บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- อุไทยราชากระด้างกระเดื่อง -
กลับกล่าวถึงกัมพูชาอีกคราหนึ่ง เจ้าไม่ซึ้งคุณสยามยังเล่นแง่ กระด้างกระเดื่องไมตรีที่เริ่มแปร เหมือนเด็กดื้องอแงเอาแต่ใจ |
อภิปราย ขยายความ............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯ มาบอกเล่าถึงเรื่องราวการรบระหว่างพม่า-ไทยทางภาคใต้ ผลลงเอยที่พม่าแม้มีกำลังพลน้อยก็สามารถปล้นเมืองถลาง หรือภูเก็ตได้ เพราะแม่ทัพไทยอ่อนแอ วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับเดิม ได้กล่าวถึงเรื่องทางฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเจ้ากรุงกัมพูชาแสดงอาการกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้ากรุงสยามว่าดังต่อไปนี้
“พระอุไทยราชาเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทน ก็ไม่ยอมเข้ามาเยี่ยมพระบรมศพโดยเยี่ยงอย่างธรรมเนียม เหตุที่บิดพลิ้วเสียก็ด้วยมีเหตุ ๓ ประการ คือ
ตอนที่พระอุไทยราชาทูลขอนักองค์อีกลับไปกัมพูชา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิโปรดพระราชทานให้ ๑ ทูลขอพระยาเดโช (เมง) ซึ่งมีความอริกันแล้วหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯก็ไม่ได้ ๑ ทรงขัดเคืองเมื่อตอนที่เข้าเฝ้ากราบบังคมลาจะกลับออกไปกัมพูชา โดยที่ยังมิได้รับสั่งให้หา ผลีผลามเข้าไปจนถูกตำหนิ ๑
เหตุทั้ง ๓ ประการนั้นทำให้ไม่ยอมเข้ามาถวายบังคมพระบรมศพและร่วมในพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามพระองค์ใหม่ หากแต่ทรงให้นักองค์สงวน พระองค์แก้ว กับพระยากลาโหม (เมือง) พระยาจักรี (แบน) เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแทนพระองค์ นักองค์สงวน พระองค์แก้ว เข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเดือน ๔ ข้างแรม เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลว่า พระอุไยราชาไม่สบายจึงให้ตนมาแทน
ครั้นนักองค์สงวน พระองค์แก้ว และพระยาเขมรเข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า กรุงกัมพูชาแต่ก่อนนี้เคยมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า พระมหาอุปโยราชฝ่ายหลัง ตั้งขุนนางตามตำแหน่งสืบต่อมา “แลพระองค์แก้วก็มีไวยเจริญมากอยู่แล้ว องค์สงวน องค์อิ่มอนุชาพระอุไทยราชาธิราชนั้น เจริญชนมายุควรจะเปนกำลังราชการได้อยู่แล้ว ครั้งนี้ควรจะให้อิศริยยศมีถานันดรศักดิ์ออกไปเสียทีเดียว”
* ความในพระราชพงศาวดารฯ ฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ตอนนี้มิได้บอกรายละเอียดว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสถาปนาพระองค์แก้ว นักองค์สงวนทรงอิศริยยศอะไร แต่ความในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชามีระบุไว้ชัดเจนว่า
“ ลุศักราช ๑๑๗๒ ปีมะเมียโทศก (พ.ศ. ๒๓๕๓) พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ได้โปรดเกล้าฯทรงสถาปนาให้นักพระองค์สงวนทรงพระนามเปนสมเด็จพระไชยเชษฐา พระมหาอุปโยราช นักพระองค์อิ่ม ทรงพระนามเปนสมเด็จพระศรีไชยเชฐ พระมหาอุปราช กับได้ทรงทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องยศตามถานันดรศักดิ์ทั้ง ๒ พระองค์ เสร็จแล้วก็พากันกราบถวายบังคมลาออกจากกรุงเทพฯ มายังบันทายเพ็ชร พร้อมกับขุนนางข้าราชการที่ตามเสด็จนั้นทุกคนฯ
ในครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัววังน่ากรุงเทพฯ ได้โปรดเกล้าฯให้ออกญาเดโชเม็ง กลับคืนมาอยู่เมืองเขมรตามเดิม พร้อมกับสมเด็จพระอนุชาทั้ง ๒ แต่เมื่อมาถึงทางแยกแล้วก็ทูลลาสมเด็จพระอนุชา พระมหาอุปโยราช แลพระมหาอุปราช เลยไปอยู่เมืองกำปงสวายทีเดียว ฝ่ายสมเด็จพระอนุชาทั้ง ๒ พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการที่ตามเสด็จ ได้มาถึงเมืองบันทายเพ็ชรในเดือน ๗ ปีมะเมียโทศกนั้น สมเด็จพระอนุชาทั้ง ๒ พร้อมด้วยข้าราชการได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมบพิตรพระบาทผู้เปนเจ้า กราบทูลแถลงข้อราชการให้ทรงทราบข้อความทุกประการแล้ว สมเด็จพระอุชาทั้ง ๒ พระองค์ ก็กราบถวายบังคมลาออกมาประทับยังพระตำหนักเดิมของพระองค์ ส่วนข้าราชการต่างก็กราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้าไปยังบ้านเรือนสถานที่แห่งตนฯ”
** ท่านผู้อ่านครับ สมเด็จพระอุทัยราชา คือนักองค์จันทร์ ราชบุตรองค์ใหญ่ในสมเด็จพระนารายณ์ราชา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ภายหลังเสด็จมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ เมื่อจะกลับกัมพูชาก็ “ผลีผลาม” เข้าเฝ้าถวายบังคมลาแบบถือวิสาสะ โดยยังมิทันได้เบิกตัวเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ เป็นเหตุให้สมเด็จพระอุทัยราชาไม่พอใจ เมื่อสวรรคตลงจึงไม่ยอมมากราบถวายบังคมพระบรมศพ พฤติกรรมอันไร้มรรยาทของเขมรมิใช่แต่จะเพิ่งมีในสมัยนี้ แม้ในอดีตก็เคยมีมาแล้ว พรุ่งนี้มาอ่านความกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ ณ อาศรมลายสือไท มืองสุโขทัย ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, กลอน123, เนิน จำราย, ปิ่นมุก, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ญวนขอเมืองบันทายมาศ -
กล่าวถึงญวน“ยาลององเชียงสือ” เคยนับถือเคารพนอบนบไหว้ ครั้น“รอหนึ่ง”สวรรคตมิทันไร “ยาลอง”ไม่เคารพนบบูชา
ทูลขอเมืองบันทายมาศปราศเคารพ สยามพบเรื่องยากมากปัญหา ยอมยกเมืองให้ญวนตามขอมา ด้วยเห็นว่ายากจักรักษาเมือง |
อภิปราย ขยายความ.........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับตัวเขียนของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) มาให้อ่าน ถึงตอนที่นักองค์จันทร์ หรือ พระอุทัยราชา เจ้ากรุงกัมพูชาแข็งข้อกระด้างกระเดื่องต่อกรุงสยาม วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับเดิมต่อไปซึ่งว่าด้วย ยาลอง หรือ องเชียงสือ เจ้าแผ่นดินเวียดนามทูลขอเมืองบันทายมาศครับ
* “ปีจุลศักราช ๑๑๗๒ อันเป็นปีที่ ๒ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น พระเจ้ากรุงเวียดนามแต่งทูตญวนเข้ามากรุงเทพมหานคร มีราชทูต อุปทูต ตรีทูต เข้ามา ๒ สำรับ สำรับหนึ่งกราบถวายบังคมพระบรมศพมีของสดัปกรณ์ น้ำตาลทราย ๕๐ หาบ น้ำตาลปึก ๑๐ หาบ น้ำตาลกรวด ๑๐ หาบ ขี้ผึ้ง ๕ หาบ แพรเกวียนขาว ๑๐๐ พับ ผ้าขาวตังเกี๋ย ๑๐๐ พับ
ทูตอีกสำรับหนึ่งเข้ามากราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติดำรงแผ่นดินใหม่ คุมเครื่องราชบรรณาการเข้ามาทรงยินดี กระลำพักหนัก ๒ ชั่ง อบเชย ๓ ชั่ง แพรเกวียนขาว ๑๐๐ พับ แพรเลือดต่างสี ๒๐๐ พับ แพรแถบบางต่างสี ๑๐๐ พับ ผ้าขาวตังเกี๋ย ๑๐๐ พับ และมีราชสาส์นอีกฉบับหนึ่ง
ความในพระราชสาส์นนั้น กล่าวโทษเจ้าเมืองบันทายมาศว่าเป็นคนไม่ดีหลายประการ พระเจ้ากรุงเวียดนามจึงให้ขุนนางญวนมาว่าราชการรักษาเมืองอยู่ และอ้างว่าเมืองบันทายมาศหรือพไทมาดนี้แต่ก่อนเป็นเมืองขึ้นของญวน บัดนี้พระเจ้ากรุงเวียดนามจะขอยกไปเป็นเมืองขึ้นของญวนเหมือนอย่างแต่ก่อน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบความในพระราชสาส์นนั้นแล้ว ทรงมีพระราชดำริในการทรงปรึกษาหารือกับพระราชวงศานุวงศ์และเสนาข้าราชการทั้งปวงเห็นว่า “จะขัดขาวงไว้นั้นด้วยเป็นแผ่นดินใหม่ การจะไม่ตลอดไปได้ ญวนคงจะคิดรบกวนทำให้หมองหมางทางพระราชไมตรีไป จึ่งยอมให้เมืองบันทายมาศ เมืองบันทายมาศจึ่งตกไปเป็นของญวนตั้งแต่นั้นมา”
ทูตญวนที่เข้ามาครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้รับรองแข็งแรงมากกว่าทูตญวนที่เข้ามากรุงเทพฯ ในครั้งก่อน ๆ โดยรับสั่งให้จัดเรือเอกไชยไปรับพระราชสาส์นถึงเมืองสมุทรปราการ มีเรือพิฆาต เรือเหรา เขียนรูปสัตว์ ๘ ลำ เรือกันยารับทูตญวน ๘ ลำ มีปี่พาทย์ฆ้องกลองแตรสังข์แห่ขึ้นมาจนถึงกงกวนที่รับทูตญวน แล้วโปรดให้ทูตญวนเข้าเฝ้าทุกวัน เหมือนขุนนางในกรุง พระราชทานสำรับคาวหวานวันละ ๙ คู่ เลี้ยงรายวันทุกวัน ทูตญวนพักอยู่จนเสร็จราชการ ได้พระราชทานเงินตราเสื้อผ้าตามผู้ใหญ่ผู้น้อยทุกราย แล้วให้มีพระราชสาส์นตอบขอบพระทัย และโปรดให้จัดของทรงยินดีออกไปด้วย พลอยจันทบุรีขนาดใหญ่ ๑ ชั่ง ขนาดเล็ก ๒ ชั่ง แพรต่วนดำ ๒ ม้วน แพรต่วนสีม่วง ๒ ม้วน แพรกระบวรลายทอง ๑ ม้วน ผ้าขาว ๓๐ พับ จันทน์เทศ ๒ หาบ เหล็กก้อน ๑๐๐ หาบ เสื่ออ่อนสองชั้น ๕๐ ผืน ทูตรับพระราชสาส์นและของทรงยินดีแล้วกราบถวายบังคมลากลับเมื่อ วันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ในปีเดียวกันนั้น
* ผู้อ่านคงยังจำได้นะครับว่า ในคราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเริ่มตั้งตัวกอบกู้ชาติไทยนั้น ทรงยกทัพไปตีกัมพูชา โดยพระองค์ยกไปทางเรือแล้วเข้ายึดเมืองพุทไธมาศได้เป็นแห่งแรก เมืองพุทไธมาศนั้นก็คือบันทายมาศที่ญวนขอ ด้วยอ้างว่าเป็นของญวนมาแต่เดิมนี่เอง ปัจจุบันเมืองนี้มีชื่อเรียกว่า เมืองฮาเตียน เขมรเรียกว่า เมืองเปี่ยม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวญวน นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีชาวเขมรกรอมเป็นประชากรส่วนน้อย นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ในคราวที่องเชียงสือหนีออกจากกรุงเทพฯ และสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรฯ จะตามจับตัวคืนมา แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงห้ามไว้ กรมพระราชวังบวรฯ ทรงขัดเคืองและตรัสว่า องเชียงสือจะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ลูกหลานไทย นี่ก็เริ่มเห็นเค้าความเป็นจริงแล้ว เมื่อสิ้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ องเชียงสือเริ่มขอเมืองบันทายมาศดังกล่าวแล้ว
ความในพระราชพงศาวดารฉบับนี้กล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพไปขับไล่พม่าที่เมืองชุมพรนั้น เมื่อเสด็จกลับมากรุงเทพฯ แล้ว “ทรงพระประชวรไข้พิศม์” ทรงบนบานว่าถ้าหายจากพระอาการประชวรแล้วจะทรงบรรพชา ก็ปรากฏว่าทรงหายจากอาการพระประชวรนั้น จึงทรงบรรพชาประทับอยู่วัดมหาธาตุฯครบ ๗ วันแล้วก็ลาผนวช การบวชแก้บนของกรมพระราชวังบวรฯ ครั้งนี้ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มิได้ให้รายละเอียดไว้ แต่ก็เข้าใจได้ว่า ทรงบวชเป็นสามเณร เพราะคำว่า “บรรพชา” หมายถึงการบวชเป็นสามเณร ถ้าบวชเป็นพระภิกษุจะต้องใช้คำว่า “อุปสมบท”
ในปีมะเมีย โทศกนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯใ ห้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ให้ข้ามฟากไปประทับอยู่พระราชวังเดิม ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ เป็นผู้สำเร็จราชการในกรมมหาดไทย ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์ สำเร็จราชการในกรมพระกลาโหม ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ สำเร็จราชการในกรมท่า”
** ท่านผู้อ่านครับ ไทยเริ่มสูญเสียดินแดนแล้วนะครับ คือเสียเมืองบันทายมาศ หรือเมืองเปี่ยม ที่ญวนเรียกว่าเมืองฮาเตียน แล้วขอคืนไป สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพิจารณาแล้ว เห็นว่ายากที่จะรักษาเมืองนี้ไว้ได้ จึงยอมยกให้แก่พระเจ้าเวียดนามไปตามที่ขอมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ปิ่นมุก, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ทรง “จิ้มก้องพระเจ้ากรุงจีน” -
ทรงส่งทูตนำสาส์นสมานมิตร โดยสืบสิทธิ์ดีงามความต่อเนื่อง ผูกไมตรีกรุงจีนถิ่นประเทือง เรียกเป็นเรื่อง “จิ้มก้อง” คล้องสัมพันธ์ |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯ มาให้ทราบกันถึงตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๒ ทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอสำเร็จราชการกรมต่าง ๆ โดยทรงตั้งให้ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ว่ากรมท่า เป็นต้น วันนี้มาดูเรื่องในพระราชพงศาวดารฯฉบับเดิมกันต่อไปครับ
