Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 60528 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #165 เมื่อ: 03, สิงหาคม, 2568, 03:57:33 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๓) ๔๔.มธุปิณฑิกสูตร

    ๒๓.ไร้"จักขุวิญฯลิรูปะฯ"ฉาย............ไร้"จักขุ"กราย
บัญญัติซิ"ผัสสะ"ทำมิได้

   ๒๔.รวมเวทนาเจาะสัญญะไกล...........ตรึกคิดก็ไร้
ไร้จด"ปปัญจสัญญ์ฯ"เฉลย

   ๒๕.กัจจาฯซิบอกพระพุทธะเอ่ย..........ปัญจ์สัญญ์ฯนะเอย
ครอบงำนิกรเพราะเหตุไฉน

   ๒๖.ถ้าชนลิ"ราคะ"ดับประลัย..............ธรรมเลวลิไว
ควรเฝ้าพระองค์เจาะถามเหมาะหนา

   ๒๗.เหล่าสงฆ์รตีกะถ้อยแนะมา............เฝ้าพุทธะครา
ทูลความซิยินและรู้เจาะดิ่ง

   ๒๘.พุทธ์เจ้าซิตรัสวะกัจจะฯอิง............ปัญญายะยิ่ง
แม้ถามพระองค์ก็ตอบเสมือน

   ๒๙.อานนท์ฯก็กล่าวซิถ้อยวะเตือน........เลื่อมใสมิเลือน
ผู้หิวเจาะลิ้มขนมสิหวาน

   ๓๐.ธรรมชื่ออะไรรตีพะพาน.................พุทธ์องค์เจาะขาน
ว่า"มาธุปิณฑิกะฯ"ใส

   ๓๑.อานนท์ฯภิรมย์ซินามเหมาะไซร้.......ยินแล้วหทัย
แช่มชื่นลุปัญญะยิ่งเจาะเสริญ ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๘ มธุปิณฑิกสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=18

นิโครธาฯ = นิโครธาราม เป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนสร้างถวาย เพื่อเป็นพุทธบูชา และรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสด็จกลับนิวัฒน์พระนคร
ทัณฑปาณิศาฯ =ทัณฑปาณิศากยะ เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า
สัญญาปปัญจ์ฯ = ปปัญจสัญญาสังขา คือ ความกำหนดหมายกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า (กิเลสได้แก่  ตัณหา มานะ และทิฏฐิ) เป็นเครื่องครอบงำอุปนิสัย สันดาน หรือความ เคยชิน
อนุสัย ๗ = คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนตะกอนนอนอยู่ก้นภาชนะ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมาทำน้ำให้ขุ่นเพราะมีคนไปกระทบหรือกวนภาชนะฉันใด อนุสัยกิเลสก็เช่นเดียวกัน จะฟุ้งขึ้นมาทำจิตให้ขุ่นมัว ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกมากระทบเช่นเดียวกันฉันนั้น มีดังนี้
(๑) กามราคานุสัย - คือ โลภะ ความติดข้องในกาม (๒) ปฏิฆานุสัย - โทสะ ความโกรธ (๓) ทิฏฐานุสัย - ความเห็นผิด (๔) วิจิกิจฉานุสัย - ความสงสัย (๕) มานานุสัย - ความถือตัว ความสำคัญตัว (๖) ภวราคานุสัย - โลภะ ความติดข้องในภพ (๗) อวิชชานุสัย - โมหะ ความไม่รู้
อายตนะ ๑๒ = อายตนะ ภายใน ๖ และภายนอก ๖
อายตนะภายใน ๖= ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้
(๑) จักขุ - จักษุ, ตา (๒)โสตะ - หู ๓) ฆานะ - จมูก (๔) ชิวหา -ลิ้น (๕) กาย (๖) มโน -ใจ
ทั้ง ๖ นี้ เรียกอีกอย่างว่า อินทรีย์ ๖ เพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนแต่ละอย่าง เช่น จักษุเป็นเจ้าการในการเห็น เป็นต้น
อายตนะภายนอก ๖= ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้, แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก
(๑) รูปะ - รูป, สิ่งที่เห็น หรือ วัณณะ คือสี (๒) สัททะ - เสียง (๓) คันธะ - กลิ่น (๔) รสะ - รส (๕) โผฏฐัพพะ - สัมผัสทางกาย, สิ่งที่ถูกต้องกาย (๖) ธรรม หรือ ธรรมารมณ์ - อารมณ์ที่เกิดกับใจ, สิ่งที่ใจนึกคิด
ทั้ง ๖ นี้ เรียกทั่วไปว่า อารมณ์ ๖ คือ เป็นสิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง
วิญญาณในขันธ์ ๕ = คือ การรับรู้อารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มีอยู่ ๖ อย่าง เรียกชื่อตามช่องทางที่ผ่านเข้ามาดังนี้ (๑) รู้รูปโดยอาศัยตา - จักขุวิญญาณ (๒) รู้เสียงโดยอาศัยหู - โสตวิญญาณ
(๓) รู้กลิ่นโดยอาศัยจมูก - ฆานวิญญาณ (๔) รู้รสโดยอาศัยลิ้น -  ชิวหาวิญญาณ (๕) รู้สัมผัสโดยอาศัยกาย - กายวิญญาณ (๖) รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ เรียกว่า มโนวิญญาณ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #166 เมื่อ: 04, สิงหาคม, 2568, 09:21:06 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๓) ๔๔.มธุปิณฑิกสูตร

การทำงานของวิญญาณ  ๖ = มีดังนี้
(๑) จักขุวิญญาณ = เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุ และ รูปารมณ์ ความประจวบกันแห่งธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
~เพราะผัสสะเป็นปัจจัย  เวทนาจึงเกิด
~บุคคลเสวยอารมณ์ใดย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น
~บุคคลหมายรู้อารมณ์ใดย่อมตรึกอารมณ์นั้น
~บุคคลตรึกอารมณ์ใดย่อมคิดปรุงแต่งอารมณ์นั้น
~บุคคลคิดปรุงแต่งอารมณ์ใด เพราะความคิดปรุงแต่งอารมณ์นั้นเป็นเหตุ แง่ต่างๆ แห่งปปัญจสัญญา(กิเลสสัญญา)ย่อมครอบงำบุรุษ ในรูปทั้งหลายที่จะพึงรู้แจ้งทางตาทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
(๒)โสตวิญญาณ = เกิดขึ้นเพราะอาศัยโสตะและสัททารมณ์ ฯลฯ
(๓) ฆานวิญญาณ = เกิดขึ้นเพราะอาศัยฆานะและคันธารมณ์ ฯลฯ
(๔) ชิวหาวิญญาณ= เกิดขึ้นเพราะอาศัยชิวหาและรสารมณ์ ฯลฯ
(๕) กายวิญญาณ = เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพารมณ์ ฯลฯ
(๖) มโนวิญญาณ = เกิดขึ้นเพราะอาศัยมโนและธรรมารมณ์ ฯลฯ
การบัญญัติการครอบงำ = คือการครอบงำแง่ต่างๆ ตามลำดับ ของผัสสะ, เวทนา, สัญญา, วิตก ดังนี้
(๑) เมื่อมีจักขุ มีรูปารมณ์ และมีจักขุวิญญาณ เป็นไปได้ที่เขาจัก
~ บัญญัติผัสสะ
~เมื่อมีการบัญญัติผัสสะ เป็นไปได้ที่เขาจักบัญญัติเวทนา
~เมื่อมีการบัญญัติเวทนา เป็นไปได้ที่เขาจักบัญญัติสัญญา
~เมื่อมีการบัญญัติสัญญา เป็นไปได้ที่เขาจักบัญญัติวิตก
~เมื่อมีการบัญญัติวิตก เป็นไปได้ที่เขาจักบัญญัติการครอบงำโดยแง่ต่างๆ แห่งปปัญจสัญญา
(๒) เมื่อมีโสตะ มีสัททารมณ์ และมีโสตวิญญาณ ฯลฯ
(๓) เมื่อมีฆานะ มีคันธารมณ์ และมี ฆานวิญญาณ ฯลฯ
(๔) เมื่อมีชิวหา มีรสารมณ์ และ ชิวหาวิญญาณฯลฯ
(๕) เมื่อมีกาย มีโผฏฐัพพารมณ์ และ มีกายวิญญาณ ฯลฯ
(๖) เมื่อมีมโน มีธรรมารมณ์ และมีมโนวิญญาณ ฯลฯ
ไม่มีทั้งสามธรรม จะไม่มีการบัญญัติ = คือ
(๑)เมื่อไม่มีจักขุ ไม่มีรูปารมณ์ ไม่มีจักขุวิญญาณ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจัก
~บัญญัติผัสสะ
~เมื่อไม่มีการบัญญัติผัสสะ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจักบัญญัติเวทนา
~เมื่อไม่มีการบัญญัติเวทนา เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจักบัญญัติสัญญา
~เมื่อไม่มีการบัญญัติสัญญา เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจักบัญญัติวิตก
~เมื่อไม่มีการบัญญัติวิตก เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจักบัญญัติการครอบงำโดยแง่ต่างๆ แห่งปปัญจสัญญา
(๒) เมื่อไม่มีโสตะ ไม่มีสัททารมณ์ ไม่มีโสตวิญญาณ ฯลฯ
(๓) เมื่อไม่มีฆานะ ไม่มีคันธารมณ์ ไม่มีชิวหาวิญญาณ ฯลฯ
(๔) เมื่อไม่มีชิวหา ไม่มีรสารมณ์ ไม่มีชิวหาวิญญาณ ฯลฯ
(๕) เมื่อไม่มีกาย ไม่มีโผฏฐัพพารมณ์ ไม่มีกายวิญญาณ ฯลฯ
(๖) เมื่อไม่มีมโน ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีมโนวิญญาณ ฯลฯ
กัจจานะฯ = พระมหากัจจายนะ เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระอสีติมหาสาวกของพระโคตมพุทธเจ้า ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร (ในประเทศไทยรู้จักในชื่อ "พระสังกัจจายน์")
มาธุปิณฑิกะ = มธุปิณธิกสูตร คือสูตรว่าด้วยธรรมที่น่าพอใจเหมือนขนมหวาน
อานนท์ = พระอานนท์เถระ พุทธอุปัฏฐาก ของพระโคตมพุทธเจ้า


