แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๕/๗) ๕๓.จูฬหัตถิปโทปมสูตร
(๘) เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และ ภูตคาม [พืชคาม = คือพืชพันธุ์จำพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก; ภูตคาม = คือ ของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่นกระชาย, เกิดจากต้น เช่น โพ, เกิดจากตา เช่น อ้อย, เกิดจากยอด เช่น ผักชี, เกิดจากเมล็ด เช่น ข้าว] (๙) ฉันมื้อเดียว ไม่ฉันตอนกลางคืน เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล [คือ เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเรื่อง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึงผิดเวลาที่กำหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึงเวลาอรุณขึ้น] (๑๐) เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล (๑๑) เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ของหอม และเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่งการแต่งตัว (๑๒) เว้นขาดจากที่นอนสูงใหญ่ (๑๓) เว้นขาดจากการรับทองและเงิน (๑๔) เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ [ในที่นี้คือธัญชาติ ๗ ชนิด คือ ข้าวสาลี, ข้าวเปลือก, ข้าวเหนียว, ข้าวละมาน, ข้าวฟ่าง, ลูกเดือย, หญ้ากับแก้ ] (๑๕) เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ (๑๖) เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี (๑๗) เว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย (๑๘) เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ (๑๙) เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร (๒๐) เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา (๒๑) เว้นขาดจากการรับเรือกสวน ไร่นา และที่ดิน (๒๒) เว้นขาดจากการรับทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร (๒๓) เว้นขาดจากการซื้อการขาย (๒๔) เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม และด้วยเครื่องตวงวัด (๒๕) เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง (๒๖) เว้นขาดจากการตัด(อวัยวะ) การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้น และการขู่กรรโชก อินทรีย์ ๒๒ = คือ สิ่งที่เป็นใหญ่ในการทำกิจของตน คือ ทำให้ธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามตน ในกิจนั้นๆ ในขณะที่เป็นไปอยู่นั้น (๑) จักขุนทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ จักขุปสาท (๒) โสตินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ โสตปสาท (๓) ฆานินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ฆานปสาท (๔) ชิวหินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ชิวหาปสาท (๕) กายินทรีย ~ อินทรีย์ คือ กายปสาท (๖) มนินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ใจ ได้แก่ จิต ที่จำแนกเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ก็ตาม (๗) อิตถินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ อิตถีภาวะ (๘) ปุริสินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ปุริสภาวะ (๙) ชีวิตินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ชีวิต (๑๐) สุขินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ สุขเวทนา (๑๑) ทุกขินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ทุกขเวทนา (๑๒) โสมนัสสินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ โสมนัสสเวทนา (๑๓) โทมนัสสินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ โทมนัสสเวทนา (๑๔) อุเปกขินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ อุเบกขาเวทนา (๑๕) สัทธินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ศรัทธา (๑๖) วิริยินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ วิริยะ (๑๗) สตินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ สติ (๑๘) สมาธินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตา (๑๙) ปัญญินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ ปัญญา (๒๐) อนัญญาตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ ~ อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ (๒๑) อัญญินทรีย์ ~ อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ ๖ ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ (๒๒) อัญญาตาวินทรีย์ ~ อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ อกุศลกรรมบถ ๑๐ = ทางแห่งกรรมชั่ว, ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ทุคติ มี ๑๐ อย่าง คือ ก. กายกรรม ๓ ได้แก่ (๑) ปาณาติบาต ~ การทำลายชีวิต (๒) อทินนาทาน ~ ถือเอาของที่เขามิได้ให้ (๓) กาเมสุมิจฉาจาร ~ ประพฤติผิดในกาม ข. วจีกรรม ๔ ได้แก่ (๔) มุสาวาท ~พูดเท็จ (๕) ปิสุณาวาจา ~ พูดส่อเสียด (๖) ผรุสวาจา ~ พูดคำหยาบ (๗) สัมผัปปลาปะ ~ พูดเพ้อเจ้อ ค. มโนกรรม ๓ ได้แก่ (๘) อภิชฌา ~ ละโมบคอยจ้องอยากได้ของเขา (๙) พยาบาท ~ คิดร้ายเขา (๑๐) มิจฉาทิฏฐิ ~ เห็นผิดจากคลองธรรม นิวรณ์ ๕ =สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม, ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี, อกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ได้แก่ (๑)กามฉันทะ ~ ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ (๒) พยาบาท ~ ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ (๓) ถีนมิทธะ ~ ความหดหู่และเซื่องซึม (๔) อุทธัจจกุกกุจจะ ~ ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ, ความกระวนกระวายกลุ้มกังวล (๕) วิจิกิจฉา ~ ความลังเลสงสัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๖/๗) ๕๓.จูฬหัตถิปโทปมสูตร
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ (๑) รูปฌาน = ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ คือ (๑.๑) ปฐมฌาน - ฌานที่ ๑ ประกอบด้วย วิตก(ตรึก) วิจาร(ตรอง) ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๒) ทุติยฌาน - ฌานที่ ๒ ประกอบด้วย ปิติ เอกัคคตา สุข อันเกิดจากสมาธิ (๑.๓) ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ ประกอบด้วย เอกัคคตา และสุขอันเกิดจากนามกาย [นามขันธ์ทั้ง ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือทั้งจิตและเจตสิก] (๑.๔) จตุตถฌาน - ฌานที่ ๔ ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา (๒) อรูปฌาน = ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ได้แก่ (๒.๑) อากาสานัญจายตนะ - มีความว่างเปล่าคืออากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อาจเรียกว่า ฌาน ๕ (๒.๒) วิญญาณัญจายตนะ - มีความว่างระดับนามธาตุคือความว่างในแบบที่อายตนะภายนอกและภายในไม่กระทบกันจนเกิดวิญญาณธาตุการรับรู้ขึ้นเป็นอารมณ์ อาจเรียกว่า ฌาน ๖ (๒.๓) อากิญจัญญายตนะ หรือฌาน ๗ คือ - การไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น (๒.๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือฌาน ๘ คือ - จะว่ามีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือแม้แต่อารมณ์ว่าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มี ตถาคตบท = หมายถึงทางแห่งญาณ หรือร่องรอยแห่งญาณของพระตถาคต (เรียกฐานอันญาณเหยียบแล้ว) กล่าวคือ ฌานทั้งหลายมีปฐมฌานเป็นต้น เป็นพื้นฐานแห่งญาณชั้นสูงๆ ขึ้นไปของพระตถาคต ตถาคตนิเสวิต = หมายถึงฐานอันซี่โครงคือญาณของพระตถาคตเสียดสีแล้ว ตถาคตรัญชิต = หมายถึงฐานอันพระเขี้ยวแก้วคือญาณของพระตถาคตกระทบแล้ว กิเลสเพียงดังเนิน (อังคณะ) = คือถึงกิเลสเพียงดังเนินคือราคะ โทสะ โมหะ มลทิน หรือเปือกตม วิชชา ๓ =ได้แก่ (๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = คือ ระลึกชาติ, รู้ชาติในอดีต, รู้ภพในอดีต โดยระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น (๒) จุตูปปาตญาณ = รู้การจุติ การอุบัติ รู้ภพใหม่ ด้วยทิพย์จักษุ ของสัตว์ทั้งหลาย กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม (๓) อาสวักขยญาณ = คือ ญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย, นี้ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, นี้อาสวะ, นี้อาสวสมุทัย, นี้อาสวนิโรธ, นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา’ จึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นภพ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อริยสัจ ๔= คือความจริงอันประเสริฐ ที่พระโคตมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ประกอบด้วย (๑) ทุกข์ = คือ สภาพที่ทนได้ยาก สภาวะที่บีบคั้นขัดแย้ง ทำให้เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นปัญหาของชีวิต โดยทั่วไปหมายถึง สังขารทั้งปวง อันได้แก่ ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทุกข์ เรียกทุกขสัจ มี ๑๑ อย่าง ได้แก่ (๑.๑) ชาติ ~ ความเกิด, ความหยั่งลงเกิด, เกิดจำเพาะ, ความปรากฏแห่งขันธ์, ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ (๑.๒) ชรา ~ ความแก่, ความเสื่อมแห่งอายุ, ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์ (๑.๓) มรณะ ~ ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน, ความแตกทำลาย, ความหายไป, มฤตยู ความตาย, ความทำกาละ, ความทำลายแห่งขันธ์, ความทอดทิ้งซากศพไว้, ความขาดแห่งชีวิตอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ (๑.๔) โสกะ หมายถึง ความแห้งใจ, ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว (๑.๕) ปริเทวะ ~ ความคร่ำครวญ, ความร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง, ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว (๑.๖) ทุกข์ (กาย) ~ ความลำบากทางกาย, ความไม่สำราญทางกาย, ความเสวยอารมณ์ อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ กายสัมผัส (๑.๗) โทมนัส ~ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดี ที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ นึกคิดขึ้นมา) (๑.๘) อุปายาส ~ ความคับแค้น ของผู้ประกอบด้วยความพิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง, ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว (๑.๙) ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก หมายถึง ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วย บุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ (กิเลส) ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๗/๗) ๕๓.จูฬหัตถิปโทปมสูตร
(๑.๑๐) ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หมายถึง ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษม จากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น (๑.๑๑) ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หมายถึง ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่ สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา, อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา (๒) ทุกข์สมุทัย = คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์อย่างแท้จริง ได้แก่ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ซึ่งมี ๓ ประเภท คือ (๒.๑) กามตัณหา ~ ความอยากในกามคุณอารมณ์ สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ (๒.๒) ภวตัณหา ~ ความอยากในภพ อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป (ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ) (๒.๓) วิภวตัณหา ~ ความอยากในความไม่มีภพ อยากไม่เป็น อยากให้สิ้นสุด พ้นไปจากตัวตน (ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ) (๓) นิโรธ = คือ ความดับทุกข์, สภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไปโดยไม่เหลือ, เป็นสภาวะที่สงบสุขและเป็นอิสระอย่างแท้จริง อันได้แก่ นิพพาน ซึ่งมีลักษณะคือการสละ (จาคะ), การวาง (ปฏินิสสัคคะ), การปล่อย (มุตติ), และความไม่พัวพัน (อนาลโย) ในตัณหา (๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา = ทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ หรือก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ (๔.๑) สัมมาทิฏฐิ ~ ความเห็นชอบ (๔.๒) สัมมาสังกัปปะ ~ ความดำริชอบ (๔.๓) สัมมาวาจา ~ การเจรจาชอบ (๔.๔) สัมมากัมมันตะ ~ การกระทำชอบ (๔.๕) สัมมาอาชีวะ ~ การเลี้ยงชีพชอบ (๔.๖) สัมมาวายามะ ~ ความพยายามชอบ (๔.๗) สัมมาสติ ~ ความระลึกชอบ (๔.๘) สัมมาสมาธิ ~ ความตั้งใจมั่นชอบ อาสวะ ๓ = คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ ได้แก่ (๑) กามาสวะ ~ อาสวะคือกาม เป็นกิเลสดองอยู่ในสันดานที่ทำให้เกิดความใคร่ (๒) ภวาสวะ ~ อาสวะคือภพ เป็นกิเลสที่หมักหมม หรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้อยากเป็นอยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป (๓) อวิชชาสวะ ~ อาสวะคืออวิชชาเป็น กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง อาสวสมุทัย =เหตุเกิดแห่งอาสวะย่อมมี เพราะอวิชชาเป็นเหตุให้เกิด อาสวนิโรธ = ความดับอาสวะ ย่อมมี เพราะอวิชชาดับ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ ความเห็นชอบ, ดำริชอบ, เจรจาชอบ, การงานชอบ, เลี้ยงชีพชอบ, พยายามชอบ, ระลึกชอบ, ตั้งใจมั่นชอบ, ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอาสวะ อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา = คือ ปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอาสวะ ได้แก่ (๑) ละราคานุสัย ~ เป็นอนุสัยที่เกี่ยวข้องกับความยินดีพอใจในกามารมณ์ หรือความอยากได้ใคร่อยากต่างๆ ที่ทำให้จิตใจติดอยู่ในความสุขและความพอใจทางโลก จะละได้โดยการเจริญปัญญา หรือการฝึกสติ เพื่อให้เห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่หลงติดอยู่ในความสุขและความพอใจ (๒) บรรเทาปฏิฆานุสัย ~ คือ ความไม่พอใจนั้นฝังลึกอยู่ในจิตใจ กลายเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ สิ่งนั้นเรียกว่า ปฏิฆานุสัย มักจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้รับทุกขเวทนา หรืออารมณ์ที่ไม่สบายใจ การแก้ไขปฏิฆานุสัย คือ การฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น และฝึกการปล่อยวางความไม่พอใจ (๓) ถอนทิฏฐานุสัย ~ คือ ความเคยชินในการยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิเหล่านั้นอย่างฝังแน่น ทำให้ละทิฏฐิเหล่านั้นได้ยาก เช่น ความเห็นว่าตัวตน (สักกายทิฏฐิ), ความเห็นว่าการกระทำบางอย่างจะนำไปสู่ความบริสุทธิ์ (สีลัพพตปรามาส) ดังนั้น ทิฏฐานุสัยจึงเป็นกิเลสที่ละเอียดอ่อน เป็นความเคยชินในการยึดมั่นในความเห็นผิด ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุธรรม (๔) ถอนมานานุสัย ~มานานุสัย คือ การยึดถือในตัวตน (อหังการ) และทรัพย์สินข้าวของ (มมังการ) อย่างลึกซึ้ง จนกลายเป็นความเคยชิน (มานานุสัย) ที่ทำให้เกิดความทุกข์ (๕) ละอวิชชา ~ อวิชชานุสัย คือ ความไม่รู้ (อวิชชา) กลายเป็นความเคยชินที่ฝังลึกในจิตใจ (อนุสัย) เรียกว่า อวิชชานุสัย เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ของกิเลสที่พร้อมจะงอกงามเมื่อมีเหตุปัจจัย อวิชชานุสัย เป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งปวง เพราะความไม่รู้ทำให้เราเข้าใจผิด หลงยึดติดในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน และก่อให้เกิดความทุกข์ จะขจัดได้ต้องใช้ปัญญาในการอบรมจิตใจ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความจริงของชีวิต และสามารถดับความไม่รู้ได้ และยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน พุทธ์ฯ =พระโคดมพุทธเจ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร (สูตรแสดงการเปรียบเทียบด้วยรอยเท้าช้าง สูตรใหญ่)