* “เจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวไว้ในตอนที่นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม เป็นตัวแทนพระอุทัยราชาเข้ามากราบถวายบังคมพระบรมศพในพระโกศนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริ “ควรจะให้อิศริยยศมีถานันดรศักดิ์ออกไปเสียทีเดียว” แต่มิได้ให้รายละเอียดว่า ได้ทรงสถาปนาอย่างไร มาให้รายละเอียดต่อจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอสำเร็จราชการแล้วว่า
“แล้วโปรดเศกให้นักองค์สงวนเป็นมหาอุปโยราชฝ่ายหลัง พระราชทานสุพรรณบัตรจารึกพระนามว่า พระไชยเจษฎาราชามหาอุปโยราชฝ่ายหลัง เศกให้องค์อิ่มเป็นที่พระศรีไชยเชษฐราชา พระมหาอุปราชฝ่ายหน้า เพราะเขมรนับถือมหาอุปโยราชฝ่ายหลังเป็นใหญ่กว่ามหาอุปราชา”
ได้พระราชทานกลดหนึ่ง มาลาเส้าสเทินหนึ่ง ฉลองพระองค์ทรงประพาสหนึ่ง พานหมากเสวยทองคำหนึ่ง เต้าน้ำทองคำหนึ่ง พานรองเต้าน้ำทองคำหนึ่ง บ้วนพระโอฐทองคำหนึ่ง แก่องค์สงวนผู้เป็นพระไชยเจษฎามหาอุปโยราช แต่องค์อิ่มผู้เป็นพระศรีไชเชษฐราชามหาอุปราชนั้นมิได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ก็ไม่ทรงถือโทษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเครื่องอิสริยยศเหมือนอย่างองค์สงวน โดยมอบให้พระองค์แก้วเชิญไปพระราชทานองค์อิ่ม
เมื่อองค์สงวนและคณะกราบบังคมลากลับเขมร ก็โปรดให้พระยาเดโชเม็งกลับออกไปเขมรด้วย พร้อมกันนั้นก็โปรดให้แต่งศุภอักษรเกณฑ์กองทัพเมืองเขมรให้เข้ามาช่วยราชการรักษาพระนคร เพราะว่าทรงมีความกริ่งเกรงพม่าจะถือโอกาสยามที่ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ แล้วจะยกทัพใหญ่มารุกรานไทย ด้วยมีตัวอย่างที่อเติงวุ่นยกมาตีเมืองชุมพรและเกาะถลางไปครั้งหนึ่งแล้ว
พระอุปโยราชและมหาอุปราชใหม่ของกัมพูชาเมื่อได้รับการสถาปนาแล้ว ก็กราบถวายบังคมลาออกไป ถึงเมืองพระตะบอง พระยาเดโชเม็งก็ทูลลาพระอุปโยราชและมหาอุปราชไปอยู่เมืองกำพงสวาย พระมหาอุปโยราชและคณะเดินทางไปถึงเมืองบันทายเพชรเมื่อเดือน ๗ ปีมะเมีย โทศก ศักราช ๑๑๗๒ (พ.ศ.๒๓๕๓) เข้าเฝ้าสมเด็จพระอุทัยราชาธิราช พระเจ้ากรุงกัมพูชาทรงทราบว่า พระเจ้ากรุงสยามทรงสถาปนาพระอนุชาทั้งสองให้มีพระอิสริยยศเป็นฝ่ายหน้าฝ่ายหลังแล้ว ก็ทรงขัดเคืองในใจ เมื่อได้ทราบความในศุภอักษรแล้วก็นิ่งเสีย ไม่ทรงกะเกณฑ์กองทัพให้เข้ามาช่วยราชการ ณ กรุงเทพมหานคร
ครั้นสถาปนามหาอุปโยราชและมหาอุปราชกรุงกัมพูชา ซึ่งทั้งสองท่านนั้นได้กราบถวายบังคมลากลับบ้านเมืองตนแล้ว ถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้แต่งทูตานุทูตเชิญพระราชสาส์นออกไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ณ ปักกิ่ง คำในพระราชสาส์นนั้นมีว่า “พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาปราบดาภิเษกใหม่คิดถึงทางพระราชไมตรีสมเด็จพระเจ้าเกียเข้งผู้ใหญ่ ซึ่งมีมาแต่ในกาลก่อน จึ่งแต่งทูตานุทูตจำทูลพระสุพรรณบัตรพระราชสาส์นเครื่องมงคลราชบรรณาการ ยกช้างออกเสีย สิ่งของตามอย่างธรรมเนียมออกมาจิ้มกองเชิญหองสมเด็จพระเจ้าเกียเข้งตามโบราณราชประเพณีสมเด็จมหากระษัตราธิราชเจ้าสืบมาแต่ก่อน ถ้าแลราชทูตอุปทูตตรีทูตข้าหลวงมีชื่อมาถึงเมื่อใด ขอให้ได้เฝ้ากราบถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าเกียเข้งผู้ใหญ่โดยสวัสดิมงคล ได้ประทับตราโลโตออกมา จะเหลือเกินประการใดขอได้ทรงพระเมตตาด้วย”
* * ท่านผู้อ่านครับ คำว่า “จิ้มก้อง” แปลว่า “เจริญทางพระราชไมตรีบรรณาการ” ดูจะเป็นธรรมเนียมประเพณีที่พระเจ้ากรุงสยามหลาย ๆ พระองค์ ที่เมื่อขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มักจะส่งราชทูตนำเครื่องราชบรรณาการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีน ในสมัยกรุงธนบุรีเรียกกิริยานี้ว่า “จิ้มกอง” ที่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า การจิ้มก้องเสมือนเป็นการแสดงความอ่อนน้อมขออยู่ใต้อำนาจ อันที่จริงก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ด้วยเจตนาอันแท้จริงแล้วก็คือการผูกมิตรกับประเทศชาติต่าง ๆ ตามที่เห็นสมควร หาได้คิดฝากตัวเป็นเสมือนบริวารของประเทศชาตินั้นไม่
สถานการณ์ไทย-พม่าในช่วงต้นรัชกาลที่ ๒ ดูจะยังไม่มีอะไรรุนแรงนัก แต่สถานการณ์ทางกัมพูชา-ญวนกับไทยดูท่าจะเกิดความยุ่งยากขึ้นแล้ว เริ่มที่เมืองพุทไธมาศ หรือเมืองบันทายมาศ ที่ไทยได้มาแต่ต้นสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น ไทยต้องยอมยกให้ญวนตามคำขอขององเชียงสือ และเมืองนี้ก็คงอยู่ในปกครองของญวนในนามเมือง “ฮาเตียน” ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่า เป็นดินแดนแห่งแรกที่ไทยได้มาแต่ครั้งกรุงธนบุรี แล้วต้องเสียไปในตอนต้นรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เหตุการณ์ทางกัมพูชานั้น ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะว่าไทยโอบอุ้มอุปการะเชื้อพระวงศ์กัมพูชามาแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยในปี พ.ศ. ๒๓๐๑ เกิดความวุ่นวายขึ้นในกัมพูชาด้วยการแย่งชิงความเป็นใหญ่จนเกิดการฆ่าฟันกันตาย กรุงสยามได้รับอุปการะโอรส-ธิดาสมเด็จพระนารายณ์ราชาเจ้า โดยโอรสนามว่าพระองค์เองนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมจนเจริญพระชนม์ ๒๒ พรรษา ทรงจัดการอุปสมบทให้แล้ว ทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ แล้วส่งไปเป็นเจ้าแผ่นดินเขมร เมื่อสิ้นสมเด็จพระนารายณ์ราชาแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนานักองค์จันทร์โอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็นเจ้ากรุงกัมพูชาแทนในพระนาม สมเด็จพระอุทัยราชา แต่ดูเหมือนนักองค์จันทร์จะมิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สยามกับกัมพูชาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงมีปัญหาบาดหมางกัน ดังเรื่องที่จะกล่าวต่อไป
พรุ่งนี้มาอ่านความกันต่อครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ลมหนาว ในสายหมอก, ปิ่นมุก, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เขมรตีตัวออกห่างไทย -
พระอุไทยราชามารยานัก เมื่อแปรพักตร์สร้างเรื่องราวปลุกปั่น ขอกำลังยาลองช่วยป้องกัน อ้างว่าหวั่นเกรุงสยามคุกคามตน |
อภิปราย ขยายความ............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯ มาให้ท่านได้อ่านกันถึงเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๒ ทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญพระราชไมตรี (จิ้มก้อง) พระเจ้ากรุงจีน แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไร วันนี้มาอ่านความกันต่อไปครับ
* กล่าวถึงเรื่องราวทางกัมพูชา ต่อจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงส่งราชทูตเดินทางไปจิ้มก้องทางเมืองจีนแล้ว สมเด็จพระมหาอุปโยราช (นักองค์สงวน) พระยาจักรี พระยากลาโหม และพระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) เห็นสมเด็จพระอุทัยราชารับพระราชสาส์นจากพระเจ้ากรุงสยามให้เกณฑ์กองทัพไปช่วยรักษาพระนครแล้วเพิกเฉยเสีย ก็กลัวจะมีความผิด จึงปรึกษากันแล้วเกณฑ์คนจะยกเข้ากรุงเทพมหานครตามศุภอักษร สมเด็จพระอุทัยราชาทรงทราบดังนั้นก็เสียพระทัย จึงสั่งให้พระยาแสนทองฟ้า พระยาราชอาญา นำกำลังเข้าจับกุมพระยาจักรี (แบน) พระยากลาโหม (เมือง) ฆ่าเสียเมื่อวันศุกร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๗๒ พระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) กับไพร่ ๒๓ คน หนีเข้ามากรุงเทพมหานครได้
จากนั้นสมเด็จพระอุทัยราชามีหนังสือบอกกล่าวโทษพระยาจักรี พระยากลาโหม ไปถึงองต๋ากุนเมืองไซ่ง่อนว่า “พระยาจักรี พระยากลาโหม ยุให้พี่น้องวิวาทกันขึ้น ทำให้เมืองเขมรเป็นสองแผ่นดินออกไป แล้วกะเกณฑ์ผู้คนตามอำเภอใจตน จึงได้ฆ่าเสีย จะขอพึ่งพระบารมีพระเจ้ากรุงเวียดนามเป็นที่พำนัก”
พร้อมกันนั้นก็มีศุภอักษรตอบเข้ามา ณ กรุงเทพมหานคร ว่า “ได้กะเกณฑ์กองทัพจะยกเข้ามาตามศุภอักษรแล้ว พอพระยาจักรี พระยากลาโหม พระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) เป็นขบถขึ้น จึ่งให้งดกองทัพไว้” เพื่อให้หนังสือฉบับดังกล่าวของตนมีน้ำหนักมากขึ้น จึงให้สมเด็จเจ้าฟ้าทะละหะและพระองค์แก้วมีหนังสือบอกเข้ามาเป็นพยานอีกฉบับหนึ่งว่า พระยาจักรี พระยากลาโหม พระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) คบคิดกันเป็นขบถจึงได้จับฆ่าเสีย แต่พระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) นั้นหนีเข้ามา ณ กรุงเทพมหานครแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงทราบหนังสือบอกจากสมเด็จพระอุทัยราชาและเจ้าฟ้าทะละหะ พระองค์แก้วแล้ว มีพระราชดำริว่า “ครั้นจะไม่ทำโทษพระยาสังขโลกย์ (สวรรคโลก) เล่า เขาก็จะว่าเข้าด้วยคนผิด จึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จำพระยาสังขโลกย์ไว้” ฝ่ายพระยาเดโช เม็ง เมื่อรู้ข่าวว่า สมเด็จพระอุทัยราชาฆ่าพระยาจักรี พระยากลาโหมเสีย ด้วยหาความผิดมิได้ ก็เกรงภัยจะมาถึงตน จึงอพยพครอบครัวหนีเข้ากรุงเทพมหานคร
องต๋ากุนแห่งเวียดนามได้รับหนังสือบอกของสมเด็จพระอุทัยราชาแล้ว จึงให้กิมเติงตรันคุมไพร่พล ๑,๐๐๐ คนมาตั้งอยู่เกาะจีน กิมเติงตรันจึงได้มีหนังสือบอกถึงพระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่ถึงแก่อนิจกรรม พระยาอภัยภูเบศร (รศ) จึงมีหนังสือบอกเข้ามายังกรุงเทพมหานคร ในขณะนั้นสมเด็จพระอุทัยราชาก็เกณฑ์พระยาเขมรคุมทัพไปตั้งรักษาอยู่ที่ด่านทุกตำบล
กิมเติงตรันทราบดังนั้นก็คิดว่าไม่มีราชการสิ่งใดแล้ว เมื่อถึงเดือนยี่ข้างแรมก็ยกกองทัพกลับคืนไปยังเมืองไซ่ง่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบหนังสือบอกจากพระยาอภัยภูเบศร ทรงพระราชดำริแล้วโปรดให้พระยาพิชัยรณฤทธิ์ พระยาราชรองเมือง หรือพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง หลวงสุเรนทรวิชิต คุมไพร่พลจำนวนหนึ่งถือหนังสือออกไป เพื่อจะได้เจรจากันกับกิมเติงตรัน เมื่อออกไปถึงเมืองพระตะบองก็ทราบว่า กิมเติงตรันกลับไปไซ่ง่อนแล้ว จึงยั้งอยู่ที่เมืองพระตะบอง
ในเรื่องเดียวกันนี้ ความในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชากล่าวว่า “ครั้นอยู่ต่อมาออกญากระลาโหม เมือง กับออกญาจักรี แกบ คิดดคทรยศ เป็นขบถต่อสมเด็จพระบาทผู้เป็นเจ้าผู้ทรงราช ๆ จึงตรัสให้ลงพระราชอาญา ประหารชีวิตออกญาทั้ง ๒ ซึ่งคิดมิชอบนั้นเสีย เมื่อ ณ วันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมเมียโทศกนั้น ออกญาเม็งเมื่อได้ข่าวว่าสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ ได้ลงพระราชอาญาให้ประหารชีวิตออกญากระลาโหม เมือง กับออกญาจักรี แกบ เสียดังนั้น ก็ครั่นคร้าม มีความมลทินในใจ จึงจัดการเกณฑ์ไพร่พลมาตั้งเปนกระบวนทัพอยู่ที่เมืองกำปงสวาย
ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยธิเบศร์ (คนใหม่) ซึ่งอยู่รักษาเมืองพระตะบองนั้น ก็จัดการกะเกณฑ์ไพร่พลแลก่อกำแพงทำค่ายคูประตูหอรบอย่างแขงแรงแน่นหนาอยู่ ฯ ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์อยู่ที่บันทายเพ็ชรนั้น ทรงใช้ให้ออกญามหามนตรี เภา กับออกญามหาธิราช มาศ ไปที่เมืองเว้ ทูลพระเจ้าเวียดนามเจ้าเมืองญวน ขอให้ยกกำลังมาช่วย แล้วทรงตั้งให้ออกญาวงษาอรรคราช ตี ซึ่งรับราชการในตำแหน่งออกยาจักรีนั้นเป็นออกญาเดโช แล้วทรงโปรดให้เปนแม่ทัพยกไพร่พลไปราบปรามออกญาเดโช เม็ง ซึ่งตั้งแขงเมืองอยู่ที่กำปงสวายฯ ฝ่ายออกญาเดโช เม็ง เมื่อได้ข่าวว่ากองทัพหลวงยกมาดังนั้นก็ไม่อาจจะอยู่ต่อสู้รบ หนีออกจากเมืองกำปงสวายไปอยู่เสียที่เมืองไทย
ลุถึงข้างขึ้นเดือนอ้าย ปีมะเมีย โทศก ๑๑๗๒ (พ.ศ. ๒๓๕๓) พระเจ้าเวียดนามเจ้าเมืองญวน ตรัสใช้ให้องสลกกับองผอเส็ง ยกไพร่พล ๑,๐๐๐ กับเรือรบชนิดแง่โอ แง่สาย แง่ลาย ขึ้นมาตั้งทัพอยู่ที่เกาะจีนฯ
