สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระเจ้าอุเทนได้อัครมเหสี ** ครั้นถึงกาลวันหนึ่งพึงประจักษ์ มีงานนักษัตรฤกษ์เอิกเกริกโข กุลธิดาทั้งหลายต่างหมายโชว์ แต่งตัวโก้อวดกันในวันงาน
** สามาพร้อมบริวารในกาลนั้น ได้พากันไปอาบน้ำสนุกสนาน ท้าวอุเทนทอดพระเนตรที่พระลาน เห็นนงคราญพอพระทัยในพธู
**ทรงตรัสถามอำมาตย์ราชบริพาร มีถิ่นฐานนอกในวังช่างงามหรู เมื่อรับทราบเรื่องราวของโฉมตรู จึงรับสั่งราชครูให้จัดการ
** รีบส่งข่าวไปให้ท่านเศรษฐี ราชครูจึงมีราชสาส์น ไปบอกท่านทันทีมิช้านาน มอบสามาจากบ้านเข้าสู่วัง
** ท่านเศรษฐีปฏิเสธไม่ยอมให้ ตามที่ได้ทรงมีความมุ่งหวัง ท้าวอุเทนทรงกริ้วเหลือกำลัง จึงรับสั่งให้พันธนาการ
** ปิดบ้านเรือนไม่ให้เข้าออกได้ มัดเศรษฐีปล่อยไว้ภายนอกบ้าน บังเกิดทุกข์สุดแสนทรมาน เพราะขัดคำสั่งการพระราชา
** สามาวดีกลับมาพาใจหาย นางจึงร้องโวยวายคร่ำครวญหา ใครทำร้ายท่านพ่อจงบอกมา ฉันจะได้ต่อว่าให้สาใจ
** ท่านเศรษฐีรีบบอกแก่บุตรี พระราชาทรงมีรับสั่งให้ ส่งลูกเป็นชายาที่วังใน ปฏิเสธท่านไปจึงลงทัณฑ์
** ฝ่ายสามาบอกว่าพ่อพลาดนัก ที่ไม่มอบลูกรักตามหมายมั่น ขัดพระประสงค์ได้อย่างไรกัน องค์ราชันมีอำนาจเหนือแผ่นดิน
** ท่านพ่อต้องกราบทูลให้ทรงทราบ ว่าไม่ได้หยามหยาบหรือดูหมิ่น มิบังอาจขัดคำสั่งจอมบุรินทร์ จะขอมอบยุพินตามต้องการ
** ท่านเศรษฐีทำตามที่นางบอก เพื่อต้องการแสดงออกอย่างกล้าหาญ ได้ส่งข่าวไปทูลพระภูบาล จะขอมอบเยาวมาลย์ด้วยยินดี
** ท้าวอุเทนโสมนัสเป็นยิ่งนัก ทรงแต่งตั้งเป็นอัครมเหสี ส่วนบริวารของนางสามาวดี เป็นบริวารเหมือนที่เคยเป็นมา
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระเจ้าอุเทนถูกจับ ** จะขอกล่าวถึงเมืองอุชเชนี จันฑปัชโชตจอมบดีมีสง่า มีธิดานางหนึ่งงามโสภา ชื่อ “วาสุลทัตตา” ยอดนารี
** ณ วันหนึ่งจึงตรัสกับอำมาตย์ บรรดาผู้ครองราชย์ในโลกนี้ มีสมบัติมหาศาลล้นปฐพี ใครที่ไหนจักมีเท่าเทียมเรา
** ฝ่ายอำมาตย์กราบทูลแถลงไข ไม่มีใครเทียบได้สมบัติเขา กับอุเทนราชาอย่าดูเบา สมบัติเราเปรียบได้ดังหนวดแมว
** พระราชาตรัสว่าถ้าอย่างนั้น ต้องรีบจับตัวมันอย่างแน่แน่ว รีบจัดการเร็วไวไปตามแนว เรียบร้อยแล้วรายงานอย่าช้าพลัน
** หมู่อำมาตย์กราบทูลน่าจะยาก คงลำบากเพราะอุเทนเก่งมหันต์ บังคับช้างด้วยพิณหัสดีกันต์ คู่ต่อสู้ไม่มีวันชนะเลย
** พระราชาตรัสว่าถ้าอย่างนั้น ใครสามารถจับมันจงเปิดเผย มีวิธีอย่างไรจงเอื้อนเอ่ย จับมันเป็นเชลยอย่าช้าที
** อำมาตย์จึงเปิดเผยวิธีการ ทำช้างไม้ตระการอย่างถ้วนถี่ เห็นแล้วเหมือนช้างจริงอย่ารอรี เอาไปล่อภูมีให้ออกมา
** เผลอเมื่อใดเข้าไปจับมัดไว้ เป็นวิธีจับได้แน่หนักหนา จอมบดินทร์สั่งการไม่รอรา ตามอุบายที่กล่าวมาอย่าแชเชือน
** แล้วแผนการพิชิตอุเทนราช องค์จอมปราชญ์เกิดขึ้นอย่างเชือดเฉือน นำจุดเด่นมาใช้ไม่ลืมเลือน เป็นเสมือนดาบสองคมล้มราชันย์
** นำช้างไม้วางไว้ใกล้นคร ใช้หลอกหลอนให้หลงผิดคิดใฝฝัน สะกดช้างด้วยมนต์ของเทวัญ เพื่อได้มันเป็นบริวารสำราญใจ
** ฝ่ายพรานป่าแห่งเมืองโกสัมพี กราบทูลจอมบดีผู้เป็นใหญ่ ให้เสด็จไปจับช้างโดยเร็วไว องค์ท้าวไทจงเสด็จอย่าช้าพลัน
** อุเทนราชทราบข่าวไม่รอช้า รีบไปหาช้างไม้ในไพรสัณฑ์ บริวารติดตามมากมายครัน มุ่งหน้ากันไปจับช้างที่กลางดง
** จันฑปัชโชตทราบข่าวท้าวอุเทน จึงได้เกณฑ์ทหารนำมาส่ง ให้ซุ่มอยู่ข้างทางกลางไพรพง คอยจังหวะจับองค์พระราชา
** ท้าวอุเทนไม่รู้กลอุบาย จึงมุ่งหมายจับช้างไม่กังขา ล่วงเข้าสู่วังวนแห่งอัปรา เกณฑ์ชะตาเป็นไปตามผลกรรม
** พบช้างไม้จึงเริ่มบรรเลงพิณ กล่อมช้างไม่ให้ดิ้นวิ่งถลำ จะจับได้ง่ายดายเหมือนเคยทำ ช้างระยำวิ่งหนีไม่สนใจ
** ด้วยอุบายสร้างสรรค์อันฉลาด ท้าวอุเทนไม่สามารถจับช้างได้ เพราะมีคนเข้าไปอยู่ข้างใน คอยดันช้างหนีไปเหมือนช้างจริง
** ท้าวอุเทนไม่รอช้าขึ้นม้าทรง ด้วยประสงค์จับช้างไม่อ้อยอิ่ง ควบม้าตามเร็วรี่มิประวิง ทุกทุกสิ่งเป็นไปตามอุบาย
** จัณฑปัชโชตให้สัญญาณทหารจับ จอมบดินทร์ตกอับตามเป้าหมาย เหล่าทหารได้พันธนากาย นำถวายเหนือหัวอย่างใจเย็น
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระเจ้าจัณฑปัชโชตให้ลูกสาวเรียนมนต์ ** จันฑปัชโชตโปรดสั่งให้ขังไว้ ทรงสำราญในใจไม่ฆ่าเข่น ครบสามวันอุเทนสุดลำเค็ญ ทำอย่างไรก็ไม่เห็นลงมือทำ
** จึงตรัสถามเสนาพฤฒามาตย์ ว่าจอมราชเสือร้ายหมายขย้ำ ปล่อยเฉยไว้ทำไมให้ระกำ ควรจะทำสิ่งใดไยเฉยเมย
** จงสั่งการให้ทหารรีบเข่นฆ่า ขอจงโปรดเถิดหนาอย่าทำเฉย อันวิสัยกษัตริย์ย่อมคุ้นเคย ไม่พึงปล่อยเชลยโดยเปล่าการ
** รีบสั่งฆ่าอย่าช้าให้หงุดหงิด ไม่เสียดายชีวิตจงประหาร เป็นกษัตริย์แพ้พ่ายให้ร้าวราน ขืนอยู่ไปไม่สำราญต้องอับอาย
** จัณฑปัชโชตรู้ข่าวได้กล่าวว่า จะปล่อยท่านไม่ฆ่าให้สูญหาย แต่ท่านต้องมอบมนต์ประจำกาย ให้แก่เรานะสหายได้ไหมเอย
** อุเทนราชกล่าวว่าข้าไม่ขัด จะรีบจัดมอบให้ใคร่เฉลย ต้องไหว้เราก่อนเรียนอย่าละเลย เคารพกฎไม่เฉยเมยยอมให้มนต์
** จัณฑปัชโชตได้ฟังจึงนั่งนิ่ง ทำไม่ได้จริงจริงใจสับสน ถ้าอย่างนั้นเราจะฆ่าให้วายชนม์ เมื่อมอบมนต์ให้เราจักปล่อยไป
** อุเทนฟังนั่งคิดพิจารณา ยอมถูกฆ่าดีกว่าเป็นไหนไหน ชาติกษัตริย์ไม่ยอมก้มให้ใคร รักษาไว้เกียรติยศปรากฏนาม
** จัณฑปัชโชตหาวิธีที่จะเรียน จึงคิดเพียรออกอุบายมาไต่ถาม ถ้าคนอื่นยอมไหว้ใคร่รู้ความ ท่านจะยอมทำตามที่กล่าวมา
** หรืออย่างไรจงเฉลยเอ่ยให้รู้ รอฟังอยู่โปรดบอกด้วยเถิดหนา ใครก็ตามที่ไหว้ด้วยศรัทธา สอนมนตราให้ได้ดังใจปอง
** จัณฑปัชทรงดำริที่จะให้ ธิดายอดยาใจนั่งในห้อง เรียนรู้มนต์จากอุเทนมาครอบครอง แล้วเรียนต่อเป็นทอดสองจากธิดา
** ท้าวเธอจึงได้บอกลูกที่รัก ว่าพ่อจักให้เรียนมนต์และคาถา จากชายเป็นโรคเรื้อนทั่วกายา เจ้าจงอย่าใกล้ชิดจะติดมัน
** แล้วทรงหลอกจอมราชชาติกษัตริย์ เราได้จัดหญิงค่อมแม่จอมขวัญ มาเรียนรู้มนตราสารพัน เป็นประจำทุกวันจนเชี่ยวชาญ
** จึงจำเป็นกั้นม่านไม่ให้เห็น กลัวจะเป็นอุปสรรคมาล้างผลาญ ทำให้เรื่องเรียนมนต์ต้องเสียการ ใช้เวลาเนิ่นนานเกินจำเป็น
** การเรียนมนต์เป็นไปตามครรลอง พระธิดาเนื้อทองมองไม่เห็น ครูผู้สอนมาดแมนแสนลำเค็ญ เพราะเนื้อเย็นนั่งอยู่ในม่านบัง
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระอัครมเหสีองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าอุเทน ** วันหนึ่งจอมราชบริภาษว่า ผู้หญิงค่อมชั่วช้าอย่าพึงหวัง จะได้มนต์เราไปไม่มีทาง ความจำเจ้าเลือนลางเสียสิ้นดี
** พระธิดาพิโรธครูผู้สอน จึงตรัสย้อนคนขี้เรื้อนเหมือนเช่นผี ปากเจ้าร้ายมาว่าข้าไม่ดี ตัวเองซิเป็นโรคเรื้อนเหมือนผีไพร
** โต้กันไปโต้กันน่าบัดสี ทั้งทั้งที่ต่างมียศยิ่งใหญ่ จึงอยากเห็นหน้าตาเป็นอย่างไร เปิดม่านออกทันใดพบความจริง
** หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ด่ากัน ตกตะลึงงงงันต่างนั่งนิ่ง รู้ตัวว่าถูกหลอกดังเป็นลิง ทุกทุกสิ่งปรากฏชัดถนัดตา
** ต่างแนะนำตัวเองให้รู้จัก ถึงพื้นเพที่พำนักและภาษา รู้ว่าจอมกษัตริย์และธิดา จึงเข้าใจและศรัทธากันและกัน
** พระพุทธองค์ทรงตรัสพุทธพจน์ ว่าความรักจะปรากฏอย่างแม่นมั่น ด้วยสาเหตุสองประการเป็นสำคัญ ความรักพลันพัฒนาก้าวหน้าไกล
** สาเหตุหนึ่งร่วมทำบุญในกาลก่อน ทำให้ย้อนกลับมาพบกันใหม่ สาเหตุสองเอื้อเฟื้อมีเยื่อใย ต่างช่วยเหลือกันไปในชาตินี้
** วาสุลทัตตาชื่อธิดาจัณฑปัช จอมกษัตริย์ท้าวอุเทนไม่เบนหนี ต่างปลงใจรักกันมั่นฤดี จะครองคู่ชั่วชีวีนิจนิรันดร์
** จัณฑปัชตรัสถามพระธิดา การเรียนมนต์ก้าวหน้าอย่างไรนั่น จึงเอ่ยตอบพระบิดามิช้าพลัน การเรียนนั้นไม่สำเร็จตามต้องการ
** จะต้องใช้เวลาอีกระยะ ลูกนี้จะพยายามสร้างมาตรฐาน ให้การเรียนสำเร็จมิช้านาน ตอบแทนคุณพ่อท่านด้วยจริงใจ
** เมื่อความรักสุกงอมย่อมเกิดเหตุ ตามวิสัยกิเลสตัวเป็นใหญ่ อันราคะไม่ปรานีต่อผู้ใด เกิดร้อนรนดังถูกไหม้ด้วยไฟกัลป์ ** จึงเชิญชวนนวลน้องตระกองคู่ เดินประคองเข้าสู่ประตูสวรรค์ ท่องวิมานตระการตาวิลาวัณย์ ชมช่อชั้นลวดลายใต้แสงดาว
** ห้องที่หนึ่งพึงประสงค์จงประจักษ์ ว่าพี่รักพี่ห่วงใยในน้องสาว มอบวิญญาณมอบดวงใจใสแวววาว ให้แก่เจ้าด้วยภักดีมิจืดจาง
** ห้องที่สองมองทางไหนวิไลหรู ให้โฉมตรูพักนอนก่อนฟ้าสาง ประคองกอดนวลน้องหอมสองปราง ไม่ยอมห่างแนบชิดจนนิทรา
** ห้องที่สามงามวิจิตรพิสดาร ฟ้าประทานเป็นของขวัญชื่นหรรษา ให้นวลน้องประคองคู่กับพี่ยา ท่องสวรรค์ในชั้นฟ้ายามราตรี
** ห้องที่สี่มีสีสันอันหลากหลาย ส่องประกายงามยิ่งนักสมศักดิ์ศรี เป็นที่พักของครอบครัวชั่วชีวี น้องกับพี่สมใจฝันเกินบรรยาย
** ทั้งสี่ห้องหัวใจมอบให้น้อง เป็นเจ้าของครองไปจนสลาย มอบให้น้องเป็นของน้องจนวันตาย ทั้งใจกายให้โฉมตรูเพื่อนคู่ใจ
** บันดาลดลฝนฟ้าคะนองลั่น ดังสนั่นครึกโครมโหมเข้าใส่ ละลอกคลื่นถาโถมอย่างฉับไว เรือลำน้อยลอยไปสั่นไหวโคลง
** พายุโหมกระหน่ำซ้ำที่เก่า คลื่นซัดสาดน้ำเข้ายังส่วนโถง ฝนกระหน่ำซ้ำมาไม่ลาโรง น้ำเอ่อท่วมเรือโคลงอยู่ไปมา
** เสียงคลื่นลมกระหึ่มดังกึกก้อง ฟ้าคะนองร้องลั่นสั่นผวา สะเทือนทั่วบนพื้นพสุธา ฝนหลั่งมาน้ำนองพ้องเสียงลม
** ลมสงบฟ้าสดใสชื่นใจนัก หนุ่มและสาวชื่นรักดังอุ้มสม เป็นบุพเพเสกสรรค์อันรื่นรมย์ เฝ้าชื่นชมสมมโนโผกอดกัน
** โอ้.....น้องจ๋าพี่สัญญาจะรักเจ้า ทุกค่ำเช้าดูแลไม่แปรผัน จะรักน้องถนอมน้องทุกคืนวัน ชั่วนิรันดร์มอบใจไม่จืดจาง
** คุณพี่ขาน้องสัญญาจะรักพี่ ในชาตินี้มอบใจไม่ไกลห่าง อุทิศกายถวายใจไม่เลือนลาง อยู่แนบข้างพี่ยากว่าจะตาย
** ทั้งสองคนวางแผนจะหนีหน้า กลับไปยังพาราสวยเฉิดฉาย โกสัมพีงามเลิศเพริดพรรณราย เป็นที่หมายมุ่งสู่ที่อยู่ตน
** คิดวิธีที่หลอกจัณฑปัช ขอรวบรัดคิดได้ไม่หมองหม่น ดำเนินงานตามวิธีมิร้อนรน เพื่อบรรลุผลสำเร็จดังเจตนา
** ณ วันหนึ่งหญิงสาวเฝ้าบิตุเรศ เพื่อทูลเหตุให้ทราบถึงปัญหา ลูกจำเป็นต้องได้ซึ่งตัวยา เพื่อเอามาประกอบการเรียนมนต์
** จึงกราบทูลพระบิดาว่าอยากได้ คือเครื่องใช้เหล่านี้จะมีผล มีประตูเข้าออกนอกมณฑล พิธีที่เรียนมนต์เป็นประจำ
** พาหนะสำหรับการเดินทาง เมื่อยามว่างได้ไปในไพรสัณฑ์ เพื่อจะได้ตัวยาที่สำคัญ มาเรียนมนต์สำเร็จพลันดังตั้งใจ
** จัณฑปัชโชตทรงโปรดให้ประทาน สิ่งที่นางต้องการรีบจัดให้ พาหนะและกุญแจโดยเร็วไว เพื่อออกไปหาตัวยามาใช้งาน
** อันท้าวเธอมีพาหนะห้าชนิด เป็นของคู่ชีวิตขอกล่าวขาน ช้างภัททวดีวิ่งได้นาน ห้าสิบโยชน์โดยประมาณต่อหนึ่งวัน
** กากะเป็นทาสเดินทางได้ หกสิบโยชน์ทำไว้ใช่เสกสรร ม้าสองตัววิ่งได้โดยเร็วพลัน หนึ่งร้อยโยชน์ต่อวันโปรดเข้าใจ
** อีกช้างนาฬาคีรีเป็นที่ห้า วิ่งได้เร็วมากกว่าเป็นไหนไหน หนึ่งร้อยยี่สิบโยชน์โดดเด่นไกล นางมั่นใจนาฬาคีรีที่เลือกเอา
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน ประวัติพาหนะ ๕ ชนิด ** ได้ฟังมาจอมราชันจัณฑปัช เมื่ออดีตได้อุบัติรับใช้เขา ที่บ้านอิสระชนไม่ซบเซา ตามทำเนาของเวรกรรมที่ทำมา