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #167 เมื่อ: 04, สิงหาคม, 2568, 03:33:10 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๕.เทวธาวิตักกสูตร

ภุชงควิเชียรฉันท์ ๒๓

   ๑.พระพุทธ์เจ้าประทับ"เชตฯ"...............ณ ใกล้เขตสะวัตถี
ตรัสเล่ากะสงฆ์รี่.....................................ขณะเป็นพระโพธิ์สัตว์

   ๒.จะทรงแบ่ง"วิตก,ตรึก".......................เจาะคิดนึกปะสองชัด
ฝ่ายดีและชั่วปัด.....................................ริพิจารณ์กะสองผลาม

   ๓.ตริฝ่ายชั่วก็"กาม"ยาตร.....................เจาะ"อาฆาตและเบียน"ตาม
ฝ่ายดีริออกกาม......................................"นิรฆาตและบีฑา"

   ๔.ตริฝ่ายดีก็"เนกขัมฯ".........................สลัดนำผละกามพา
"ปองร้าย"มิมีหนา...................................."อวิหิงฯมิเบียน"ใคร

   ๕.ณ ครานึกกะชั่วลาม..........................ก็เกิด"กามวิตกฯ"ไว
ด้วยเพียรอุทิศใฝ่....................................หฤทัย,และกายเรา

   ๖.และทราบกามวิตกเกิด......................กะตนเพริดเจาะเบียนเขา
ปัญญาซิทอนเบา.....................................ภวยากจะนิพพาน

   ๗.พิจารณ์แล้วเจาะเบียนตน..................รึเบียนชนลุต่ำราน
ซึ่งปัญญะด้อยกราน................................มละ"กามวิตก"ผลาญ

   ๘.พินิจเรื่อง"พยาบาท-..........................วิตก"ยาตรเกาะเรากราน
เบียดเบียนวิหิงฯพาน...............................ภวปัญญะอับจน

   ๙.เพราะเราเห็นวะทางผลาญ.................ผละ"นิพพาน"มิเกิดผล
จึงดับ"วิหิงฯ"ยล.......................................และ"พยาวิตกฯ"ครัน

   ๑๐.พระพุทธ์ฯตรัสสิยิ่งตรึก...................วิตกนึกซิไหนพลัน
ใจน้อมวิตกนั้น.........................................นิรห่างมิหยุดทำ

   ๑๑.ผิตรึก"กามวิตก"มาก........................ก็ทิ้งพรากกะ"เนกขัมฯ"
ทำกามวิตกนำ..........................................หฤทัยน้อมวิตกกาม

   ๑๒."พยาบาทวิตก"มาก..........................ก็ยิ่งพราก"มิฆาต"ผลาม
เบียนมาก"วิหิงฯ"ลาม................................"อวิหิงฯ"ก็ทิ้งไส

   ๑๓.ฤดูฝนซิผู้เลี้ยง.................................อุสุภเพียงระวังไซร้
ห่างนาเพาะข้าวไกล..................................ก็เพราะหลีกติเตียนเผย

   ๑๔.มิเสียทรัพย์มิจองจำ..........................ละฆ่าหนำเพราะโคเอย
พุทธ์องค์ก็ดุจเปรย....................................อกุศลธรรมหมอง

   ๑๕.เพราะเห็นโทษเจาะเลวทราม.............ลิเลิกตามเพราะหน่ายครอง
เห็นอานิสงส์ถ่อง.......................................มละพ้นเพราะ"เนกขัมฯ"

   ๑๖.ก็"เนกขัมวิตก"เกิด............................กะเราเพริศเพราะเพียรนำ
ไม่เบียนซิตนนำ.........................................และมิเบียนกะใครไหน

   ๑๗.ซิปัญญาเจริญกราน..........................ลุนิพพานซิเร็วไว
"เนกขัมฯ"ริตรึกไกล...................................จิรกาลนะคืนวัน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #168 เมื่อ: 05, สิงหาคม, 2568, 01:25:08 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๔) ๔๕.เทวธาวิตักกสูตร

   ๑๘.ตริ"เนกขัมฯ"ตลอดคืน...................และวันชื่นก็เรานั้น
ไม่เห็นสิภัยผลัน.....................................ภยไหนมิมีเลย

   ๑๙.จะเหน็ดเหนื่อยลุฟุ้งซ่าน.................เพราะห่างรานสมาธิ์เอย
แก้จิตสมาธิ์เอ่ย......................................หฤทัยมิฟุ้งแฉ

   ๒๐."อพายาวิตก"เกิด............................ตะบรรเจิดสิเยี่ยมแท้
ปองร้ายมิมีแล........................................อภิปัญญะเกิดเผย

   ๒๑."อวิหิงวิตกฯ"เกิด............................ลุล้ำเลิศกะเราเอ่ย
สิ้นเบียนกะตนเชย..................................อธิปัญญะเกิดหนา

   ๒๒.ตริตรึกตรอง"อวิหิงฯ".....................เจาะกาลดิ่งลิภัยมา
ทำนานซิเหนื่อยล้า..................................ก็สมาธิ์ลิฟุ้งผลัน

   ๒๓.พระพุทธ์เจ้าซิตรัสผอง...................ริตรึกตรองวิตกดั้น
ใจน้อมวิตกนั้น........................................ลุประสบวิตก"ดี"

   ๒๔.ตริ"เนกขัมวิตก"มาก.......................ละกามจากซิเร็วรี่
"อาพายบาท"ปรี่......................................ละ"พยาวิตกฯ"แฉ

   ๒๕."อวีหิงวิตก"ยิ่ง.................................ละ"วีหิงวิตกฯ"แน่
เรามั่นสตีแท้............................................เจาะ"กุศลวิตก"เผย

   ๒๖.ผิเราจดริเพียรครัน.........................."สตี"มั่นมิเลือนเอย
กระทำสมาธิ์เอ่ย......................................ตริวิปัสสนาถึง

   ๒๗.สงบกายมิลุกลน..............................สงัดยลหทัยตรึง
อารมณ์สิหนึ่งพึง......................................อกุศลเลาะห่างไข

   ๒๘.และได้ถึงปฐมฌาน..........................ประกอบพานสิสี่ไกล
"วีตก,วิจาร"ไว.........................................."ปิติ,สุข"วิเวกผอง

   ๒๙.เพราะเราตัด"วิตก"น้อม...................."วิจาร"พร้อมลุฌานสอง
เหลือ"ปีติ,สุข"ครอง..................................หทยาจะเป็นหนึ่ง

   ๓๐.ลุสาม"ปีติ"คลายรุก..........................ละ"ทุกข์,สุขสิหมดตรึง"
เหลือแต่"สตี"พึง.......................................และ"อุเบกขะฯ"เองหนา

   ๓๑.ลุฌานสี่จะเหลือแค่.........................."สตี"แน่สะอาดมา
ด้วยมี"อุเบกขา"........................................หฤทัยซิวางเฉย

   ๓๒.พระพุทธ์ฯตรัสหทัยใส......................สมาธิ์ไร้กิเลสเอย
มี"ราคะ,โกรธ"เคย.....................................และริ"หลง"กะมลทิน

   ๓๓.ผิจิตใจมิเศร้าหมอง...........................เหมาะครรลองมิไหวสิ้น
ทรงน้อมฤดีผิน..........................................ประลุ"ปุพฯ"เจาะชาติก่อน

   ๓๔.ระลึกชาติสิแสนชัด...........................ลุประวัติซิเป็นจร
ยามต้นขจัดทอน.......................................ลิ"อวิชฯ"มลานไส

   ๓๕.ณ คราจิตสมาธิ์ชัด...........................ประณีตจัดกิเลสไร้
เศร้าหมองมิมีได้........................................ลุ"จุตูปปาฯ"ลิบ

   ๓๖.ยามกลางซิรู้สัตว์...............................อุบัติ,ตายเจาะตาทิพย์
เป็นไปสิกรรมกริบ......................................ประลุ"วิชชะ"เร็วสิง


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #169 เมื่อ: 05, สิงหาคม, 2568, 04:39:44 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๔) ๔๕.เทวธาวิตักกสูตร

   ๓๗.ก็ยามปลายลุ"อาส์วักฯ".................จะรู้จักนะความจริง
สี่อย่างเกาะ"ทุกข์"ดิ่ง............................."สมุทัย,นิโรธ"พาน

