงเราด้วยคำพูดที่มีเหตุผลในธรรมนั้นว่า ‘ท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชน์อย่างใด ประโยชน์อย่างนั้นไม่สำเร็จเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ทำตามได้จริง” เราเมื่อไม่เห็นนิมิตแม้นี้จึงถึงความเกษมไม่มีความกลัว แกล้วกล้าอยู่
ภิกษุทั้งหลาย เวสารัชชญาณ ๔ ประการนี้แลที่ตถาคตมีแล้วเป็นเหตุให้ปฏิญญาฐานะที่องอาจ บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักรในบริษัท
กำเนิด ๔ = คือ
(๑) กำเนิดอัณฑชะ - การเกิดในไข่ (๒) กำเนิดชลาพุชะ - การเกิดในครรภ์ (๓) กำเนิดสังเสทชะ - การเกิดในเถ้าไคลหรือที่ชื้นแฉะ (๔) กำเนิดโอปปาติกะ - การเกิดผุดขึ้น
คติ ๕ = คือ
(๑) นรก (๒) กำเนิดดิรัจฉาน (๓) เปตวิสัย    (๔) มนุษย์ (๕) เทวดา
ประพฤติพรหมจรรย์ = คือ ความประพฤติประเสริฐ มีนัย ๑๒ ประการ คือ
(๑) ทาน - การให้ (๒) ไวยาวัจจะ - การขวนขวายช่วยเหลือ (๓) ปัญจสิกขาบท ศีลห้า (๔) พรหมวิหาร - การประพฤติพรหมวิหาร (๕)ธรรมเทศนา (๖) เมถุนวิรัติ การงดเว้นจากการเสพเมถุน (๗) สทารสันโดษ ความยินดีเฉพาะคู่ครองของตน (๘) อุโปสถังคะ - องค์อุโบสถ (๙) อริยมรรค - ทางอันประเสริฐ (๑๐) ศาสนาที่รวมไตรสิกขา (๑๑) อัธยาศัย (๑๒) วิริยะ - ความเพียร แต่ในที่นี้หมายถึงวิริยะ เหตุที่ตรัสพรหมจรรย์นี้ เพราะสุนักขัตตะโอรสเจ้าลิจฉวีเป็นผู้มีความเชื่อว่า ‘บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการประพฤติทุกกรกิริยา’ ทรงมุ่งขจัดความเชื่อนั้น มีองค์ ๔ คือ
(๑) เราเป็นผู้บำเพ็ญตบะ และเป็นผู้บำเพ็ญตบะอย่างยอดเยี่ยม
(๒) เราเป็นผู้ประพฤติถือสิ่งเศร้าหมอง และเป็นผู้ประพฤติถือสิ่ง
เศร้าหมองอย่างยอดเยี่ยม
(๓) เราเป็นผู้ประพฤติรังเกียจ(บาป) และเป็นผู้ประพฤติรังเกียจบาป
อย่างยอดเยี่ยม
(๔) เราเป็นผู้ประพฤติสงัด และเป็นผู้ประพฤติสงัดอย่างยอดเยี่ยม
ชื่อว่า มีสติ = เพราะสามารถเล่าเรียนตั้ง ๑๐๐ บท ๑,๐๐๐ บท
ชื่อว่า มีคติ = เพราะสามารถทรงจำและรวบรวมเรียบเรียงไว้ได้
ชื่อว่า มีธิติ = เพราะมีความเพียรที่สามารถทำการสาธยายสิ่งที่เล่าเรียนมา ทรงจำมาไว้ได้
สุทฯ = สุทธาวาส คือ ที่เกิดของพระอนาคามี ได้แก่ พรหม ๕ ชั้นที่สูงสุดในขั้นรูปาวจร คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา
อสีติ =แปดสิบ
สตัง =หนึ่งร้อย
อะวาส = อาวาส หมายถึงขันธ์
สติปัฏฐ์ = สติปัฏฐาน ๔
คือ ความตั้งมั่นในการระลึกรู้อารมณ์ที่เป็นฝ่ายดี มีความหมายโดยเฉพาะถึงอารมณ์อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งสติ ๔ ประการ ประกอบด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม มี ๔ ประเภท คือ
(๑) พิจารณาเห็นกายในกาย = คือ พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอกเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกําจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
(๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา= พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอกเนืองๆ อยู่ มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
(๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตภายใน= พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอกเนื่องๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสเสียได้ในโลก
(๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรม =  พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในและภายนอกเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
พุทธคุณ ๓ = คือ พระคุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ในโลกอย่างมาก คือ การเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการละทิ้งความสุขสบายทั้งหลายทั้งปวง เพื่อออกผนวชและแสวงหาหนทางดับทุกข์ ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวมมากกว่าสิ่งอื่นใด มี ๓ ประการ ดังนี้
(๑) พระปัญญาคุณ = พระพุทธเจ้ามีความรู้ทั้งด้านทางโลก รู้การเกิดและการตายของสัตว์โลก รู้การหลุดพ้นจากกิเลสของพระองค์ ในที่สุดพระองค์ทรงค้นพบความจริง ๔ ประการ คือ รู้ทุกข์, รู้เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ (สมุทัย), รู้ความดับทุกข์ (นิโรธ), รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)
(๒) พระบริสุทธิคุณ = พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุธรรมและหลุดพ้นจากกิเลส คือ ความอยาก (โลภ), ความเกลียด ไม่พอใจ (โกรธ), ความหลง (โมหะ), ดวงจิตของพระองค์ที่สะอาดบริสุทธิ์ สงบผ่องใส
(๓)พระกรุณาคุณ = หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วพระองค์ได้เสด็จไปสั่งสอนประชาชนให้ได้รู้พระธรรมที่พระองค์รู้แจ้งโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย พระองค์ทรงสั่งสอนคนทุกคนเสมอเหมือนกันหมดเป็นเวลา ๔๕ ปี
พระนาคฯ = พระนาคสมาละ
โลมฯ = โลมหังสนปริยาย คือ เรื่องที่ทำให้ขนลุก