ลุถึงข้างแรมเดือนอ้ายปีมเมียโทศก ๑๑๗๒ (พ.ศ. ๒๓๕๓) เจ้าเวียดนามเจ้าเมืองญวนตรัสใช้ให้องติญดายกไพร่พล ๑๐,๐๐๐ กับเรือรบชนิดแง่โอ แง่สาย แง่ลาย ขึ้นมาตั้งทัพเพิ่มเติมอยู่ที่เกาะจีนอีกฯ
ลุถึงข้างขึ้นเดือนยี่ปีมเมียโทศก ๑๑๗๒ (พ.ศ.๒๓๕๓) องลิวกิญ ซึ่งเปนใหญ่อยู่ที่เมืองไซ่ง่อน กับองทุนกูน ได้ยกไพร่พลกับเรือรบชนิดต่าง ๆ เปนอันมาก มาตั้งทัพอยู่ตั้งแต่ตำบลคลองมีลาภ (เปรกเมียนเลียบ) จนตลอดมาถึงเกาะจีนฯ ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ตรัสใช้ให้พระยาสีหราชรองเมือง ๑ พระยาอภัยรณฤทธิ์ ๑ กับพระยาปลัดเมืองนครราชสิมา ๑ รวม ๓ นาย ให้ยกไพร่พลเปนอันมากมาตั้งทัพอยู่ที่เมืองพระตะบองฯ”
* * รายละเอียดในเรื่องเดียวกันของพระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา กับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ไม่เหมือนกัน แต่โดยพลความแล้วเหมือนกัน กล่าวคือ สมเด็จพระอุทัยราชากระด้างกระเดื่องต่อราชวงศ์จักรีที่อุปถัมภ์บำรุงราชวงศ์กัมพูชามาแต่ต้น แล้วหันไปยึดถือเวียดนามเป็นที่พักพิง ตั้งป้อมจะทำสงครามกับกรุงสยาม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระอุไทยราชาทรงผนวช -
ภิกษุไทยไปประจำอยู่กัมพุช บริสุทธิ์ศีลวัตรมิขัดสน ได้รับการยกย่องเหนือผองชน เป็นสกลสังฆราชตามศรัทธา
พระเจ้ากรุงกัมพูชาทรงผนวช สามองค์รวดรวมญาติศาสนา พระสังฆราชอาจารย์ท่านบิดา ทรงเมตตาพำนักเป็นหลักชัย |
อภิปราย ขยายความ.............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน ถึงตอนที่สมเด็จพระอุทัยราชาฆ่าพระยาจักรี กับพระยากระลาโหม เพราะทั้งสองพระยานั้นกะเกณฑ์กำลังพลจะมารักษาพระนครตามศุภสาส์นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อได้ฆ่าสองพระยานั้นแล้วก็มีหนังสือกล่าวโทษเข้ามายังกรุงเทพฯ พร้อมกับมีหนังสือไปขอกำลังญวนมาช่วย วันนี้มาดูความในพระราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาที่ให้รายละเอียดเรื่องนี้ไว้ยึดยาวทีเดียวครับ
* “พงศาวดารกัมพูชากล่าวว่า ในขณะญวนยกมาตั้งที่ตำบลคลองมีลาภ รายลงมาถึงเกาะจีนนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ให้พระยาสีหราชรองเมืองเป็นแม่ทัพคุมไพร่พลยกไปตั้งทัพที่เมืองพระตะบอง ฝ่ายสมเด็จพระอุทัยราชาแห่งกัมพูชา ก็จัดส่งกำลังจากบันทายเพชรออกไปรักษาด่านทางต่าง ๆ เพื่อป้องกันบ้านเมืองคือ
๑. ให้ออกญาเดโช เป็นแม่กอง กับไพร่พล ยกไปตั้งรักษาด่านทางที่ตำบลเปี่ยมประลายมาศ ๒. ให้ออกญาเสนานุชิต เป็นแม่กอง กับไพร่พล ยกไปตั้งรักษาด่านทางที่ตำบลเปี่ยมแสน ๓. ให้ออกญาบวรนายก สัวะซ์ เป็นแม่กอง กับไพร่พล ยกไปตั้งรักษาด่านทางที่ตำบลกำปงฉนัง ๔. ให้ออกญาเทพวรชุน เหียบ เป็นแม่กอง กับไพร่พล ยกไปตั้งรักษาด่านทางที่ตำบลแม่น้ำปักกันเตล
รวมทั้ง ๔ กองนี้ให้ระวังรักษาเหตุการณ์เพื่อป้องกันบ้านเมืองโดยกวดขันฯ”
* ความตรงนี้พ้องกันกับพระราชพงศาวดารของไทยคือ กองทัพญวนที่มาตั้งอยู่ ณ เกาะจีนนั้น เห็นว่าบ้านเมืองสงบปราศจากการรบราฆ่าฟันกัน กองทัพญวนจึงอำลาสมเด็จพระอุทัยราชากลับคืนไปยังไซ่ง่อน โดยกองทัพไทยกับญวนก็มิได้ปะทะหรือเจรจาความเมืองใด ๆ ต่อกัน เมื่อกองทัพญวนยกกลับไปแล้ว ความในราชพงษาวดารกัมพูชาได้กล่าวถึงพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่ง ที่เข้ามามีบทบาทในรัชกาลสมเด็จพระอุทัยราชา ดังความต่อไปนี้
“ครั้นถึงข้างขึ้นเดือน ๓ ในปีมเมียโทศกนั้น พระสังฆราชพระธรรมวิปัสนา นิมนต์มาจากนครวัด มาถวายพระพรเยี่ยมเยียนสมเด็จพระอุไทยราชา พระอุไทยราชาทรงพระโสมนัศนับถือรับรองเป็นอันดี ด้วยพระสังฆราชพระธรรมวิปัสนาองค์นี้ เคยเป็นพระราชครูในสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์ เมื่อครั้งทรงพระผนวชอยู่ที่วัดสมอราย ณ กรุงเทพฯ นั้น ได้สั่งสอนพระกรรมฐานแลพระธรรมทั้งหลายถวายแด่พระราชบิดา เหตุดังนั้นพระบาทผู้เป็นเจ้าพร้อมด้วยพระราชมารดาแลพระวงศานุวงศ์ จึงมีความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก ได้นิมนต์พระสังฆราชพระธรรมวิปัสนา ไปบำเพ็ญพระราชกุศลบนเขาพระราชทรัพย์ เสร็จแล้วพระบาทผู้เป็นเจ้ากับสมเด็จพระอนุชาทั้ง ๓ พระองค์ได้ทรงพระผนวช ในสำนักพระสังฆราชพระธรรมวิปัสนาเป็นประธาน แลได้ทรงศึกษาพระธรรมกรรมฐานจากพระสังฆราชพระธรรมวิปัสนา ด้วยฯ”
* * สมเด็จพระสังฆราชพระธรรมวิปัสสนา นัยว่าเป็นคนไทยบวชอยู่ประจำ ณ วัดสมอราย (ราชาธิวาส) กรุงเทพฯ ไม่ปรากฏนามสมณะศักดิ์นี้ในทำเนียบพระสมณะศักดิ์สงฆ์ไทยในขณะอยู่ที่วัดสมอราย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงชุบเลี้ยงนักองค์เอง โอรสสมเด็จพระนารายณ์ราชาเป็นบุตรบุญธรรม และเมื่อมีพระชนม์ได้ ๒๒ พรรษาทรงจัดการอุปสมบทให้พำนักอยู่วัดสมอราย เห็นทีว่า พระธรรมวิปัสสนาคงจะเป็นพระพี่เลี้ยงให้การอบรมสั่งสอนอยู่ตลอดพรรษา ต่อเมื่อนักองค์เองได้เป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชาแล้ว จึงยกย่องเชิดชูพระอาจารย์แห่งตน โดยอาราธนาให้ไปอยู่กัมพูชา แล้วสถาปนาขึ้นเป็นที่สมเด็จพระสังฆราช พำนักอยู่ที่นครวัด ตกมาถึงรัชสมัยสมเด็จพระอุทัยราชาท่านก็ได้รับการเคารพนับถือจากราชวงศ์กัมพูชายิ่งขึ้น พระธรรมวิปัสสนาสังฆราชจากนครวัดมาอยู่บันทายเพชรระยะหนึ่งแล้วถวายพระพรลาไปพำนักอยู่ ณ ยอดเขาสันธุก เพื่อจะสร้างพระพุทธบาทศิลาที่นั้น สมเด็จพระอุทัยราชาจึงตรัสใช้ให้ออกญาพระคลัง นวง ออกญาศรีธิเบศร์ราชาไชย ออกญาอธิกรวงษา อง เจ้าพระยาราชศึก แก้ว รวม ๔ นาย ไปส่งพระธรรมวิปัสสนา เพื่อสร้างรอยพระพุทธบาทศิลา ณ ยอดเขาสันธุก ตามประสงค์ของท่าน
พรุ่งนี้มาดูความในราชพงษาวดารกัมพูชากันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- กำเนิดเขมรโพธิสัตว์ -
อยู่มินานมากนัก “นักองสงวน” คิดทบทวนพฤติกรรมองค์พี่ใหญ่ หันหาญวนเป็นหลักตีจากไทย ตัดสินใจแยกตัวไม่พัวพัน
ไปประทับเมืองดี “โพธิส้ตว์” ครองสมบัติส่วนหนึ่งปักตรึงมั่น พระอุไทยราชาเชษฐานั้น ต้องรีบหันหาญวนให้คุ้มครอง |
อภิปราย ขยายความ.............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน ถึงตอนที่ พระธรรมวิปัสสนาสังฆราชจากนครวัดมาอยู่บันทายเพชรระยะหนึ่ง แล้วถวายพระพรลาไปพำนักอยู่ ณ ยอดเขาสันธุกเพื่อจะสร้างพระพุทธบาทศิลาที่นั้น สมเด็จพระอุทัยราชาจึงตรัสใช้ให้ออกญาพระคลัง นวง ออกญาศรีธิเบศร์ราชาไชย ออกญาอธิกรวงษา อง เจ้าพระยาราชศึก แก้ว รวม ๔ นาย ไปส่งพระธรรมวิปัสสนา เพื่อสร้างรอยพระพุทธบาทศิลา ณ ยอดเขาสันธุก ตามประสงค์ของท่าน วันนี้มามาดูเรื่องราวกันต่อไปครับ
* " ถึงเดือน ๗ ปีมะแม ตรีศก ๑๑๗๓ (พ.ศ.๒๓๕๔) พระสังฆราชพระธรรมวิปัสสนาซึ่งไปสร้างพระพุทธบาทบนยอดเขาสันธุกนั้นก็สร้างเสร็จ ลงรักปิดทองเรียบร้อยแล้วกลับเข้ามาบันทายเพชร เข้าถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระอุทัยราชา สมเด็จพระอุทัยราชาตรัสสั่งให้สร้างกุฎีและศาลาถวายพระสังฆราชและพระภิกษุสงฆ์บริวาร ให้จำพรรษาอยู่ข้างเขาพระราชทรัพย์ สมเด็จพระมหาอุปโยราช (นักองค์สงวน) ทรงพระผนวชจำพรรษาอยู่กับพระสังฆราช พระธรรมวิปัสสนา ส่วนนักองค์ด้วงพระอนุชาองค์เล็กนั้น ได้ไปทรงพระผนวชประทับอยู่กับพระมหาพรหมมุนี นอง ณ วัดจัตุรทิศ
ในเดือน ๑๑ ปีเดียวกันนั้น เกิดมีคนแต่งตนเป็นนักบุญ ตั้งชื่อตัวเองว่า ศิลป์ไชย ตั้งสำนักอยู่เขากระโจล สมเด็จพระอุทัยราชาทรงทราบพฤติกรรมของนักบุญผู้นี้แล้วจึงตรัสใช้ให้ออกญายมราช คง กับนายทัพนายกองยกไปปราบปราม จับได้ตัวศิลป์ไชยแล้วก็ให้ฆ่าเสียในทันที
ครั้นถึงวันออกพรรษา สมเด็จพระอุทัยราชาได้นิมนต์พระมหาสังฆราช นวง ๑ พระสังฆราช บวรสัตถา เรือง ๑ สมเด็จ หิ่ง ๑ และตรัสให้ออกญาพระเสด็จ คำ ๑ ออกญาพระคลัง นวง ๑ ไปประชุมพร้อมกันกับพระสงฆ์ราชาคณะ ณ เขาพระวิหารบนเขาพระราชทรัพย์ แปลคัมภีร์พระวินัยไตรปิฎก ถวายพระสังฆราชพระธรรมวิปัสสนา จากนั้นพระสังฆราชก็ได้ถวายพระพรลาไปสร้างพระวิหารที่พระพุทธบาทบนเขาสันธุก
ปีจุลศักราช ๑๑๗๓ (พ.ศ.๒๓๕๔) สมเด็จพระมหาอุปโยราช (นักองสงวน) เสด็จทรงหลีกพระองค์ออกจากบันทายเพชรไปในเวลากลางคืน วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ โดยมีออกญาสวรรคโลกเจ้าเมืองโพธิสัตว์ กับออกญาเบ็ง ออกญามาศ ออกญานพ และราษฎรเมืองโพธิสัตว์มารับ แห่เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ สมเด็จพระอุทัยราชาจึงได้นิมนต์พระมหาสังฆราช และพระราชาคณะให้ติดตามไปเชิญสมเด็จพระมหาอุปโยราช ขอให้เสด็จกลับคืนมาบันทายเพชร สมเด็จพระมหาอุปโยราชก็หาทรงยอมเสด็จกลับคืนไม่
ต่อมาสมเด็จพระอุทัยราชาได้ตรัสใช้ให้ ออกญาสวรรคโลก มก ออกญาธิราชวงษา แก้ว ออกญาราชอิศวร เทียน เจ้าพระยามนตรีอนุชิต รวม ๔ นาย ไปทูลเชิญสมเด็จพระมหาอุปโยราชให้เสด็จกลับคืนพระนคร ก็หายอมรับที่จะเสด็จกลับคืนไม่ ซ้ำยังกักตัวขุนนางทั้ง ๔ นายนั้นให้อยู่ที่เมืองโพธิสัตว์เสียด้วย เมื่อเป็นดังนั้น สมเด็จพระอุทัยราชาจึงใช้ให้ออกญาบวรราชไปทูลพระเจ้าเวียดนาม เจ้าเมืองญวน ขอกำลังจากญวนมาช่วยรักษาพระองค์ เจ้าเมืองญวนจึงให้องเดืองเผ็ญนำพลญวน ๕,๐๐๐ กับเรือรบชนิดแง่โอ แง่สาย แง่ลาย มาจอดอยู่ที่เกาะจีน เพื่อรักษาองค์สมเด็จพระอุทัยราชา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระเจ้าแผ่นดินสยาม ณ กรุงเทพมหานคร โปรดเกล้าฯ ให้ออกญายมราช ควน ออกมาช่วยทำงานปลงพระศพสมเด็จพระองค์แก้ว (ด้วง) ผู้ประชวรสิ้นพระชนม์ด้วยพระชนม์ ๘๒ ปี เมื่อเดือน ๑ ปี มะแม จุลศักราช ๑๑๗๓ (พ.ศ. ๒๓๕๔) ออกญายมราช ควน ครั้นมาถึงเมืองโพธิสัตว์แล้วก็ได้พบกับสมเด็จพระอุปโยราช แต่ไม่มีรายงานว่าได้ปรึกษาข้อราชการในเรื่องใดบ้าง
หลังจากนั้น สมเด็จพระมหาอุปโยราชได้มีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระอุทัยราชา ขอหัวเมืองไปขึ้นกับพระองค์ คือ เมืองกรอกัว ๑ เมืองกรวง ๑ เมืองขลุง ๑ รวม ๓ เมือง ขอให้อยู่ในปกครองของสมเด็จพระมหาอุปโยราชต่อไป
* * ท่านผู้อ่านครับ นักองค์สงวนหรือสมเด็จพระมหาอุปโยราช พระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกันกับสมเด็จพระอุทัยราชา ไม่พอพระทัยที่พระเชษฐาธิราชไม่เกณฑ์กองทัพไปช่วยรักษาพระนครตามศุภอักษรสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และยังหันไปอิงอาศัยญวนอีกด้วย จึงได้ปลีกตัวออกไปตั้งตนเป็นอิสระอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในบริเวณตอนใต้ของเมืองพระตะบอง คำว่า “เขมรโพธิสัตว์” เห็นจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมเด็จพระอุปโยราช (นักองค์สงวน) เสด็จมาประทับตั้งตนเป็นอิสระจากกัมพูชานี่เอง
ในเวลานั้นเห็นจะเป็นการแบ่งแยกเขมรออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ เขมรกัมพูชากับเขมรโพธิสัตว์ สมเด็จพระอุทัยราชาไม่กล้าที่จะทำอะไรรุนแรงกับสมเด็จพระอุปโยราช จึงทรงตรัสสั่งให้เสนาบดีไปทูลเชิญให้พระอนุชากลับกรุงกัมพูชา เพื่อแสดงภาพความกลมเกลียวกันในพระราชวงศ์ แต่สมเด็จพระอุปโยราชก็ไม่ยอมกลับ แม้จะให้พระสังฆราชพระราชาคณะไปเชิญให้กลับก็ไม่ยอมกลับ และยังได้มีหนังสือทูลสมเด็จพระอุทัยราชาขอหัวเมืองเข้าไว้ในปกครองของพระองค์อีก ๓ เมืองด้วย
ดังนั้น สมเด็จพระอุทัยราชาคงเห็นท่าจะไม่ปลอดภัย ด้วยเกรงว่าสมเด็จพระอุปโยราชจะไปเข้ากับกรุงสยามแล้วขอกำลังจากกรุงเทพมหานครเข้ายึดกรุงกัมพูชา จึงมีหนังสือไปขอให้พระเจ้าเวียดนามยกกองทัพลงมาช่วยปกป้องพระองค์ ยาลองหรือองเชียงสือนั้นอาจจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับกรุงสยามเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผู้มีพระคุณได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว เมื่อได้รับหนังสือขอความช่วยเหลือจากพระอุทัยราชาจึงได้จัดส่งกองทัพเคลื่อนพลลงมาประจำการอยู่ ณ เกาะจีน เพื่อปกป้องกัมพูชาตามคำขอของสมเด็จพระอุทัยราชา
ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ไทยจะต้องรบกับเขมร-ญวน แทนที่จะรบกับพม่า เรื่องราวจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ไทย เขมร ญวน เตรียมรบ -
พระเจ้ากรุงสยามทราบความชัด จึงดำรัสให้เอาเจ้าทั้งสอง เลิกขัดแย้งโกรธกันหันปรองดอง เป็นพี่น้องร่วมรักสามัคคี
จะปราศรัยไกล่เกลี่ยเสียแรงเปล่า เห็นควรเอาทัพใหญ่ไปถึงที่ ขมขู่ให้เชื่อฟังอยู่อย่างดี ดำรัสนี้ผลนั้นประการใด |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับตัวเขียนของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) มาให้ทุกท่านอ่านกัน ถึงตอนที่นักองค์สงวนหรือพระอุปโยราช ไม่พอพระทัยในสมเด็จพระอุทัยราชา จึงทรงปลีกตนจากราชสำนักกัมพูชาไปประทับตั้งตนเป็นอิสระอยู่ ณ เมืองโพธิสัตว์ สมเด็จพระอุทัยราชาเห็นท่าไม่ดีจึงมีหนังสือไปขอความคุ้มครองจากพระเจ้าเวียดนาม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ดูความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ และ กรุงกัมพูชา ฉบับเดิมต่อไป
“กล่าวทางฝ่ายกรุงสยามนั้น พระยาอภัยภูเบศร์ผู้รักษาเมืองพระตะบอง ได้รับรู้เรื่องราวที่นักองค์สงวนแยกตัวออกจากนักองค์จันทร์ ไปอยู่เมืองโปริสาท(โพธิสัตว์) จึงกราบทูลเรื่องราวให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “พี่น้องวิวาทกันใหญ่โตจนถึงฆ่าขุนนางผู้ใหญ่ แล้วองค์สงวนหนีมาตั้งอยู่เมืองโปริสาท จะมีแต่ศุภอักษรไปว่ากล่าวให้สมักสมานดีกันเปนปรกตินั้นเห็นจะไม่ได้ จะต้องให้มีกองทัพออกไปด้วยจึ่งจะได้เปนที่ยำเกรง” ดำรัสดังนั้นแล้วจึงโปรดให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) คุมกองทัพไปสมทบกับทัพพระยาพิชัยรณฤทธิ์ พระยาราชรองเมือง ซึ่งไปตั้งอยู่ที่เมืองพระตะบองก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกันนั้นก็ให้เชิญศุภอักษรออกไปพูดจากไกล่เกลี่ยให้พี่น้องร่วมสามัคคีกัน เจ้าพระยายมราชยกทัพเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครในเดือน ๔ ปีมะแม ไปถึงเมืองพระตะบองในต้นปีวอกจุลศักราช ๑๑๗๔
ฝ่ายพระยาอภัยภูเบศรผู้รักษาการเมืองพระตะบองได้ทราบว่า สมเด็จพระอุทัยราชาสั่งให้กองทัพมาคอยจับสมเด็จพระอุปโยราชอยู่หลายทาง จึงให้พระยาโกษา พระวิเศษ พระยาสุนทรเขมร คุมคนลงไปเมืองโพธิสัตว์ (โปริสาท) คอยห้ามปรามอยู่ เมื่อเจ้าพระยายมราชยกไปถึงเมืองพระตะบองแล้วได้ทราบความจากพระยาอภัยภูเบศรดังนั้น ก็รีบยกทัพลงไปเมืองโพธิสัตว์ทันที ทราบว่าสมเด็จพระอุทัยราชาได้ให้พระยาพิษณุโลก พระยาเอกราช พระยาเพชรเดโช เจ้าเมืองลาศปะเอีย (ลาตปเอือย-ลาดปเอือย) ยกกองทัพมาตั้งอยู่ตำบลระวิฉนากทัพหนึ่ง เรื่องราวตรงนี้ความในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชากล่าวว่า
“ครั้นต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๒) กรุงเทพฯ ได้ตรัสให้พระยายมราชเปนแม่ทัพใหญ่ กับพระยาราชรองเมือง พระยาไผทนา พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยาสุรสงคราม ยกพล ๕,๐๐๐ มาทางเมืองพระตะบอง กับตรัสใช้ให้พระยาพหลเทพ พร้อมด้วยนายทัพนายกองแลไพร่พลยกมาทางเมืองสตึงแตรง
เมื่อสมเด็จพระอุปโยราชได้ทรงทราบว่า กองทัพไทยได้ยกมาเปนอันมากดังนั้น ก็ทรงทำหนังสือส่งมากราบทูลสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ ขอเมืองบริบูรณ์เป็นเมืองขึ้นอีก
ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ ครั้นทรงทราบว่ากองทัพไทยยกมาเปนอันมากดังนั้น พระองค์จึงจัดส่งกำลังไปรักษาด่านทางเพื่อป้องกันบ้านเมือง คือ
๑. ตรัสใช้ให้ออกญายมราช คง กับไพร่พล ๑,๐๐๐ ยกไปตั้งรักษาด่านทางที่ตำบลระเวงไม้ฉัตร ในเขตแขวงเมืองละเวียผะเอีย
๒. ตรัสใช้ให้ออกญาโยธาสงคราม มา ออกญามนตรีเสน่หา เมียน แลออกญานราธิบดี ไชย รวม ๓ นาย พร้อมกับไพร่พลยกไปตั้งรักษาด่านทางที่เมืองกำปงฉนัง รวมกับออกยาบวรนายก สัวะซ์
๓. ตรัสใช้ให้ออกญาธรรมเดโช เมียน เปนแม่กองใหญ่ ตรวจตราระวังรักษาทางลำน้ำ
ฝ่ายสมเด็จพระมหาอุปโยราช ได้ตรัสใช้ให้ออกญาอธิกรวงษา กุย ไปยุยงราษฎรให้ก่อการกำเริบขึ้นที่เมืองพนมเปญ สมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์จึงตรัสใช้ให้ตวนพอ กับออกยาจักรี บัด ยกทัพไปปราบปรามราษฎรที่ก่อการวุ่นวายในเมืองพนมเปญ
ฝ่ายองเดืองติญผอเส็ง ได้ใช้ให้องบัญกวานไปเมืองพระตะบอง ครั้นองบัญกวานกลับจากเมืองพระตะบองมาถึงเมืองโพธิสัตว์ สมเด็จพระมหาอุปโยราชก็ทรงกักเอาตัวองบัญกวานไว้
ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ ได้เสด็จลงจากพระราชมณเฑียรมาประทับอยู่ที่ท่าโพธิเล็ก (กำปงโพธิโตจ)
* ท่านผู้อ่านครับ ชื่อเมืองชื่อตำบลในพงศาวดารไทยกับเขมรมักจะออกเสียงไม่ตรงกัน เช่นเมือง “ลาศปะเอีย” ที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวถึงนั้น ฉบับคุรุสภาออกชื่อว่า “ลาตปเอือย” สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯออกชื่อว่า “ลาดปเอือย” ซึ่งก็น่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับที่กล่าวในพงศาวดารกัมพูชาที่ว่า “เมืองละเวียผะเอีย” และเป็นที่แน่นอนว่า “เมืองโปริสาท” ชื่อที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เรียกนั้น คือ “เมืองโพธิสัตว์” ในปัจจุบันนี้เอง
นักองค์สงวน หรือ สมเด็จพระอุปโยราช ปลีกพระองค์จากบันทายเพชรมาประทับเป็นอิสระอยู่ ณ เมืองโพธิสัตว์ สมเด็จพระอุทัยราชาทรงใช้ให้ขุนนางผู้ใหญ่มาทูลเชิญให้เสด็จกลับก็ไม่กลับ มิหนำซ้ำยังกักตัวขุนนางเหล่านั้นไว้เสียอีก และล่าสุด ขุนนางญวนชื่อ องบัญกวาน ที่องเดืองติญผอเส็งใช้ให้ไปเมืองพระตะบอง มาถึงเมืองโพธิสัตว์ก็ถูกสมเด็จพระอุปโยราชกักตัวไว้ด้วย เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สมเด็จพระอุทัยราชาก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ความในพงศาวดารกรุงกัมพูชาได้บันทึกไว้ต่อไปอีกว่า
“ลุวันอาทิตย์แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีมแม ตรีศก ๑๑๗๓ (พ.ศ. ๒๓๕๔) เจ้าพระยามนตรเสน่หา ศุข เข้ามากราบทูลสมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ ว่า ออกญายมราช ควน ๑ ออกญาจักรี เชษฐ ๑ พระยาไผทนา ๑ ออกญาวงษาธิราช แก้ว ๑ ยกพล ๑,๐๐๐ มาทางน้ำ และพระยายมราช ๑ พระยาราชรองเมือง ๑ พระวิเศษสุนทร ๑ ออกญาสวรรคโลก ๑ ยกพลมาทางบก พร้อมกับสมเด็จพระมหาอุปโยราช”
** วันนี้ให้อ่านความยาวมากแล้ว ต้องขอยกความไปวางให้อ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกฝีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- อุไทยราชาหนีไปพึ่งญวน -
ทัพพระยายมราชฉกาจกล้า พระอุไทยราชาแสนหวั่นไหว มิกล้าอยู่สู้หน้ารีบคลาไคล หลบหนีไปพึ่งญวนอยู่เดียวดาย |
อภิปราย ขยายความ...............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯมาให้อ่านกัน ถึงตอนที่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยตรัสให้พระยายมราช (น้อย) คุมกองทัพไปพระตะบอง เพื่อระงับข้อพิพาทขัดแย้งระหว่างพระอุทัยราชากับพระอุปโยราช ให้เกิดความปรองดองอย่างพี่น้องกัน แต่พระอุไทยราชาเกิดความเกรงกลัว จึงตั้งกองกำลังรักษาเมืองพร้อมกับขอให้พระเจ้าเวียดนาม ยาลอง ยกกองทัพมาช่วยคุ้มครอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป อ่านความในราชพงศาวดารกัมพูชาต่อนะครับ
* “ลุ ณ วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) สมเด็จพระอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ เสด็จลงสู่เรือพระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระไอยกี นักองค์เม็ญ สมเด็จพระท้าวซึ่งเปนพระมารดา กับบรรดามุขมนตรีซึ่งเปนข้าในพระองค์ ได้พากันลงเรือเพื่อตามเสด็จเสร็จแล้ว องเดืองผอเส็งก็ให้โยงเรือพระที่นั่งออกจากท่าหลวงเมืองบันทายเพ็ชร ไปได้ ๔ วัน ถึงตำบลคลองปักเปรียด (คลองบางเชือกหนัง) ให้จอดเรือพระที่นั้นพักอยู่ที่นั้น แล้วองลิวกิญซึ่งเปนใหญ่อยู่ที่เมืองไซ่ง่อน ได้จัดให้องผอไวถือหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระอุไทยราชา ขออัญเชิญเสด็จให้เสด็จเข้าไปประทับอยู่ที่เมืองบัญแง องลิวกิญได้สั่งให้ปลูกพระตำหนักถวายให้เสด็จประทับ แลปลูกเรือนให้ขุนนางที่ตามเสด็จนั้นอยู่ที่เมืองบัญแงทุกคน แล้วองลิวกิญได้ถวายอีแปะ ๑,๐๐๐ พวง กับข้าวสาร ๑,๐๐๐ ถัง เพื่อจะได้จ่ายให้ข้าราชการที่ตามเสด็จด้วย
ในครั้งนั้น องเดืองเพ็ญเล็ง กับ องทุงงวน พาญวนเขตเมืองพระตะพัง ยกเปนกองทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองละเวียแอม (เขตรเมืองเขมร) ได้ปะทะกับทัพไทยที่ตำบลจรวยจังวา แล้วได้ใช้ให้องเดืองเพ็ญจัน ยกไพร่พลไปตั้งอยู่ที่เปี่ยมเมียดจรูก คอยฟังข้อราชการ
ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชา ซึ่งประทับพักอยู่ที่เมืองบัญแงนั้น ได้ตรัสใช้ให้ ๑. ออกญาบวรราช อุก ๒. ออกญาพหลเทพ ขวัญ ๓. ตวนพอ ซึ่งเป็นที่พระพุฒ รวม ๓ นายเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเวียดนามเจ้าเมืองญวน ณ กรุงเว้ กราบทูลเรื่องราชการเมืองเขมรซึ่งเกิดการวุ่นวาย
เมื่อพระเจ้าเวียดนามทรงทราบแล้ว รับสั่งว่า จะทรงช่วยทำนุบำรุงอย่าได้มีความวิตกเปนทุกข์เลย ท่านออกญาทั้ง ๒ กับตวนพอก็กราบถวายบังคมลาพระเจ้าเวียดนาม นำข้อความกลับคืนมากราบทูลสมเด็จพระอุไทยราชาให้ทรงทราบข้อความทุกประการ
ลุเดือน ๙ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ.๒๓๕๕) พระเจ้าเวียดนามตรัสใช้ให้องเหียบกิญ นำทองแลเงินกับผ้าแพรพร้อมด้วยอีแปะ ๕,๐๐๐ พวง มาถวายสมเด็จพระอุไทยราชากับนักองค์เม็ญ ซึ่งเปนสมเด็จพระไอยกี แลนักนางโอดซึ่งเปนสมเด็จพระมารดา กับพระราชทานให้บรรดาขุนนางกับไพร่พลที่ตามเสด็จ ได้รับพระราชทานโดยทั่วทุกคน”
* ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ให้รายละเอียดตอนนี้ไว้ว่า เมื่อเจ้าพระยายมราชทราบว่า สมเด็จพระอุทัยราชาจัดกำลังพลมาตั้งรักษาด่านทางดังนั้น ก็คิดว่า หากจะยกทัพลงไปเมืองบันทายเพชรเลยทีเดียวก็เกรงว่า สมเด็จพระอุทัยราชาไม่ทันได้รู้เหตุผลหนักเบาแล้วจะตื่นตกใจหนีไป จึงให้พระยาสีหราชรองเมืองมีหนังสือแจ้งความไปถึงสมเด็จพระอุทัยราชาให้รู้เรื่องราวรายละเอียดก่อน
สมเด็จพระอุทัยราชาได้รับหนังสือแล้วก็นิ่งเสียหาได้ตอบไม่ เจ้าพระยายมราชรอคอยอยู่นานเห็นเรื่องเงียบหายไป จึงแต่งให้พระภักดีนุชิตปลัดแทน เชิญศุภอักษรลงไปแจ้งอีกครั้งหนึ่ง ครั้นพระภักดีนุชิตเชิญศุภอักษรไปถึงตำบลระวิฉนาก พระยายมราชเขมร พระยาพิษณุโลก พระยาเพชรเดโช ที่สมเด็จพระอุทัยราชาให้คุมทัพมาตั้งอยู่นั้น ก็คุมตัวพระภักดีนุชิตและข้าหลวงผู้เชิญศุภอักษรนั้น แล้วบอกความลงไปกราบทูลสมเด็จพระอุทัยราชา สมเด็จพระอุทัยราชาให้พระยาเขมรไล่พระภักดีนุชิตและข้าหลวงเสียโดยมิได้รับศุภอักษรไว้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าพระยายมราชจึงพานักองค์สงวนหรือสมเด็จพระอุปโยราชยกทัพบกลงมา เมื่อถึงตำบลระวิฉนากก็พบเห็นแต่ค่ายเปล่า เพราะเขมรพากันยกหนีไปแล้ว
พระยาสุรสงครามซึ่งคุมทัพเรือเสบียงมาถึงตำบลกำปงชนัง พบกองเรือพระยาธรรมเดโช พระยาโยธาสงคราม พระยามนตรีเสน่หา ทั้ง ๓ พระยาเขมรก็เอาปืนใหญ่ตั้งหน้าเรือยิงใส่กองเรือพระยาสุรสงคราม พระยาสุรสงครามมิได้ยิงโต้ตอบ หากแต่รีบรุดลงไป เมื่อเรือใกล้กันแล้วพระยาเขมรทั้ง ๓ ก็ล่าถอยหนีไป
พระยาธรรมเดโชให้พระยามนตรีสงคราม ลงเรือเร็วรีบไปทูลสมเด็จพระอุทัยราชาว่า กองทัพเจ้าพระยายมราชมาทางบกทางเรือมีกำลังพลมากหนักเหลือที่จะสู้รบได้ สมเด็จพระอุทัยราชาทราบดังนั้นก็รวบรวมสิ่งของอพยพครอบครัวลงเรือหนีออกจากเมืองบันทายเพชรเมื่อวันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ไปพักอยู่ที่เมืองพนมเปญ