   ๓๘.และพร้อม"ทุกข์นิโรคาฯ"...............ก็ทางพาซิทุกข์ราน
ตัดผองกิเลสผลาญ................................หทยาซิผ่องใส

   ๓๙.ละพ้น"กาม,อวิชชา".......................ลิ"ภพ"หนาและรู้ไว
จิตพ้นผละสามไซร้................................ก็ตริรู้วะพ้นแล้ว

   ๔๐.ริการเกิดก็สิ้นครัน.........................และพรหม์จรรย์ลุทำแน่ว
ทำสิ่งสิควรแผ้ว......................................ปฏิบัติซิครบหนำ

   ๔๑.พระพุทธ์ฯตรัสก็เปรียบเอื้อ.............กะฝูงเนื้อลุบึงน้ำ
ชายหนึ่งก็หวังร่ำ.....................................ภิทะเนื้อทะยอยตาย

   ๔๒.ก็ปิดทางซิปลอดภัย........................และเปิดไว้สิทางหน่าย
นางเนื้อประจำหลอกกราย.......................ปริมาณเนื้อก็ลดลง

   ๔๓.นิกรหนึ่งริเกื้อพลาง.........................จิเปิดทางสะดวกบ่ง
ปิดทางมิปลอดคง....................................มุขจัดซินางเนื้อ

   ๔๔.และอัตราซิผู้,เมีย............................ก็จะเกลี่ยเหมาะดีเกื้อ
จำนวนก็เพิ่มเครือ....................................พหุล้นและหลากหลาม

   ๔๕.ซิ"บึงน้ำ"ก็"กาม"เหยื่อ......................และ"ฝูงเนื้อ"ก็"สัตว์"ลาม
"ชายก่อพินาศ"ความ................................ทุร"มาร"เจาะบาปกรรม

   ๔๖.แหละ"ทางไม่สะดวก"กิจ..................กุ"ทางผิด"ซิแปดนำ
มรรคาวินาศพร่ำ......................................ปฏิบัติสิผิดทาง

   ๔๗.ผิ"เนื้อผู้"ก็"กำหนัด".........................ลุเพลินชัดเพราะกามกร่าง
"นางเนื้อ,อวิชฯ"ขวาง................................นิรรู้กะความจริง

   ๔๘.สิ"ทางปลอด"ก็แปดมรรค.................ริทางจักสดวกยิ่ง
เดินทางลิภัยดิ่ง........................................ยุรยาตรสวัสดี

   ๔๙.พระพุทธ์ฯตรัสกะสงฆ์บ่ง..................วะได้ทรงเจาะเปิดคลี่
ปลอดภัยซิแน่รี่.........................................ประลุปิดซิทางส่อ

   ๕๐.แหละอัตราเหมาะจัดวาง...................ทลายนางสินกต่อ
ศาส์ดาริหวังจ่อ.........................................ริประโยชน์กะสงฆ์เผย

   ๕๑.สิโคนไม้และเรือนว่าง........................ก็สงฆ์พร่างพินิจเอย
พึงอย่าประมาทเคย....................................จะมิเดือดและร้อนใจ

   ๕๒.แหละนี้เป็นวจีจด...............................ตถาคตซิพร่ำไข
เหล่าสงฆ์ก็เปรมไซร้...................................รติชมพระพุทธ์ฯหนอ ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๙.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=19


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #170 เมื่อ: 06, สิงหาคม, 2568, 09:33:39 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๔) ๔๕.เทวธาวิตักกสูตร

เชตฯ = เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี
พระโพธิสัตว์= คือ บุคคลผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอุทิศตนช่วยเหลือสัตว์ผู้มีความทุกข์ยากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
วิตก = ความตรึก นึกคิด แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
(๑) ฝ่ายอกุศล
(๑.๑) กามวิตก = ความตรึกในเรื่องกาม (๑.๒) พยาบาทวิตก = ความตรึกในเรื่องปองร้ายผู้อื่น (๑.๓) วิหิงสาวิตก = ความตรึกในเรื่องเบียดเบียนผู้อื่น
(๒) ฝ่ายกุศล
(๒.๑) เนกขัมมวิตก = ความตรึกในเรื่องออกจากกิเลส (๒.๒) อพยาบาทวิตก = ความตรึกในเรื่องไม่ปองร้ายผู้อื่น (๒.๓) อวิหิงสาวิตก = ความตรึกในเรื่องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตั้งแต่มีเมตตาเป็นส่วนเบื้องต้นจนถึงปฐมฌาน
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก
ฌานที่ ๑-๔ = เป็นรูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์
(๑) ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) ประกอบด้วย วิตก - ความตรึก; วิจาร- ความตรอง; ปิติ - ความอิ่มใจ; สุข และ เอกัคคตา -ใจมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
(๒) ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ละวิตกและวิจารได้ เหลือ ปิติ สุข เอกัคคตา
(๓) ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ละปีติได้ เหลือ สุข เอกัคคตา
(๔) จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ละสุขไป เหลือ แต่ อุเบกขา เอกัคคตา
กิเลสเพียงดังเนิน (อังคณะ) =หมายถึงกิเลสเพียงดังเนินคือราคะ โทสะ โมหะ มลทิน หรือเปือกตม ที่บางแห่ง คือพื้นที่เป็นเนินตามที่พูดกันว่า เนินโพธิ์ เนินเจดีย์ เป็นต้น แต่ในที่นี้ ท่านพระสารีบุตรประสงค์เอากิเลสอย่างเผ็ดร้อนนานัปการว่า กิเลสเพียงดังเนิน
วิชชา ๓ (ญาณ ๓)= ได้แก่
(๑)ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หมายถึงญาณที่ทำให้ระลึกชาติ รู้ชาติในอดีต รู้ภพในอดีตได้
(ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น)
(๒)จุตูปปาตญาณ (รู้การจุติ การอุบัติ รู้ภพใหม่ ด้วยทิพย์จักษุ)
รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม
(๓)อาสวักขยญาณ (รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นภพ) จิตโน้มไปเพื่ออาสวักขยาน ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
อริยสัจ ๔ =ความจริงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ทรงแสดงแก่นักบวชปัญจวัคคีย์ว่า
(๑)ทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักเป็นทุกข์ ความไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนาเป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ ความยึดมั่นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
(๒)ทุกขสมุทัยอริยสัจ คือเหตุทุกข์ ได้แก่ ตัณหาอันนำไปเกิดอีก โดยเป็นความเพลิดเพลินและความกำหนัด ทำให้เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
(๓)ทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ความที่ตัณหาดับไปอย่างไม่มีเหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสลัดทิ้ง ความพ้น ความไม่อาลัยในตัณหา
(๔)ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
อาสวะ =กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อ ประสบอารมณ์ต่างๆ มี ๔ อย่าง คือ (๑)กามาสวะ อาสวะคือกาม (๒) ภวาสวะ อาสวะคือภพ (๓) ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ (๔) อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา
คำว่า บึงใหญ่ =ในที่นี้ เป็นชื่อแห่งกามทั้งหลาย
คำว่า เนื้อฝูงใหญ่ = ในที่นี้ เป็นชื่อของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
คำว่า ชายผู้ปรารถนาความพินาศ =ไม่ต้องการจะเกื้อกูล ไม่ประสงค์ความปลอดภัย นี้ เป็นชื่อของมารใจบาป
คำว่า ทางที่ไม่สะดวก = ในที่นี้ เป็นชื่อของมิจฉามรรค(ทางผิด)
มีองค์ ๘ คือ
(๑) มิจฉาทิฏฐิ - เห็นผิด (๒) มิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด (๓) มิจฉาวาจา -เจรจาผิด (๔) มิจฉากัมมันตะ - กระทำผิด (๕) มิจฉาอาชีวะ - เลี้ยงชีพผิด    (๖) มิจฉาวายามะ - พยายามผิด (๗) มิจฉาสติ - ระลึกผิด (๘) มิจฉาสมาธิ - ตั้งจิตมั่นผิด
คำว่า เนื้อต่อตัวผู้ = ในที่นี้ เป็นชื่อแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน
คำว่า นางเนื้อต่อ = ในที่นี้ เป็นชื่อของอวิชชา
คำว่า ชายผู้ปรารถนาประโยชน์ ต้องการจะเกื้อกูล ประสงค์ความปลอดภัย = ในที่นี้ เป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่า ทางที่ปลอดภัย = มีความสวัสดี ไปได้ตามชอบใจ นี้ เป็นชื่อของ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ
(๑) สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ (๒) สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ (๓) สัมมาวาจา - เจรจาชอบ (๔) สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ (๕) สัมมาอาชีวะ   - เลี้ยงชีพชอบ (๖) สัมมาวายามะ - ความพยายามชอบ (๗) สัมมาสติ - การระลึกชอบ (๘) สัมมาสมาธิ- ความตั้งจิตมั่นชอบ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #171 เมื่อ: 06, สิงหาคม, 2568, 07:47:21 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๖.วิตักกสัณฐานสูตร (สูตรว่าด้วยที่ตั้งของความตรึกหรือความคิด)

อีทิสังฉันท์ ๒๐

   ๑.พุทธเจ้าประทับ ณ เชต์วนา
ริสอนพระสงฆ์สมาธิกล้า...................................หทัยหมาย