รายนามผู้เยี่ยมชม : ชลนา ทิชากร, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #157 เมื่อ: 27, กรกฎาคม, 2568, 06:28:51 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๑.มหาทุกขักขันธสูตร (สูตรว่าด้วยกองทุกข์ สูตรใหญ่)

จันทรกานต์ฉันท์ ๑๕

   ๑.คราพุทธเจ้าประทับ"เชต์วันฯ".............ซิแนะครันพระสงฆ์พิจารณ์
นักบวชซินอกพระศาสน์กล่าวขาน.............วะพระองค์กะเดียรถีย์

    ๒.สอน"เวทนาและกาม,รูป"เกลื่อน..........ดุจะเหมือนมิต่างวจี
บัญญัติละทิ้งติทั้งสามนี้.............................ปฏิบัติประสงค์ไฉน

   ๓.พุทธ์องค์สิตรัสพระสงฆ์ถามหนา.........."ปริพาฯ"อะไรซิไซร้
คุณ,โทษสลัดเวทนา,รูปไว..........................มละกามปลาตมิเหลือ

   ๔.ทรงตรัสวะเดียรถีย์เคืองใจ...................ทุษะไร้วิสัยจะเอื้อ
ไม่ตอบสิรวมมนุษย์,เทพเครือ......................นฤอื่นพระพรหมและมาร

   ๕.ยกเว้นพระองค์และสาวกยิน.................สุตะสิ้นวจีประทาน
ตอบวาทะได้ประจักษ์สาน..........................ก็จะตอบสิถ้อยพิบูลย์

   ๖.ทรงตรัสอะไรซิ"คุณ"ของกาม...............เหมาะเจาะผลามก็กามะพูน
"รูป,เสียง,กะกลิ่นและรส,โผฏฯ"คูณ.............รติปรารถนาไสว

  ๗."สุข,โสมนัส"จะก่อเกิดลาม.....................เพราะเสาะกามคุณคระไล
ตรัสโทษสิกามหละหลายไปไกล..................นฤชนประกอบกะงาน

   ๘.เลี้ยงสัตว์เกษตรและค้าขายทน..............ทมะล้นสิยากสราญ
เดือดร้อนเพราะหนาวกะสัตว์ต่อยผลาญ.......ภวทุกข์เพราะเหตุซิกาม

   ๙.ถ้าชนขยันตะโภคทรัพย์ชัด....................มิอุบัติจะเศร้าจะลาม
นี้เป็นสิโทษและเหตุกามตาม.........................ผิวะเพียรลุโภคขยาย

  ๑๐.เกิดทุกข์เพราะกลัวขโมยลักแน่ว...........นิรแคล้วกะไฟมลาย
เหตุกามเจาะเกิดปรุจนวอดวาย.....................ปะทุโศกซิทรัพย์สะดุด

   ๑๑.กามเหตุวิวาทระหว่างชน......................ทะเลาะก่นซิฆาตประทุษ
เกือบตายรึตายเพราะใช้อาวุธ.......................ก็เจาะโทษซิกามผจญ

   ๑๒.สงครามก็เหตุเพราะกามก่อหนา............มรณาเจาะทุกข์ระคน
บาดเจ็บก็มีซิเห็นทุกข์ยล...............................ทุรพลซิไร้พลัง

   ๑๓.กามเหตุเจาะปล้นสดมภ์เขาโลด............ประลุโทษซิจำและขัง
ถูกทรมานและตัดมือหวัง...............................ตริระลึกมิทำขยาด

   ๑๔.บ้างตัดจมูก,และหู,นิ้ว,เท้า.....................มิทุเลาก็ตายมิพลาด
โทษกามซิแท้เจาะเห็นทุกข์ยาตร...................ภวกามซิเหตุสกล

   ๑๕.ตรัสภิกษุหลายอะไรคือตัด....................เจาะสลัดผละกามซิพ้น
ทิ้ง"ฉันทราคะ"นิพพานดล..............................ก็จะหลีกสิกามเฉลย

   ๑๖.พราหมณ์ใดมิรู้วะกามเป็นคุณ...............นิรกรุ่นวะโทษจะเกย
ไม่รู้สลัดวิธีพ้นเอย........................................จะมิรู้คละกามซิจริง

   ๑๗.ไร้ทางซิสอนนรารู้ได้............................ผิวะไซร้สิรู้เจาะยิ่ง
คุณ,โทษสลัดเลาะทิ้งกามดิ่ง..........................ก็จะชวนนิกรกระทำ

   ๑๘.ตรัส"รูป"เสาะคุณอะไรบ้างคลี่...............ก็นรีซิรุ่นเจาะนำ
ไม่อ้วนรึผอมมิดำเกินหนำ..............................ดรุณีก็งามและขาน