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑/กาพย์ยานี ๑๑
๑.ขอน้อมพระพุทธ์ฯครัน.........................อรหันต์พระสัมมา ผู้ทรงพระคุณหนา......................................อนุเคราะห์ลิทุกข์ราน
๒.พุทธ์เจ้าประทับอยู่................................เชตวันฯชูพระวิหาร "อนาบิณฑิฯ"กราน......................................ถวายงานเป็นอาราม
๓.ที่นี้"พระสารีฯ"......................................นยชี้พระสงฆ์ความ รอยเท้าคชาผลาม......................................อริย์สัจซิเปรียบกัน
๔.รอยเท้าสัตว์ทั้งหลาย............................ท่องเที่ยวกรายในโลกครัน ย่อมลงรอยช้างพลัน...................................เชื่อว่าสรรยิ่งใหญ่นำ
๕.รอยเท้าคเชนทร์ใหญ่............................ดุจะไซร้กุศลธรรม ทั้งหมดซิมีพร่ำ............................................อริย์สัจคะคล้ายแฉ
๖.อริยสัจสี่...............................................มีธรรมชี้กอปรด้วยแล "ทุกข์อริยะฯ"แน่..........................................เดือดร้อนแท้ทั้งใจกาย
๗.สาเหตุเจาะทุกข์ไกล.............................."สมุทัยฯ"ก็"อยาก"กราย อยาก"กาม"และ"ภพ"ผาย............................."นิรอยากจะมีเป็น"
๘."ทุกข์นิโรธฯ"ดับทุกข์.............................สภาพรุก"อยาก"ดับเข็ญ สุขสงบแท้เด่น.............................................นิพพานเย็นจริงแท้เอย
๙."ทุกคามินีฯ"ดับ.....................................มละฉับกะทุกข์เอย ผ่านทางแนะมรรคเผย..................................ปฏิบัติลุแปดเอย
๑๐.สารีบุตรบอกชัด..................................ทุกข์อริยสัจอย่างไรแน่ เกิด,แก่,ป่วย,ตายแล้.....................................โศก,แค้น,แท้พรากทุกข์พาน
๑๑.ทุกข์กล่าวสรุปแล้ว..............................ภวะแน่ว"อุปาทาน" มีห้าประการขาน..........................................เจาะเกาะ"รูป"และยึดกราย
๑๒.รูปกายงาม,ไม่งาม...............................สิ่งต่างตามสัมผัสกาย ติดยึดกับสุขผาย.........................................สิ่งของหมายยึดติดมี
๑๓."รูป"กายเจาะใดมา..............................ก็"มหาฯ"ซิรูปสี่ รูปอิง"อุปาฯ"ชี้.............................................ศยะเกิดเพราะธาตุหนา
๑๔.มหาภูต์รูปสี่........................................มี"ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม"นา ธาตุดินของแข็งพา.......................................ภายในมานอกก็มี
๑๕.ในกาย"อุปาทินฯ"................................เฉพาะยินซิหยาบลี ผม,เนื้อ,นขา,ดี.............................................เจาะกระดูก,และไส้,ไต
๑๖.ธาตุดินใน-นอกควร............................เห็นด่วนตามความจริงไว ปัญญามียิ่งไซร้...........................................ไป่ของเรา,เรามิเป็น
๑๗.ธาตุดิน บ อัตตา.................................ดนุหนามิใช่เด่น ควรหน่ายละยึดเข็น....................................หฤทัยละเลิกสรร
๑๘.ธาตุดิน-นอกกำเริบ.............................จะเนิบหายแม้ใหญ่พลัน ยังปรากฏไม่เที่ยงครัน.................................เสื่อมสิ้นยันธรรมดา
๑๙.กายสงฆ์สิความอยาก.........................ทะลุมากจะยึดว่า ของเราผิตัณหา..........................................นิรเที่ยงลุเสื่อมเผย
๒๐.ธาตุดินสิ้นเปลี่ยนแปร........................สงฆ์จึงแน่ไม่ยึดเลย หากชนด่าเบียนเปรย..................................รู้สึกเอ่ยเสียงเลวนา
๒๑.ทุกข์เวทนาจากเสียง..........................ภวะเกรียงเพราะเหตุกล้า หากเหตุมิมีหนา..........................................นิรทุกข์มิเกิดมี
๒๒.ทุกข์เวทนาอาศัย...............................อะไรหนอจึงเกิดคลี่ เกิดเพราะ"ผัสสะ"ชี้.....................................สงฆ์รู้ดีไม่เที่ยงนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๒/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
๒๓.ทั้ง"ผัสสะ,จับต้อง".........................จตุครองกะ"สัญญา" "เวท์นากะปรุง"หนา.................................และปะ"วิญญะ"ไม่เที่ยง
๒๔.จิตสงฆ์ย่อมผ่องใส.........................ใจมั่นอารมณ์ธาตุเคียง หากถูกทำร้ายเมียง.................................อดกลั้นเลี่ยงพุทธ์ฯสอนครา
๒๕.เมื่อสงฆ์ตริรัตน์ตรัย........................ตะมิไวอุเบกขา สงฆ์ย่อมสลดใจพา..................................อนลาภกะตนแฉ
๒๖.รำลึกรัตน์ตรัยแล้ว..........................กุศลแผ้วดำรงแล "อุเบกขา"คงแน่.......................................ชื่อว่าทำตามพุทธ์องค์
๒๗.อาโปเจาะธาตุน้ำ.............................ภวะพร่ำซิในบ่ง เลือด,หนองและมูตร..ส่ง".........................เฉพาะตน ณ ภายใน
๒๘.อาโปธาตุภายนอก...........................มีอยู่ดอกนอกกายไป ปัญญาเห็นจริงไซร้...................................อาโปฯไป่ของเรานา
๒๙.เรานั้นมิเป็นใด..................................และมิใช่ซิอัตตา เห็นจริงก็หน่ายหนา...................................หฤทัยผละหลงใหล
๓๐.อาโปธาตุภายนอก............................กำเริบหรอกมีได้ไกล ไหลผ่านบ้าน,เมืองไกล..............................ไซร้มหาสมุทรคอย
๓๑.น้ำในมหาส์มุทร.................................ศยะรุดจิรังพลอย ลึก"หนึ่งปะเจ็ดร้อย"...................................ประลุโยชน์ก็มีหนา
๓๒.เวลาน้ำขังอยู่....................................พรูมหาสมุทรนา เจ็ดชั่วลำตาลพา........................................ถึงมาหนึ่งชั่วยังมี
๓๓.น้ำในมหาส์มุทร.................................ระยะยุดซิขังชี้ เจ็ดชั่วบุรุษนี้..............................................ทะลุหนึ่งก็มีแฉ
๓๔.น้ำในมหาสมุทร.................................ผุดขังกึ่งชั่วคนแล เพียงสะเอว,เข่าแล้.....................................แค่ข้อเท้าย่อมมีเอย
๓๕.น้ำในมหาส์มุทร.................................ผิวะปุดกะนิ้วเอ่ย น้ำน้อยมิเปียกเผย......................................เพราะมิเที่ยงจะสิ้น,แปร
๓๖.ไฉนกายอยู่ไม่นาน.............................จึงขานยึดของเราแล มีเราอยู่แน่แท้.............................................แม้สงฆ์ควรไม่ยึดนา
๓๗.ครันสงฆ์ตริรัตน์ตรัย...........................ลุไสวอุเบกขา มีเหตุรตีนั้น.................................................ปฏิบัติพระพุทธ์ฯสอน
๓๘.เตโชธาตุ,ไฟชี้....................................มีได้ภายใน-นอกชอน ไฟภายในซอกซอน.....................................ยอนในกายตนเป็นคุณ
๓๙.ไฟร้อนประเทากาย............................สิสบายเพราะอบอุ่น อาหารซิย่อยจุล..........................................จะกระทำซิกายโทรม
๔๐.เตโชภายนอกแจง...............................อยู่แจ้งนอกกายโลม ไฟใน-นอกเหมือนโถม..................................ควรเห็นโฉมไม่ใช่เรา
๔๑.บัณฑิตลุเห็นไฟ..................................คติไซร้ซิหน่ายเนา ปัญญาเจาะเสริมเพรา..................................หฤทัยมิยึดเลย
๔๒.ไฟธาตุนอกกำเริบ...............................เอิบไหม้บ้าน,สวนป่าเอย หมดเชื้อพานดับเลย.....................................เปรยก่อหาไฟย่อมมี
๔๓.เตโชสิใหญ่เกรียง................................ก็มิเที่ยงลุสิ้นชี้ มีเสื่อมและแปรคลี่........................................เพราะเจาะธรรมดาแฉ
๔๔.ไยกายมีกาลสั้น...................................ตัณหาดั้นยึดถือแล ว่าของเรามีแล้..............................................แน่ไม่เที่ยง,สิ้น,เสื่อมนา
๔๕.เช่นนี้พระสงฆ์ไซร้................................มละไฟมิยึดหนา ครันสงฆ์ระลึกมา..........................................กะพระพุทธ์ฯพระธรรมเผย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๓/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