** วันหนึ่งมีปัจเจกะพุทธะ ตั้งมั่นในธุระเป็นหนักหนา ได้ออกบิณฑบาตรอย่างเคยมา ประชาชนต่างพาไม่สนใจ
** เหตุเกิดเพราะมีมารเข้าสิงร่าง ชาวเมืองต่างวิปริตผิดไปใหญ่ ไม่ได้คิดจะใส่บาตรแต่อย่างใด ทุกทุกคนอยู่ในอำนาจมาร
** ปัจเจกะพุทธะจึงเดินกลับ ตัดสินใจเลิกรับภัตตาหาร เมื่อถึงประตูเมืองเรืองโอฬาร ได้พบมารแปลงร่างอย่างคนเมือง
** ตัวมารร้ายจำแลงแกล้งเอ่ยถาม อยากทราบความเป็นไปในทุกเรื่อง ท่านได้รับอาหารอย่างนองเนือง หรือฝืดเคืองไม่ได้อะไรมา
** พระปัจเจกะพุทธะจึงได้กล่าว จะมาถามทำไมเล่าเจ้าบาปหนา เจ้าเป็นคนดลใจชาวพารา ให้เมินหน้าไม่สนใจในการบุญ
** ท่านจงรีบกลับไปในเมืองเถิด เพื่อให้เกิดศรัทธาอย่าเคืองขุ่น ให้ชาวเมืองใส่บาตรจักขอบคุณ ช่วยเจือจุนชาวพาราอย่าดูดาย
** อาตมาไม่กลับไปหรอกมารเอ๋ย อย่าหวังเลยจะหลอกเพื่อมุ่งหมาย เข้าสิงชาวพารากระทั่งตาย เราจะไม่งมงายเชื่อคำมาร
** เมื่อใดที่พระปัจเจกเข้าในเมือง ตัวมารจะฟูเฟื่องเพื่อล้างผลาญ เข้าสิงสู่กายาตลอดกาล พวกหมู่มารจะแย่งชาวเมืองไป
** ในบาตรจึงว่างเปล่าไร้อาหาร เพราะตัวมารกลั่นแกล้งให้หวั่นไหว เหล่าฝูงชนไม่คิดจะสนใจ พระปัจเจกจึงเดินไปข้าวไม่มี
** ขณะนั้นอิสระชนคนมีทรัพย์ ซึ่งเดินกลับเคหาขมันขมี พบปัจเจกะพุทธเจ้าเข้าพอดี เอ่ยวจีเรียนถามตามศรัทธา
** ครั้นรู้ว่าบาตรพระนั่นว่างเปล่า จึงคิดเอาที่บ้านแก้ปัญหา มาใส่บาตรพระปัจเจกะพุทธา ไม่รู้ว่าอาหารเสร็จหรือยัง
** จึงนิมนต์ให้พระจงรอก่อน จะรีบจรไปที่บ้านสานความหวัง เมื่อไปถึงจึงถามอย่างจริงจัง อาหารเสร็จหรือยังแจ้งเร็วไว
** หญิงรับใช้รีบตอบไม่รอช้า สำเร็จแล้วเจ้าข้าจะเอาไหม จึงรีบสั่งคนรับใช้ในทันใด ความเร็วเจ้ามากกว่าใครรีบไปเลย
** รีบรับบาตรจากพระกลับมาเรือน อย่าชักช้าแชเชือนนะท่านเอ๋ย คนรับใช้รีบไปไม่เฉยเมย แล้วจึงเอ่ยขอบาตรวิ่งกลับมา
** ฝ่ายอิสระชนคนมีทรัพย์ จึงรีบรับบาตรมิเนิ่นนานสั่งการว่า ใส่อาหารถวายพระดังวาจา จงรีบพาไปถวายให้ทันกาล
** หันมาบอกคนรับใช้ให้รับรู้ อย่าชักช้าเฉยอยู่รีบประสาน ผลบุญที่เกิดขึ้นจากผลทาน แม้มากมายให้ท่านจงรับไป
** ชายรับใช้รีบวิ่งอย่างด่วนจี๋ ไปยังที่พระปัจเจกผู้ยิ่งใหญ่ รีบบอกกล่าวขอพรในทันใด ด้วยหวังได้กุศลผลแห่งบุญ
** ท่านเจ้าขาโปรดเมตตาอวยพรให้ ข้าพึงได้พรอันเลิศประเสริฐหนุน ด้วยอานุภาพที่วิ่งจงเจือจุน ได้พาหนะดังลมหมุนเร็วทันใด
** ข้าพเจ้าเดินทางกลางแดดจ้า อย่างรีบเร่งไปมาไม่หวั่นไหว ถูกแสงแดดแผดเผาดังเปลวไฟ ขอจงได้บารมีที่ยืนยง
** ส่วนผลบุญที่นายมอบให้นั้น ขอจงพลันสำเร็จและหนุนส่ง ให้มีส่วนรู้ธรรมดังจำนง ด้วยประสงค์ตัดกิเลสเหตุแห่งภัย
** พระปัจเจกะพุทธะจึงกล่าวว่า สมมโนปรารถนาอย่าสงสัย พาหนะมีความเร็วสมฤทัย ลุสมัยรู้แจ้งธรรมองค์สัมมา
** ของสิ่งใดที่ท่านต้องการแล้ว ด้วยจิตใจผ่องแผ้วปรารถนา ขอสำเร็จโดยพลันดังเจตนา ดังพระจันทร์บนฟากฟ้ายามราตรี
** ด้วยผลบุญที่ได้อธิษฐาน จากผลทานสำเร็จสมศักดิ์ศรี ได้เกิดเป็นจัณฑปัชครองบุรี พาหนะเกิดมีตามต้องการ
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระเจ้าอุเทนหนี ** ฝ่ายจอมราชอุเทนดำริว่า ถึงเวลาต้องหนีกลับถิ่นฐาน จึงรวบรวมเงินทองกองตระการ ใส่กระสอบเป็นทะนานติดตัวไป
** พาวาสุลทัตตาขึ้นช้างหนี พร้อมทรัพย์สินที่มีกระสอบใหญ่ ออกจากเมืองอุชเชนีโดยเร็วไว มุ่งหน้าไปโกสัมพีธานีตน
** พวกทหารรักษาวังครั้นมองเห็น อุเทนเผ่นรีบหนีเริ่มสับสน จึงกราบทูลจัณฑปัชในบัดดล ให้ทราบผลทันทีมิเฉยเมย
** จัณฑปัชโชตตรัสสั่งให้ทหาร จงจัดการเอาตัวมาอย่านิ่งเฉย รีบตามไปให้ทันอ้ายเชลย เจ็บเหลือเอ่ยเจ็บใจไปจับมัน
** อุเทนราชรู้ว่าถูกล่าไล่ เปิดกระสอบที่เตรียมไว้ตามคาดฝัน กหาปนณะหล่นลงโดยเร็วพลัน พวกติดตามพัลวันเก็บกันเพลิน
** ครั้นถูกไล่ใกล้มาอีกคราหนึ่ง จึงรีบดึงกระสอบทองยามฉุกเฉิน พอทองหล่นคนติดตามสุดจักเมิน เหลือจักเกินห้ามใจไม่เก็บทอง
** เพลินเก็บทองอุเทนก็รีบหนี อย่างเร็วรี่ถึงค่ายไม่หม่นหมอง พวกทหารที่ตั้งรออยู่ก่ายกอง ต่างโห่ร้องต้อนรับด้วยดีใจ
** ครั้นถึงพาราโกสัมพี อภิเษกยอดนารีให้เป็นใหญ่ เป็นอัครมเหสีมิอายใคร วาสุลทัตตาดีใจกราบขอบคุณ
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน ประวัตินางมาคันทิยา ** จะกล่าวถึงนางหนึ่งอัครราช เป็นจอมนาถโกสัมพีมีบุญหนุน ท้าวอุเทนยกย่องและเจือจุน ให้เป็นใหญ่เกื้อการุญตลอดมา