   ๑๙.สุข,โสมนัสเพราะงดงามหนุน.................ทวิคุณกะรูปซิพาน
แก่อายุร้อยมิเปล่งหนังยาน............................ทุษะรูปอุบัติซิแฉ

   ๒๐.สาวรุ่นตะป่วยและจมมูตรคูถ.................ผิวะพูดเพราะได้สิแล
ความงามลิหายจะแปรเปลี่ยนแท้....................ก็จะเรียกวะโทษนะเผย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #158 เมื่อ: 28, กรกฎาคม, 2568, 09:06:03 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๒) ๔๑.มหาทุ
กขักขันธสูตร

  ๒๑.สาวนี้มฤต ณ ป่าช้าพาน...................ธุวะขานก็โทษซิเอ่ย
ซากนี้ซินกเจาะจิกกินเกย.........................ก็จะเรียกวะโทษซิเข็ญ

  ๒๒.แม้ซากเลาะเหลือกระดูกย่อยชัด.......ปะกระจัดกระจายกระเด็น
อีกตัวกระดูกผุป่นแหลกเด่น......................ก็ริรู้วะโทษระกำ

  ๒๓.ใดเรียกสลัดละจาก"รูป"ครัน.............ก็เจาะ"ฉันทราคะ"พร่ำ
กำจัดคละรูปซิพ้นหมดนำ..........................รยะหนีสิรูปหละหลาย

  ๒๔.ถ้าพราหมณ์มิรู้ซิ"คุณ,โทษ"รี่.............กะ"วิธีละรูป"มิกราย
ไร้ทางจะรู้ซิรูปหลายวาย...........................นิรกล้าจะสอนซิไผ

  ๒๕.ตรัสเวทนาอะไร"คุณ"ชัด...................ปะสงัดกะกามประลัย
เว้นชั่วลุ"ฌานปฐม"ครรไล..........................เจาะ"วิตก,วิจารสุขา"

  ๒๖.พร้อมปีติใจสงบเงียบเนียน.................อนเบียนกะใครคณา
ไม่เบียนกะตนเสวยเวท์นา..........................นิรเบียนจะเป็นสิ"คุณ"

  ๒๗.เมื่อสงฆ์วิตก,วิจารดับราน..................."ทุติย์ฌานสมาธิกรุ่น
ตัดทิ้งมิเบียนก็เป็น"คุณ"หนุน......................จะเจาะปีติสุขหทัย

  ๒๘.คราปีติจาง"อุเบกขา"เหลือ.................."สติเอื้อกะสุข"ไว
สิ้นเบียนกะใครจะเป็น"คุณ"ไซร้.................."ตติย์ฌานซิไวลุพลัน

  ๒๙.เมื่อสุขละไป"อุเบกขา"ยง....................สติคงสะอาดซิพลัน
เบียดเบียนมลานจะเป็น"คุณ"สรรค์.............."จตุต์ฌาน"ลุเลิศผลิน

  ๓๐.ทรงตรัสซิโทษกะเวท์นาทาบ................ก็สภาพมิเที่ยงมิชิน
เป็นทุกข์จะผันและแปรเปลี่ยนสิ้น.................ริสลัดปลาตซิไกล

  ๓๑.ใช้"ฉันทราคะ"ตัดเวท์นา.......................พหุหนาสิหมดคระไล
รู้คุณและโทษวิธีปัดออกไส...........................ก็จะแจ้งกะเวทนา

  ๓๒.ครั้นพุทธเจ้าแสดงธรรมเหตุ..................มหเวทนาเสาะมา
เหล่าสงฆ์รตีและชื่นชมหนา...........................วทะเลิศพระศาสดา ฯ|ะ


แสงประภัสสร

ที่มา : ๓. มหาทุกขักขันธสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=13

เชต์วันฯ=เชตวันวนาราม กรุงสาวัตถี
ปริพาฯ=ปริพาชก คือนักบวชนอกศาสนาพุทธ
เดียรถีย์=นักบวชนอกศาสนา
คุณแห่งกามทั้งหลาย = คือ กามคุณ ๕ ได้แก่
(๑) รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา ชวนให้กำหนัด (๒) เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู (๓) กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก (๔) รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น (๕)โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา พาใจให้กำหนัด
การที่สุข โสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ นี้ชื่อว่าเป็นคุณแห่งกามทั้งหลาย
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก
ฌานที่ ๑-๔ = เป็นรูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
(๑) ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) ประกอบด้วย วิตก - ความตรึก; วิจาร- ความตรอง; ปิติ - ความอิ่มใจ; สุข และ เอกัคคตา -ใจมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
(๒) ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ละวิตกและวิจารได้ เหลือ ปิติ สุข เอกัคคตา
(๓) ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ละปีติได้ เหลือ สุข เอกัคคตา
(๔) จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ละสุขไป เหลือ แต่ อุเบกขา เอกัคคตา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #159 เมื่อ: 28, กรกฎาคม, 2568, 09:40:25 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม :  ๔๒.จูฬทุกขักขันธสูตร

วิเชียรภุชงคฉันท์ ๒๓

  ๑.พุทธ์เจ้าประทับอยู่.........................ณ "นิโครธาราม"
ประชิดกรุง"กบิลฯ"คาม........................เลาะแคว้นสักกะเรืองยง