๔๖.อุเบกขาเหตุคง..............................พระสงฆ์ย่อมพอใจเอย สงฆ์ได้ชื่อทำเชย...................................เกยคำสอนพุทธ์เจ้าแล
๔๗."วาโยฯ"สิลมใฝ่..............................ทวิในและนอกแฉ ในกาย ณ ช่องแล้...................................ระดะลมซิขึ้นลง
๔๘.เช่นลมหายใจครอง........................ลมในท้อง,ลำไส้ตรง พัดวนไปมาบ่ง........................................ส่งเบื้องบนลงล่างเอย
๔๙.ลมในและนอกกราย.......................ดุจะคล้ายประชิดเอ่ย ควรเห็นเจาะจริงเผย...............................นิรเป็นซิของเรา
๕๐.บัณฑิตมีปัญญา.............................พารู้ความเป็นจริงเนา ย่อมหน่ายวาโยฯเขลา.............................จิตเบาคลายกำหนัดนา
๕๑.วาโยฯสินอกกำเริบ.........................ภวะเสิบเจาะมีหนา ลมพัดทลายกล้า.....................................ภิทะบ้านสลายราน
๕๒.ฤดูร้อนลมมิไหว.............................ชนหลายใช้พัดใบตาล แสวงหาลมพาน......................................ยอดหญ้าซานมิพลิ้วเอย
๕๓.วาโยฯสินอกนั้น..............................พหุครันก็ยังเกย ไม่เที่ยงและเสื่อมเผย..............................ลุเผชิญกะแปรแล
๕๔.ไยกายอยู่ช่วงสั้น............................ทำไมดั้นยึดถือแล้ วาโยฯของเราแน่.....................................เที่ยงแท้และเรามีเอย
๕๕.สงฆ์เห็นวะสิ้นแท้.............................ภวะแปรและเสื่อมเผย สงฆ์จึงมิยึดเลย........................................จะผละหนีกะลมแฉ
๕๖.หากชนว่าด่าสงฆ์.............................ยินบ่งหูสัมผัสแล เกิดทุกข์เวท์นาแท้....................................ผัสสะแน่เหตุเกิดครัน
๕๗.คิดผัสสะหาเที่ยง.............................ฐิติเสี่ยงเพราะแปรผัน "ปรุง,เวทนาขันธ์".....................................เหมาะเจาะ"สัญญะ,วิญญาณ"
๕๘.ผัสสะ,นามขันธ์สี่..............................ไม่เที่ยงชี้สงฆ์รู้พาน จิตย่อมดิ่งประสาน....................................ผ่องใสกรานในอารมณ์
๕๙.ชนตบและตีสงฆ์...............................คติบ่งซิกายสม รองรับสภาพซม.........................................หทยาจะแน่วเผย
๖๐.พุทธ์เจ้าสอนอดกลั้น.........................สตินั้นคงมั่นเอย เพียรไม่หย่อน,กายเชย..............................สงบเปรยไม่ดิ้นรน
๖๑.คราสงฆ์ตริรัตน์ตรัย..........................ภวะไซร้กุศลดล อารมณ์อุเบกฯผล......................................ปฏิบัติเจาะสอนเตือน
๖๒.สารีบุตรแจงสงฆ์...............................ดิน,หญ้าบ่งใช้สร้างเรือน กระดูก,เอ็น,เนื้อเกลื่อน...............................ประกอบเยือนเป็นรูปแล
๖๓.หาก"ตา"สิยังแผ้ว..............................มิลุแน่วซิรูปแฉ ไม่ใส่หทัยแล้.............................................มิอุบัติเจาะวิญญาณ
๖๔.ตายังดีอยู่แท้....................................ไม่มีแค่รูปพาน จักขุวิญญาณผลาญ..................................ไม่เกิดรานไม่รู้เอย
๖๕.หากตามิทำลาย................................ประลุฉายกะรูปเผย ใส่ใจมิมีเลย...............................................ก็ปลาตกะวิญญาณ
๖๖.ตายังดีอยู่น้อม..................................มีรูปพร้อมเห็นพาน ขาดความใส่ใจราน....................................วิญญาณรู้ไม่เกิดนา
๖๗.ตาไม่ทลายแป้ว.................................และเจาะแน่วซิรูปหนา ใส่ใจซิพร้อมครา........................................ประลุจักขุวิญญาณ
๖๘."ตา"อายตนะใน..................................รูปไซร้อายะฯนอกพาน ความใส่ใจพร้อมกราน.................................วิญญาณรู้แจ้งเกิดเอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๔/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร ๖๙.สงฆ์รู้เจาะ"รูปูปาฯ"........................มทะหนาซิติดเผย หลงรูปเกาะสวยเปรย..............................ปะทะกายและชื่นนาน ๗๐.สงฆ์ทราบ"เวทนา"..........................ยึดมั่นรู้ติดสุขพาน ยึดติดทุกข์,เฉยกราน..............................ไม่ผลาญทิ้งโดยปล่อยวาง ๗๑."สัญญูฯ"พระสงฆ์รู้..........................ริเจาะชูและจำพลาง แล้วยึดผจงกร่าง.....................................ตริถวิลมิลืมแฉ ๗๒.สงฆ์รู้"สังขารูฯ"...............................จิตปรุงหรู"ดี"แล อกุศล,กลางแแล้......................................แล้วยึดแน่กะตนเอย ๗๓.สงฆ์ทราบกะ"วิญญาฯ"....................มติหนาเจาะรู้เอ่ย อารมณ์กระทบเคย..................................ปะทะ"อายะฯ"ในพา ๗๔.สู่อายต์นะนอก................................พอกพูนมากตั้งใจมา วิญญาณหกเกิดหนา................................รู้ทั่วจ้าทุกสิ่งครัน ๗๕.พุทธ์เจ้าริตรัสเด่น............................ผิวะเห็น"ปฏิจจ์ฯ"พลัน ชื่อว่าเจาะธรรมดั้น...................................ซิลุธรรมปฏิจจ์ฯผาย ๗๖."ปฏิจจสมุปฯ"...................................สรุปธรรมต่างมากมาย อาศัยกันเกิดกราย....................................ปัจจัยฉายต่อกันไป ๗๗.ปัจจัยกุสิบสอง.................................คติครองลุเกิดไกล เช่นเรื่อง"อวิชชฯ"ไซร้................................จะอุบัติลุสังขาร ๗๘.สังขารเป็นปัจจัย..............................จึงมีไซร้เอยวิญญาณ วิญญาณปัจจัยผ่าน..................................."นามรูป"กรานจึงมีพลัน ๗๙.ขันธ์ห้าอุปาทาน...............................วทะขานซิแล้วดั้น หรือเรียก"ปฏิจจ์ปันฯ"................................มทะฝัง ณ ขันธ์ไว ๘๐.พอใจ,อาลัยพก.................................รก"อุปาทานขันธ์"ไกล ชี้เหตุ"ทุกข์สมุทัย".....................................รู้เหตุได้ควรทิ้งแล ๘๑.กำหนัดละทิ้งไป................................รติไวเพราะคลายแน่ เรียก"ทุกข์นิโรธ"แฉ...................................เจาะลิทุกข์และดับปลง ๘๒.ด้วยเหตุเท่านี้พร่ำ..............................ทำตามคำสอนพุทธ์องค์ สารีบุตรกล่าวตรง......................................สงฆ์ทั้งหลายต่างชื่นชม ฯ|ะ แสงประภัสสร ที่ม่ : มจร. ๘. มหาหัตถิปโทปมสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/85yMayHQ2yf1WcJU7พระพุทธ์ฯ = พระโคดมพุทธเจ้า, พระโคตมพุทธเจ้า เชต์วัน= เชตวนาราม วัดที่ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี สร้างถวาย ในเมือง สาวัตถี อนาบิณฑิฯ = อนาบิณฑิกะเศรษฐี พระสารีฯ = พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ของ พระโคดมพุทธเจ้า อริยสัจ ๔= คือความจริงอันประเสริฐ ที่พระโคตมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ประกอบด้วย (๑) ทุกข์ = คือ สภาพที่ทนได้ยาก สภาวะที่บีบคั้นขัดแย้ง ทำให้เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นปัญหาของชีวิต โดยทั่วไปหมายถึง สังขารทั้งปวง อันได้แก่ ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทุกข์ เรียกทุกขสัจ มี ๑๑ อย่าง ได้แก่ (๑.๑) ชาติ ~ ความเกิด, ความหยั่งลงเกิด, เกิดจำเพาะ, ความปรากฏแห่งขันธ์, ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ (๑.๒) ชรา ~ ความแก่, ความเสื่อมแห่งอายุ, ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์ (๑.๓) มรณะ ~ ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน, ความแตกทำลาย, ความหายไป, มฤตยู ความตาย, ความทำกาละ, ความทำลายแห่งขันธ์, ความทอดทิ้งซากศพไว้, ความขาดแห่งชีวิตอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ (๑.๔) โสกะ หมายถึง ความแห้งใจ, ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว (๑.๕) ปริเทวะ ~ ความคร่ำครวญ, ความร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง, ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว (๑.๖) ทุกข์ (กาย) ~ ความลำบากทางกาย, ความไม่สำราญทางกาย, ความเสวยอารมณ์ อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ กายสัมผัส (๑.๗) โทมนัส ~ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดี ที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ นึกคิดขึ้นมา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๕/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