** มาคันทิยาคือนามอนงค์นาถ มเหสีจอมราชสวยสง่า เป็นธิดามาคันทิยะพราหมณา มีมารดาชื่อเดียวกับพระนาง
** ถือกำเนิดในแคว้นชื่อกุรุ แต่อาภัพเรื่องคู่ร่วมเคียงข้าง เพราะบิดาเลือกคนไม่ปล่อยวาง ไม่ถูกใจไม่ให้นางร่วมวิวาห์
** วันหนึ่งพุทธองค์ทรงเข้าญาณ เพื่อตรวจดูสันดานมนุสสา จึงรู้ว่ามาคันทิยะและภรรยา ถึงเวลาบรรลุธรรมนำส่องทาง
** จึงเสด็จไปยังที่เรือนไฟ ที่ท่านพราหมณ์น้อมไปอยู่เคียงข้าง เป็นที่พึ่งทางใจไม่ปล่อยวาง เพื่อนำทางให้เดินเจริญธรรม
** พราหมณ์มองเห็นคิดว่าช่างงามเลิศ หนุ่มคนนี้ประเสริฐดูงามขำ เทวดาคงอุ้มสมและน้อมนำ เพื่อธิดาได้ทำการวิวาห์
** จึงเอ่ยบอกสมณะพระโคดม ว่าเป็นผู้เหมาะสมกันหนักหนา กับธิดาของเรามาคันทิยา ยอมให้ท่านเป็นภัสดาลูกสาวเรา
** ท่านจงรอเราอยู่ที่แห่งนี้ จะกลับมาอีกทีพร้อมกับเขา คือลูกสาวสุดที่รักเนิ่นนานเนา เพื่อให้ท่านรับเอาเป็นภรรยา
** พุทธองค์ทรงฟังแล้วนิ่งเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยตอบคำตามปรารถนา พราหมณ์รีบกลับไปบ้านไม่รอรา เพื่อพูดจากับลูกสาวเรื่องแต่งงาน
** เมื่อไปถึงรีบบอกพราหมณี ว่าได้พบคนดีมีมาตรฐาน รีบแต่งตัวลูกเราอย่ารอนาน เพื่อรีบไปพบพานคนมีบุญ
** เมื่อกลับไปถึงที่โรงเรือนไฟ ไม่เห็นมีผู้ใดชักเคืองขุ่น แต่กลับเห็นรอยเท้าเจ้าประคุณ ยังเป็นรอยอุ่นอุ่นไว้แทนกาย
** พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ที่อื่น ก่อนจากไปประทับยืนใช่หนีหาย ทรงประทับรอยเท้าบนพื้นทราย ด้วยทรงหมายให้พราหมณ์เห็นเป็นสำคัญ
** ตามตำนานกล่าวไว้เพื่อให้รู้ บรมครูประทับบาทเป็นของขวัญ แก่ผู้ใดเขาจะมองเห็นโดยพลัน นอกจากนั้นมองไม่เห็นเป็นอัศจรรย์
** ไม่มีใครสามารถจะลบได้ ปรากฏไว้ให้เห็นเป็นแม่นมั่น แม้ช้างม้าวัวควายนับเป็นพัน ก็ไม่ทำให้รอยนั้นอันตรธาน
** ลำดับนั้นพราหมณีได้เอ่ยถาม ว่าพราหมณ์ไหนเล่าที่กล่าวขาน คนที่เหมาะสมกับเยาวมาลย์ มาคันทิยานงคราญลูกสาวเรา
** พราหมณ์บอกว่าให้เขารอที่นี่ ไม่เห็นมีไปไหนใจอับเฉา แต่ทิ้งเอาไว้เพียงรอยเท้า เพื่อให้เราดูต่างหน้าใช่ว่าลวง
** พราหมณีผู้เชี่ยวชาญการดูลักษณา ตรวจดูว่ารอยนี้ดีหรือหมอง รู้ทันทีคนผู้นี้มิใฝ่ปอง กามคุณทั้งผองหมดจากใจ
** จึงกล่าวถึงลักษณะของรอยเท้า มีรูปเว้าตรงกลางย่างเยื้องไซร้ เป็นคนใฝ่ราคะมากกว่าใคร กามคุณฝังในใจของตน
** อันรอยเท้าหนักที่ส้นเจ้าโทสะ ไม่ลดละโกรธแค้นแสนหมองหม่น ส่วนปลายเท้าจิกลงหลงเวียนวน เจ้าโมหะมากล้นล้วนไม่ดี
** รอยเท้านี้ที่ปรากฏกำหนดได้ ไม่ติดในกามคุณบุญราศี นางจึงบอกแก่พราหมณ์ตามที่มี ปรากฏในคัมภีร์คำทำนาย
** ท่านพราหมณ์จึงกล่าวว่าอย่าช้าเลย ช่วยตามหาว่าที่เขยเดียวจะสาย มองไปเห็นพุทธองค์ดำรงกาย เด่นสง่าท้าทายชวนให้ชม
** เข้าไปใกล้แล้วกล่าวท่านเจ้าขา เราขอมอบธิดาผู้เหมาะสม เป็นคู่ครองของท่านได้รื่นรมย์ เป็นคู่ชิดเชยชมตลอดกาล
** พระพุทธองค์ทรงนิ่งไม่ตรัสตอบ ว่าทรงชอบไม่ชอบที่กล่าวขาน กลับตรัสว่ามีเรื่องจากเหตุการณ์ ตถาคตได้ผ่านมารผจญ
** เราไม่มีความพอใจในเมถุน เรื่องของกามคุณได้ข้ามพ้น ธิดามารสาวสวยทั้งสามคน ยังผ่านพ้นมาได้ไม่เป็นไร
** นางตัณหา อรดี และราคา ช่างสวยงามโสภาจักหาไหน ยังหลีกเลี่ยงไม่แยแสไม่สนใจ นับประสาอะไรกับนงคราญ
** ผู้เต็มไปด้วยมูตรและคูถเน่า มีแต่ความว่างเปล่าไร้แก่นสาร เราไม่มีความปรารถนาและต้องการ จะถูกต้องเยาวมาลย์แม้เท้าเรา
** ครั้นเมื่อจบคาถาว่าด้วยกาม ทั้งสองพราหมณ์บรรลุธรรมพ้นความเขลา ตาสว่างใจสว่างกายบางเบา เลิกมัวเมาในตัณหาละโลกีย์
** มาคันทิยาผูกอาฆาตในศาสดา ที่ทรงกล่าววาจาหมิ่นศักดิ์ศรี เปรียบดังมูตรคูถเน่าไม่มีดี โอกาสมีจะยีย่ำทำให้อาย
** ฝ่ายสองพราหมณ์เมื่อได้บรรลุธรรม ใจน้อมนำตั้งมั่นดังมุ่งหมาย ด้วยศรัทธาเลื่อมใสไม่เสื่อมคลาย หวังสืบสายศาสนาให้มั่นคง
** คิดออกบวชกายาหาความสุข ละความทุกข์อกุศลโลภโกรธหลง ก็ยังมีธิดายอดอนงค์ จึงตกลงไปฝากอาไม่ช้าที
** ทั้งสองก้าวเข้าสู่เพศบรรชิต มอบชีวิตเพื่อศาสนาพาสุขี ประพฤติธรรมองค์สัมมาไร้ราคี บรรลุที่อรหันต์อนันตกาล
** ไม่มีการเกิดแก่และเจ็บตาย พ้นจากการเวียนว่ายในสงสาร ก้าวล่วงพ้นกิเลสมาระราน ใจเบิกบานไร้กังวลพ้นทุกข์ไป
** ฝ่ายจูฬะมาคันทิยะพราหมณ์ ต้องการให้หลานคนงามได้เป็นใหญ่ เมื่อคิดแล้วพาหลานรีบคลาไคล มุ่งหน้าไปโกสัมพีมิช้านาน
** ครั้นถึงจึงกราบทูลมูลเหตุว่า ขอมอบหลานให้ราชาเป็นหลักฐาน อุเทนราชรับไว้แล้วพระราชทาน ให้นงคราญดำรงศักดิ์อัครชน
** เป็นมเหสีคนที่สามมอบความรัก ด้วยใจภักดิ์จริงใจไม่หมองหม่น มอบหญิงสาวเป็นบริวารห้าร้อยคน มีสุขล้นรมย์รื่นชื่นอุรา
** สรุปว่าราชาอุเทนราช มีมเหสีจอมนาถคู่วาสนา รวมสามนางช่างงามอร่ามตา เป็นคู่ขวัญชีวายอดนารี
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน สามเศรษฐีกับดาบส ** สมัยนั้นโกสัมพีมีสามสหาย มีทรัพย์สินหลากหลายเป็นเศรษฐี โฆสกะ กุกกุฏะ เป็นคนดี ปวาริกะ ล้วนมีเงินและทอง