  ๒.มีเจ้า"มหานาฯ"...............................วจะฝ่าพระพุทธ์องค์
ไฉน"โลภะ,โกรธ,หลง"..........................มทะงำหทัยผลาญ

  ๓.ตรัสธรรมสิภายใน...........................มิละไซร้ฤดีพาน
ซิถูกปิดจะทิ้งกราน...............................เหมาะต้องบวชละกามเฉือน

  ๔.ด้วยธรรมะภายใน...........................มิละได้จะครองเรือน
และเสพกามมิแชเชือน..........................ตริเห็นกามรตีหนา

  ๕.แม้นภิกษุเห็นจริง.............................พหุยิ่งกะปัญญา
เจาะ"กาม"ไร้รตีคว้า..............................กุทุกข์,โทษยะยิ่งหนา

  ๖.ทั้งบรรลุญาณมี..............................."สุขะ,ปีติ"ครบกล้า
ปลาต"กามละชั่ว"พา..............................จะไม่เวียนเจาะกามหนอ

  ๗.พุทธ์เจ้าริตรัสโร่...............................ขณะโพธิสัตว์จ่อ
ตริปัญญาเจาะจริงต่อ.............................มหะ"กาม"รตีน้อย

  ๘.ทุกข์มากและโทษใหญ่......................ตะก็ไกลกะฌานคล้อย
ซิฌานหนึ่งและสองสอย.........................."ปิติ,สุข"มลานกาม

  ๙.ไม่ทรงประกาศเชียร..........................จะมิเวียนเจาะกามลาม
ผิสองฌานลุแล้วผลาม.............................รึฌานเลิศสงบกว่า

  ๑๐.พร้อมปราศจากชั่ว...........................วจะจั่วละกามครา
ปฏิญญามิเวียนหา....................................เจาะกามหลายซิแน่แฉ

  ๑๑.ตรัสกับมหานาฯ...............................วรหนากะกามแท้
ก็กาม์คุณซิห้าแฉ.....................................เสาะ"รูป"เห็นรตีชม

  ๑๒."เสียง"ฟังสิหูยิน................................ภวกลิ่น"จมูก"ดม
เจาะ"รส"ชาติจะรู้สม.................................ก็"ลิ้น"ชิมอร่อยดี

  ๑๓."โผฏฐัพพะ"สัมผัส.............................ก็ถนัดกะกายชี้
ตริน่าใคร่และเปรมปรีดิ์.............................และทั้งห้าเจาะเรียกคุณ

  ๑๔.ตรัสบอกอะไรโทษ............................ภิทะโลดสิกามซุน
เสาะทุกข์หลายก็เหตุหนุน.........................ซิจากกามปะโทษกราย

  ๑๕.เลี้ยงชีพขยันงาน..............................บริการรึค้าขาย
เกษตร,อื่นเซาะวุ่นวาย...............................เสาะงุ่นง่านเพราะร้อน,หนาว

  ๑๖.ลำบากสิสัตว์กัด................................ภวชัดจะเจ็บยาว
กระหายหิวเจาะตายฉาว............................ก็เหตุกามซิโทษแฉ

  ๑๗.ชนมั่นขยันฉับ....................................นิรทรัพย์ประสิทธิ์แล้
จิเศร้าโศกและครวญแท้.............................ก็"เพียร"ไร้ประโยชน์เผย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #160 เมื่อ: 29, กรกฎาคม, 2568, 08:30:56 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๓) ๔๒.จูฬทุกขักขันธสูตร

  ๑๘.พร่ำเพ้อขยันล้น....................................อนผลประสงค์เอย
สิเป็นโทษประจักษ์เอ่ย..................................ก็เหตุกามหละหลายหนา

  ๑๙.แม้ชนขยันก่น.......................................ภคะล้นสฤษดิ์นา
ซิกลับทุกขะโศกคว้า.....................................จะรักษาซิทรัพย์คง

  ๒๐.ไม่ถูกขโมยลัก......................................บ มิจักสิหายบ่ง
มิถูกปล้นและแย่งตรง...................................ซิทายาทมิเอาผลาญ

  ๒๑.รักษาตะก็พลาด....................................จะพิลาศและโศกพาน
วะไร้ทรัพย์ซิแน่ขาน......................................ก็เหตุกามเจาะโทษหนา

  ๒๒.แม้การวิวาทกัน......................................ภิทะดั้นซิศาสตรา
กุก่อทุกขะตายมา..........................................ก็โทษผองสิกามเผย

  ๒๓.สงครามกุก่อดล.....................................นฤชนซิตายเอ่ย
ก็โทษแท้เพราะกามเคย..................................ก็เหตุแน่สิกามหนำ

  ๒๔.หมู่ชนประพฤติชั่ว..................................ทุรมัวกะกายทำ
วจีพร่ำมโนนำ................................................ซิตายแล้วนรกหนา

  ๒๕.เป็นโทษซิกามปลุก.................................พหุทุกข์ซิภพหน้า
สิกามมีพลังกล้า.............................................จะบังคับเจาะเหตุแฉ

  ๒๖.ทรงตรัสวจีพรู........................................ขณะอยู่ ณ "คิชฌฯ"แล
ริตรัสถามนิครนถ์แล้......................................เพราะเหตุใดเจาะ"ยืน"บ่ง

  ๒๗.ห้ามนั่งจะเสพทุกข์.................................มหิทุกข์และทนคง
นิครนถ์ตอบเพราะชอบตรง............................พจี"นาฏบุตรฯ"เผย