   ๒.ทำสิห้าประการเหมาะควรทวี
ผิสงฆ์นิมิตวิตกเจาะ"ดี".....................................ลุ"โกรธ"หลาย

   ๓."ฉันทะ,โทสะ"ซิชั่วและมัว
มุทิ้งวิตกกะบาปมิกลัว.......................................ซิแน่คลาย

   ๔.หนึ่ง,เจาะเปลี่ยนนิมิตประกอบกุศล
เลาะทิ้งวิตกกะชั่วสกล....................................สงบกราย

   ๕.จิตซิมั่นลุธรรมนะเอกขจร
ประดุจอะวุธสะกัดและถอน...............................ละชั่ววาย

  ๖.สอง,เจาะโทษวิตกละบาปดิเรก
ฤดีสงบลุธรรมอเนก..........................................ลุมั่นผาย

   ๗.สาม,มิห่วงวิตกเพราะบาปลิแล้ว
หทัยจิตั้งสงบและแผ้ว.......................................มิเหือดหาย

   ๘.สี่,ผิสงฆ์ริคิดวิตกกะชั่ว
ซิเกิดกระจายเพราะ"โมหะ"มัว............................และ"โกรธ"ฉาย

   ๙.ควรลุเหตุวิตกซิอยู่ไฉน
จะทิ้งวิตกกะบาปคระไล.....................................สมาธิ์พราย

   ๑๐.ห้า,ผิสงฆ์ลุเหตุวิตกและรู้
วิตกซิบาปก็ยังเจาะอยู่.......................................จะต้องคลาย

   ๑๑.กัดสิฟันกะล่างและบนสิพลัน
และลิ้นแตะบนกะบีบและคั้น...............................วิตกวาย

   ๑๒.จิตซิตั้งและมั่นสงบกุธรรม
เจาะธรรมซิผุดและไวกระหน่ำ............................จะเหนือผาย

   ๑๓.พฤติซินี้จะชาญวิตกริตรึก
จะคิดซิเรื่องอะไรก็นึก........................................เจาะได้หมาย

   ๑๔.ไม่ประสงค์จะคิดกระทำก็ได้
ลิ"อยาก"สะบั้นจะคลายไถล...............................เกาะมัดวาย

   ๑๕.ทุกข์ลิหมดละมานะดิ่ง
เพราะรู้จะแจ้งอร์หันต์ยะยิ่ง................................พระธรรมฉาย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : สุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน หน้า ๓๘๓

เชต์วนาฯ = เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี เป็นวัดที่อนาถบิฑกเศรษฐี สร้างถวายเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุ


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #172 เมื่อ: 07, สิงหาคม, 2568, 07:49:29 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๗.กกจูปมสูตร (สูตรเปรียบด้วยเลื่อย)

อาวัตตฉันท์ ๑๖

   ๑.พุทธ์เจ้าประทับ ณ "เชตฯ"....................ตรัสพระ"โมลีย์ฯ"จ่อเจตน์
ประชิดเหล่านาง

   ๒.คือภิกษุณีมิจาง....................................เกิดเพราะคลุกคลีพรูพร่าง
ลุโกรธแทนรี่

   ๓.สงฆ์อื่นติภิกษุณี...................................โมลิฯโกรธกล่าวหาปรี่
อธีกรณ์รอ

   ๔.สงฆ์อื่นติโมลิฯก่อ.................................ภิกษุณีเคืองต้องขอ
อธีกรณ์กล้า

   ๕.พุทธ์องค์ริโมลิฯเฝ้า..............................บวชเพราะศรัทธาแน่เนา
สิเขายันรวด

   ๖.ทรงแจงมิควรริบวช..............................แม้จะถูกตำหนิกวด
มิอาศัยเรือน

   ๗.เรือนกามคุณสิเฉือน.............................ควรละหมายจิตไม่เลือน
ลิวาจาหยาบ

   ๘.เราจักตระหนักและนาบ........................เมตตะจิตไร้โกรธทาบ
ริจำเยี่ยงนี้

   ๙.ถ้าใครติภิกษุณี....................................ด้วยอะวุธ,มือไม้ปรี่
สิต่อหน้าเธอ

   ๑๐.ทิ้งกามคุณซิเออ................................จิตมิแปร,คำหวานเลอ
เจาะจิตเมตตา

   ๑๑.ใครทำพระโมลิฯพา............................ด้วยอะวุธ,มือ,ไม้หนา
รึพูดหยาบโลด

   ๑๒.พึงอวยประโยชน์มิโกรธ......................เมตตะจิตมั่นคงโดด
ฉะนี้จงจำ

   ๑๓.พุทธ์องค์ซิตรัสรินำ.............................ภิกษุฉันมื้อเดียวพร่ำ
เจาะอาพาธคลาย

   ๑๔.ลำบากสิน้อยและกาย..........................ผ่องสุขี,กำลังผาย
พระองค์ยินดี

   ๑๕.เหล่าสงฆ์ก็ตามทวี...............................เรามิต้องพร่ำบอกคลี่
สตีพร้อมแล

   ๑๖.สงฆ์หลายละชั่วลุแน่............................ทำกุศลพากเพียรแฉ
เจริญธรรมนา

   ๑๗.ดุจสารถีแนะม้า....................................ฝึกมิต้องใช้แส้หนา
ลุจุดหมายครัน

   ๑๘.พุทธ์องค์ก็เปรียบฉะนั้น........................สงฆ์สตีรู้ตัวพลัน
มิต้องทรงพร่ำ

   ๑๙.ป่า"สาละ"ปรกประจำ............................ด้วยละหุ่งคนหวังด่ำ
ขจัดออกไป

   ๒๐.หน่อสาละคดซิไข.................................ตัดลิออกแล้วทิ้งไกล
เจาะรักษ์บำรุง

   ๒๑.ป่าสาละงามจรุง...................................ภิกษุทิ้งกรรมเลวผลุง
เจริญเช่นกัน

   ๒๒.พุทธ์เจ้าตริเล่าซิพลัน..........................."เทหิกาฯ"มีชื่อครัน
สงบอาการ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #173 เมื่อ: 07, สิงหาคม, 2568, 05:04:00 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๓) ๔๗.กกจูปมสูตร

   ๒๓.ทาสีริลองดีพาน..............................แสร้งตริตื่นสายหน่ายงาน
สิถูกตีหนา

   ๒๔.ทาสีเจาะโพนทนา...........................ไร้สงบแต่โหดจ้า
มิใจเย็นจริง

   ๒๕.บางภิกษุเย็นยะยิ่ง...........................ยินวจีไม่โกรธสิง
เจาะเรียก"ใจเย็น"

   ๒๖.แม้ภิกษุเรียกวะเป็น..........................ผู้ซิ"ว่าง่าย"เด่นเห็น
เพราะมีจีวร

   ๒๗."บิณฑบาตร,คิลานฯ"สลอน...............ไม่เจาะผู้ว่าง่ายสอน
ซิแน่นอนพาน

   ๒๘.หากสงฆ์ลิบิณฑ์,คิลานฯ....................ไม่ริเรียกว่าง่ายขาน
สิแน่แท้นำ

   ๒๙.แต่สงฆ์ตริน้อมพระธรรม....................บูชะเคารพธรรมล้ำ
เหมาะ"ว่าง่าย"นา

   ๓๐.สงฆ์หลายพิจารณา...........................พึงตระหนักถ้อยทั้งห้า
หทัยไม่โกรธ

   ๓๑.ใจเมตตะดิ่งมิโปรด............................คำสิหยาบ,ช่วยเหลือโดด
กะสัตว์โลกเรา

   ๓๒.ไม่เบียน,ลิเวรกะเขา...........................ฟังมิโกรธย่อมบรรเทา
เพราะจิตนิ่งคง

   ๓๓."ถ้อยคำเหมาะไม่เหมาะ"บ่ง................."พูดซิจริง,ไม่จริง"ชง
"พจีหยาบ,ดี"

   ๓๔."พูดมีประโยชน์รึลี้"............................."พูดเพราะโกรธ,เมตตามี"
ระวังอาการ

   ๓๕.สงฆ์หลายผิคนซิพาล..........................ย่อมเจาะขุดแผ่นดินกราน
แซะดินทิ้งเตียน

   ๓๖.แผ่นดินสภาพกุเปลี่ยน........................พร่ำจะทำไม่ให้เถียร
มิอยู่ได้ยง

   ๓๗.พุทธ์เจ้าริถามพระสงฆ์........................เขาจะเปลี่ยนได้หรือบ่ง
ตริตอบไม่นา

   ๓๘.แผ่นดินลุลึกจะมา...............................ขุดมิเป็นได้ดอกหนา
จะเหนื่อยเปล่าแล

   ๓๙.พุทธ์เจ้าแนะใจตริแน่...........................หนักละม้ายแผ่นดินแท้
พระสงฆ์จำพลัน

   ๔๐.ถ้อยคำสิห้าแนะนั้น.............................ใครจะพูดสังวรครัน
ตริควบคุมใจ

   ๔๑.พุทธ์เจ้าซิเปรียบเจาะไซร้....................คนจะเขียนรูปสีไว้
ซิในอากาศ

   ๔๒.ทรงถามจะดารดาษ.............................เห็นรึไม่หรือย่อมพลาด
พระสงฆ์ตอบพลาง