** ณ วันหนึ่งเมื่อใกล้ฤดูฝน ดาบสห้าร้อยคนหวังฉลอง ศรัทธาของชาวบ้านที่มั่นปอง เดินทางท่องจากหิมพานต์สถานไพร
** ทั้งสามคนได้เห็นพระดาบส กิริยางามงดก็เลื่อมใส จึงนิมนต์ให้นั่งฉันทุกวันไป ตลอดในฤดูฝนจนหนาวมา
** ครั้นฝนหมดดาบสจะหวนกลับ น้อมคำนับนิมนต์เพื่อปีหน้า ถึงหน้าฝนย้อนกลับมาอีกครา เพื่อฉลองศรัทธาของสามเรา
** นับแต่นั้นเมื่อใกล้วันฤดูฝน พระดาบสทุกคนลงจากเขา มาสู่กรุงโกสัมพีเพื่อรับเอา บิณฑบาตรจากเหล่าผู้ศรัทธา
** มีครั้งหนึ่งเมื่อถึงกลางป่าใหญ่ จึงแวะพักใต้ต้นไทรใบแน่นหนา เพื่อขจัดความเหน็ดเหนื่อยของกายา และบรรเทาความเมื่อยล้าให้ผ่อนคลาย
** ขณะนั้นดาบสผู้หัวหน้า นั่งคิดว่าตัวเราแสนกระหาย เทวดาผู้ศักดิ์ใหญ่รอบรอบกาย ใจไม่ร้ายนำน้ำมาอย่าช้าที
** เทวดาที่ต้นไทรใหญ่ต้นนั้น ขมีขมันนำน้ำมาอย่างเร็วรี่ แจกจ่ายพวกดาบสไม่รอรี สมดังที่ต้องการเบิกบานใจ
** เมื่อดาบสอยากได้น้ำไปอาบ เทวดาก็ทราบจึงจัดให้ ทุกคนต่างซาบซึ้งเสียกระไร ต่างก็คิดกันไปอยากพบตัว
** เทวดาใจดีอารีรอบ จึงรีบตอบสนองอย่างถ้วนทั่ว เนรมิตท้องฟ้าให้มืดมัว ปรากฏตัวแก่ดาบสหมดทุกคน
** ท่านหัวหน้าดาบสจึงไต่ถาม อยากทราบความเป็นไปใจฉงน ท่านมีทรัพย์มหาศาลบันดาลดล ทำอย่างไรจึงมากล้นเกินพรรณนา
** เทวดาเขินอายไม่กล้าเอ่ย กรรมน้อยนิดไม่อยากเผยเลยท่านหนา จงได้โปรดเห็นใจและเมตตา เทวดาร้องขอพอเถิดคุณ
** ฝ่ายดาบสไม่ลดละอยากจะรู้ จงอย่าได้อดสูเชิดชูหนุน ขอจงได้เมตตาและเจือจุน เปิดเผยคุณความดีที่น้อมนำ
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน ประวัติเทวดา ** ได้ยินว่าเทวราชในชาติก่อน เป็นคนจรเข็ญใจไม่คมขำ เดินเที่ยวไปเพื่อแสวงหางานทำ ตั้งแต่เช้ายันค่ำทุกวันวาร
** ในที่สุดได้งานบ้านเศรษฐี เจ้าของบ้านใจดีมีหลักฐาน รับเขาไว้ให้งานทำประจำการ ขายแรงงานเลี้ยงชีวิตอุทิศกาย
** ครั้นวันหนึ่งเศรษฐีกลับจากวัด หลังปฏิบัติข้อธรรมตามมุ่งหมาย เป็นวันพระถือศีลแปดไม่งมงาย เพื่อหวังได้สุคติเป็นที่ไป
** ครั้นถึงบ้านจึงถามพวกในบ้าน คนทำงานคนใหม่รู้หรือไม่ ถึงวันธัมมัสสวนะคราครั้งใด พวกเราไม่กินอาหารในตอนเย็น
** เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่รู้ จึงสั่งหมู่คนครัวจงงดเว้น รีบประกอบอาหารเท่าจำเป็น เพื่อให้ชายยากเข็ญรับประทาน
** คนที่บ้านอนาถปิณฑิกะ ทุกวันพระงดมื้อค่ำทั้งคาวหวาน ถือศีลแปดเคร่งครัดตลอดกาล เหมือนท่านเจ้าของบ้านเป็นประจำ
** อธิบายถึงคำ “ธัมมัสสวนะ” คือวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำ คนชาวพุทธสนใจและน้อมนำ สมาทานศีลฟังธรรมภาวนา
** คนงานใหม่กลับมานึกแปลกใจ ว่าทำไมเงียบจังคิดกังขา ไม่มีคนพลุกพล่านเดินไปมา เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าเขาเข้านอน
** พวกคนครัวอธิบายขยายผล เล่าไปตามที่ตนถูกสั่งสอน ให้รู้เรื่องศีลแปดตามขั้นตอน เพื่อสร้างบุญอันสุนทรเป็นมงคล
** ศีลข้อหนึ่งพึงรู้ว่าห้ามฆ่าสัตว์ สารพัดบาปกรรมนำส่งผล เบียดเบียนสัตว์ต้องปวดร้าวเศร้ากมล จะพาตนสู่นรกหมกไหม้กาย
** ศีลข้อสองต้องห้ามใจความว่า ขโมยของของเขามาพาเสียหาย ทั้งฉ้อโกงทรัพย์สินด้วยอุบาย อย่าพึงหมายจะมีสุขหนีทุกข์ไกล
** ศีลข้อสามห้ามผิดพรหมจรรย์ ใจต้องมั่นละตัณหาอย่าหวั่นไหว เว้นการเสพเมถุนวุ่นวายใจ เว้นไม่ได้หวังโลกันต์อันเลวทราม
** ศีลข้อสี่มีว่าห้ามพูดปด เว้นทั้งหมดพูดส่อเสียดหรือเหยียดหยาม พูดคำหยาบพูดเพ้อเจ้าพูดลวนลาม คงไม่งามตกนรกหมกไฟเปลว
** ศีลข้อห้าสุราและเมรัย หลีกให้ไกลอย่าเกลือกกลั้วชั่วแหลกเหลว เป็นสาเหตุขาดสติริทำเลว ก้าวลงเหวคือนรกหมกไหม้ตน
** ศีลข้อหกยกเว้นกินอาหาร ในเวลาวิกาลจะหมองหม่น เพื่อขจัดความยินดีของผู้คน เพื่อหลีกพ้นจากตัณหาพาเบิกบาน
** ศีลข้อเจ็ดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับลำนำเพลงร้องก้องประสาน อีกเครื่องหอมนำมามัณฑนาการ เกิดกิเลสระรานผลาญความดี
** ศีลข้อแปดไม่นอนบนฟูกนุ่ม จะตกหลุมของตัณพาพาเสียศรี เนื่องจากเกิดหลงใหลใฝ่ราคี ความสบายมากมีจึงร้อนรน
** ถึงแปดค่ำสิบห้าค่ำในบ้านนี้ ทุกทุกคนล้วนมีใจกุศล เวลาเย็นอดอาหารกันทุกคน แม้เด็กเล็กก็เริ่มต้นกระทำตาม
** มีสิ่งของสี่อย่างที่ทานได้ ยามป่วยไข้อนุญาตอย่าเกรงขาม มีเนยใสเนยข้นชนทุกนาม ดื่มได้ยามป่วยไข้ให้ทุเลา
** อีกน้ำอ้อยน้ำผึ้งพึงประจักษ์ ยามหิวหนักช่วยได้คลายอับเฉา ไม่ผิดศีลแปดหนอพอทำเนา ช่วยแบ่งเบาแก้กระหายได้เร็วไว
** คนงานใหม่สนใจจึงถามว่า หากตัวข้าถือศีลบ้างจะได้ไหม เพียงครึ่งหนึ่งตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะศรัทธาอยากได้บุญมาจุนเจือ
** ตัดสินใจปรึกษาท่านเศรษฐี เพราะคิดว่าคงมีทางช่วยเหลือ ท่านเศรษฐีมีเมตตาอย่างเหลือเฟือ จึงเอื้อเฟื้อแนะนำเพื่อทำดี
** จึงบอกว่าทำได้อย่างแน่แน่ เสียดายแต่ได้บุญไม่เต็มที่ จะได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงพาที รีบทำซิดีกว่านะพ่อคุณ
** คนงานใหม่เริ่มอดงดอาหาร เพื่อสร้างฐานความดีมิวายวุ่น บุญกุศลสร้างไว้ได้เจือจุน เพราะเป็นทุนเป็นเสบียงไว้เลี้ยงกาย
** ด้วยเหตุที่ทำงานมาแสนหนัก ยังต้องจักอดอาหารไม่คาดหมาย ความอ่อนล้าหิวโหยเปล่งประกาย เข้าโจมตีทำลายความอดทน
** ลมกำเริบทำร้ายอยู่ภายใน อวัยวะน้อยใหญ่เริ่มสับสน จึงเอาเชือกมารัดที่ท้องตน