  ๒๘.นาฏ์บุตรฯจะรู้ธรรม................................วจะนำซิ"ยืน"เอ่ย
ลุ"ญาณทัสส์นะ"เห็นเชย.................................เจาะ"ตื่น,หลับและยืน,เดิน"

  ๒๙.นาฏ์บุตรฯจะเห็นผ่าน..............................ธุวะญาณตลอดเสริญ
และกล่าวว่าซิบาปเทิน....................................กระทำแล้วจะอยู่คง

  ๓๐.จงทิ้งละกรรมขืน....................................ตบะ"ยืน"กระทำยากบ่ง
สิกรรมเก่าจะหมดปลง....................................มิทำใหม่จะสิ้นกรรม

  ๓๑.ทุกข์,เวทนาสิ้น.......................................จะผลินละทุกข์หนำ
เพราะทุกข์ผองสลายนำ.................................และเหล่าข้าก็ชอบใจ

  ๓๒.ทรงถามนิครนถ์ตรึก...............................สิระลึกไฉนไซร้
ณ กาลก่อนซิชนได้........................................อุบัติเกิดสถิตย์อยู่

  ๓๓.ไม่ใช่มิมียล............................................ตะนิครนถ์ตริไม่รู้
ตถาคตริถามชู...............................................สิก่อนคนกระทำบาป

  ๓๔.หรือบาปมิทำชัด.....................................จะสลัดซิทุกข์ราบ
ละกรรมชั่วและได้ทราบ..................................กระทำดีรึไม่เคย

  ๓๕.แต่เหล่านิครนถ์กรู..................................นิรรู้อะไรเลย
พระพุทธ์ฯตรัสซิคนเอ่ย..................................ริบวชเรียนนิครนถ์แฉ

  ๓๖.คนโฉดเปรอะเลือดหนำ..........................เจาะกระทำซิชั่วแน่
และกลับมากุเกิดแล้.......................................มนุษย์โลกซิแน่เจียว


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #161 เมื่อ: 29, กรกฎาคม, 2568, 01:53:41 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๓) ๔๒.จูฬทุกขักขันธสูตร

  ๓๗.เหล่าพวกนิครนถ์ด้น...................นฤชนจะสุขเปรียว
สิด้วยทุกข์ซิแท้เทียว..........................บ จากสุขไฉนเผย

  ๓๘.สุขเกิดเพราะสุขลิ้ม....................ก็เพราะ"พิมพิสาร"เอย
กษัตริย์แห่งมคธเอ่ย...........................จะสุขกว่า"พระโคดม"

  ๓๙.ทรงตรัสนิครนถ์ตาม...................เหมาะจะถามพระองค์สม
พระองค์,พิมพิสารคม..........................ซิใครสุขสบายกัน

  ๔๐.ทรงถามนิครนถ์ชัด.....................ก็กษัตริย์จะนิ่งครัน
มิไหวติงสิหนึ่งวัน.................................ลุเจ็ดวันและคืนไหม

  ๔๑.แต่พุทธองค์พูน...........................บริบูรณ์ประสิทธิ์ไซร้
ก็เช่นนี้จะมีใคร...................................สุขีสันต์สบายหนา

  ๔๒.เหล่าหลายนิครนถ์รุด..................ก็พระพุทธ์สบายกว่า
มหานาฯรตีพา.....................................สุภาษิตพระองค์สม ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๔. จูฬทุกขักขันธสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=14

นิโครธาราม = วัดที่พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนสร้างถวาย เพื่อเป็นพุทธบูชา และรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสด็จกลับนิวัฒน์พระนคร
กบิลฯ = กรุงกบิลพัสดุ์
เจ้ามหานาฯ = พระเจ้ามหานามศากยราชา เอตทัคคะผู้ถวายทานอันประณีต มีพระราชบิดา คือ พระเจ้าอมิโตทนะ มีพระอนุชา ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายอนุรุทธะ พระองค์ได้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดา
คุณแห่งกามทั้งหลาย = คือ กามคุณ ๕ ได้แก่
(๑) รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา ชวนให้กำหนัด (๒) เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู (๓) กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก (๔) รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น (๕)โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา พาใจให้กำหนัด
การที่สุข โสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ นี้ชื่อว่าเป็นคุณแห่งกามทั้งหลาย
คิชฌฯ = เขาคิชฌกูฏ (หรือในอีกนามว่า ยอดนกแร้ง หรือ ยอดเขาเหยี่ยว)  เป็นสถานที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ กรุงราชคฤห์ ปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย เป็นแหล่งกำเนิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่อศาสนาพุทธ
นิครนถ์ = นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ที่เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตร, นักบวชในศาสนาเชน
นาฏบุตรฯ = นิครนถนาฏบุตร คณาจารย์เจ้าลัทธิคนหนึ่งในจำนวนครูทั้ง ๖ มีคนนับถือมาก มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น วรรธมานบ้าง พระมหาวีระบ้าง เป็นต้นศาสนาเชน ซึ่งยังมีอยู่ในประเทศอินเดีย
ติตถกร เจ้าลัทธิ หมายถึงคณาจารย์ ๖ คน คือ ปูรณกัสสป, มักขลิโคสาล, อชิตเกสกัมพล, ปกุทธกัจจายนะ, สัญชัยเวลัฏฐบุตร และ นิครนถนาฏบุตร
ญาณทัสส์นะ = ญาณทัสสนะ คือ การเห็น ในพุทธศาสนา หมายถึง การเห็นพระธรรมที่พระอริยเจ้าเห็น การแทงตลอดธรรมอย่างที่พระอริยเจ้าแทงตลอด การบรรลุธรรมที่ทำให้เป็นพระอริยะ การบรรลุความเป็นพระอริยะ ซึ่งก็คือปัญญานั่นเอง
พระโคดม=พระโคดมพุทธเจ้า
นิโรธสมาบัติ = หรือ สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ การเข้านิโรธ, การเข้าถึงความดับ หมายถึงการเข้าถึงความดับสัญญา (ความจำ) และเวทนา (ความรับอารมณ์) ทั้งหมด ซึ่งสามารถดับได้ถึง ๗ วัน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #162 เมื่อ: 30, กรกฎาคม, 2568, 10:21:48 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๓.เจโตขีลสูตร (สูตรว่าด้วยกิเลสที่เปรียบเหมือนตอของจิต)