(๑.๘) อุปายาส ~ ความคับแค้น ของผู้ประกอบด้วยความพิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง, ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว (๑.๙) ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก หมายถึง ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วย บุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ (กิเลส) ซึ่งมีแก่ผู้นั้น ๑.๑๐) ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หมายถึง ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษม จากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น (๑.๑๑) ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หมายถึง ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่ สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา, สัตว์ผู้มี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา, อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา (๒) ทุกข์สมุทัย = คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์อย่างแท้จริง ได้แก่ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ซึ่งมี ๓ ประเภท คือ (๒.๑) กามตัณหา ~ ความอยากในกามคุณอารมณ์ สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ (๒.๒) ภวตัณหา ~ ความอยากในภพ อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป (ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ) (๒.๓) วิภวตัณหา ~ ความอยากในความไม่มีภพ อยากไม่เป็น อยากให้สิ้นสุด พ้นไปจากตัวตน (ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ) (๓) นิโรธ = คือ ความดับทุกข์, สภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไปโดยไม่เหลือ, เป็นสภาวะที่สงบสุขและเป็นอิสระอย่างแท้จริง อันได้แก่ นิพพาน ซึ่งมีลักษณะคือการสละ (จาคะ), การวาง (ปฏินิสสัคคะ), การปล่อย (มุตติ), และความไม่พัวพัน (อนาลโย) ในตัณหา (๔) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา = ทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ หรือก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ (๔.๑) สัมมาทิฏฐิ ~ ความเห็นชอบ (๔.๒) สัมมาสังกัปปะ ~ ความดำริชอบ (๔.๓) สัมมาวาจา ~ การเจรจาชอบ (๔.๔) สัมมากัมมันตะ ~ การกระทำชอบ (๔.๕) สัมมาอาชีวะ ~ การเลี้ยงชีพชอบ (๔.๖) สัมมาวายามะ ~ ความพยายามชอบ (๔.๗) สัมมาสติ ~ ความระลึกชอบ (๔.๘) สัมมาสมาธิ ~ ความตั้งใจมั่นชอบ อุปาทานขันธ์ ๕ = คือ กองของขันธ์ ๕ ที่มีการยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ (จะละได้ต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ ผู้ที่สามารถละความยึดมั่นในรูปได้ จะเป็นพระอนาคามีบุคคล) อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์, เวทนูปาทานขันธ์, สัญญูปาทานขันธ์, สังขารูปาทานขันธ์ และ วิญญาณูปาทานขันธ์ ดังนี้ (๑) รูปูปาทานขันธ์ = ความยึดมั่นถือมั่นในรูปขันธ์ ติดอยู่ในรูปลักษณ์ภายนอก ความสวยงาม หรือความไม่สวยงามของร่างกาย และการยึดติดในสิ่งที่ร่างกายสัมผัสได้ รูปูปาทานขันธ์ = อะไรบ้าง คือ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทยรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ เกิด อีก ๒๔ รวมเป็น ๒๘ ดังนี้ มหาภูตรูป ๔ = อะไรบ้าง คือ (๑.๑) ปฐวีธาตุ (๑.๒) อาโปธาตุ (๑.๓) เตโชธาตุ (๑.๔) วาโยธาตุ อุปาทยรูป หรือ อุปาทายรูป = รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ เกิด มี ๒๔ รูป (ก) ปสาทรูป ๕ ~ รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์ (๑.๕) จักขุ ~ตา (๑.๖)โสต ~หู (๑.๗) ฆาน ~ จมูก (๑.๘) ชิวหา ~ลิ้น (๑.๙) กาย ข.โคจรรูป หรือ วิสัยรูป ๔ = รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ (๑.๑๐) รูปะ ~รูป (๑.๑๑) สัททะ ~ เสียง (๑.๑๒) คันธะ ~ กลิ่น (๑.๑๓) รสะ ~ รส (ค) ภาวรูป ๒ = รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ (๑.๑๔) อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ ~ ความเป็นหญิง (๑.๑๕) ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ ~ ความเป็นชาย (ง) หทยรูป ๑ = รูปคือหทัย (๑.๑๖) หทัยวัตถุ ~ ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ (จ) ชีวิตรูป ๑ = รูปที่เป็นชีวิต (๑.๑๗) ชีวิตินทรีย์ ~ อินทรีย์คือชีวิต (ฉ) อาหารรูป ๑ = รูปคืออาหาร (๑.๑๘) กวฬิงการาหาร ~ อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน (ช) ปริจเฉทรูป ๑ = รูปที่กำหนดเทศะ (๑.๑๙) อากาสธาตุ ~ สภาวะคือช่องว่าง (ญ) วิญญัติรูป ๒ = รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย (๑.๒๐) กายวิญญัติ ~ การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย (๑.๒๑) วจีวิญญัติ ~ การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา (ฏ) วิการรูป ๕ = รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้ (๑.๒๒) (รูปัสส) ลหุตา ~ ความเบา (๑.๒๓) (รูปัสส) มุทุตา ~ ความอ่อนสลวย (๑.๒๔) (รูปัสส) กัมมัญญตา ~ ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ (ฏ) ลักขณรูป ๔ = รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด (๑.๒๕) (รูปัสส) อุปจย ~ ความก่อตัวหรือเติบขึ้น (๑.๒๖) (รูปัสส) สันตติ ~ ความสืบต่อ (๑.๒๗) (รูปัสส) ชรตา ~ ความทรุดโทรม (๑.๒๘) (รูปัสส) อนิจจตา ~ ความปรวนแปรแตกสลาย ปัฐวีธาตุภายใน = เป็นอย่างไร อุปาทินฯ = อุปาทินนกรูป หมายถึงรูปมีกรรมเป็น สมุฏฐาน คำนี้เป็นชื่อของรูปที่ดำรงอยู่ภายในสรีระ ที่ยึดถือจับต้อง ลูบคลำได้ เช่น ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า คำนี้กำหนดจำแนกหมายเอาปฐวีธาตุภายใน อาโปธาตุภายใน = เป็นอย่างไรคือ อุปาทินนกรูปภายในที่เป็นของเฉพาะตน เป็นของเอิบอาบ มีความเอิบอาบ ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรืออุปาทินนกรูปภายในอื่นใด ที่เป็นของเฉพาะตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๖/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
เตโชธาตุ = เป็นอย่างไรเตโชธาตุภายในก็มี เตโชธาตุภายนอกก็มี เตโชธาตุที่เป็นภายใน = คือ อุปาทินนกรูปภายใน ที่เป็นของเฉพาะตน มีความเร่าร้อน ได้แก่ธรรมชาติที่เป็นเครื่องทำร่างกายให้อบอุ่น, ธรรมชาติที่เป็นเครื่องทำร่างกายให้ทรุดโทรม, ธรรมชาติที่เป็นเครื่องทำร่างกายให้เร่าร้อน ธรรมชาติที่เปเครื่องย่อยสิ่งที่กินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว และลิ้มรสแล้ว หรืออุปาทินนกรูปภายในอื่นใด ที่เป็นของเฉพาะตน เป็นของเร่าร้อน มีความเร่าร้อน นี้เรียกว่าเตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายใน และเตโชธาตุภายนอกนี้ ก็เป็นเตโชธาตุนั่นเอง บัณฑิตพึงเห็นเตโชธาตุนั้นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’ บัณฑิตครั้นเห็นเตโชธาตุนั้นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในเตโชธาตุ และทำจิตให้คลายกำหนัดจากเตโชธาตุ เวลาที่เตโชธาตุภายนอกกำเริบย่อมจะมีได้ เตโชธาตุภายนอกนั้นย่อมไหม้บ้านบ้าง นิคมบ้าง นครบ้าง ชนบทบ้าง บางส่วนของชนบทบ้าง เตโชธาตุภายนอกนั้น(ลาม)มาถึงหญ้าสด หนทาง ภูเขา น้ำ หรือภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์แล้วเมื่อไม่มีเชื้อ ย่อมดับไปเอง เวลาที่ชนทั้งหลายแสวงหาไฟด้วยขนไก่บ้าง ด้วยการขูดหนังบ้าง ย่อมจะมีได้ นามขันธ์ ๔ = คือ ส่วนที่เป็นนามธรรมของชีวิตหรือส่วนที่เป็นจิตใจ ซึ่งประกอบด้วย เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก), สัญญาขันธ์ (ความจำ), สังขารขันธ์ (สภาพที่ปรุงแต่งจิตใจ) และวิญญาณขันธ์ (ความรู้แจ้ง) อุเบกฯ = อุเบกขา การวางเฉย ไม่มีทุกขเวทนา, ไม่มีสุขเวทนา, ไม่มี อทุกขมสุขเวทนา อายตนะ ภายใน ๖ = คือ ที่เชื่อมต่อ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ภายนอก ๖ = ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ (สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ) (๒) เวทนูปาทานขันธ์ = คือ การยึดมั่นถือมั่นในเวทนา หรือความรู้สึกต่างๆ การยึดมั่นนี้หมายถึงการติดอยู่ในความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ โดยไม่ปล่อยวาง (๓) สัญญูปาทานขันธ์ = คือ ความยึดมั่นถือมั่นในสัญญา (กองสัญญา) สัญญาในที่นี้หมายถึง ความจำ ความหมายรู้ หรือความสามารถในการจดจำสิ่งที่ได้สัมผัสหรือรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัส เมื่อความยึดมั่นถือมั่นในสัญญานี้เกิดขึ้น จะทำให้เกิดการปรุงแต่งทางจิตใจ และนำไปสู่ความทุกข์ (๔) สังขารูปาทานขันธ์ = คือ ความยึดมั่นถือมั่นในกองแห่งสังขาร หรือก็คือความยึดมั่นในสิ่งที่ปรุงแต่งทางจิตใจ สังขารขันธ์เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งทางจิตใจ ทั้งกุศล (ความดี) อกุศล (ความชั่ว) และอัพยากตะ (ความเป็นกลาง) (๕) วิญญาณูปาทานขันธ์ = คือ กองแห่งวิญญาณ หรือส่วนที่รับรู้/รับอารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ กล่าวคือ เป็นความสามารถในการรับรู้และจำแนกอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามา วิญญาณ = จำแนกได้ ๖ คือ (๕.๑) จักขุวิญญาณ = ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น (๕.๒) โสตวิญญาณ = ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน (๕.๓) ฆานวิญญาณ = ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น (๕.๔) ชิวหาวิญญาณ = ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส (๕.๕) กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส (๕.๖) มโนวิญญาณ = ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด หน้าที่ของวิญญาณ = มี ๑๔ อย่าง คือ (๑) ปฏิสนธิ ~ สืบต่อภพใหม่ (๒) ภวังคะ ~ เป็นองค์ประกอบของภพ (๓) อาวัชชนะ ~ คำนึงถึงอารมณ์ใหม่ (๔) ทัสสนะ ~ เห็นรูป (ตรงกับจักขุวิญญาณ (๕) สวนะ ~ ได้ยินเสียง (ตรงกับโสตวิญญาณ) (๖) ฆายนะ ~ได้กลิ่น (ตรงกับฆานวิญญาณ) (๗) สายนะ ~ รู้รส (ตรงกับชิวหาวิญญาณ) (๘) ผุสนะ ~ ถูกต้องโผฏฐัพพะ (ตรงกับกายวิญญาณ) (๙) สัมปฏิจฉนะ ~ รับอารมณ์ (๑๐) สันตีรณะ ~ พิจารณาอารมณ์ (๑๑) โวฏฐัพพนะ ~ ตัดสินอารมณ์ (๑๒) ชวนะ ~ เสพอารมณ์ (๑๓) ตทาลัมพณะ ~ รับอารมณ์ต่อจากชวนะก่อนจะกลับสู่ภวังค์ (๑๔) จุติ ~ เคลื่อนจากภพปัจจุบันเพื่อจะไปสู่ภพหน้า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ = คือ ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย, กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย ตามกฎที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี; เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ” ปฏิจจสมุปบาท = การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม เพราะมีปัจจัย ๑๒ เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ (๑) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี อวิชชา คือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือ อวิชชา ๘ อวิชชา ๘ ~ ความไม่รู้แจ้ง, ไม่รู้จริง (๑.๑) ไม่รู้ทุกข์ (๑.๒)ไม่รู้ในทุกขสมุทัย (๑.๓) ไม่รู้ในทุกนิโรธ (๑.๔) ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (๑.๕) ไม่รู้ในส่วนอดีต (๑.๖) ไม่รู้ส่วนอนาคต (๑.๗) ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต (๑.๘) ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๗/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
(๒) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี สังขาร สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร ๓ หรือ อภิสังขาร ๓ สังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งการกระทำ, สัญเจตนา หรือเจตนาที่แต่งกรรม (๒.๑) กายสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย (๒.๒) วจีสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา ได้แก่ วจีสัญเจตนา คือ ความจงใจทางวาจา (๒.๓) จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร ~ สภาพที่ปรุงแต่งกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ อภิสังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม ได้แก่ (๒.๑) ปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร (๒.๒) อปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย (๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน (๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ คือ (๓.๑) จักขุวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางตา รู้รูปด้วยตา, เห็น (๓.๒) โสตวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู, ได้ยิน (๓.๓) ฆานวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก, ได้กลิ่น (๓.๔) ชิวหาวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือ รู้รสด้วยลิ้น, รู้รส (๓.๕) กายวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือ รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้สึกสัมผัส (๓.๖) มโนวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, รู้ความนึกคิด (๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (๕) เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ (๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี คือ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส ๖ สัมผัส ๖ หรือ ผัสสะ ๖ = ความกระทบ, ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ (๖.๑) จักขุสัมผัส ~ ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ (๖.๒) โสตสัมผัส ~ ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ (๖.๓) ฆานสัมผัส ~ ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ (๖.๔) ชิวหาสัมผัส ~ ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ (๖.๕) กายสัมผัส ~ ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ (๖.๖) มโนสัมผัส ~ ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ (๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี คือ ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖ (๗.๑) จักขุสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา (๗.๒) โสตสัมผัสสชา เวทนา ~เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู (๗.๓) ฆานสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น (๗.๕) กายสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย (๗.๖) มโนสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ (๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี คือ ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) (๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี คือ ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔ อุปาทาน ๔ = ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง (๙.๑) กามุปาทาน ~ ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๙.๒) ทิฏฐุปาทาน ~ ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ (๙.๓) สีลัพพตุปาทาน ~ ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล (๙.๔) อัตตวาทุปาทาน ~ ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย (๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี คือ ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๘/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