   ๔๓.อากาศนะไร้ซิร่าง................................รูปมิปรากฏเห็นผาง
กระทำไร้ผล

   ๔๔.ใครพูดซิห้ามิยล..................................ย่อมมิทำให้สงฆ์ดั้น
ลุโกรธได้เลย

   ๔๕.พุทธ์เจ้าตริเปรียบซิเอ่ย........................ผู้เจาะถือคบหญ้าเผย
มุ"คงคา"ไหม้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #174 เมื่อ: 08, สิงหาคม, 2568, 09:07:45 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๓) ๔๗.กกจูปมสูตร

   ๔๖.สงฆ์ตอบมิเป็นซิไว..............................ด้วยลุลึกเกินทำไข
ซิเวลาทอน

   ๔๗.แม่น้ำมิอาจจะร้อน...............................ผู้เจาะถ้อยห้าแล้วชอน
มิโกรธเคืองเลย

   ๔๘.พุทธ์เจ้าริเปรียบเฉลย..........................นำกระสอบหนังแมวเอ่ย
จะตีดังไกล

   ๔๙.สงฆ์ทูลมิเป็นคระไล.............................หนังซิฟอกนุ่มแล้วไซร้
จะตีไม่ดัง

   ๕๐.หนังไม่เคาะเสียงซิจัง...........................สงฆ์เกาะถ้อยห้าแล้วหยั่ง
ปะไร้โกรธา

   ๕๑.หากโจรเสาะเลื่อยและมา.....................ตัดลิมือจงคิดหนา
ซิคำสอนไว

   ๕๒.อดกลั้นปะเลื่อยมิได้.............................ถือวะไม่ทำตามไย
ตะสงฆ์ควรทำ

   ๕๓.พุทธ์เจ้าริตรัสซิจำ................................นึกตริเปรียบ"เลื่อย"กระหน่ำ
ตริจนชินเลย

   ๕๔.ทรงถามวะเห็นรึเอ่ย..............................พูดเจาะโทษน้อย,มากเผย
มิอดกลั้นไย

   ๕๕.สงฆ์ทูลมิเห็นอะไร.................................ตรัสริถ้อยดั่งเลื่อยไซร้
ซิต่อเนื่องแล

   ๕๖.ภาษิตฉะนี้ซิแฉ.....................................สงฆ์รตีชื่นชมแท้
พระพุทธ์ฯสอนเอย ฯ|ะ

แสงประภัสสร

มจร. ๑. กกจูปมสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=21

เชตฯ = เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี
พระโมลีย์ฯ = พระโมลิยผัคคุ เป็นพระดื้อว่ายาก
อธีกรณ์ฯ = อธิกรณ์ หมายถึงเรื่องที่สงฆ์จะต้องดำเนินการ มี ๔ อย่าง คือ (๑) วิวาทาธิกรณ์ - การเถียงกันเกี่ยวกับพระธรรมวินัย (๒) อนุวาทาธิกรณ์ - การกล่าวหากันด้วยอาบัติ (ละเมิดสิกขาบท) (๓) อาปัตตาธิกรณ์ - การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ และการแก้ไขตัวให้พ้นจากอาบัติ (๔) กิจจาธิกรณ์ - กิจธุระต่างๆ ที่สงฆ์จะต้องทำ เช่น ให้อุปสมบท ให้ผ้ากฐิน
เรือน = อาศัยเรือน - อาศัยกามคุณ ๕ (คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ)
ฉันอาหารมื้อเดียว = การฉันอาหารในเวลาเช้า คือตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงเวลาเที่ยงวัน แม้ภิกษุฉันอาหาร ๑๐ ครั้ง ในช่วงเวลานี้ก็ประสงค์ว่า ฉันอาหารมื้อเดียว
เทหิกาฯ = นาง เวเทหิกา เป็นแม่เรือน คนทั่วไปรู้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย แต่ถูกนางทาสี ตีศีรษะ จึงโกรธ เลยกลายเป็นคนมีชื่อเสียงว่าโหดร้าย
ภิกษุที่ทำตนเป็นผู้เรียบร้อย, เป็นผู้เจียมตน, เป็นผู้ใจเย็นจริง = มีความหมายว่า เมื่อใด ถ้อยคำที่ไม่น่าพอใจมากระทบโสตประสาทเธอเข้า แล้วเธอสามารถดำรงอยู่ในอธิวาสนขันติ (ความอดทนคือความอดกลั้น)ได้ ไม่โกรธ พึงทราบว่า เธอเป็นผู้เรียบร้อย เจียมตน และใจเย็น
คิลาน = คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร คือ ปัจจัยสำหรับคนไข้ ซึ่งก็คือยารักษาโรค และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค
คำพูด ๕ อย่าง = คำพูดที่ ภิกษุทั้งหลาย ต้องระวังอารมณ์เมื่อได้ยิน  ควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘จิตของเราจักไม่แปรผัน, เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่ และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่' คำพูด ๕ อย่าง คือ
(๑) พูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควร (๒) พูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง (๓) พูดคำที่อ่อนหวานหรือหยาบคาย (๔) พูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ (๕) มีเมตตาจิตพูดหรือมีโทสะพูด
มหัคคตะ = ถึงซึ่งความยิ่งใหญ่ไปด้วยฉันทะ,วิริยะ,จิตตะ,และปัญญาอย่างใหญ่ คือ เข้าถึงฌาน, เป็นรูปาวจร หรืออรูปาวจร, ถึงระดับวิกขัมภนวิมุตติ
เมตตะ = เมตตา
สตี = สติ คือความรู้ตัว
บูชะ = บูชา
พระพุทธ์ฯ = พระพุทธเจ้า


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #175 เมื่อ: 08, สิงหาคม, 2568, 04:19:16 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๔๘.อลคัททูปมสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยงูพิษ)

จันทรกานต์ฉันท์ ๑๕

   ๑.พุทธ์เจ้าประทับ ณ "เชตว์นาฯ"คง.............เจาะพระสงฆ์"อริฏฐะฯ"แจ้ง
ผู้สืบตระกูลซิพรานฆ่าแร้ง..............................มุตริทิฏฐิชั่วสถุล

   ๒.สงฆ์นี้ซิคุยเพราะรู้ธรรมนา........................พระตถาฯแสดงอดุลย์
ตรัสธรรมกุอันตรายห้าดุน...............................นิรภัยเจาะเสพถลำ

   ๓.ธรรมห้าก็คือ"อนันต์ฯหนักมาก".................เจาะ"วิบาก,กิเลส"กระทำ
ใส่ร้าย"อรียะฯ,อาบัติ"นำ.................................สิพระสงฆ์ละเมิดซิหนา

   ๔.สงฆ์หลายริช่วย"อริฏฐ์ฯ"พ้นติด.................คติคิดเพราะทิฏฐิกล้า
เตือนอย่าริตู่พระพุทธ์ฯเชียวนา........................ก็พระองค์มิกล่าวฉะนี้

   ๕.ตรัสธรรมสิอันตรายหลายข้อ.....................ภยต่อนิกรทวี
ผู้เสพจะหลงพินาศจริงรี่...................................เจาะมิเว้นกะใครเฉลย

   ๖.พุทธ์เจ้าสิตรัสก็"กาม"หลายโยง................ดุจะ"โครงกระดูก"ซิเอย
ทุกข์มากรตีสิน้อยโทษเอ่ย..............................พหุเปรยยะยิ่งมหันต์

   ๗."กาม"เหมือนสิ"เพลิง"รึ"หัวงู"บ่ง..................มทะหลงปะ"หอก"จะดั้น
"ของยืม"ซิเขาประจักษ์"ความฝัน".....................รสะ"ผลไม้จะหล่น

   ๘.สงฆ์เพียรแนะความอริฏฐ์ฯรู้ชัด..................ปริวรรตตริผิดสกล
แต่สงฆ์อริฏฐ์ฯยะยืนคิดด้น...............................ลิพิบัติปะผู้ถลำ

   ๙.เหล่าสงฆ์เจาะเฝ้าพระพุทธ์ฯเพื่อทูล............วจะพูนอริฏฐ์ฯกระทำ
เห็นธรรมะอันตรายห้าด่ำ..................................บ มิพิษประลัยซิไผ

   ๑๐.พุทธ์เจ้าริตามอริฏฐ์ฯเร็วรี่.........................ลุพจีเสาะจริงรึไย
ทูลตอบวะจริงตริทั้งห้าภัย.................................มิวินาศกะใครเฉลย

   ๑๑.พุทธ์เจ้าริตรัสอริฏฐ์ฯเขลาซุด....................ก็บุรุษซิ"โมฆะ"เอ่ย
ว่างจากกุศลและเห็นถูกเปรย.............................ประลุไร้ซิมรรคและผล

   ๑๒.ตรัสว่าอริฏฐิ์ฯเจาะเห็นผิดหมาย.................จะทลายซิตนทุรน
ไร้บุญมิช่วยจะทุกข์นานดล................................มิกระทำซิญาณอดุลย์

   ๑๓.สงฆ์"ทิฏฐิก้มฯ"สิหน้าท้องุด........................วทะพุทธะเสริมและหนุน
เห็นผิดอริฏฐ์ฯมิเป็นได้จุน...................................มิปลาตกะ"กาม"สิไกล