กาพย์มหาตรังคนที

   ๑.พุทธ์เจ้าประทับ ณ......................เชตวันฯทรงแจงธรรมสอน
แก่สงฆ์บ่งกิเลสนอน..........................เรื่อง"ตอจิตห้า"ขัดขวางทาง
พร้อม"เครื่องมัดจิตห้า"......................สองอย่างกล้าละมิได้ผาง
สงฆ์จะไม่กระจ่าง..............................ก้าวไกลไพบูลย์ในธรรม

   ๒."เจโตขีละ"ขัด.............................ห้าตอปัดจิตเจริญหนำ
หนึ่ง,สงสัยคุณล้ำ..............................ของศาสดามีจริงไร
มีญาณรู้ทุกกาล................................จริงผ่านอดีต,กาลหน้าไหม
พระสัพพัญญูไซร้..............................รู้เลิศหล้ากว่าใครไหมแล

   ๓.สอง,สงสัยพระธรรม....................วจะล้ำพุทธ์เจ้าไยแฉ
"แปดหมื่นสี่พัน"แล้.............................ในไตรปิฎกจริงหรือเอย
ผลวิปัสสนา.......................................มีหรือหนาจะบรรลุเผย
ผลของมรรคมีเปรย............................จริงหรือภาวะนิพพานมี

   ๔.สาม,พิศวงสงฆ์.............................ตั้งบ่งในมรรค,ผลคู่สี่
ปฏิปทาปรี่..........................................ยังมีจริงหรือมิมีแล
สี่,สงสัยสิกขา.....................................สงฆ์มาเรียนมั่นมีหรือแฉ
ทั้งศีล,สมาธิ์แล้...................................และปัญญาจริงไม่จริงแล

   ๕.ห้า,โกรธเพื่อนสงฆ์ครัน.................จิตสงฆ์นั้นมิแช่มชื่นแฉ
วิตกกังวลแล้.......................................จิตไม่น้อมพร้อมมุ่งความเพียร
ห้าข้อกิเลสจิต.....................................เปรียบตอชิดขวางต้องละเตียน
เมื่อจิตน้อมวิเชียร................................ขยันเนื่องนานธรรมเจริญ

   ๖."เจตโสพันฯ"ชัด.............................เครื่องมัดผูกจิตห้าเผชิญ
หนึ่ง,ติดข้องกามเพลิน..........................มีความกำหนัด,อยาก,ยินดี
ความรัก,กระหายมาก...........................ความอยากในกายยิ่งสุขี
จิตฟุ้งมินิ่งรี่..........................................จิตมิน้อมนบความเพียรนา

   ๗.สอง,ติดข้องใน"กาย"......................มิสลายความกำหนัดหนา
สาม,ติดใน"รูป"จ้า.................................ทะยานอยากตรึงใจรูปงาม
สี่,ติดนอนเกียจคร้าน............................ไม่น้อมกรานพากเพียรผลาม
ห้า,ใจมุ่งหวังลาม...................................อยากเป็นเทพมิน้อมเพียรไกล

   ๘.เจโตฯ,เจตโสฯ................................จึงโร่ขัดขวาง,ผูกมัดใจ
ละกิเลสสิบได้.......................................สงฆ์จะงอกงามพระธรรมเอย
พุทธ์เจ้าแนะสงฆ์เพิ่ม.............................ใฝ่เสริมคุณธรรมห้าเผย
สามารถตรัสรู้เชย..................................ดุจไก่กกไข่ลูกไก่พลอย

   ๙.มี"อิทธิบาทสี่"..................................สำเร็จรี่มีเป้าหมายผล็อย
หนึ่ง,"ฉันทะ"รักช้อย...............................มั่นในสิ่งทำยิ่งพอใจ
สอง,"วิริยะ"ขยัน.....................................พากเพียรครันมิท้อแท้ไข
สาม"จิตตะ"ใฝ่........................................ตั้งใจทำสมาธิยง

๑๐.สี่,"วิมังสา"ตรอง................................พิจารณ์ถ่องถ้วนลุประสงค์
ตรวจสอบ,แก้ไขส่ง.................................ปรับปรุงคุณภาพดีเอย
เพิ่ม"อุสสโสฯ"ชื่อ....................................ธรรมกระตือรือล้นเฉลย
กำลังใจกระตุ้นเชย.................................จึงไม่คิดทดท้อในงาน ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : สุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๓๘๐ -๓๘๑