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง นักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง ซึ่งไปในเรืออีกลำหนึ่งก็ปรึกษากันว่า เราจะไปด้วยพระอุทัยราชาผู้พี่ก็จะพลอยเป็นขบถไปด้วย เมื่อไปพึ่งพาอาศัยญวน ต่อไปภายหน้าถ้าญวนกักเราไว้ ไม่ปล่อยคืนมาก็จะไปตายอยู่เมืองญวน ถ้าเราหนีขึ้นบกไปอยู่ด้วยองค์สงวนจะดีกว่า เมื่อเหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้วก็คงจะได้กลับมาอยู่บ้านเมืองของเรา ครั้นปรึกษาเห็นพ้องกันแล้ว ในเวลากลางคืนนั้น ก็พาสมัครพรรคพวกหนีขึ้นบกไป รุ่งขึ้นสมเด็จพระอุทัยราชาทราบความแล้วให้คนรีบติดตามไปก็ไม่ทัน
ฝ่ายพระยาสุรสงครามมาถึงโพโตกแล้วได้ทราบจากเขมรว่า สมเด็จพระอุทัยราชาพาครอบครัวลงเรือหนีไปทางพนมเปญ จะรีบไปห้ามก็ไม่ทัน พบแต่เรือครอบครัวชาวเขมรสับสนวุ่นวายอยู่ จึงไล่ต้อนให้กลับขึ้นมาอยู่บ้านเรือนของตนตามเดิม
เจ้าพระยายมราชมาถึงบันทายเพชรทราบว่าสมเด็จพระอุทัยราชาพาครอบครัวหนีไปถึงเมืองไซ่ง่อนตั้งแต่วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้ว จึงให้มีหนังสือไปถึงองต๋ากุนฉบับหนึ่ง ถึงพระอุทัยราชาฉบับหนึ่ง แต่ก็ไม่มีคำตอบมาแต่ประการใด จึงรั้งรอคอยฟังราชการอยู่ ณ ที่นั้น
ฝ่ายนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง ทราบว่าเจ้าพระยายมราชกับองค์สงวนมาตั้งอยู่ ณ บันทายเพชร ก็มาอยู่ด้วย แล้วเจ้าพระยายมราชก็บอกข้อราชการเข้ามา ณ กรุงเทพมหานคร
* * ท่านผู้อ่านครับเรื่องยุ่งยากทางเขมรยังไม่จบ วันรุ่งพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ญวนส่งเจ้าเขมรกลับกัมพูชา -
“ยาลอง”สั่งส่งอุทัยราชากลับ หลังจากรับราชสาส์นไทยถวาย ความตึงเครียดกัมพูชามีมากมาย เหตุการณ์เริ่มคลี่คลายในทางดี |
อภิปราย ขยายความ...........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับตัวเขียนของ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ถึงตอนที่สมเด็จพระอุทัยราชาอพยพครอบครัวหนีกัมพูชาไปอยู่ไซ่ง่อน เพราะเกรงกลัวกองทัพสยามที่เจ้าพระยายมราชยกไปเพื่อไกล่เกลี่ยให้พี่น้องสามัคคีกันตามพระราชดำริของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งก็เป็นความเข้าใจผิดของสมเด็จพระอุทัยราชา และเป็นเหตุให้นักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง ปลีกพระองค์จากสมเด็จพระอุทัยราชาไปอยู่กับนักองค์สงวนหรือสมเด็จพระอุปโยราช และเจ้าพระยายมราชแม่ทัพใหญ่จากกรุงเทพมหานคร ณ เมืองพระตะบอง-โพธิสัตว์
เจ้าพระยายมราชมีหนังสือไปถึงองต๋ากุนผู้รักษาเมืองไซ่ง่อน และสมเด็จพระอุทัยราชา ทั้งสองท่านนั้นก็มิได้ตอบมาแต่ประการใด เจ้าพระยายมราชและสมเด็จพระอุโปยราช ก็รอคอยรับคำตอบ อยู่ ณ เมืองบันทายเพชร วันนี้มาดูเรื่องราวในพงษาวดารกรุงกัมพูชาและพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ต่อไปครับ
* “ลุ ณ วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) สมเด็จพระมหาอุปโยราช กับพระองค์ด้วง ซึ่งเป็นพระอนุชาองค์สุดท้อง ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ณ กรุงเทพมหานคร เอาไว้แต่แม่ทัพไทย แม่ทัพเขมร กับไพร่พลอยู่รักษาเมืองบันทายเพชร
ลุ ณ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) พระเจ้าเวียดนามตรัสใช้ให้ขุนนางญวนชื่อ องต๋ากุน เปนแม่ทัพออกจากกรุงเว้มาที่เมืองไซ่ง่อน ให้จัดการต่อเรือสำเภา เรือแง่สาย แง่ลาย แลเกณฑ์ไพร่พลญวนไว้สำรอง สำหรับในการที่จะส่งสมเด็จพระอุไทยราชา ให้เสด็จกลับคืนไปทรงราชย์ยังเมืองเขมรตามเดิม
ในปีวอกจัตวาศก ๑๑๗๔(พ.ศ.๒๓๕๕) ออกญาสวรรคโลก เอก ให้หมอช้างซึ่งอยู่ที่เมืองโพธิสัตว คล้องได้ช้างเผือกผู้ เชือกหนึ่ง ประกอบด้วยลักษณอันงาม จึงนำเข้าไปถวายสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ณ กรุงเทพฯ
ลุ ณ วันแรม ๕ ค่ำ เดือยยี่ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) พระเจ้าเวียดนามตรัสใช้ให้ขุนนางญวนนำอีแปะ ๑,๐๐๐ พวง มาพระราชทานบรรดาขุนนางแลไพร่พลที่ตามเสด็จสมเด็จพระอุไทยราชา ได้รับพระราชทานทั่วทุกคน แลถวายเงินสมเด็จพระไอยกีนักองค์เม็ญเงิน ๒๐ แน่น ถวายเงินสมเด็จพระมารดา เงิน ๒๐ แน่น (แน่น ๑ น้ำหนักราว ๒๕ บาท)
ลุ ณ เดือน ๓ ปีวอกจัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยตรัสใช้ให้พระยามหาอำมาตย์ นำหนังสือรับสั่งไปทูลพระเจ้าเวียดนาม กล่าวถึงข้อราชการเมืองเขมร
ลุ ณ วันศุกร์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) พระเจ้าเวียดนามมีหนังสือรับสั่งฉบับ ๑ ถึงองต๋ากุนมีข้อความว่า ให้จัดการส่งสมเด็จพระอุไทยราชากลับคืนยังเมืองบันทายเพ็ชร แล้วให้จ่ายเงิน ๓๕๗ แน่น กับเข้าเปลือก ๒,๐๐๐ ถัง กับอีแปะ ๕,๐๐๐ พวงถวายแต่สมเด็จพระอุไทยราชา จะได้ทรงแจกจ่ายให้แก่บรรดาขุนนางแลไพร่พลที่ตามเสด็จ”
* ท่านผู้อ่านครับ อ่านเรื่องในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาและพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ มาถึงตรงนี้แล้วเห็นได้ชัดเลยว่า นักองค์จันทร์คือสมเด็จพระอุทัยราชา ทรงขลาดหวาดระแวงพระเจ้ากรุงสยามมาแต่ต้น สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสถาปนานักองค์อิ่ม และ นักองค์ด้วง พระราชอนุชานักองค์จันทร์ เป็นสมเด็จพระอุปโยราชและสมเด็จพระมหาอุปราช ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ช่วยบริหารราชการบ้านเมืองตามพระราชประเพณี สมเด็จพระอุทัยราชาก็ไม่พอพระทัย ด้วยระแวงว่าจะเป็นการทอนพระราชอำนาจของพระองค์ ครั้นทรงขัดแย้งกันกับสมเด็จพระอุปโยราช จนถึงการแยกปกครองบ้านเมืองเป็น เขมรโพธิสัตว์ – เขมรกัมพูชา
พระบาทสมเด็จพระพุทธ้เลิศหล้านภาลัยทรงให้เจ้าพระยายมราชไปไกล่เกลี่ย ก็เข้าใจว่าจะไปยึดอำนาจของพระองค์จนต้องอพยพครอบครัวไปพึ่งพระเจ้าเวียดนาม
ในปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่เคยมีพระทัยประทุษร้ายสมเด็จพระอุทัยราชามาก่อน จึงมีหนังสือไปทูลพระเจ้าเวียดนาม กล่าวถึงข้อราชการในเมืองเขมร แต่ในราชพงษาดารกรุงกัมพูชาไม่ได้ให้รายละเอียดว่า กล่าวถึงข้อราชการด้วยเรื่องอะไร แต่ก็พอจะสันนิษฐานได้ ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คงจะขอให้พระเจ้าเวียดนามทรงส่งสมเด็จพระอุทัยราชากลับไปครองกัมพูชาตามเดิม เพราะหลังจากนั้น พระเจ้าเวียดนามก็ได้สั่งให้ องต๋ากุน ผู้รักษาเมืองไซ่ง่อน จัดขบวนเรือส่งเสด็จสมเด็จพระอุทัยราชากลับกรุงกัมพูชา
ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ นั้น เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ให้รายละเอียดไว้อย่างไร พรุ่งนี้จะนำมาให้อ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ญวนข่มขวัญไทยเอาใจเขมร -
ญวนขย่มข่มไทยให้ยอมรับ องจันทร์กลับขึ้นนั่งบัลลังก์ศรี องต๋ากุนมารยาเอื้ออารี ผูกไมตรีเขมรแน่นแผนแนบเนียน |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพงศาวดารกัมพูชามาให้ท่านได้อ่านกัน ถึงตอนที่ญวนจัดการส่งพระอุทัยราชากลับคืนกรุงกัมพูชา ซึ่งไม่มีรายละเอียดของเรื่องราวที่ชัดเจน แต่ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับตัวเขียนของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มีรายละเอียดของเรื่องมากกว่า จะนำมาให้อ่านกันดังต่อไปนี้
* “……. ด้วยความในพระราชสาสนก็เล่าความตามเรื่องที่พี่น้องวิวาทกันขึ้น โปรดให้เจ้าพระยายมราชออกไประงับจะให้ตีกัน พระอุไทยราชาก็หนีเสีย ศุภอักษรที่มีไปก็ไม่รับ กลับไล่ส่งผู้ถือหนังสือเสีย พระอุไทยราชาจันนี้ก็ได้ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงมาแต่ยังเยาว์อยู่ ไม่รู้จักพระเดชพระคุณ มิได้เข้าเฝ้าเคารพพระบรมศพแลแผ่นดินใหม่”
ขุนอนุรักษภูธรผู้เชิญพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้าเวียดนาม เดินทางไปเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือนแปดแรก ปีวอก จัตวาศก ๑๑๗๔ (พ.ศ. ๒๓๕๕) พระเจ้าเวียดนามรับและทราบความในพระราชสาส์นแล้วก็ตอบโดยมีใจความว่า
“เจ้าเมืองไซ่ง่อนมีหนังสือบอกขึ้นไปถึงกรุงเวียดนามว่า พระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาให้ยกกองทัพใหญ่ไปตั้งอยู่แดนพนมเปญ เจ้าเมืองเขมรตกใจกลัวจึงหนีไปอยู่เมืองไซ่ง่อน กองทัพตั้งแต่ไปอยู่เมืองเขมร เบียดเบียนริบราชรบาทว์ไพร่พลเมืองเขมรได้ความเดือดร้อนนัก จนชั้นแต่ระเนียดค่ายวังของพระอุไทยราชาก็รื้อเอาไปทำฟืนเสีย พระเจ้ากรุงเวียดนามก็คอยฟังราชสาส์นอยู่ จะได้รู้เหตุผลต้นปลาย ก็พอมีพระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเทพมหานครศรีอยุธยาออกไป ในพระราชสาส์นมีความจะแจ้งอยู่ว่า ขอให้พระเจ้ากรุงเวียดนามช่วยดำริอย่าให้เสียประเพณีที่เมืองใหญ่โอบอ้อมเมืองน้อยดังนี้ พระเจ้ากรุงเวียดนามเห็นว่า ทางพระราชไมตรีทั้งสองพระนครจะยืนยาวไปก็เพราะตั้งอยู่ในประเพณีกษัตริย์ซึ่งตั้งอยู่ในสัตยธรรม เหมือนองค์สงวนนั้นเป็นข้าก็ไม่ตรงต่อเจ้า เปนบุตรก็หามีความกตัญญูไม่ เปนน้องก็ไม่อดออม โทษขององค์สงวนนั้นใหญ่นัก คิดอย่างหนึ่งเล่า องค์สงวนก็ยังเยาว์อยู่ ถ้ารู้ว่าตัวผิดรับขอโทษต่อพี่ก็พอจะหายโทษ ถ้าเป็นได้ดังนี้แล้ว เนื้อกับกระดูกจะได้ร่วมกัน กรุงเวียดนามจะได้แต่งให้ขุนนางพาองค์จันกลับเข้ามาเมืองเขมร กรุงพระมหานครศรีอยุธยาจะต้องมีขุนนางผู้ใหญ่ออกไป กรุงเวียดนามจะได้ชี้แจงข้อความพร้อมด้วยขุนนางเมืองญวน เมืองญวนจะได้พาองค์จันคืนไปเมืองเขมร อย่างนี้จึงจะควรกับสองพระนครเปนใหญ่ จำจะปลูกฝังทำนุบำรุงเมืองน้อยขึ้น”
เมื่อได้รับหนังสือตอบจากพระเจ้าเวียดนามมาดังนั้น ก็เห็นได้แน่ชัดว่าฝ่ายญวนต้องการให้นักองค์จันทรครองกัมพูชาต่อไป ฝ่ายไทยจำต้องยอมให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาครองกัมพูชาตามเดิม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งทูตไทยไปญวน โดยให้พระยามหาอำมาตย์เป็นราชทูต พระยาราชโยธาเป็นอุปทูต พระท่องสื่อเป็นตรีทูต คณะราชทูตกราบบังคมลาไป ณ วันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๒
เมื่อไปถึงไซ่ง่อน องต๋ากุนผู้รักษาเมือง ได้แห่พระราชสาส์นแล้วจัดงานเลี้ยงรับรองราชทูต มีการแสดงงิ้วให้ดูด้วย ในงานนั้นมีการช้างแสดงที่ฝึกหัดไว้สำหรับสู้เสือ สู้ไฟ สู้ปืน ช้างนั้นมิได้ตกใจกลัว แต่กลับเข้าแย่งร้านไฟและแทงเสือ เสียงปืนดังสนั่นก็ไม่ถอยหนี และยังได้เอาคนโทษที่ถึงตายมาผูกมัดให้ช้างแทงอวดคณะราชทูต คล้ายจะเป็นการข่มขวัญอยู่ในที
จากนั้นได้ส่งคณะราชทูตขึ้นไปเมืองเว้ เมื่อไปถึงเมืองเว้แล้วก็ให้จัดการต้อนรับในลักษณะเดิม คือให้ดูงิ้วกับการแสดงช้าง และการหัดทหาร ในการแสดงช้างนั้นได้เพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้น ด้วยการเล่นที่สนามนอกกำแพงเมือง ทำเป็นแผงกั้น ๓ ชั้น ห่างกันประมาณ ๓ เส้น หน้าค่ายนั้นปักรูปหุ่นร้านไฟสลับ ๓๘ ร้าน มีคนถือปืนคาบศิลาปลายหอกอยู่ในค่ายนั้นประมาณชั้นละร้อยเศษ มีธงทวนสลับกับปืน มีกลองใหญ่คู่หนึ่ง มีร่มแดงสองคัน มีคนหามองธงเจนั้นอยู่กับกลองทำนองเป็นแม่ทัพ มีธงใหญ่อยู่กับองธงเจนั้น ๕ คัน สีเหลืองคันหนึ่ง สีแดงข้างละ ๒ คัน แล้วจึงตีกลองสัญญา ๓ ที ให้คนขึ้นม้ามาหน้าช้างประมาณ ๓๐ เศษ มีม้าเทศสีขาวสูงประมาณ ๓ ศอกเศษม้าหนึ่ง ห่างต่อมาช้างพลาย ๓๘ ช้าง ผูกห่วงมีธงสักหลาดแดงปักข้างละคัน แล้วก็ไสให้วิ่งเข้าแทงหุ่นหน้าค่าย แล้วเสยร้านไฟ คนถือปืนอยู่ในแผงค่ายก็ยิงปืนจุดพลุ ตีฆ้องกลองม้าฬ่อเสียงโห่อื้ออึง แย่งแทงแผงค่ายล้มกระจัดกระจาย ทำอย่างนั้นถึง ๓ ครั้ง แล้วจึงให้ทูตเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงเวียดนาม ยาลองหรือองเชียงสือพระเจ้ากรุงเวียดนามรับสั่งว่า จะให้องจันไปขึ้นกับกรุงเทพมหานครดังเก่า แล้วจะให้ตัวไปเข้าเฝ้าด้วย ที่ทำผิดมาแต่ก่อนนั้นพระเจ้าเวียดนามจะยกโทษเสียครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงให้องต๋ากุนพร้อมกับพระยามหาอำมาตย์ พระยาราชโยธา พระท่องสื่อ พาองค์จันไปส่งเมืองบันทายเพชร
ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาให้รายละเอียดในครั้งที่สมเด็จพระอุทัยราชากลับเมืองบันทายเพชรไว้ว่า
“ลุศักราช ๑๑๗๕ (พ.ศ.๒๓๕๖) ณ วันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีระกา เบญจศก องต๋ากุนได้จัดกระบวนแห่ ที่จะแห่สมเด็จพระอุไทยราชาเสด็จกลับคืนเมืองเขมร คือ
๑. ได้จัดให้ตวนพอซึ่งเป็นออกญาราชเดชะกับองทุงโพน เป็นผู้บังคับกระบวนที่ ๑ นำพล ๒,๐๐๐ แห่นำมาข้างหน้า ออกจากเมืองบัญแง ณ วันแรม ๑๓ ค่ำ
๒. กระบวนแห่ถัดลงมา ได้จัดให้องติญเหากับองสุรโสร์ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง เป็นผู้บังคับกระบวนที่ ๒ นำพล ๒,๐๐๐ แห่นำมาอีกกระบวนหนึ่ง ออกจากเมืองบัญแง ณ วันแรม ๑๔ ค่ำ
๓. กระบวนแห่ที่ ๓ คือกระบวนหลวง มีองต๋ากุนแลสมเด็จพระอุไทยราชา พร้อมด้วยสมเด็จพระท้าว พระราชมารดา พระสนมกำนัล ราชบริพารมุขมนตรีน้อยใหญ่ ไพร่พลข้าในพระองค์ กระบวนหลวงนี้ออกจากเมืองบัญแง ณ วันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา เบญจศก ๑๑๗๕ (พ.ศ. ๒๓๕๖) ถึงท่าหลวงบันทายเพชร ณ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกานั้น
เมื่อได้เสด็จมาถึงบันทายเพชรแล้ว บรรดาขุนนางไทยเขมรที่อยู่ในเมืองบันทายเพชร ได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ คือ พระยาพิไชยอินทรา พระยาพิพัฒน์โกษา ออกญายมราช ควน ออกญาจักรี เชษฐ พระวิเศษสุนทร กับบรรดาขุนนางเขมรซึ่งยังคงค้างอยู่ที่บันทายเพชรเท่าใดก็ไม่อาจดื้อดึง ได้พากันเข้ามาเฝ้าทุกคน แล้วตรัสใช้ให้ไปไหว้องต๋ากุน ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ด้วย แล้วมุขมนตรีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาเครื่องสาตราวุธปืนใหญ่ปืนเล็กกระสุนดินดำ เสบียงอาหารแลพระราชทรัพย์ที่ยังตกค้างอยู่เท่าใด ก็ทำบาญชีนำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพรพะอุไทยราชาผู้ทรงราชย์ทั้งสิ้น”
* * ท่านผู้อ่านครับ ถึงตอนนี้ก็มองเห็นลายของญวนและเขมรที่แสดงกับไทยแล้วนะครับ ยาลองหรือองเชียงสือกล่าวความในทำนองบีบไทยให้ยอมรับนักองค์จันทร์หรือสมเด็จพระอุทัยราชาให้เป็นเจ้าแผ่นดินกัมพูชาต่อไป ไทยก็จำต้องยอมทำตามข้อเสนอของญวน จากนั้นญวนก็แสดงการข่มขวัญคณะราชทูตไทยต่าง ๆ นานา มีรายงานจากพระยามหาอำมาตย์ว่า องต๋ากุนแสดงอาการโอบอ้อมอารีต่อชาวเขมร เพื่อเรียกคะแนนนิยมในญวนด้วยประการต่าง ๆ เป็นเหตุจูงใจให้เขมรตีจากไทยไปเข้ากับญวนในอนาคต เรื่องราวจะเป็นอย่างไรอีก อ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ปึ้งไทย ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เริ่มไมตรีฝรั่งชาติตะวันตก -
ขอพักเรื่องเขมรญวนไว้ส่วนหนึ่ง จะกล่าวถึงเรื่องฝรั่งทางโล่งเลี่ยน หลายประเทศเขตถิ่นดินแดนเจียน- จะถูกเปลี่ยนเจ้าของครอบครองแล้ว
โปตุเกสเป็นใหญ่ในมาเก๊า ไทยจึงเข้าคบค้าขายแน่แน่ว เริ่มไมตรีสัมพันธ์ผันตามแนว- ทางวี่แววต่างชาติอำนาจอิง |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับตัวเขียนของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มาบอกเล่าเรื่องราวของสมเด็จพระอุทัยราชาแห่งกัมพูชา ที่กระด้างกระเดื่องต่อสยาม หันไปพึงพาอาศัยองเชียงสือ จักรพรรดิยาลองแห่งเวียดนาม สุดท้าย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระราชสาส์นไปถึงยาลอง บอกเล่าเรื่องราวให้ทราบแล้ว ยาลองขอให้สยามยอมรับสมเด็จพระอุทัยราชากลับครองราชย์สมบัติกรุงกัมพูชาตามเดิม จากนั้นญวนกับเขมรก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเกิดเรื่องราวขัดแย้งกับสยามมากมาย ดังจะได้พบเรื่องต่อไปข้างหน้า
วันนี้ขอพักเรื่องราวทางกัมพูชาไว้ก่อน เพราะช่วงเวลารัชสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ฝรั่งชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาสู่เอเชียอาคะเนย์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นเหตุให้ภูมิภาคนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จึงขอนำเรื่องราวการมีไมตรีกับฝรั่งชนชาติตะวันตกกับสยาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค) ได้บันทึกไว้ดังต่อไปนี้
* “ในปลายปีขาล อันเป็นปีที่ ๑๐ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพะพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น โปรดให้แต่งกำปั่นมาลาพระนคร ให้หลวงสุรสาครเป็นนายกำปั่นออกไปค้าขายเมืองมาเก๊า เจ้าเมืองมาเก๊าให้การรับรองเป็นอันดี โดยมีการจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ ทั้งตั้งให้หลวงสุรสาครเป็นกัปตันวิโปด ตามยศอย่างฝรั่งอีกด้วย
ครั้นหลวงสุรสาครเดินทางกลับ เจ้าเมืองมาเก๊าแต่งให้กาลลดมัน แวนด์สินไวร์ เป็นราชทูตคุมเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี กาลลดมันมาด้วยเรือกำปั่นชื่ออิยันเต สองเสา ถึงปากน้ำเจ้าพระยา ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๘๐ ปี จึงโปรดให้นำเรือเข้ามาจอดในลำน้ำเจ้าพระยา ทอดอยู่ที่หน้าบ้านพระยาสุริยวงษ์มนตรี ราชทูตนำหนังสือเจ้าเมืองมาเก๊าเข้ามาถวาย เจ้าพนักงานแปลออกมีความว่า
“ทางพระราชไมตรีกรุงพระมหานครศรีอยุธยา กับกรุงโปรตุคอลเสื่อมสูญไปช้านานแล้ว จึงแต่งให้กาลลดมัน แวนด์สินไวร์ เข้ามากราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสืบต่อทางพระราชไมตรี แลคุมสิ่งของเครื่องมงคลราชบรรณาการเข้ามาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย คือฉากเขียนรูปเจ้าแผ่นดินโปรตุคอลแผ่นหนึ่ง พิณอย่างฝรั่ง เครื่องเงินสำรับหนึ่ง ระย้าแก้วมีโคมคู่หนึ่ง กระจกใหญ่รูปกลมสองแผ่น เชิงเทียนแก้วสำหรับกระจกสองคู่ เชียงเทียนแก้วมีโคมคู่หนึ่ง กระบี่ฝักกะไหล่ทองสองเล่ม สุจนีพื้นกำมะหยี่ริมเลี่ยมเงินมีพรมรองสองผืนอย่างกำปั่นสองลำ แล้วว่าจะต้องพระราชประสงค์สิ่งไรก็ให้สั่งกาลลดออกไป จะได้จัดหาเข้ามาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย”
หนังสือเจ้าเมืองมาเก๊ามีข้อความเป็นหลายประการ เจ้าพนักงานได้กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบแล้ว โปรดให้กาลลดเข้าเฝ้าออกใหญ่ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อกาลลดเข้าเฝ้าแล้ว จึงไปหาพระยาสุริยวงศ์มนตรี แจ้งว่าสินค้าที่บรรทุกเข้ามาจะขอจำหน่ายเสียให้สิ้น แล้วจะขอซื้อน้ำตาลทรายบรรทุกออกไปที่เมืองเกาะหมาก และกาลลดนั้นจะขอขึ้นอยู่บนบกสักชั่วคราวก่อน พระยาสุริยวงศ์มนตรีจึงกราบทูลพระกรุณาทราบแล้ว โปรดให้ตามใจกาลลด กาลลดได้ขึ้นอยู่ที่เรือนหน้าบ้านพระยาสุริยวงศ์มนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินเบี้ยเลี้ยงให้เดือนละ ๒ ชั่ง
ครั้นกาลลดมัน แวนด์สินไวร์ ขายสินค้าเสร็จแล้วก็ซื้อน้ำตาลทรายได้ ๔,๐๐๐หาบ ให้นายกำปั่นออกไปขายที่เมืองเกาะหมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระยาสุริยวงศ์มนตรี แต่งกำปั่นชื่อมาลาพระนคร บรรทุกสินค้าให้หลวงฤทธิสำแดงเป็นนายกำปั่น และถือหนังสือไปถึงเจ้าเมืองมาเก๊า หนังสือนั้นมีใจความว่า
“ในกรุงได้ทำนุบำรุงกาลลดให้มีที่อยู่ แลพระราชทานเงินให้เป็นเบี้ยเลี้ยงเดือนละ ๒ ชั่ง แลได้นำกาลลดเข้าเฝ้าถวายสิ่งของ โปรดให้ลดค่าธรรมเนียมเรือให้กาลลดแล้ว แล้วว่าหลวงฤทธิสำแดงออกมาค้าขายขอให้ช่วยทำนุบำรุงด้วย แล้วว่าจะต้องการปืนคาบศิลาเป็นอันมาก ขอให้เจ้าเมืองมาเก๊าช่วยซื้อปืนคาบศิลาให้หลวงฤทธิสำแดงเข้าไปด้วย”
หลวงฤทธิสำแดงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เจ้าเมืองมาเก๊ามีหนังสือเข้าความใจว่า “เจ้าเมาเก๊าได้ทำนุบำรุงหลวงฤทธิสำแดงเหมือนอย่างหลวงสุรสาครออกไปเที่ยวก่อน แลได้ยกค่าธรรมเนียมเมืองมาเก๊าให้ ต้องเสียแต่ค่าธรรมเนียมปากเรือที่เจ้าปักกิ่งตั้งขุนนางจีนมากำกับเรียกอยู่ แลได้มอบปืนคาบศิลา ๔๐๐ บอกให้หลวงฤทธิสำแดงเข้ามา ราคาบอกละ ๘ เหรียญ แล้วว่าปืนคาบศิลาซึ่งยังค้างอยู่อีกนั้น ยังให้ไปจัดซื้อที่เมืองเบงคอล จะสั่งเข้ามาครั้งหลัง”
** ท่านผู้อ่านครับ เป็นอันได้ความตอนนี้ว่า หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงขึ้นครองราชย์ได้ ๑๐ ปี เป็นยามว่างจากศึกสงคราม พระองค์ทรงดำริทำการค้าขายกับพวกฝรั่ง ชาติแรกที่ทรงติดต่อทางพระราชไมตรีและค้าขายคือ โปรตุเกส ซึ่งในสมัยนั้นฝรั่งชาติโปรตุเกสได้แผ่อิทธิพลเข้ายึดครองเกาะมาเก๊าของจีนไว้ในอำนาจ
ฝรั่งชาติโปรตุเกสนี้เคยมีความสัมพันธ์กับไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโปรตุเกสก็ขาดหายไป แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ท่านผู้อ่านคงสังเกตเห็นแล้วว่า ชื่อคนและสถานที่ในพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ออกเสียงผิดเพี้ยนไป เช่น โปรตุเกส ก็ออกเสียงว่า โปรตุคอล เป็นต้น จากบันทึกนี้ เราได้ทราบชัดว่า แม้เมืองมาเก๊าจะถูกโปรตุเกสยึดครอง แต่จีนซึ่งเป็นเจ้าของเกาะก็ยังมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีปากเรืออยู่ และเป็นภาษีที่ทางโปรดตุเกสไม่อาจก้าวก่ายได้ด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ พรุ่งนี้มาอ่านกันใหม่ครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระเจ้าอังวะสึกพระเป็นทหาร -
กลับกล่าวถึงเรื่องทางพม่าที่น่ารู้ พระเคียนอูให้การน่าขันยิ่ง พระเจ้าอังวะสติคลากไร้หลักอิง บังคับหญิงนุ่งผ้าแว้บแว้บแวมแวม
ให้พระหนุ่มมองดูอยากรู้ลึก พากันสึกมาหมายจะได้แอ้ม จึงถูกเกณฑ์เป็นทหารเหนื่อยงอมแงม ถือเป็นแต้มต่องานการสงคราม |
อภิปราย ขยายความ....................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ มาให้อ่านกันถึงตอนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๒ ทรงมีสัมพันธไมตรีกับฝรั่งชาวโปรตุเกสเป็นชาติแรก ดังความปรากฏแล้วนั้น วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับเดิมกันต่อไปครับ
ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์บันทึกความไว้ในพระราชพงศาวดารต่อไปว่า สมเด็จพระสังฆราช มี ซึ่งสถิต ณ วัดมหาธาตุนั้น ได้สิ้นพระชนม์ลง ณ วันอังคารแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๘๑ อันเป็นปีที่ ๑๑ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีเดียวกัน กาลลดมัน แวนด์สินไรว์ ราชทูตโปรตุเกสก็ได้กราบถวายบังคมลากลับมาเก๊า เจ้าพระยาพระคลังได้มีหนังสือออกไปถึงเจ้าเมืองมาเก๊ามีความว่า
“ได้ช่วยทำนุบำรุงพากาลลดเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมแลถวายเครื่องราชบรรณาการ กับได้นำกาลลดเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานเสื้อผ้าให้แก่กาลลด แล้วยกค่าธรรมเนียมปากเรือกำปั่นให้กาลลดเป็นเงินสามสิบเอ็ดชั่งสามบาทสามสลึง แล้วพระราชทานพริกไทหนักห้าสิบหาบ งาช้างหนักสองหาบ ดีบุกหนักสิบห้าหาบ มอบให้กาลลดออกมาให้เจ้าเมืองมาเก๊าด้วย”
ตามที่สมเด็จพระสังฆราชมี ได้สิ้นพระชนม์ลงเมื่อเดือน ๑๐ ปี เถาะ จุลศักราช ๑๑๘๑ นั้น เจ้าพระยาทิพากรวงศ์บันทึกเรื่องต่อไปว่า ถึงเดือนอ้ายปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง เมื่อทำเมรุเสร็จแล้วก็ชักศพสมเด็จพระสังฆราชเข้าสู่เมรุ มีการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน ถึงวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนอ้าย ก็ได้พระราชทานเพลิง
* ในปี เถาะ จุลศักราช ๑๑๘๑ นั้น สมีเคียนอู หรือเคียนอู่ พระภิกษุชาวพม่า หรือชาวทวาย ได้เดินทางเข้ามาแล้วให้การว่า เจ้าอังวะปะดงถึงแก่ทิวงคตแล้ว เจ้าปะดงหรือปะดุงมีราชบุตรด้วยมเหสี ชื่อจันกาสุริย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอินแซะมหาอุปราช และยังมีราชบุตรชายอีก ๘ พระองค์ ชื่อตะแคงปรอน ตะแคงตองอู มูมิตตะแคง มุปะแยตะแคง ตะแยเลิงอะแมง ปะเยืองแตงแมง ปเยียดซาแมง เสียงแคงตะแคง
อินแซะมหาอุปราชนั้นมีราชบุตร ๔ พระองค์ ชื่อ สะโกสิงขยา จักไกแมง แสรกแมง โปมุแมง.