ภพ ๓ = ภาวะชีวิตของสัตว์, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์ (๑๐.๑) กามภพ ~ ภพที่เป็นกามาวจร, ภพของสัตว์ผู้ยังเสวยกามคุณคืออารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ อบาย ๔ มนุษยโลก และกามาวจรสวรรค์ทั้ง ๖ (๑๐.๒) รูปภพ ~ ภพที่เป็นรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖ (๑๐.๓) อรูปภพ ~ ภพที่เป็นอรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ได้แก่ อรูปพรหม ๔ (๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี คือ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ (๑๒) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี คือ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์) ทั้ง ๑๒ ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ) อภิสังขาร ๓ = สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม ได้แก่ (๒.๑) ปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร (๒.๒) อปุญญาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย (๒.๓) อาเนญชาภิสังขาร ~ อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน (๓) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่ วิญญาณ ๖ คือ (๓.๑) จักขุวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางตา รู้รูปด้วยตา, เห็น (๓.๒) โสตวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู, ได้ยิน (๓.๓) ฆานวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก, ได้กลิ่น (๓.๔) ชิวหาวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือ รู้รสด้วยลิ้น, รู้รส (๓.๕) กายวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือ รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้สึกสัมผัส (๓.๖) มโนวิญญาณ ~ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ, รู้ความนึกคิด (๔) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (๕) เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ (๖) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี คือ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส ๖ สัมผัส ๖ หรือ ผัสสะ ๖ = ความกระทบ, ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ (๖.๑) จักขุสัมผัส ~ ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ (๖.๒) โสตสัมผัส ~ ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ (๖.๓) ฆานสัมผัส ~ ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ (๖.๔) ชิวหาสัมผัส ~ ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ (๖.๕) กายสัมผัส ~ ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ (๖.๖) มโนสัมผัส ~ ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ (๗) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี คือ ความเสวยอารมณ์ ได้แก่ เวทนา ๖ (๗.๑) จักขุสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา (๗.๒) โสตสัมผัสสชา เวทนา ~เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู (๗.๓) ฆานสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก (๗.๔) ชิวหาสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางลิ้น (๗.๕) กายสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย (๗.๖) มโนสัมผัสสชา เวทนา ~ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ (๘) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี คือ ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา ๖ มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) (๙) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี คือ ความยึดมั่น ได้แก่ อุปาทาน ๔ อุปาทาน ๔ = ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง (๙.๑) กามุปาทาน ~ ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๙.๒) ทิฏฐุปาทาน ~ ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ (๙.๓) สีลัพพตุปาทาน ~ ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล (๙.๔) อัตตวาทุปาทาน ~ ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๙/๙) ๕๔.มหาหัตถิปโทปมสูตร
(๑๐) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี คือ ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ ๓ ภพ ๓ = ภาวะชีวิตของสัตว์, โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์ (๑๐.๑) กามภพ ~ ภพที่เป็นกามาวจร, ภพของสัตว์ผู้ยังเสวยกามคุณคืออารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ อบาย ๔ มนุษยโลก และกามาวจรสวรรค์ทั้ง ๖ (๑๐.๒) รูปภพ ~ ภพที่เป็นรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖ (๑๐.๓) อรูปภพ ~ ภพที่เป็นอรูปาวจร, ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน ได้แก่ อรูปพรหม ๔ (๑๑) เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี คือ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ (๑๒) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี คือ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์) ทั้ง ๑๒ ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ) ปฏิจจสมุปปันนธรรม = เป็นอย่างไรเล่า? ปฏิจจสมุปบาทแต่ละอาการ เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม (๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ชรา, มรณะ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไป เป็นธรรมดามีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา (๒) ชาติ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกัน และ กันเกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดามีความ จางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๓) ภพ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความ จางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๔) อุปาทาน= เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกัน และกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา (๕) ตัณหา = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดามี ความ จางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๖) เวทนา = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วอาศัยกัน และกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดามี ความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๗) ผัสสะ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วอาศัย กัน และกันเกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดามีความ จางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๘) สฬายตนะ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา (๙) นามรูป = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดามีความ จางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลง เป็นธรรมดา (๑๐) วิญญาณ = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา (๑๑) สังขารทั้งหลาย = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา (๑๒) อวิชชา = เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัย กันและกัน เกิดขึ้นแล้ว มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับลงเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้ เรียกว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม ทั้งหลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๕๕.มหาสาโรปมสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยแก่นไม้ สูตรใหญ่)
นาคาคะนองฝนฉันท์ ๒๖/กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