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #163 เมื่อ: 30, กรกฎาคม, 2568, 02:33:36 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๒) ๔๓.เจโตขีลสูตร

เชตวันฯ = เชตวนาราม วัดที่ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี สร้างถวาย
เจโตขีละ ๕ = คือกิเลสเปรียบเหมือนตอจิต, ความกระด้าง, ความเป็นขยะ ได้แก่
(๑) คือ เคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในศาสดา  จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อบำเพ็ญเพียร เช่น ภิกษุย่อมสงสัยในพระวรกาย หรือในพระคุณของพระศาสดา เมื่อสงสัยในพระวรกาย ย่อมสงสัยว่า พระวรกาย ชื่อว่าประดับด้วยปุริสลักษณะ ๓๒ มีอยู่ หรือไม่มีหนอ; เมื่อสงสัยในคุณ ย่อมสงสัยว่า พระสัพพัญญุตญาณซึ่งสามารถรู้อดีต อนาคตและปัจจุบัน มีอยู่ หรือไม่มีหนอ
(๒) ภิกษุเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในธรรม จิตของภิกษุนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เช่น สงสัยในปริยัติธรรม และปฏิเวธธรรม เมื่อสงสัยในปริยัติธรรม ย่อมสงสัยลว่า พระไตรปิฎกพุทธพจน์มีแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ พระพุทธพจน์นั้นมีอยู่ หรือไม่มีหนอ; สงสัยในปฏิเวธธรรม ย่อมสงสัยว่า ผลแห่งวิปัสสนา ชื่อว่ามรรค ผลของมรรค ชื่อว่านิพพาน ดังนี้ นิพพานนั้นมีอยู่ หรือไม่มีหนอ
(๓) ภิกษุเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์  จิตของภิกษุนั้น ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เช่น สงสัยว่า ชื่อว่าสงฆ์ ผู้ดำเนินตามปฏิปทาเห็น คือ ท่านผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ท่านผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ มีอยู่ หรือไม่มีหนอ
(๔) ภิกษุเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา  จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เช่น สงสัยว่า ไตรสิกขา(การฝึกฝนอบรมตนในเรื่องที่พึงศึกษา)ได้แก่ อธิสีลสิกขา, อธิจิตตสิกขา, อธิปัญญาสิกขา สิกขานั้นมีอยู่ หรือไม่มีหนอ
(๔.๑) อธิสีลสิกขา = คือ ศึกษาเรื่องศีล อบรมปฏิบัติให้ถูกต้อง การมีสติสัมปชัญญะ และอินทรีสังวร ที่จะช่วยในการระวังรักษาศีล
(๔.๒) อธิจิตตสิกขา =คือ ศึกษาเรื่องจิต อบรมจิตให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิ ได้แก่ การบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุฌานสมาบัติ
(๔.๓) อธิปัญญาสิกขา = คือ ศึกษาเรื่องอบรมตนให้เกิดปัญญาแจ่มแจ้ง ได้แก่ การบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานได้โสฬสญาณแล้วจนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
(๕) ภิกษุย่อมโกรธ มีใจไม่แช่มชื่น มีจิตอันโทสะกระทบแล้ว กระด้างในพวกเพื่อนพรหมจรรย์ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมใจ เพื่อความเพียร
สัพพัญญู = คือ ผู้ทรงรู้ธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง เป็นพระนามหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระไตรปิฎก = เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่ ๆ คือ (๑)พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัยสิกขาบทต่าง ๆ ของภิกษุและภิกษุณี มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๒)พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระสูตรซึ่งเป็นพระธรรมเทศนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ที่แสดงแก่บุคคลต่างชั้นวรรณะและการศึกษา ต่างกรรมต่างวาระกัน มีทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง มีรวม ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (๓)พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง อธิบายด้วยหลักวิชาล้วนๆ โดยไม่อ้างอิงเหตุการณ์และบุคคล มีรวม ๔๘,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรม =ว่าด้วยเรื่องของปรมัตถธรรม มี ๔ ประการ อันได้แก่ (๑)จิต (๒) เจตสิก (๓)รูป และ (๔)นิพพาน เป็นสภาวธรรม ล้วนๆ  ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น
เจตโสวินิพันธะ ๕ = เครื่องผูกมัดจิต ได้แก่
(๑) การติดข้องในกาม = ภิกษุผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาม, ความพอใจ, ความรัก, ความกระหาย, ความทะยานอยากในกาม จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร
(๒) การติดข้องในกาย = ภิกษุเป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัดในกาย ความทะยานอยาก  จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร
(๓) การติดข้องในรูป = ภิกษุผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด, ความทะยานอยากในรูป จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร
(๔) ภิกษุฉันอาหารจนอิ่ม ยังมีความสุขในการนอน, การเอน, การหลับอยู่  จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร
(๕) ภิกษุ ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยตั้งใจว่า เราจักเป็นเทวดา หรือเป็นเทพองค์ จิตของภิกษุนั้น ย่อมไม่น้อมไป เพื่อความเพียร
อิทธิบาท ๔= คือ  คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ มี ๔ ประการ คือ
(๑)ฉันทะ - ความพอใจ คือ ความรักในสิ่งที่ทำ มีความสุขกับสิ่งที่ทำ การเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ (๒) วิริยะ - ความเพียร คือ ขยันหมั่นเพียร ความพยายาม เข้มแข็ง อดทน ความสม่ำเสมอ ไม่ท้อถอย ทำให้เกิดความชำนาญ (๓) จิตตะ - ความตั้งใจทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด มุ่งมั่น ทำให้มีคุณภาพ ละเมียดละไม ประณีต ละเอียด สมบูรณ์ มีสมาธิ มีสติ ไม่ประมาท ต่องานที่ทำ ไม่สะเพร่า ไม่หละหลวม รอบคอบ ทำให้ผลงานออกมาดี (๔) วิมังสา - พิจารณาใคร่ครวญ คือ ความไตร่ตรอง พินิจ วิเคราะห์ ทดลอง ตรวจสอบ พัฒนา แก้ไข ปรับปรุง คิดค้น วางแผน วัดผล สิ่งนั้นทำให้ดีที่สุด ทำให้พัฒนาตลอดเวลา ดียิ่งๆขึ้นไปเสมอ
อุสโสฯ = อุสโสฬหิ คือ ความเพียรที่เป็นเหตุ แห่งความกระตือรือร้น ชื่อว่าอุตสาหะ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #164 เมื่อ: 03, สิงหาคม, 2568, 10:28:57 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๔๔.มธุปิณฑิกสูตร (สูตรว่าด้วยธรรมะที่น่าพอใจเหมือนขนมหวาน)