   ๑๔.ไร้ทางจะหนีกะ"กามสัญญา".......................เกาะคณาริจำวิไล
ตรึก"กามวิตก"และนึกอยากไซร้..........................มหิล้นมิเลิกมิซา

   ๑๕.ตรัสผู้เจาะโมฆะฯเรียนธรรมเกย.................."สุตะ,เคยยะ"ไม่ตรินา
ด้วยปัญญะไร้ประจักษ์สิหนา...............................มิจะแจ้งหทัยขยาย

   ๑๖.เรียนธรรมะเพื่อจะข่มผู้คน..........................วสุล้นลิคำวะร้าย
จึงรับประโยชน์กะธรรมน้อยกราย........................จะมิมุ่งผละทุกข์ขมัง

   ๑๗.งูพิษปะจับเจาะหางถูกกัด............................มรชัดเพราะไม่ระวัง
เหมือนเรียนพระธรรมมิดีดังหวัง............................ลิประโยชน์ก็ทุกข์มิวาย

   ๑๘.ตรัสกุลบุตรเจาะเรียนธรรมเอ่ย ...................."สุตะ,เคยยะ"โมฆะคล้าย
ต่างที่เจาะตั้งหทัยมุ่งหมาย...................................."อลคัทฯ"เจาะลาภยะยิ่ง

   ๑๙.แบบ"นิตถะฯ"เรียนมุหลุดพ้น"วัฏฯ"................ปฏิบัติสมาธิจริง
สมบูรณ์กะศีลเจริญวิปัสฯดิ่ง.................................พิรมั่นกะมรรคลุผล

   ๒๐."ภัณฑาฯ"วิถี"พระขีณาฯ"ครัน.......................อรหันต์ลุเสร็จเจาะล้นไกล
ดำรงสิแบบและรักษาตน.......................................อริย์วงศ์พระพุทธศาสน์

   ๒๑.ภัณฑาฯและนิตถะฯเล่าเรียนธรรม................อติล้ำตริตรองมิพลาด
ด้วยปัญญะยิ่งประสิทธิ์ชัดยาตร ...........................มุประโยชน์ลุสุขกสานติ์

   ๒๒.งูพิษเจาะจับ ณ คอมั่นครัน............................ผิวะมันจะรัดมิซาน
ไม่ตายก็ด้วยสิเรียนธรรมชาญ...............................นยปัญญะพานสุขี


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #176 เมื่อ: 09, สิงหาคม, 2568, 09:20:40 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร
 
   ๒๓.เหล่าสงฆ์เจาะความริไตร่ตรองตรึก.........ริระลึกซิชัดทวี
ไม่ชัดก็ถามพระองค์สอนชี้..............................รึพระสงฆ์ฉลาดเฉลียว

   ๒๔.พุทธ์เจ้าสิตรัสพระธรรมคือ"แพ".............สละแท้มิยึดซิเชียว
สงฆ์หลายหทัยสิมั่นคงเปรียว..........................สุตะชัดพิจารณ์เถอะหนา

   ๒๕.ตรัสมีบุรุษเลาะเร่งเดินทาง......................นธุขวางซิกว้างคณา
ฝั่งนี้เจาะภัยมุรีบข้ามพา..................................นฤมาณกระทำสิแพ

   ๒๖.ข้ามแล้วตริแพประโยชน์มากเกิน.............ก็ริเทินซิหัวชะแล
ทรงถามพระสงฆ์จะถูกไหมแฉ.........................คณะสงฆ์ซิกล่าวมิดี

   ๒๗.ทรงถามจะทำสิไยถูกตรง.......................วจะบ่งริลอยนที
บนบกก็ได้พระพุทธ์เจ้าชี้.................................เจาะกระทำซินี้เหมาะควร

   ๒๘.สงฆ์หลายสิเราก็เหมือนกันแจง................ริแสดงพระธรรมซิถ้วน
ต้องการสลัดมิใช่ยึดหวน.................................ดุจะแพลิทิ้งสิหนา

   ๒๙.ควรต้องละธรรมคะคล้ายแพพลัน............เจาะริ"ฉันทะราคะ"กล้า
ทั้งใน"สมาถะวิปัสฯ"มา.....................................บริสุทธิ์ก็ไม่เกาะถือ

   ๓๐.ตรัสทิฏฐิผ่องสะอาดเพียงนี้......................มละชี้มิยึดกระพือ
ไม่ต้องเจาะกล่าว"อสัทธรรม"ชั่ว........................อกุศลซิเลวลิคุณ

   ๓๑.ด้วยฉันทราคะกาม์คุณพิศ........................ก็อริฏฐ์ฯซิเห็นและหนุน
ไม่อันตรายตะสงฆ์อย่าดุน.................................จรเหมือนอริฏฐ์ฯถลำ

   ๓๒.ตรัส"ทิฏฐิฏ์ฐาน"สิหกอย่างผล...................ปุถุชน"มิฟังพระธรรม"
"ไม่เห็นอรียะ,โง่เขลา"นำ...................................."มิฉลาดพระธรรมอรีย์ฯ"

   ๓๓."พลาดรับแนะธรรมอรีย์ฯ"เลือกเฟ้น............"นิรเห็นบุรุษซิดี"
"พลาดธรรมกะสัตบุรุษนำชี้................................นยคิดและเห็นไถล

   ๓๔.เห็น"รูป"วะเป็นสิอัตตาเรา..........................ดนุเร้าเจาะเป็นซิไว
เห็น"เวทนา"กะอัตตาใฝ่.....................................เฉพาะตัวและยึดกะตน

   ๓๕."สัญญาระลึกสิของเรา"นึก.........................พหุตรึกก็ตนซิล้น
"สังขารก็เห็นและปรุงแต่ง"ท้น.............................คติอัตตะเราแถลง

   ๓๖."เห็น,ฟังปะดมและสัมผัส"นิ่ม.......................รสะชิมตริใจเจาะแจ้ง
หลงคิดวะสิ่งสิเป็นตนแกร่ง..................................มติของซิเรายะยง

   ๓๗.เกิดทิฏฐิผิดวะตนผู้เที่ยง.............................อนเสี่ยงจะแปรตะคง
ยั่งยืนตลอดสิของเราบ่ง.......................................ปรโลกและปัจจุบัน

   ๓๘.สาวกสดับอรีย์ฯสอนยาตร ..........................และฉลาดพระธรรมศรัณย์
เห็นสัต์บุรุษแนะนำธรรมครัน................................ก็วิชาริพร้อมพิจารณ์

   ๓๙.ริคิดพิจารณ์เจาะ"รูป"ไป่เรา........................วปุเล่า บ ตนพะพาน
เห็น"เวทนา"มิใช่เราขาน......................................บ มิใช่ซิตัวรึตน

   ๔๐."สัญญา"ก็ไม่สิของเราไซร้..........................ดนุไกลมิเป็นผจญ
สังขารหละหลายมิเป็นเรายล..............................นิรอัตตะแน่ซิแฉ

   ๔๑.เมื่อ"เห็นและดมปะสัมผัส,รส.......................สุตะ"จดพินิจสิแล้
อารมณ์แสวงหทัยรู้ แน่........................................บ มิอัตตะเรามิเป็น

   ๔๒.ใคร่ครวญเจาะโลกและอัตตาแน่ว................มรแล้วก็เที่ยงและเห็น
ยั่งยืนมิแปรจะดำรงเด่น........................................อนอัตตะเราซิหนา

   ๔๓.สาวกพิจารณาเยี่ยงนี้..................................ผิวะปรี่กิเลสจะมา
มีภัยเจาะรุกสะดุ้งกลัวหา......................................บ มิมีมิได้เจาะตน

   ๔๔.สงฆ์ถามพระพุทธะฯภายนอกชี้....................บ มิมีสิใดจะยล
เกิดความสะดุ้งซิได้หรือดล...................................พระตถาฯซิตอบวะมี

   ๔๕.คนเคยสิมีตะพลิกเปลี่ยนผัน........................นิรดั้นก็ครวญทวี
มืดมนละเหี่ยหทัยเศร้าชี้.......................................ริสะดุ้งอุบัติซิพลัน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #177 เมื่อ: 09, สิงหาคม, 2568, 05:39:54 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

   ๔๖.สงฆ์ถามมิมีกะสิ่งนอกปรุง.....................มิสะดุ้งจะมีรึดั้น
ตรัสตอบวะมีเพราะ"เคยมี"ครัน......................ขณะนี้มิมีจะคลี่

   ๔๗.คิดว่าสิเราจะควรมีใด...........................ตะตริไซร้วะตนมิมี
คนนั้นมิเศร้ามิมืดมนรี่....................................มิสะดุ้งเจาะมีซิครือ

   ๔๘.ทูลถามผิสิ่งมิมี"ใน"ฟุ้ง..........................ลุสะดุ้งจะมีละหรือ
ตรัสตอบจะมีเพราะชนคิดพรือ.......................เจาะริอัตตะ,โลกซิแฉ

   ๔๙.ตายแล้วจะอยู่ซิเที่ยง,ยืนชัด..................ปริวรรตมิมีซิแน่
ยินธรรมลิทิฏฐิยึดมั่นแล้................................."อนุสัยกิเลส"สกล

   ๕๐.สังขารระงับผละตัณหา,ทุกข์..................ลิเจาะรุกมุดับริพ้น
นิพพานสิหมายจะขาดสูญดล..........................จะพินาศซิตนทลาย