สะโกสิงขยา มีบุตร ๒ องค์ ชื่อ โพมองตะแคง ตแคงอูตัว โปมูแมง มีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อมองลอก จักไกแมง มีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อจักจาแมง
และจันกาสุริยได้เป็นอินแซะอุปราชอยู่ประมาณ ๑๐ ปี ก็สิ้นพระชนม์ก่อนพระเจ้าปะดุง เมื่อสิ้นจันกาสุริยอินแซะอุปราชแล้ว พระเจ้าปะดุงจึงตั้งบุตรชายจันกาสุริยชื่อ จักไกแมง ให้เป็นอินแซะอุปราชแทนบิดา ครั้นพระเจ้าปะดุงทิวงคตแล้ว จักไกแมงอินแซะอุปราชจึงสืบราชสมบัติเป็นเจ้ากรุงอังวะแทนพระเจ้าปู่ เมื่อได้ราชสมบัติแล้วเกิดอารมณ์วิปริตคลุ้มดีคลุ้มร้ายอยู่
ครั้งนั้นมีพวกแขกมากราบทูลพระเจ้าอังวะว่า “พระอาทิตย์ขึ้นเมืองไทยเวลาเที่ยง เป็นเวลาเช้าของพม่า เวลาเที่ยงของพม่าเป็นเวลาเช้าของเมืองพราหมณ์ สมเด็จพระพุทธเจ้าเกิดในแผ่นดินพราหมณ์ บัญญัติให้พระฉันเช้าเพลในแผ่นพราหมณ์ต่างหาก ก็ที่เมืองนี้พระสงฆ์จะมาฉันเช้าฉันเพลตามที่นี้ผิดจากพุทธบัญญัติไป จะต้องให้ฉันตรงวันเวลาที่เมืองพราหมณ์จึ่งจะสมควร” ครั้นฟังความดังนั้น จักไกแมงจึงคิดว่า “นาฬิาเขาก็ตั้งเอาเวลาเที่ยงเป็นเช้า ก็เห็นด้วยอาจารย์แขก” จึงมีหมายประกาศ “ให้พระฉันเช้าเวลาเที่ยง ฉันเพลเวลาพลบค่ำ”
สมีเคียนอูให้การต่อไปอีกว่า “แลที่เมืองพม่านั้นมักถือวิปริตต่าง ๆ เมื่อโบราณขึ้นไปไม่ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดทรงเห็นว่าพระสงฆ์ในแขวงเมืองอังวะแลเมืองขึ้นเมืองอังวะบวชอยู่มากกว่ามาก จะกะเกณฑ์ทัพศึกราชการก็ได้ไพร่พลน้อยไป จึ่งประกาศให้พระสงฆ์หนุ่ม ๆ สึกออกเสีย ครั้งนั้นมีขุนนางกราบทูลว่า จะทำดั่งนั้นขึ้น พระสงฆ์และญาติโยมก็จะได้ความเดือดร้อนไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขอให้หมายประกาศว่า พวกผู้หญิงที่นุ่งผ้าถุงอยู่นั้น ให้แปลงนุ่งเป็นผ้าชายประจบกันพอปิดความละอาย ถ้าผู้ใดขืนนุ่งผ้าถุงจะเอาตัวเป็นโทษ ถ้าทำได้ดังนี้เห็นพระสงฆ์จะสึกออกมาเองไม่ต้องกดขี่ให้สึก เจ้าอังวะก็ทรงเห็นด้วย จึงประกาศให้หญิงพม่า มอญ ลาว ทวาย แลหัวเมืองขึ้นทั้งปวง นุ่งผ้าแวบให้หมดจงทั่ว ครั้งนั้นพระสงฆ์สึกออกมาเป็นอันมาก”
* ท่านผู้อ่านครับ คำให้การสมีเคียนอู่ ภิกษุชาวพม่าหรือชาวทวายนั้น ฟังแล้วดูเป็นเรื่องขบขันอยู่มากทีเดียว ยังจำได้ว่า มีพระภิกษุชาวพม่าหนีเข้าเมืองไทยแล้วเปิดเผยว่า พระเจ้าปะดุงทรงเสียพระสติ ไม่รู้ว่าไปจำมาจากคัมภีร์ไหนที่บอกว่า อายุพระพุทธศาสนามีเพียง ๕๐๐ ปี เมื่อมาถึงยุคของพระองค์นั้นอายุพระพุทธศาสนาได้สิ้นไปแล้ว พระภิกษุที่บวชหลังจาก พ.ศ. ๕๐๐ ปี ถือว่าญัติไม่ขึ้น เพราะอายุพระพุทธศาสนาสิ้นไปแล้ว พระองค์จึงทรงสร้างพระพุทธรูป และรูปพระอรหันต์ขึ้นมาให้ผู้คนกราบไหว้บูชาและทำทานกัน อ้างว่าจะได้บุญ หากทำทานแก่ภิกษุจะไม่ได้บุญ เพราะภิกษุเหล่านั้นญัติไม่ขึ้น ไม่ได้เป็นภิกษุแล้ว ทั้งยังประกาศว่าใครจะบวชเล่าเรียนอยู่ก็ได้ แต่อย่ารับอาหารบิณฑบาตจากญาติโยม ขอให้ทำนาทำไร่หาเลี้ยงชีพเอาเอง คำให้การของภิกษุพม่าดังกล่าวนั้นก็ดูเป็นเรื่องน่าหัวเราะมากอยู่แล้ว คราวนี้มาพบคำให้การของพระเคียนอู่เข้าอีกก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าขำมากขึ้น
พระเคียนอูมิได้บอกว่าพระเจ้าปะดุงเสียพระสติ แต่ท่านบอกว่า หลานชายของพระเจ้าปะดุง คือ จักไกแมงอินแซะมหาอุปราช โอรสของจันกาสุริยอินแซะมหาอุปราช โอรสพระเจ้าปะดุง ครั้นได้เป็นพระเจ้าอังวะสืบต่อพระเจ้าปะดุงแล้ว จักไกแมงก็มีพระสติคลุ้มดีคลุ้มร้าย เชื่ออาจารย์แขกจากอินเดียว่า พระวินัยของพระภิกษุสงฆ์เป็นพุทธบัญญัติ คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นใช้กับพระพภิกษุ เฉพาะข้อห้ามที่มิให้บริโภคอาหารในเวลาวิกาลนั้น คำว่า วิกาล หมายถึงตั้งแต่เวลาเที่ยงแล้วไปจนถึงรุ่งขึ้นวันใหม่ หมายความว่า พระภิกษุจะฉันอาหารได้แต่ในเวลาตั้งแต่ได้อรุณของวันใหม่ไปจนถึงเวลาเที่ยงวัน หลังจากนั้นถ้าฉันอาหารแล้วต้องเป็นอาบัติปาจิตตีย์
ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่ออาจารย์แขกถวายพระพรว่า “เวลาเที่ยงของไทยเป็นเวลาเช้าของเมืองพม่า เวลาเที่ยงของเมืองพม่าเป็นเวลาเช้าของเมืองพราหมณ์ คืออินเดีย พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย และบัญญัติวินัยขึ้นในอินเดีย พระภิกษุพม่าฉันเช้าเพลไม่ตรงเวลาที่พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยไว้” พระเจ้าจักไกแมงทรงเห็นด้วยกับคำของอาจารย์แขก จึงประกาศให้พระภิกษุพม่าฉันอาหารเช้าในเวลาเที่ยง และฉันอาหารเที่ยงในเวลาพลบค่ำ เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องขำขันได้เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งพระเคียนอูให้การว่า พระเจ้าแผ่นดินพม่าองค์หนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าเป็นพระองค์ใด เพราะเป็นเรื่องโบราณนานมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เห็นว่าชายหนุ่มในเมืองพม่าพากันบวชเสียเป็นจำนวนมาก เวลาจะเกณฑ์ออกรบทัพจับศึกก็ได้ไพร่พลน้อย จึงประกาศให้พระภิกษุหนุ่มพากันสึกเสีย อำมาตย์คนหนึ่งค้านว่าไม่ควรบังคับให้พระหนุ่มสึก เพราะสร้างความเดือดร้อนแก่พระสงฆ์และญาติโยม ควรบังคับให้หญิงพม่าเลิกนุ่งผ้าถุง ให้นุ่งผ้าชายประจบกันพอปิดความละอาย แล้วพระหนุ่มจะสึกเอง พระเจ้าแผ่นดินเห็นด้วย จึงประกาศให้ผู้หญิงพม่านุ่งผ้าแบบแว้บ ๆ แวม ๆ แล้วก็ได้ผล พระหนุ่มพากันสึกออกมาเป็นจำนวนมากทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะเห็นแว้บ ๆ แวม ๆ แล้วตบะแตก ผ้าเหลืองร้อน ปลงไม่ตก เรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องขำขันที่สุด จากพระเคียนอู จะมีเรื่องราวต่อไปอย่างไร พรุ่งนี้มาอ่านกันนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิฑภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- "อ้ายสาเกียดโง้ง" เป็นกบฏ -
เกิดกบฏเล็กน้อยศึกไม่หนัก จำปาศักดิ์ในเขตประเทศสยาม เมื่อ“อ้ายสาเกียดโง้ง”ข่าเห็นงาม ร่วมคุกคามครองเมืองอย่างง่ายดาย
ปราบไม่ยากจับอ้ายสามาคุมขัง แล้วทรงตั้งเจ้าเมืองใหม่เปลี่ยนเชื้อสาย ให้บุตรเจ้าอนุวงศ์หนึ่งองค์ชาย เป็นเจ้านายจำปาศักดิ์จากนั้นมา |
อภิปราย ขยายความ..............................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับตัวเขียนของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มาให้อ่านถึงเรื่องราวของการเริ่มทำไมตรีกับชาติฝรั่งชาวโปรตุเกส ณ เมืองมาเก๊า แล้วต่อด้วยเรื่องที่พระเคียนอูชาวพม่านำข่าวมาเปิดเผยถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าปะดุงแห่งอังวะ และพระเจ้าอังวะพระองค์ใหม่ทรงมีพระสติคลุ้มดีคลุ้มร้าย ให้เปลี่ยนแปลงเวลาฉันอาหารของพระภิกษุในพม่า เป็นการฉันอาหารเช้า คือมื้อแรกของวัน ในเวลาเที่ยง แล้วฉันอาหารเพลในเวลาพลบค่ำ ความในพระราชพงศาวดารฉบับนี้ยังมีอีกหลากเรื่องราว มาตามดูกันต่อไป ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกเรื่องราวต่อไปอีกว่าดังนี้
* “ ณ วันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ เพี้ยสุพรรณมาศ เพี้ยจันทวงศ์ ถือศุภอักษรเจ้าจำปาศักดิ์ลงมาถวายความในศุภอักษรนั้นมีว่า
“อักษรสุนทรวรราชกถาสัมปัตตาภิรมย์ พรหมสุจริตวิสุทธิเสน่หา ปรมาพิทธยาศัย ในเจ้านครจำปาศักดิ์ ขอบอกปฏิบัติมาให้ทราบว่า อ้ายสาเกียดโง้งลาวตั้งตัวเป็นผู้วิเศษมีบุญ สำแดงวิชาให้พวกข่าเห็น พวกข่าสาลวัน ข่าคำทอง ข่าอัตปือ เข้าเกลี้ยกล่อมอ้ายสาเกียดโง้ง ประมาณแปดพันคนยกมาตั้งอยู่ ณ ทุ่งนาทวา ไกลเมืองจำปางศักดิ์ทางสามคืน เมื่อ ณ วันอาทิตย์เดือนสามขึ้นแปดค่ำ ข้าพเจ้าให้ท้าวเพี้ยคุมไพร่ข้ามฟากไปตั้งอยู่บ้านพะโพ ได้รบกันครั้งหนึ่ง เหลือกำลังรับไม่ได้ ถอยข้ามมาตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำโขงตะวันออก ณ วันเดือนสามขึ้นเก้าค่ำ อ้ายสาเกียดโง้งยกเข้ามาตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำใกล้เมืองจำปาศักดิ์ ข้าพเจ้าแต่งให้เจ้าสุวรรณสาร เพี้ยเมืองกลาง เพี้ยหมื่นนา เพี้ยไชยภาพ เป็นแม่ทัพ กับท้าวเพี้ยคุมไร่พันเศษ ยกไปตั้งฝั่งน้ำโขง ให้ลาดตระเวนทางบกทางเรือ
ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดีเดือนสามขึ้นสิบสองค่ำ อ้ายสาเกียดโง้งยกข้ามน้ำมา คนประมาณหกพันเศษ จุดเผาเมืองจำปาศักดิ์ ผู้คนแตกกระจัดกระจาย ข้าพเจ้าคอยท่ากองทัพเมืองอุบลราชธานี เมืองยโสธร เมืองเขมราฏ ก็ไม่มา ไพร่พลที่เมืองจำปาศักดิ์น้อยนัก ข้าพเจ้าเห็นจะต่อสู้มิได้ ณ วันศุกร์ เดือนสามขึ้นสิบสามค่ำ อ้ายสาเกียดโง้งยกเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองจำปาศักดิ์ ข้าพเจ้าพาครอบครัวหนีขึ้นมาอยู่บ้านเจียม แขวงเมืองอุบลเมืองเขมราฏต่อกัน”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบความในหนังสือเจ้าจำปาศักดิ์ดังนั้น จึงมีตราโปรดให้เจ้าพระยานครราชสีมา กับเจ้าอนุเมืองเวียงจันท์ ร่วมกันยกทัพไปจับอ้ายสาเกียดโง้ง อ้ายสาเกียดโง้งพยายามสู้รบ แต่ก็สู้ไม่ได้จึงถูกจับตัวได้ แล้วถูกจำส่งตัวเข้ากรุงเทพมหานคร พร้อมกับครอบครัวข่าอีกเป็นอันมาก อ้ายสาเกียดโง้งนั้นให้จำคุกไว้ แต่พวกครอบครัวข่านั้นโปรดให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางบอน จึงเรียกว่า ข่าตะพุ่นหญ้าช้าง มาจนทุกวันนี้ ส่วนเมืองจำปาศักดิ์นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ราชบุตรเจ้าอนุวงศ์เวียงจันท์ไปเป็นเจ้าเมือง
{ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น นครจำปาศักดิ์ เป็นประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ครองเมืองนี้ต้องได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพมหานคร เมืองนี้อยู่ในลาวตอนใต้สุดติดต่อกับเขมร นักประวัติศาสตร์โบราณคดีเชื่อกันว่าเป็นที่กำเนิดของเขมร กล่าวคือผู้นำหรือประมุขเมืองจำปาศักดิ์เรียกวงศ์ของตนว่า “จันทรวงศ์” นับถือพระจันทร์ (พระแข) ภายหลังธิดาของกษัตริย์จันทรวงศ์ได้อภิเศกกับเจ้าชายใน “ไศเลนทรวงศ์” ซึ่งนับถือพระอาทิตย์ ตั้งเมืองอยู่บริเวณเขาพระวิหาร โอรสที่เกิดจากเจ้าหญิงจันทรวงศ์แห่งจำปาศักดิ์ กับเจ้าชายไศเลนทรวงศ์ ได้สัญชาติใหม่ว่า “ขอม” เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ จึงขอละไว้ก่อนก็แล้วกัน}
* เมืองจำปาศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่าในยุคนั้น เกิดมีชายชาวลาวคนหนึ่งชื่อ อ้ายสาเกียดโง้ง ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ มีชาวข่าเคารพนับถือมาก จนเหิมเกริมถึงขนาดรวบรวมกำลังเป็นกองทัพ ยกเข้าตีเมืองจำปาศักดิ์ได้สำเร็จ เจ้าเมืองหนีไปอยู่บ้านเจียม (โขงเจียม) ในเขตเมืองอุบลราชธานี แล้วมีหนังสือกราบทูลเรื่องราวเข้ากรุงเทพมหานคร เจ้าเมืองจำปาศักดิ์คนนี้เห็นจะเป็นคนอ่อนแอ เพราะหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตรัสสั่งให้เจ้าพระยานครราชสีมา กับ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันท์ ยกกำลังไปปราบปรามอ้ายสาเกียดโง้งสำเร็จแล้ว แทนที่จะทรงตรัสให้เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์คนเดิมกลับไปครองเมืองดังเก่า พระองค์ก็ไม่โปรด แต่กลับไปตั้งให้ราชบุตรองค์หนึ่งของเจ้าอนุวงศ์ไปครองเมืองจำปาศักดิ์แทน อ้ายสาเกียดโง้งนั้นแม้จะมีความผิดหนักก็มิได้ทรงให้ประหารชีวิต เป็นแต่ให้จำคุกไว้เท่านั้น พวกข่าบริวารของอ้ายสาเกียดโง้งก็ลงโทษเพียงให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง โดยให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบบางบอน เรียกพวกเขาว่า “ข่าตะพุ่นหญ้าช้าง” ปัจจุบันยังมีหลงเหลืออยู่ในแถบบางบอนบ้างไม่ก็สุดรู้ได้ ในบันทึกพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวต่อไปว่า