นิรนามฉันท์ ๒๐

   ๑.พุทธ์เจ้าประทับ"นิโครธาฯ"..............แคว้น"สักกะ"หนา
ใกล้กรุง"กบิลพัสดุ์ฯซิงาม

   ๒."ทัณฑ์ปาณิศากะฯ"เฝ้าริถาม..........พุทธ์องค์เจาะตาม
ธรรม์ดาพระองค์จะตอบไฉน

   ๓.พุทธ์องค์ซิตอบมิแย้งกะใคร...........ในโลกวิไล
มาร,พรหมกะเทวะโลกสกล

   ๔."สัญญาปปัญจ์ฯ"มิงำเพราะชน........ปราศกามละพ้น
ตัณหามิมีคะนองลิไส

   ๕.ทัณฑ์ปาฯริทราบและลาคระไล.......พุทธ์องค์ซิไว
ทรงเล่าพระสงฆ์กะความและย้ำ

   ๖.สงฆ์หนึ่งตริสัญญะไม่เจาะงำ...........อย่างไรกระทำ
ตอบสัญญะเนิ่นและช้าก็เหตุ

   ๗.มีเจ็ดซิสิ่งมุดับพิเศษ.......................สันดานเจาะเจตน์
เห็นผิด,ลุ"โลภะ,โกรธกะหลง"

   ๘."สงสัย,เจาะมานะ"มัวพะวง.............."ติดภพ"ประสงค์
อาวุธวิวาทยุยงมุสา

   ๙.ธรรมชั่วตริดับมิเหลือคณา..............ตรัสเสร็จละมา
เหล่าสงฆ์ซิงงมิกล่าวระดาษ

   ๑๐.พากันเสาะถามพระสงฆ์ฉกาจ......."กัจจานะ"ปราชญ์
ช่วยแจงกะเราสิหายฉงน

   ๑๑.กัจจานะฯตอบก็ดุจซิคน...............แก่นไม้เสาะค้น
ผ่าน"ต้น"จะคิดวะ"ใบ"เจาะหลง

   ๑๒.พวกท่านซินาเลาะผ่านพระองค์....ทรงมีสิบ่ง
ด้วยญาณเจาะรู้ริบอกพระธรรม

   ๑๓.เป็นพุทธะรู้เหมาะควรกระทำ........ถามท่านและจำ
ข้อความพระองค์เจาะเอ่ยวจี

   ๑๔.เหล่าสงฆ์ซิย้ำพระพุทธ์ฯริชี้..........สรรเสริญทวี
ขอจงเจาะแจงละเอียดเถอะหนา

   ๑๕.กัจจาฯตริ"จักขุวิญญาณะ"กล้า.....ด้วย"รูปะฯ,ตา"
สามธรรมประจวบลุ"ผัสสะ"เผย

   ๑๖.ปัจจัยเพราะผัสสะจึงลุเชย............เวท์นาซิเอ่ย
เกิดจ้าสิสัญญะเฟื่องไสว

   ๑๗.จำแล้ว"วิตกตริคิด"ซิไกล...............แล้วปรุงสิไว
ถูกงำ"ปปัญจสัญญ์ฯ"ถลำ

   ๑๘.หมู่ชนหทัยจะถูกกระหน่ำ..............ครอบงำกระทำ
กาลนี้,และหน้า,อดีตซิหนา

   ๑๙.มี"จักขุฯ,รูปะรมณ์และตา".............มีทางกุกล้า
บัญญัติเจาะ"ผัสสะ"แล้วลุผาง

   ๒๐.ตามด้วยลุ"เวทนา"กระจ่าง............รู้สึกสว่าง
"สัญญาริจำ"ระลึกซิหมาย

   ๒๑.มีทางจรด"วิตกตริ"กราย...............ตรึกคิดมิคลาย
บัญญัติวิตกลุแล้วริงำ

   ๒๒.ครอบงำจรดกิเลสซิหนำ.............."อยาก,ทิฏฐิ"นำ
จุดเริ่มปปัญจสัญญ์ฯขยาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 14   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.439 วินาที กับ 173 คำสั่ง
กำลังโหลด...