   ๕๑.เขาย่อมหทัยละเหี่ยเศร้ายาตร................จะพิลาสพิไรมิคลาย
มืดมนสิด้วยมิมี"ใน"กราย.................................ลุสะดุ้งก็เกิดกระพือ

   ๕๒.สงฆ์ถามผิ"ใน"มิมีอยู่ปรุง.........................มิสะดุ้งจะมีละหรือ
ทรงตอบซิมีเพราะไม่คิดครือ............................มรแล้วจะเที่ยงและยืน

   ๕๓.ไม่เปลี่ยนและแปรจะขาดสูญไซร้.............จะประลัยมิมีดะดื่น
สิ่ง"ใน"มิมีจิไม่เศร้าคืน......................................มิสะดุ้งซิมีเจาะเห็น

   ๕๔.พุทธ์เจ้าตริถามพระสงฆ์คิดถ้วน...............จะสงวนวะเที่ยงประเด็น
ยั่งยืนมิแปรฉะนั้นหรือเด่น.................................คณะสงฆ์มิเห็นซิเผย

   ๕๕.ตรัสสงฆ์เจาะยึดสิ"อัตต์วาฯ"อยู่................จะปะชูกะทุกข์ซิเอ่ย
พุทธ์องค์ริถามสิเห็นไหมเอย.............................ซิพระสงฆ์ก็ทูลมิเห็น

   ๕๖.ตรัส"ทิฏฐินิสฯ"มุอิงอาศัย.........................จะปะไซร้ลิทุกข์ซิเด่น
โทม์นัสและครวญ"อุปายาส"เข็ญ.......................จะมิเกิดพระสงฆ์มิแจ้ง

   ๕๗.ตรัสถามวะอัตตะยึดตนจริง.......................ศยะสิ่งเกาะมีรึแฝง
สงฆ์ตอบสิมีพระองค์ถามแจง.............................ภวอัตตะมีรึไม่

   ๕๘.สงฆ์ตอบสิมีพระพุทธ์เจ้ากราย...................อธิบายผิอัตตะไร้
สิ่งยึดก็หามิพบจริงไซร้......................................ประลุทิฏฐิต่างซิเผย

   ๕๙.ตรึกทิฏฐิ,อัตตะ,โลกถึงคราว......................มรด่าวจะเที่ยงนะเอย
เป็นผู้สิคงยะยืนไม่เปลี่ยนเลย.............................มิเจาะเป็นวะธรรมซิเขลา

   ๖๐.พาลธรรมเซาะคนซิโง่มากบ่ง.....................และพระสงฆ์ตริเป็นสิเนา
ทรงถามพระสงฆ์วะ"รูป"เที่ยงเปล่า......................รึมิเที่ยงเจาะตอบมิเที่ยง

   ๖๑.ทรงถามก็สิ่งมิเที่ยงเป็นทุกข์......................รึริสุขสิตอบประเดียง
ทุกข์แน่พระองค์ริทุกสิ่งเสี่ยง..............................ภวทุกขะแปรเสมอ

   ๖๒.ควรหรือรินั้นสิของเราท้น...........................สิสกลก็อัตตะเลอ
ของตนนะเอยพระสงฆ์ตอบเจอ...........................มิเหมาะควรกระนี้คระไล

   ๖๓.พุทธ์เจ้าตริเวทนารู้ทราบ............................เจาะสภาพซิเที่ยงรึไป่
สัญญาระลึกกะสังขารไว.....................................และริ"วิญฯ"ก็เที่ยงฉงน

   ๖๔.สงฆ์ตอบก็นามสกลไม่เที่ยง.........................จะเลาะเลี่ยงและเปลี่ยนมิจน
ทรงถามสิใดมิเที่ยง,สุขล้น....................................รึกุทุกข์พระสงฆ์วะทุกข์

   ๖๕.ตรัสว่าก็สิ่งมิเที่ยงแปรทุกครา.......................มิเหมาะหนาจะคิดและรุก
ของเราวะเป็นซิตนเองชุก......................................ก็พระสงฆ์ริไม่เหมาะควร

   ๖๖.ตรัสสาเหตุฉะนี้ก็ขันธ์ทั้งห้า..........................ระยะหน้าอดีตชนวนและรุก
ทั้งปัจจุบันซิใน,นอกถ้วน.......................................จะละเอียรึหยาบไฉน

   ๖๗.เลวหรือประณีตรึไกลใกล้บ่ง.........................ก็พระสงฆ์พินิจวิไล
ตามจริงริปัญญะนั่นไม่ใช่.......................................ดนุเรามิเป็นซิหนา

   ๖๘.สงฆ์หลายพิจารณ์กะ"รูปขันธ์ครัน .................ระกะสัญญะเวทนา
สังขารริปรุงกะวิญญาณกล้า...................................มทหน่ายรตีสลาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #178 เมื่อ: 10, สิงหาคม, 2568, 09:12:46 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

   ๖๙.กำหนัดละจิตก็หลุดพ้นพรัก................เจาะประจักษ์ก็ชาติสิวาย
พรหม์จรรย์เจาะครบลุกิจเสร็จปลาย............นิรกิจซิไหนจะทำ

   ๗๐.เรียกว่าสิผู้ลุ"ถอนลิ่ม"เปรื่อง................ลิเลาะเครื่องซิล้อมกระหน่ำ
"ถอนเสาระเนียด"รึผู้ไร้นำ............................นิรบานประตูละปลง

   ๗๑.ผู้ปราศจากลิสังโยชน์ชัด.....................ซิเกาะมัดกะสัตว์ยะยง
ในภพจิต้องเสาะวนอยู่คง..............................มิผละพ้นกะวัฏฏะเผย

   ๗๒.ผู้ถอนลิลิ่มอวิชชาตัด...........................นิรชัดมิเหลือซิเลย
เปรียบตัดสิรากตรุไม้ทิ้งเปรย........................ภวไซร้มิเกิดคระไล

   ๗๓.ผู้รื้อซิเครื่องเกาะล้อมหมายตรง............ก็พระสงฆ์ละชาติซิไว
"กัมมาภิสังฯ"จะตัดถึงไกล.............................มิอุบัติลุสิ้นซิแฉ

   ๗๔.ถอนเสาระเนียดละตัณหาหมาย............เจาะทลายตรุรากซิแน่
เหมือนตาลสิโค่นเจริญไร้แล้..........................นิรเกิดสิต่อคระไล

   ๗๕.สงฆ์ผู้สิบานประตูไม่มี...........................ดุจะชี้กิเลสละไส
"โอรัมฯ"สิห้าลิถอนเหมือนไม้..........................เซาะทลายมิฟื้นซิเผย

   ๗๖.สงฆ์"มานะฯ"ลดซิถือตัวบ่ง.....................ดุจะปลงกะภาระเอ่ย
ธง,มานะปราศกะสังโยชน์เอ่ย.........................ลุประเสริฐพระธรรมวินัย

   ๗๗.ทรงตรัสซิเทพ,พระอินทร์,พรหม,มาร.......อนพานกะจิตไสว
วิญญาณพระองค์มิได้เห็นไซร้........................."ปรินิพฯ"มิเกิดจรูญ

   ๗๘.เหล่าพราหมณ์ริตู่ตถาคตสอน.................คติป้อนวะขาดและสูญ
ไม่มีนะภพสิอื่นใดพูน.......................................ขณะนี้,อดีตกาล

   ๗๙.พุทธ์เจ้าจะสอนนะ"ทุกข์,ดับทุกข์"............ผิวะบุกติเตียนระราน
ด้วยทรงประกาศอรีย์สัจขาน............................ก็พระองค์มิฆาตกลี

   ๘๐.ถ้าชนลุสัจจะบูชากล้า..............................พระตถาฯมิพึงรตี
สักการะได้เพราะขันธ์ห้าคลี่..............................ซิพระองค์จรดขยาย

   ๘๑.เหตุนี้ผิสงฆ์เจาะถูกด่าถ้วน........................ก็มิควรจะฆาตลิคลาย
หากชนสิบูชะไม่ควรกราย.................................รติเลยเพราะเขาเจาะขันธ์

   ๘๒.สงฆ์หลายก็สิ่งมิใช่ของเธอ.......................เหมาะลิเออประโยชน์ลุครัน
ขันธ์ห้านะเองริตัดเร็วพลัน.................................สุขะเกิดยะยืนฉมัง

   ๘๓."รูป,เวทนากะสังขาร,สัญ-..........................ญะเจาะดั้นกะวิญญ์ฯพลัง
ทั้งหมดมิใช่ซิของเธอฟัง....................................มละเสียจะสุขกศานติ์

   ๘๔.เปรียบชนสินำกะเศษใบไม้.........................ระกะไซร้ซิเผามลาน
นำเราคุเผารึไม่ใช่ขาน........................................นิรอัตตะเราซิแฉ

   ๘๕.ตรัสธรรมประกาศวะสัมฤทธิ์ครัน................อรหันต์ซิล้นและแน่
กิจเสร็จประโยชน์ลุไม่เกิดแล..............................มละวัฏฏะเลิกริเวียน

   ๘๖.สงฆ์ใดกระทำละ"โอรัมภาฯ".......................มรหนากุ"โอปฯ"ซิเถียร
สู่พรหม์โลกเจาะกิจเสร็จเพียร.............................ปรินิพฯ ณ แห่งกระนี้