นอนดิ้นรนเกลือกกลิ้งยิ่งทรมาน
** ท่านเศรษฐีรู้เรื่องเยื้องย่างย่อง มายืนมองด้วยเมตตาน่าสงสาร นำอาหารที่ทานได้สี่ประการ มามอบให้ชายคนงานเพื่อบรรเทา
** คนงานใหม่ใจถึงจึงไม่รับ น้อมคำนับใช่ยโสหรือโง่เขลา แต่ไม่อยากให้บุญต้องแบ่งเบา ขอรับเอาความตายแต่ได้บุญ
** ครั้นเวลาใกล้สว่างถึงวาระ ทำกาละจากไปไม่หมกมุ่น มาเกิดเป็นเทวดานับเป็นคุณ เนื่องจากผลแห่งบุญบันดาลเป็น
** หลังจากจบคำเล่าจึงกล่าวว่า เศรษฐีท่านศรัทธาเมื่อได้เห็น องค์สมเด็จพระศาสดาผู้บำเพ็ญ จนสำเร็จบรรลุเป็นพระโพธิญาณ
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน ดาบสเลื่อมใสออกบวช ** พวกดาบสได้ยินว่าพระพุทธเจ้า อยากเข้าเฝ้าถวายบังคมก้มประสาน เป็นสาวกน้อมใจไปกราบกราน พระภูวนาถอวตาลสู่โลกา
** จึงกล่าวถามเทวดาผู้ศักดิ์ใหญ่ เป็นความจริงใช่ไหมไม่มุสา เทวดายืนยันที่กล่าวมา เป็นสัจจะวาจาอย่าข้องใจ
** พวกดาบสจึงกล่าวพร้อมกันว่า รีบไปเฝ้าศาสดากันดีไหม ท่านหัวหน้าบอกว่าเราจะไป แต่เกรงใจเศรษฐีดีกับเรา
** จำต้องแจ้งให้ท่านทราบเสียก่อน แล้วค่อยจรเพื่อตอบแทนบุญคุณเขา มิฉะนั้นจะถูกหาว่าดูเบา ไม่รู้คุณก้อนข้าวเขาให้มา
** จึงรีบพากันไปลาเศรษฐี บอกว่ามีภาระอยู่ข้างหน้า จะต้องรีบไปเฝ้าพระศาสดา ขออำลาเศรษฐีผู้มีคุณ
** สามเศรษฐีผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ได้ฟังข่าวดีใจไม่เคืองขุ่น จึงกล่าวอนุโมทนาว่าเป็นบุญ แต่จงโปรดเจือจุนรอคอยกัน
** เราจะไปเฝ้าด้วยช่วยเถิดหนา ไปพร้อมกันดีกว่าเป็นแม่นมั่น เราจะได้ดูแลกันทุกวัน แต่ต้องรอเรานั้นหลายเพลา
** พวกดาบสบอกว่าช้าไปหน่อย เราคงคอยไม่ไหวใจโหยหา อยากฟังธรรมของสมเด็จพระสัมมา ค่อยตามไปดีกว่านะท่านเอย
** ท่านเศรษฐีสุดที่จะห้ามได้ ต้องยอมให้เดินทางอย่างเปิดเผย เมื่อภาระเสร็จแล้วไม่เฉยเมย จะรีบตามไปเลยในทันที
** พวกดาบสรีบไปเฝ้าพระศาสดา ไม่ชักช้าออกเดินทางอย่างเร็วรี่ เมื่อไปถึงเฝ้าบังคมจอมโมลี พระภูมีแสดงพระธรรมเทศนา
** พระพุทธองค์ผู้ทรงปรมัตถ์ ได้ทรงตรัสอนุปุพพีกถา ประกอบด้วยทานศีลภาวนา พวกดาบสมีดวงตามองเห็นธรรม
** จึงพร้อมใจกันอุปสมบท เพื่อกำหนดวิปัสสนาพาชื่นฉ่ำ มอบใจกายต่อศาสนาจะน้อมนำ จึงตั้งใจบริกรรมกันทุกองค์
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน สามเศรษฐีสร้างวิหาร ** ฝ่ายเศรษฐีทั้งสามไม่ลดละ รีบจัดแจงภาระตามประสงค์ ครั้นเสร็จสรรพตามเป้าหมายเจตจำนง ได้ตกลงเดินทางเฝ้าพุทธา
** จัดเสบียงเพื่อถวายเหล่าพระสงฆ์ ทุกทุกองค์โดยทั่วกันชื่นหรรษา ได้สดับพระสัทธรรมเทศนา ของสมเด็จพระสัมมามองเห็นธรรม
** ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นอุดมมงคลที่คมขำ ถวายทานแด่พระสงฆ์เป็นประจำ เพื่อน้อมนำจิตใจให้ไพบูลย์
** จึงนิมนต์สมเด็จพระศาสดา หวังเสริมสร้างศรัทธาไม่เสื่อมสูญ เสด็จเมืองโกสัมพีที่จำรูญ จะเกื้อกูลบำเพ็ญบุญสร้างสุนทาน
** พระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว ใจผ่องแผ้วบริสุทธิ์เกินกล่าวขาน รีบกลับไปโกสัมพีมิช้านาน ได้เตรียมการสร้างวิหารรับพระองค์
** สามเศรษฐีล้วนมีศรัทธามั่น ร่วมมือกันสร้างวิหารดังประสงค์ คนละหลังรวมสามหลังดังจำนง เพื่อต้อนรับพุทธองค์เสด็จมา
** โฆสกะเศรษฐีมีใจงาม สร้างโฆสิตารามดีนักหนา กุกกุฏะเศรษฐีมีศรัทธา สร้างวิหารชื่อว่า กุกกุฏาราม
** ปาวาริกะเศรษฐีดีใจนัก สร้างวิหารพำนักแห่งที่สาม มีชื่อว่า ปาวาริการาม ดูงดงามทั้งสามหลังดังวิมาน
** เมื่อสมเด็จพระศาสดาทรงมาถึง ทั้งสามจึงกราบบังคมก้มประสาน น้อมถวายวิหารเป็นสังฆทาน ขอพระองค์ทรงสำราญพักผ่อนกาย
** พระพุทองค์ทรงรับพระวิหาร เพื่อกิจการของสงฆ์ทรงมุ่งหมาย ประทับที่วิหารไหนเป็นอุบาย ให้เจ้าของถวายสังฆทาน
** เพื่อจะได้ไม่แย่งกันนิมนต์ จะสับสนวุ่นวายหลายสถาน เกิดทะเลาะวิวาทอาจเสียการ เป็นเหตุให้ร้าวฉานความสัมพันธ์
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน นายสุมนะมาลาการเลี้ยงภิกษุสงฆ์ ** ในกาลนั้นเศรษฐีสามสหาย มีมาลาการคู่กายใช่เสกสรร ชื่อว่า “สุมนะ” คนเดียวกัน จัดดอกไม้ให้ทุกวันร่วมกันมา
** สุมนะขอโอกาสสามเศรษฐี นิมนต์พระชินศรีทรงสิกขา ไปรับบิณฑบาตรเยื้องยาตรา ณ ที่บ้านของข้าเพื่อสร้างบุญ
** สามเศรษฐีฟังคำที่พร่ำกล่าว รู้เรื่องราวเข้าใจไม่เคืองขุ่น อนุญาตวันพรุ่งนี้เลยพ่อคุณ จงสมใจได้บุญตามศรัทธา
** สุมนะนิมนต์พระพุทธองค์ พร้อมพระสงฆ์บริวารทั่วถ้วนหน้า มารับภัตตาหารตามเวลา พร้อมอนุโมทนาน้อมรับพร
** จะขอกล่าวถึงสตรีมีชื่อว่า นางขุชชุตตราศรีสมร คนรับใช้สามาวดีโฉมบังอร แม่งามงอนรับดอกไม้ให้พระนาง
** สืบเนื่องมาจากท้าวอุเทนราช มอบเงินให้นงนาฏไม่เหินห่าง วันละแปดกหาปณะเพื่อนวลปราง ค่าดอกไม้ให้แม่นางทุกทุกวัน
** นางทาสีมีหน้าที่รับดอกไม้ จากสุมนะมามอบให้แม่จอมขวัญ วันนี้ได้เวลามารับพลัน สุมนะจำนรรจ์ให้ช่วยงาน
** ในวันนี้องค์สมเด็จพระศาสดา พร้อมพระสงฆ์จะมาฉันอาหาร อย่าเพิ่งกลับเลยหนาแม่นงคราญ อยู่ทำบุญช่วยงานค่อยกลับไป
** นางขุชชุตตราตอบตกลง ถึงเวลาพุทธองค์ผู้เป็นใหญ่ พร้อมพระสงฆ์สาวกก็คลาไคล เสด็จไปยังบ้านมาลาการ