๑.ประจงน้อมพระองค์ครัน............อรหันต์พระพุทธ์เจ้า ผู้ตรัสรู้เจาะดนุเนา............................แนะทางดับลิทุกข์เผย
๒. พุทธ์เจ้าพักอยู่ คิชฌ์กูฏทรงชู..................................สอนธรรมสงฆ์เอย ตรัสถึงเทวทัตต์................................จากชัดแล้วเลย ปรารภเปรียบเปรย...........................แก่นไม้พรหม์จรรย์
๓.พระสงฆ์หลายลุศรัทธา.............ตบะหนาริบรรพ์ชิต มี"ชาติ,ชรา,มรณะ"ริด......................."อุปายาสและโศก"ศัลย์
๔. ถูกทุกข์ท่วมทับ ทำใดทุกข์ดับ....................................ไม่ถูกครอบบั่น คราเมื่อบวชแล้ว................................ลาภแน่วเกิดครัน ยินดีไม่มั่น.........................................ไม่หลงข่มใคร
๕.ประมาทเกิดเพราะยินดี...............มทชี้กะสรรเสริญ ย่อมทุกข์ทุรนจิระเผชิญ.....................ตลอดกาลมิคลายไว
๖. เปรียบคนแสวงหา แก่นไม้แต่มา......................................เก็บ"ใบ,กิ่ง"ไป ละเลยกระพี้.......................................หนี"เปลือก,สะเก็ด"ไกล นึกว่าแก่นไซร้....................................ไม่เสร็จกิจเอย
๗.ก็คราสงฆ์สิบวชยึด......................ลุประพฤติละทุกข์นา ตัดทุกข์ซิหมายจะมละหนา..................ลิหมดสิ้นมลานเผย
๘. เขาไร้ยินดี ในลาภทวี............................................ไม่โอ่ลาภเปรย มีพร้อมศีลมั่น.......................................ครันข่มเขาเอ่ย ประมาทมัวเอย.....................................ย่อมเกิดทุกข์ทน
๙.ก็คล้ายชนจะหาแก่น.....................ตะเจาะแจ้นสะเก็ดยล ได้แค่สะเก็ดก็จะผละผล.......................ซิพรหม์จรรย์ผจงหวัง
๑๐. บวชเพื่อทุกข์วาย มีลาภแต่หน่าย......................................ยินดีย่อมฟัง ไม่ข่มผู้ใด.............................................ใฝ่ศีล,สมาธิ์ยัง แต่ข่มเขาพัง.........................................จิตไม่มั่นเอย
๑๑.จะเปรียบชนเสาะแก่นไซร้............ประลุไวก็ถาก"เปลือก" คิดว่ามุถูกตะมิเหมาะเลือก.....................ปะเปลือกพรหมจรรย์เผย
๑๒. ชนมุ่งแก่นไม้ มีลาภ,เสริญไกล....................................ยินดีไร้เอย พร้อมศีล,สมาธิ์สิ้น.................................ยินดีไม่เลย มี"ญาณทัสส์ฯ"เอ่ย.................................ยกตนข่มแล
๑๓.ลุมัวเมาประมาทรุก.......................ภวะทุกข์เจาะเกิดมา พบไม้ละแก่น,ก็เจาะมุกล้า.......................จะเลือกถาก"กระพี้"แฉ
๑๔. สงฆ์บวชดับทุกข์ มีลาภ,เสริญชุก.......................................พร้อมศีล,สมาธิ์แล้ มีญาณทัสสนะ........................................ละข่มชนแน่ ไม่มัวเมาแท้............................................ไม่ประมาทเอย
๑๕.ประมาทไร้จะสมควร......................ประลุด่วนประสิทธิ์ดล ผู้ตัดกิเลส"สมยว์ฯ"พ้น.............................ลุสำเร็จประเทืองเผย
๑๖. พุทธ์เจ้าทรงตรัส โอกาสเสื่อมชัด........................................"สมยวิมุตติฯ"เอย ถ้าไม่เสื่อมคือ..........................................ชื่อ"เจโต"เอ่ย เป็นประโยชน์เชย....................................เรียกเป็นแก่นแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แสงประภัสสร
|
Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
(ต่อหน้า ๒/๔) ๕๕.มหาสาโรปมสูตร ๑๗.พระสงฆ์หลายบุรุษแจง...............เสาะแสวงซิแก่นไม้ เจอต้นก็ถากเจาะเฉพาะไว....................เพราะรู้แก่น,กระพี้แฉ ๑๘. รู้จักเปลือกไม้ สะเก็ด,กิ่ง,ใบ........................................ประโยชน์เสร็จแล ไม่มีประมาท.........................................ยาตร"ญาณทัสส์ฯ"แน่ ถึ"อสย์วิฯ"แล้........................................หลุดพ้นสุดเปรย ๑๙.พระพุทธ์ฯตรัสบุรุษหนา...............ริเสาะหาซิแก่นไม้ เห็นไม้ก็ทราบจะลิเซาะไหน...................จิตัดตรงกระหน่ำเลย ๒๐. ใครเห็นกล่าวนา ผู้นี้รู้หนา...............................................ไหนแก่น,เปลือกเอย กระพี้,สะเก็ด.........................................นี้เด็ดคุณเชย เปรียบนักบวชเอ่ย.................................มั่นตัดทุกข์แล ๒๑.สิหลังบวชลุลาภเกิด.....................นิรเทิดมิปลื้มเอย ทั้งลาภและเสริญมิมทะเลย....................มิยกตนรึข่มแฉ ๒๒. ประมาทมิมี เคร่ง"ศีล"พร้อมคลี่.................................ไม่ลืมตัวแล ประมาท,ข่มใคร.....................................ไม่มีแน่แท้ สมาธิ์สมบูรณแล้....................................ไม่หลง,ข่มใคร ๒๓.ประมาทคุมลุญาณทัสส์ฯ...............รติชัดเพราะปลื้มเกิด แต่เขามิโอ่ตนุสิเลิศ.................................มิข่มใครรึมัวไป ๒๔. ประมาทไม่มี ลุ"อสย์วิฯ"ชี้.............................................กิเลสดับไว อสย์วิมุติ..................................................ความทรุดสิ้นไกล ไร้ทางเสื่อมใด..........................................สิ่งสูงสุดเอย ๒๕.พระพุทธ์เจ้าสิตรัสชี้........................ภณะคลี่กะพรห์จรรย์ ไป่อานิสงส์เจาะหิตะดั้น.............................มิใช่ลาภและยอเผย ๒๖. ไม่ใช่ศีลชม สมาธิบ่ม...................................................หรือญาณทัสส์ฯเลย พรหม์จรรย์สิ่งชี้........................................มี"เจโต"เชย หลุดพ้นแล้วเอ่ย........................................ปราศเสื่อมได้แล ๒๗.เพราะ"เจโตวิมุตต์ฯ"ไว.....................หฤทัยซิหลุดพ้น ฝึกฝนฤดีสมถะผล....................................กิเลสตัดละอยากแฉ ๒๘. จากพลังสมาธิ์ เจโตวิฯหนา..............................................เป้าหมายมั่นแล แก่นพรหมจรรย์........................................ครันชี้ชัดแน่ สงฆ์หลายชมแท้.......................................ภาษิตพุทธ์องค์ ฯ|ะ แสงประภัสสร มจร. ๙. มหาสาโรปมสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/FmIqoXiqVzPTVNRICคิชฌ์กูฏ = ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ เป็นสถานที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดพำนักที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่อศาสนาพุทธ กรุงราชคฤห์ตั้งอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย เขาแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ยอดเขาเหยี่ยว เนื่องด้วยเขามีลักษณะเหมือนนกพับปีก เทวทัตต์ = พระเทวทัต เป็นพระภิกษุในสมัยพระโคตมพุทธเจ้าดำรงพระชนม์ชีพ เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าสุปปพุทธะผู้ครองกรุงเทวทหะแห่งแคว้นโกลิยะ จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระพุทธองค์ พระเทวทัตเป็นที่รู้จักกันดีจากเรื่องราวในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ว่าเป็นผู้ที่มีความร้ายกาจ หยิ่งยโส และเห็นแก่ตัว กระทำแต่เรื่องไม่สมควรต่อพระพุทธเจ้าเป็นอันมากมาย ตลอดเวลาแห่งการบำเพ็ญพรตในพุทธวิสัยตั้งแต่ครั้งพระพุทธโคดมยังเป็นพระโพธิสัตว์ ตลอดถึงในปัจจุบันชาติ พระเทวทัตก็ยังคงประพฤติผิดถึงกับกระทำอนันตริยกรรมคือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิตและยุยงหมู่สงฆ์ให้แตกกัน แต่ทว่าในที่สุดพระเทวทัตได้สำนึกผิดเมื่อช้าไป ได้ถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีมหานรกหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร แต่ด้วยการกระทำที่เคยบำเพ็ญบุญบารมีมาแล้วในอดีตมากนับประมาณ และประกอบกับการเห็นถูกต้องตรงสัมมาทิฏฐิเมื่อก่อนสิ้นใจกลับสำนึกผิดมอบถวายกระดูกคางด้วยเป็นพระพุทธบูชาแม้ในขณะวินาทีสุดท้ายในขณะที่ถูกแผ่นดินสูบ ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ด้วยเหตุนั้น ว่าเมื่อพระเทวทัตสิ้นกรรมจากอเวจีมหานรก จะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|