   ๘๗.สงฆ์ใดริตัดลุสามสังโยชน์..........................และกระโดดกิเลสติชี้
คลาย"ราคะ,โทสะ,หลง"เบาบางดี........................ประลุเป็น"สกาฯ"ซิเผย

   ๘๘.กลับคืน ณ โลกสิครั้งเดียวพลัน..................อรหันต์ลุเสร็จนะเอ่ย
สังโยชน์ลิสามพระสงฆ์นั้นเปรย...........................ลุ"พระโสดะบัน"ซิขาน

   ๘๙.สังโยชน์ติสามซิ"ยึดตัวตน"........................."วิจิฯ"ท้นพะวงละลาน
"สีลัพพะฯ"ยึดซิพรตมั่นพาน.................................ลุละครบก็โสดะบัน

   ๙๐.โสดาฯมิต่ำจะปิดทางวาย.............................ก็อบายภูมิซิครัน
ย่อมบรรลุโพธิญาณเลิศสรรค์...............................ระยะหน้าซิแน่เฉลย

   ๙๑.สงฆ์ใดมุ"ธัมม์นุสารีฯ"กาจ............................ยุรยาตรพระธรรมซิเอ่ย
ย่อมบรรลุเริ่มตะโสดาฯเอ่ย...................................อติปัญญะกล้าลุผล

   ๙๒.คือ"ทิฏฐิปัตตะ"เห็นถูกชัด............................อริย์สัจจธรรมเจาะล้น
ปัญญาสิแกร่งมุเดินตรงยล....................................อรหัตตผลซิหนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:4981
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 728



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #179 เมื่อ: 10, สิงหาคม, 2568, 02:45:05 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๕/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

   ๙๓.สงฆ์ใดเจาะตรงกะ"สัทธาฯ"ชี้..............จรลีเพราะเชื่อคณา
พึงบรรลุเริ่มตะโสดาฯมา.............................อภิสัจจะยิ่งลุผล

   ๙๔."สัทธาวิมุต"จะหลุดพ้นชัด...................อริย์สัจจธรรมเจาะท้น
ศรัทธาซินำกะปัญญาดล.............................อรหัตตผลไสว

   ๙๕.ชนใดซิเชื่อและรักพุทธ์องค์................คติบ่งสวรรค์คระไล
พุทธ์เจ้าซิตรัสแนะภาษิตไซร้.......................ก็พระสงฆ์รตีและชม ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๒.อลคัททูปมสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=22

เชตว์นาฯ = เชตวนาราม อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
อริฏฐะ =พระอริฏฐะ รูปนี้เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ไม่รู้เรื่องอันตรายิกธรรมแห่งการล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ เพราะเหตุที่ท่านไม่ฉลาดเรื่องวินัย ดังนั้น ท่านจึงเกิดความคิดอย่างนี้ว่า
(๑) คฤหัสถ์ที่ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณ ที่เป็นโสดาบันก็มี เป็นสกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี แม้พวกภิกษุก็ยังเห็นรูปที่น่าชอบใจที่จะพึงรู้ด้วยจักษุ ฯลฯ ยังถูกต้องสิ่งสัมผัสที่จะพึงรู้ด้วยกาย ยังใช้สอยผ้าปูผ้าห่มอ่อนนุ่ม สิ่งนั้นทั้งหมดยังถือว่าควร เพราะเหตุไร รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของหญิงจึงจะไม่ควร สิ่งเหล่านั้นต้องควรแน่นอน
(๒) ครั้นเกิดทิฏฐิชั่วขึ้นแล้ว ก็โต้แย้งพระสัพพัญญุตญาณคัดค้านเวสารัชชญาณใส่ตอและหนามในอริยมรรคว่า “ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติปฐมปาราชิกอย่างกวดขันประดุจกั้นมหาสมุทร ในข้อนี้ไม่มีโทษ” ประหารอาณาจักรของพระชินเจ้าด้วยกล่าวว่า “เมถุนธรรม ไม่มีโทษ”
ธรรมก่ออันตราย = มี ๕ อย่าง คือ (๑) กรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ (๒) กิเลส ได้แก่ นิยตมิจฉาทิฏฐิ (๓) วิบาก ได้แก่ การเกิดเป็นบัณเฑาะก์ สัตว์ดิรัจฉาน และสัตว์ ๒ เพศ (๔) อริยุปวาท ได้แก่ การว่าร้ายพระอริยเจ้า (๕) อาณาวีติกกมะ ได้แก่ อาบัติ ๗ กองที่ภิกษุจงใจล่วงละเมิด
นิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓ = คือความเห็นผิดมีโทษมาก จะทำบาปได้ทุกอย่างเพราะมีความเห็นผิดเป็นปัจจัย เห็นผิดที่ดิ่ง มี ๓ อย่าง
(๑) อเหตุกทิฎฐิ = เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองเป็นเอง ไม่อาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดให้มีขึ้น ไม่เชื่อในเหตุ
(๒) นัตถิกทิฎฐิ = เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลจากการทำดีทำชั่ว ไม่มีโลกนี้โลกหน้า สัตว์บุคคลไม่มี เป็นแต่ธาตุประชุมกันตายแล้วสูญไม่เกิดอีก เชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
(๓) อกิริยทิฎฐิ = เห็นว่าการกระทำใดๆ บาปบุญไม่มีแก่ผู้ทำกระทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป ปฏิเสธการกระทำโดยประการทั้งปวง
กามทั้งหลาย = มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
มีโทษยิ่งใหญ่ เปรียบเหมือน
(๑) ร่างโครงกระดูก (๒) ชิ้นเนื้อ (๓) คบเพลิงหญ้า (๔) หลุมถ่านเพลิง (๕)ความฝัน (๖) ของที่ขอยืมมา (๗) ผลไม้คาต้น (๘) เขียงหั่นเนื้อ (๙) หอกหลาว (๑๐) หัวงู
ผลไม้คาต้น = หมายถึง กามทั้งหลาย เปรียบเหมือนผลไม้มีพิษ เพราะบั่นทอนร่างกาย, อีกนัยหนึ่ง คนที่ต้องการผลไม้ เที่ยวเมื่อพบต้นไม้ผลดกจึงปีนขึ้นไปเก็บกิน เก็บใส่ห่อ, อีกคนหนึ่งเห็นต้นไม้ผลดกต้นเดียวกันนั้น แต่แทนที่จะปีนขึ้นไปเก็บผล กลับเอาขวานตัดต้นไม้ผลดกนั้นในขณะที่คนแรกยังอยู่บนต้นไม้ อันตรายจึงเกิดขึ้นแก่เขา
โมฆะฯ = โมฆบุรุษ คือบุคคลที่ว่างเปล่า ไม่มีแก่นสารเช่น (๑) ว่างเปล่าจากกุศลธรรมในขณะนั้น (๒) ว่างเปล่าจากความเห็นถูกคือเป็นผู้มีความเห็นผิด (๓) ว่างเปล่าเพราะไม่มีอุปนิสัยที่จะได้บรรลุมรรคผลในชาตินั้น (๔) ว่างเปล่าแม้จะมีอุปนิสัยจะได้บรรลุในชาตินั้น  แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลจึงว่างเปล่าจากการบรรลุในขณะนั้น
กามสัญญา = สัญญาที่ข้องในกามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
กามวิตก = ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแส่หา หรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก
การเรียนธรรมของโมฆบุรุษ = ได้เรียนพระสูตรต่างๆ เช่น
(๑) สุตตะ ได้แก่ อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร มงคลสูตร รตนสูตร นาฬกสูตร ตุวัฏฏกสูตร ในสุตตนิบาต และพุทธวจนะอื่นๆ ที่มีชื่อว่าสุตตะ
(๒) เคยยะ ได้แก่ พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสังยุตตนิกาย
(๓) เวยยากรณะ ได้แก่ พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่จัดเข้าในองค์ ๘ ที่เหลือ
(๔) คาถา ได้แก่ ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนในสุตตนิบาตที่ไม่มีชื่อว่าเป็นสูตร
(๕) อุทาน ได้แก่ พระสูตร ๘๒ สูตรที่เกี่ยวด้วยคาถาที่ทรงเปล่งด้วยพระหฤทัยสหรคตด้วยโสมนัสญาณ
(๖) อิติวุตตกะ ได้แก่ พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่ตรัสโดยนัยว่า วุตฺตมิทํ ภควตา เป็นต้น
(๗) ชาตกะ ได้แก่ ชาดก ๕๕๐ เรื่อง มีอปัณณกชาดก เป็นต้น
(๘) อัพภูตธรรม ได้แก่ พระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏ ทั้งหมด ที่ตรัสโดยนัยว่า “ภิกษุทั้งหลายข้ออัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ อย่างนี้ หาได้ในอานนท์” ดังนี้เป็นต้น
(๙) เวทัลละ ได้แก่ พระสูตรแบบถาม-ตอบ ซึ่งผู้ถามได้ทั้งความรู้ และความพอใจ เช่น จูฬเวทัลลสูตร
(๑๐) มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และมหาปุณณมสูตร
พระพุทธ์ฯ,พุทธะ = พระพุทธเจ้า


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.176 วินาที กับ 170 คำสั่ง
กำลังโหลด...