** พระพุทธองค์ทรงทำภัตตกิจ ต่างพากันตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้บุญสำเร็จจากผลทาน ใจเบิกบานสดใสไร้ราคิน
** พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนา ตรัสคาถาตามลำดับจนจบสิ้น นางขุชชุตตราโฉมยุพิน เกิดดวงจินต์เลื่อมใสในพระธรรม
** ในที่สุดแห่งเทศนานั้น ได้บรรลุโสดาบันอันชื่นฉ่ำ เสร็จงานบุญก็นึกถึงงานประจำ คือการนำดอกไม้ให้เจ้านาย
** รับดอกไม้จากนายสุมนะ รีบมุ่งหน้ากลับวังดังใจหมาย มอบดอกไม้ให้แล้วจึงอธิบาย ที่ชักช้าเพราะช่วยนายมาลาการ
** พระนางสามาวดีเห็นดอกไม้ มีจำนวนมากมายเกินมาตรฐาน จึงถามว่าราชาทรงประทาน ให้เพิ่มงบประมาณหรืออย่างไร
** มีดอกไม้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขอให้เจ้าชี้แจงแถลงไข เราอยากรู้จงเล่าให้เข้าใจ ว่าทำไมดอกไม้เพิ่มจำนวน
** นางขุชชุตตราจึงกล่าวถ้อย ว่าข้าน้อยแบ่งออกเป็นสองส่วน เก็บไว้เองครึ่งหนึ่งพึงคำนวณ อีกหนึ่งส่วนซื้อดอกไม้ตามโองการ
** แต่วันนี้โชคดีได้ฟังธรรม อันเลิศล้ำยิ่งใหญ่แสนไพศาล จึงน้อมใจสู่ธรรมะละจิตพาล ซื้อดอกไม้ตูมบานเต็มจำนวน
** สามาวดีฟังคำพร่ำเฉลย ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดให้กำสรวล ไม่ตำหนิติเตียนนางเนื้อนวล แต่เชิญชวนสอนธรรมนั้นแก่เรา
** ธรรมใดที่พระองค์ทรงตรัสแล้ว ย่อมทำใจให้ผ่องแผ้วไม่อับเฉา เราอยากรู้ธรรมนั้นและรับเอา มาขัดเกลากิเลสให้เบาบาง
** นางขุชชุตตราจึงรับคำ จะน้อมนำธรรมมาอย่าหมองหมาง จึงให้นางอาบน้ำหอมทั่วสรรพางค์ มอบผ้าสาฎกให้นางห่อหุ้มกาย
** พร้อมจัดอาสนะให้เธอนั่ง เรียกบริวารมาฟังดังมุ่งหมาย ขุชชุตตราเริ่มต้นสาธยาย ข้อธรรมะทั้งหลายที่ฟังมา
** ในที่สุดแห่งการฟังธรรมนั้น ต่างบรรลุโสดาบันกันถ้วนหน้า ได้ยกมือประณมก้มวันทา เรียกขุชชุตตราว่าอาจารย์
** ต่างขอให้หยุดงานในบ้านนี้ ไปฟังธรรมพระชินศรีที่วิหาร แล้วกลับมาสาธยายทุกประการ จักขอบคุณอาจารย์ที่เมตตา
** นางขุชชุตตราก็รับคำ ได้น้อมนำซึ่งธรรมดีหนักหนา มาถ่ายทอดพวกนางทุกทุกครา จนขึ้นชื่อลือชายอดนารี
** สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงแต่งตั้งขุชชุตตรามารศรี ให้เป็นเลิศด้านธรรมวาที ในบรรดาสตรีอุบาสิกา
** เนื่องด้วยนางฉลาดในการกล่าว ได้แสดงเรืองราวธรรมกถา ให้ผู้อื่นเข้าใจด้วยลีลา ตั้งแต่ต้นจนกว่าสิ้นสุดลง
** บริวารห้าร้อยสามาวดี ได้เอื้อนเอ่ยพาทีจุดประสงค์ บอกขุชชุตตราด้วยจำนง ให้พาไปเฝ้าองค์พระสัมมา
** ขุชชุตตราบอกว่าไม่ได้แน่ เพราะพวกแม่มีจำนวนมากนักหนา ประกอบกับเป็นคนของราชา เราไม่อาจจะพาพวกนางไป
** เหล่างามงอนอ้อนวอนขอร้องว่า เพียงแค่เห็นพระศาสดาได้หรือไม่ นางจึงได้บอกกล่าวในทันใด เราจะออกอุบายเป็นสำคัญ
** อันดับแรกเจาะช่องตามต้องการ ที่ฝาห้องของท่านดังแม่นมั่น พระศาสดาเสด็จทุกทุกวัน จงถวายบังคมคัลอัญชุลี
** มีข้าวตอกดอกไม้ที่จัดหา เพื่อบูชาสมเด็จพระชินศรี ตอนพระองค์เสด็จมาอย่าช้าที จงน้อมใจภักดีถึงพระองค์
** หญิงเหล่านั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว ใจผ่องแผ้วสดใสสมประสงค์ ได้น้อมจิตนำใจใฝ่จำนง เพื่อมุ่งตรงศรัทธาอย่างถาวร
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน ประวัติหน้าต่าง ** พระนางมาคันทิยามารศรี จอมขวัญเจ้าธานีมิ่งสมร ไปสู่ที่อาศัยของงามงอน โฉมบังอรบาทบริกาสามาวดี
** เมื่อเห็นช่องจึงร้องถามไปว่า ช่วยบอกหน่อยเถิดหนาอะไรนี่ นั่นช่องโหว่มากมายหลากหลายมี คืออะไรบอกชี้ที่เป็นมา
** บรรดานางห้าร้อยเอ่ยถ้อยเฉลย พระคุณเอ๋ยช่องนี้ดีนักหนา เราทั้งหลายใช้กราบไหว้พระศาสดา น้อมบูชาด้วยใจในพระองค์
** ครั้นรู้ว่าพระศาสดามาที่นี่ วางแผนการทันทีดังประสงค์ จะกำจัดศัตรูด้วยจำนง พุทธองค์สามาวดีที่หมายปอง
** รีบกราบทูลพระภัสดาว่าบัดนี้ สามาวดีปันใจไปเป็นสอง พร้อมด้วยหญิงห้าร้อยในครอบครอง พระองค์ต้องจัดการอย่านานวัน
** หากช้าไปพระองค์คงตายแน่ คนผันแปรคงทำร้ายอย่างแม่นมั่น รีบกำจัดเสียก่อนอย่าช้าพลัน ก่อนจะถูกฆ่าฟันให้บรรลัย
** พระราชาทรงคิดพินิจดู ก็ทรงรู้ว่ามันสุดวิสัย สามาวดีเป็นคนดีไม่มีภัย ไม่สงสัยในตัวนางอย่างกล่าวกัน
** มาคันทิยาทูลราชาถึงสามครั้ง แต่ก็ยังเฉยอยู่ดูเป็นหมัน จึงกราบทูลเชื้อเชิญองค์ราชัน จงไปดูที่พักมันจะเข้าใจ
** อุเทนราชยุรยาตรทอดพระเนตร เพื่อทรงทราบสาเหตุเป็นไฉน ตรัสถามทุกทุกคนเป็นอย่างไร จงเล่าแจ้งแถลงไขมาอ้างอิง
** เหล่าบาทบริกาสามาวดี เอ่ยวจีกราบทูลมูลทุกสิ่ง ได้เจาะช่องตามที่เห็นเป็นความจริง เพื่อกราบไหว้องค์มิ่งจอมโมลี
** องค์ศาสดาเสด็จมาเพื่อโปรดสัตว์ เป็นกิจวัตรขององค์พระทรงศรี เพราะศรัทธาเลื่อมใสในภูมี ใช้ช่องนี้บูชาพระพุทธองค์
** ท้าวอุเทนทรงทราบเรื่องไม่เคืองขุ่น ทรงรับสั่งให้ทำบุญตามประสงค์ ให้ปิดช่องของเหล่านวลอนงค์ แล้วจึงทรงอนุมัติให้จัดการ
** ทรงโปรดให้สร้างหน้าต่างน้อย ไว้ใช้สอยทุกห้องเป็นมาตรฐาน นับตั้งแต่นั้นมาทุกอาคาร สวยตระการด้วยหน้าต่างอย่างเท่ากัน
** ได้ยินว่าหน้าต่างเกิดขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรกในวังแก้วใช่เสกสรร ถือว่าเป็นตำนานมานานครัน จึงยกมาให้ท่านได้พิจารณา
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา [/ur]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระศาสดาผจญกับการแก้แค้น ** พระนางมาคันทิยามารศรี แสนเจ็บปวดฤดีแทบผวา ทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักครา จึงหันมาทางด้านพุทธองค์
** ได้กะเกณฑ์ชาวเมืองนอกศาสนา ให้ช่วยกันก่นด่าเพราะความหลง มุ่งพระศาสดาโดยเจาะจง ให้หนีไปสู่ดงกลางพงไพร
** อันถ้อยคำที่ด่ามีปรากฏ รวมทั้งหมดสิบข้อขอขานไข เจ้าเป็นโจร เป็นพาล เป็นบ้าไป เป็นอูฐ เป็นวัวไง และเป็นลา
** เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน สุคติไม่ประสานอย่าใฝ่หา ทุคติเป็นที่หมายได้พึ่งพา อย่าอยู่เลยรีบเข้าป่าไปโดยพลัน
** พระอานนท์กราบทูลพระศาสดา ถูกเขาด่าเขาว่าอย่างมหันต์ จะทนอยู่ต่อไปทำไมกัน ให้พวกมันจ้วงจาบแสนหยาบคาย
** พระพุทธองค์ทรงถามจะไปไหน ตอบว่าไปให้ไกลจากเป้าหมาย ที่แห่งอื่นยังมีอีกมากมาย ซึ่งเราจะพักกายให้สุขใจ
** พระพุทธองค์ทรงถามถ้าถูกด่า เป็นอย่างนี้อีกคราทำไฉน พระอานนท์รีบตอบโดยเร็วไว เราก็จะหลีกหนีไปให้ไกลตา
** พระศาสดาตรัสว่าถ้าเช่นนั้น เราจะต้องหนีกันถึงไหนหนา เรื่องราวเกิดก็หนีกันทุกครา เป็นอันว่าชาตินี้หนีร่ำไป
** พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอานนท์เอ๋ย ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยเข้าใจไหม เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้น ณ ที่ใด ก็จงให้ระงับในที่เดียวกัน
** เมื่อใดที่พญาคชสาร ออกทำศึกห้าวหาญไม่ไหวหวั่น ต้องอดทนต่อลูกศรนับอนันต์ ที่ข้าศึกพากันยิงทุกทาง
** เปรียบตัวเราผู้เป็นศาสดา ย่อมอดทนต่อคำด่าและถากถาง ของพวกคนทุศีลจิตเลือนลาง เฉกเช่นพญาช้างในสงคราม
** พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า เรื่องจะเงียบในไม่ช้าอย่าเหยีดหยาม อีกเจ็ดวันข้างหน้าจะจบความ ของพวกที่พยายามทำลายเรา
** อธิกรณ์เกิดแก่พระพุทธเจ้า ไม่ยืดยาวเหมือนกับคนอื่นเขา ครบเจ็ดวันเรื่องราวจะบางเบา หยุดนิ่งไปไม่นำเอามาพูดจา
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ
|
Permalink: Re: เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน
 เล่าเรื่องพระนางสามาวดีคำกลอน โดย สมพงศ์ ชูสุวรรณ *************************** ตอน พระนางมาคันทิยาหาความด้วยเรื่องไก่ ** พระนางมาคันทิยาโกรธแค้นจัด แสนเคืองขัดไม่สมปรารถนา ไม่สามารถขับไล่พระศาสดา ให้พ้นจากพาราโกสัมพี
** จึงคิดว่าน่าจะทำความฉิบหาย ให้เกิดกับนางทั้งหลายเหล่าทาสี พร้อมเจ้านายชื่อว่าสามาวดี เป็นพวกที่อุปถัมภ์พระศาสดา
** มาคันทิยาหาทางคิดวางแผน เพื่อชำระความแค้นอัดแน่นหนา อยู่ในใจของนางตลอดมา ถึงเวลาจะแก้แค้นแสนยินดี
** จึงสั่งให้นำไก่ไปมอบให้ แก่จอมราชเป็นใหญ่ในกรุงศรี กลอุบายจะทำลายเริ่มทันที เพื่อแก้แค้นที่มีให้สะใจ
** มาคันทิยาเข้าเฝ้าเจ้าเหนือหัว รายงานตัวทูลแจ้งแถลงไข ว่าบัดนี้ปุโรหิตผู้ชิดใกล้ ได้นำไก่มาถวายให้พระองค์
** อุเทนราชทราบความทรงถามไถ่ จะให้ใครสนองความประสงค์ จัดการทำอาหารดังจำนง แล้วนำส่งเข้ามาอย่าช้าเลย
** มาคันทิยากราบทูลขึ้นทันที สาวใช้สามาวดีอยู่เฉยเฉย ให้พวกนางรับผิดชอบดังภิเปรย พวกนางเคยทำอาหารทั้งหวานคาว
** พระราชาอนุมัติพร้อมตรัสสั่ง จงแจ้งการไปยังพวกสาวสาว ของสามาวดีทราบเรื่องราว และบอกกล่าวให้เข้าใจไม่รีรอ
** มาคันทิยาดำเนินการทำตามแผน หวังแก้แค้นให้สิ้นไปไม่เหลือหลอ ส่งไก่เป็นไปให้อย่างเพียงพอ แล้วร้องขอจงฆ่าไก่ไปต้มแกง
** นางห้าร้อยไม่ยอมทำกรรมที่ชั่ว กลัวหมองมัวเพราะถือศีลอย่างเข้มแข็ง การฆ่าสัตว์ผิดศีลอย่างร้ายแรง ใช่จะแกล้งให้เสียงานวานเข้าใจ
** มาคันทิยาดีใจได้โอกาส จะใส่ร้ายด้วยอาฆาตอย่างยิ่งใหญ่ รีบกราบทูลนำมากล่าวเล่าเรื่องไป พวกนางไม่ยอมทำกรรมจริงจริง
** เพราะเอาใจฝักใฝ่ในผู้อื่น ไม่สนใจหยิบยื่นทำเป็นหยิ่ง ยกเอาศีลเอาธรรมมาอ้างอิง หวังประวิงเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย
** ขอพระองค์ทรงรับสั่งทำอาหาร ไปถวายเป็นทานในสมัย แห่งการฉันอาหารภูวนัย บรมศาสดาทรงชัยทดลองดู
** เมื่อตรัสสั่งจึงนำไก่ที่ตายแล้ว ไปตามแนวของอุบายที่สวยหรู มอบให้ห้าร้อยนางแม่โฉมตรู ทำอาหารนำสู่พระศาสดา
** ห้าร้อยนางรีบจัดการอย่างเร็วไว ด้วยตั้งใจเพราะสมปรารถนา ด้วยไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวา ถ้าผิดศีลข้อปาณาไม่กล้าทำ
** มาคันทิยาทูลว่าทรงเห็นไหม เหล่าพวกนางปล่อยใจให้ถลำ ไปฝักใฝ่คนนอกเหมือนดังคำ ที่กราบทูลเตือนย้ำตลอดมา
** ท้าวอุเทนได้ฟังทรงนั่งเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยดังที่ปรารถนา ความคับแค้นแน่นในใจโฉมสุดา ต้องรีบหาอุบายให้มั่นคง
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ บ้านกัลปังหา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สมพงศ์ ชูสุวรรณ ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต และแหล่งข้อมูลทั้งหลายที่นำข้อมูลและภาพมาใช้ครับ....
|
|
|
|