“ณ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง โทศก ศักราช ๑๑๘๒ (พ.ศ. ๒๓๖๓) พระเจ้าแผ่นดินโปรตุกัน ให้เจ้าเมืองงัวโครง ขอสัญญาทางพระราชไมตรีฝ่ายกรุงเทพมหานคร เป็นสัญญา ๒๓ ข้อ มอบให้กาลลดนำเข้ามา และขอให้กาลลดเป็นกงศุลเยเนราล และขอที่ตั้งบ้านเรือนให้กาลลดอยู่ได้ปักเสาธงด้วย แล้วขอให้ท่านเสนาบดีตริตรองดูข้อสัญญาทุก ๆ ข้อ ข้อไรที่ไม่ชอบใจก็ให้แก้ไขตามชอบใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้กาลลดอยู่บ้านที่องเชียงสือเคยอยู่แต่ก่อน ซึ่งกงสุลโปรตุเกสอยู่ทุกวันนี้ แล้วโปรดให้กาลลดกงสุลเยเนราลเป็นที่หลวงอภัยพานิช พระราชทานเครื่องยศเหมือนอย่างขุนนางในกรุง หนังสือสัญญานั้นยังหาได้ตรวจไม่ ล่วงมาจนเกิดความไข้ก็งดอยู่”
พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อไปครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หั่นขี้ผึ้งไทย ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- เกิดไข้โรคระบาดตายเป็นเบือ -
เกิดโรคระบาดแห่มาเป็นห่าใหญ่ คนเป็นไข้ตายเกลื่อนอนาถา เจ้าแผ่นดินสู้อุบาทว์ด้วยศรัทธา “อาฏานาฏิยปริตร”พิชิตชัย |
อภิปราย ขยายความ..........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฯ มาให้ท่านได้อ่านกัน ถึงตอนที่ฝรั่งชาติโปรตุเกสขอทำสัญญาทางพระราชไมตรี ตั้งสถานกงสุล ณ กรุงเทพมหานคร โดยให้กาลลดเป็นกงสุลเยเนราล เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ หลวงอภัยพานิช แต่งเครื่องยศเหมือนข้าราชการไทย จากนี้มีเรื่องน่าสลดใจเกิดขึ้นกับกรุงสยาม ขอคัดลอกคำของท่านเจ้าพระทิพากรวงศ์มาอ่านให้อ่านทั้งหมด ดังต่อไปนี้
* “ ครั้นมาถึงเดือนเจ็ดข้างขึ้นเวลายามเศษ ทิศพายัพเห็นเป็นแสงเพลิงติดอากาศเรียกว่า ธุมเพลิง เกิดไข้ป่วงมาแต่ทะเล ไข้นั้นเกิดมาแต่เมืองเกาะหมากก่อน แล้วข้ามมาหัวเมืองฝ่ายตะวันตก เดินขึ้นมาจนถึงปากน้ำเจ้าพระยา ชาวเมืองสมุทรปราการตายลงเป็นอันมาก ก็พากันอพยพขึ้นมา ณ กรุงเทพมหานครบ้าง แยกกันไปทิศต่าง ๆ บ้าง ที่กรุงเทพมหานครก็เป็นขึ้น เมื่อ ณ วันเดือนเจ็ดขึ้นหกค่ำไปถึงวันเพ็ญ คนตายทั้งชายหญิง ศพทิ้งตามป่าช้าแลศาลาดินในวัดสระเกศ วัดบางลำพู วัดบพิตรภิมุข วัดประทุมคงคา แลวัดอื่น ๆ ทับกันเหมือนกองฟืน ที่เผาเสียก็มากกว่ามาก แลทิ้งลอยไปในแม่น้ำลำคลองเกลื่อนกลาดไปทุกแห่ง จนพระสงฆ์ก็หนีออกวัด คฤหัสถ์ก็หนีออกจากบ้าน ดูน่าอเนจอนาถนัก ถนนหนทางก็ไม่มีคนเดิน ตลาดก็มิได้ออกซื้อขายกัน ต่างคนต่างรับประทานแต่ปลาแห้ง พริกกับเกลือเท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็กินไม่ได้ปฏิกูลไปด้วยซากศพ”
* ข้อความเพียง ๑๐ กว่าบรรทัดที่ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์บันทึกไว้ แต่ได้เห็นภาพมากจนสุดพรรณนา คำว่า “ธุมเพลิง” แปลว่า แสงสว่างที่เกิดขึ้นในอากาศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคราวนั้นผิดธรรมดา เป็นลางร้ายที่น่ากลัวยิ่ง ผลร้ายเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยในทันที กล่าวคือมีไข้ป่วงมาทางทะเลตะวันตก ไข้นี้เกิดขึ้นที่เกาะหมาก คือปีนัง แล้วข้ามมาทางหัวเมืองฝ่ายตะวันตก เข้ามาถึงเมืองสมุทรปราการ และลามเข้ากรุงเทพมหานคร
คำว่า “ไข้ป่วง” ไม่ใช่ลมป่วง หากแต่เป็น “อหิวาตกโรค” คือโรคที่มีพิษร้ายเพียงพิษงู โรคนี้น่าจะเกิดมีขึ้นในเมืองไทยเป็นครั้งแรก เพราะเป็นโรคที่คนไทยยังไม่รู้จัก ไม่รู้วิธีต่อต้านรักษา เรียกได้ว่า “ใครพบโรคนี้ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น” จึงปรากฏภาพสยดสยองขึ้นในกรุงเทพมหานคร วัดต่าง ๆ เต็มไปด้วยซากศพ ตามวัดต่าง ๆ คือที่วัดสระเกศ( วัดสระแก) วัดบางลำพู (วัดสังเวชฯ) วัดบพิตรพิมุข (วัดเชิงเลน) วัดประทุมคงคา เป็นต้น ทำการเผาไม่ทันก็เอาศพกองสุมกันไว้จนดูราวกะกองฟืน
เฉพาะที่วัดสระเกศนั้นกล่าวกันว่ามีศพมากที่สุด กองสุมกันในป่าช้าและศาลาดิน เน่าเหม็นคลุ้งชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก นกแร้งได้กลิ่นซากศพก็พากันบินมาจากทิศต่าง ๆ ลงกินซากศพเป็นฝูงใหญ่ แต่ก็กินไม่รู้หมด ด้วยเหตุนี้วัดสระเกศจึงถูกกล่าวขานกันว่า “อีแร้งวัดสระเกศ” มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากจะเอาศพไปเผาในวัด และทิ้งในวัดต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯแล้ว ยังเอาซากศพทิ้งลงในแม่น้ำลำคลอง ซากศพลอยระเกะระกะบวมพองขึ้นอืด เน่าเหม็น มีหนอนชอนไช และปลาตอดกินกันเป็นอันมาก น้ำในแม่น้ำลำคลองกินไม่ได้ เพราะสกปรกด้วยซากศพ ถนนหนทางแทบไม่มีคนเดิน ตลาดไม่ปิดก็เหมือนปิด เพราะไม่มีผู้คนออกหาซื้อเข้าของ ต่างคนต่างก็กินปลาแห้ง พริกกับเกลือ ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ให้ภาพอีกภาพหนึ่งว่า “จนพระสงฆ์ก็หนีออกวัด คฤหัสถ์ก็หนีออกจากบ้าน” ทำนองว่าในวัดเป็นเหมือนวัดร้างไม่มีพระอยู่ประจำ เพราะพากันหนีออกไปหมด ในบ้านก็เป็นเหมือนบ้านร้าง ไม่มีคนอยู่ เพราะพากันหนีออกไปหมด แต่ท่านมิได้บอกว่า ทั้งพระและคฤหัสถ์นั้นพากันหนีวัดหนีบ้านไปอยู่ที่ไหนบ้าง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า “ความไข้ซึ่งบังเกิดทั่วไปแก่สมณชีพราหมณ์และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินครั้งนี้เพื่อกรรมของสัตว์ ใช่จะเป็นแต่ที่กรุงเทพมหานครก็หาไม่ เมืองต่างประเทศแลเกาะหมากเมืองไทรก็เป็นเหมือนกัน ซึ่งจะรักษาพยาบาลแก้ไขด้วยคุณยาเห็นจะไม่หาย”
ครั้นมีพระราชดำริดังนั้นแล้ว จึงให้ตั้งพระราชพิธีอาฏานาฏิยสูตร ขึ้นเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืนเป็นเวลา ๑ คืน แล้วเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุ ทั้งพระราชาคณะออกแห่โปรยทราย ประพรมน้ำพระปริตทั้งทางบกทางเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสมาทานศีล ทรงศีลอยู่อย่างเคร่งครัด พระราชวงศานุวงศ์ที่มีกรมและไม่มีกรม รวมทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายในก็โปรดสั่งมิให้เข้าเฝ้า ให้งดกิจราชการเสียมิให้ว่าให้ทำ ให้ทุกคนตั้งใจสวดมนต์ทำบุญให้ทาน บรรดาไพร่ซึ่งนอนเวรประจำซองรักษาพระราชวังทั้งชั้นในและชั้นนอก ก็ให้เลิก ปล่อยไปบ้านเรือน โดยทรงพระเมตตาว่า “ประเพณีสัตว์ทั่วกัน ภัยมาถึงก็ย่อมรักชีวิต บิดามารดาภรรยาและบุตร ญาติพี่น้องก็เป็นที่รักเหมือนกัน จะได้ไปรักษาพยาบาล ที่ผู้ใดมีกตัญญูอยู่รักษามิได้ไปนั้น ก็พระราชทานเงินตราให้ความชอบ แลให้จัดซื้อปลาแลสัตว์สี่เท้าสองเท้าที่มีผู้จะฆ่าซื้อขายในท้องตลาด ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร แล้วทรงปล่อย สิ้นพระราชทรัพย์เป็นอันมาก คนโทษซึ่งต้องจำเวรอยู่นั้นก็ให้ปล่อยออกสิ้น ยกเว้นแต่พม่าข้าศึก อีกทั้งยังทรงห้ามอาณาประชาราษฎรมิให้ไปเที่ยวฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งสัตว์น้ำแลสัตว์บก ให้อยู่แต่บ้านเรือน ถ้ามีเรื่องร้อนจำเป็นก็ให้ไปได้”
และด้วยเดชะอานิสงส์ศีลและทาน พระบารมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระมหากรุณาแด่อาณาประชาราษฎร ทรงให้กระทำดังกล่าวแล้วนั้นมาจนถึงวันเสาร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๗ ความไข้ก็ระงับเสื่อมไปโดยเร็ว บรรดาศพที่ยังหาญาติจะฝังจะเผามิได้นั้น ทรงพระราชทานเงินค่าจ้างและฟืนให้พวกพม่าและนักโทษช่วยกันเก็บเผาจนสิ้น ในส่วนพระบรมราชวงศานุวงศ์ และพระองค์เจ้าหญิง มี ๒ พระองค์สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในที่เป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นปกติดี ไม่มีเจ็บตาย โรคระบาดใหญ่คราวนั้นปรากฏว่า ผู้หญิงตายมากกว่าผู้ชายสองส่วน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับท่านผู้อ่าน การสวดอาฏานาฏิยสูตรและการรักษาศีลของพระเจ้าแผ่นดิน บันดาลให้โรคห่าใหญ่ที่เกิดระบาดขึ้นมานั้น หายไปได้ คำว่า “อาฏานาฏิยสูตร” เป็นการกล่าวถึงเรื่องราวของยักษ์ ท่านผู้อ่านไม่น้อยกระมังที่เคยเข้าร่วมพิธี “สวดภาณยักษ์” บทสวดในพิธีนั้นแหละครับคือ อาฏานาฏิยสูตร มีรายละเอียดอย่างไรไม่ขอแจงในที่นี้ เพราะเป็นเรื่องยาวเกินไป เอาเป็นว่าให้รู้ที่มาของการสวดภาณยักษ์นั้นก็มาจากพิธีสวดอาฏานาฏิยสูตร ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงทำพิธีขึ้นเพื่อขับไล่โรคร้ายที่ระบาดในกรุงเทพมหานคร คร่าชีวิตคนไทยตายเป็นเบือ ดังที่ท่านเจ้าพระทิพากรวงศ์บันทึกไว้ตามที่ได้อ่านกันแล้ว เรื่องจะเป็นอย่างไรหรือพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระญาณสังวรครองวัดมหาธาตุ -
เกิดคดี“พระตุ๊ด”เรื่องอุจาด พระชื่อ“อาด”ปรากฏมียศใหญ่ “รักร่วมเพศ”ประพฤติผิดวินัย จึงมิให้เป็น “สังฆราชา”
ถูกถอดยศปลดตำแหน่งเนรเทศ เป็นเหมือนเปรตร่อนเร่ไร้เคหา แล้วโปรดเกล้าฯดำรัสอาราธนา พระนามว่า“ญาณสังวร”เข้าอยู่แทน |
อภิปราย ขยายความ...........................
เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับตัวเขียนของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ที่ได้บันทึกเรื่องราวซึ่งเกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพมหานคร ผู้คนล้มตายลงเป็นเบือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแก้ด้วยการจัดพิธีอาฏานาฏิยสูตร และทรงศีล จนโรคร้ายนั้นสงบระงับไป มาให้ทุกท่านได้อ่านกันไปแล้ว วันนี้มาดูเรื่องราวในพระราชพงศาวดารฉบับเดิมกันต่อไปครับ
ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์บันทึกถึงเรื่องควันหลงของพิธีอาฏานาฏิยสูตรไว้ด้วยว่า “คนครั้งนั้นยังโง่เขลามาก พูดซุบซิบกันว่า เพราะไปเอาก้อนศิลาใหญ่ ๆ ในทะเลมาก่อเขาในพระราชวัง เจ้าโกรธ ผีโกรธ จึ่งบันดาลให้เป็นไข้เจ็บดังนี้ ไม่เคยพบไม่เคยได้ยิน มิได้มีปัญญาพิจารณาเห็นว่า โรคอันนี้มีด้วยกันทั่วทั้งพิภพ ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าก็มีขึ้นครั้งหนึ่งที่เมืองไพสาลี ข้างแผ่นดินฮินดูสตานเป็นต้นเหตุที่จะเกิดโรคอันนี้เนือง ๆ เกิดขึ้นแล้วก็เป็นต่อไปเมืองนั้นบ้างเมืองนี้บ้าง เมืองใดที่จะไม่พบโรคอย่างนี้ไม่มีเลย
เมื่อปีขาลสัมฤทธิศกที่เมืองพม่าก็เป็นขึ้น แต่แผ่นดินข้างยุโรปได้ยินว่าเป็นเนือง ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แผ่นดินจีนนั้นเป็นห่าง ๆ การแผ่นดินนั้นนักปราชญ์เขาคิดอยู่เสมอ ก็ไม่ได้เหตุผลว่าเป็นขึ้นด้วยเหตุอะไร เห็นอยู่แต่โรคนี้ชอบกับของโสโครกโสมมมักตายมาก คนที่สะอาดเหย้าเรือนไม่เปื้อนเปรอะก็ตายน้อย เพราะฉะนั้นชาวประเทศยุโรปจึงถือความสะอาดนัก”
“ในขณะที่โรคห่าหรืออหิวาตกโรคระบาดหนักในกรุงเทพมหานครนั้น ทูตญวนได้ถือราชสาส์นพระเจ้าเวียดนามพระองค์ใหม่เข้าแจ้งว่า พระเจ้ายาลองหรือองเชียงสือได้สวรรคตแล้ว และทูตญวนที่เข้ามาครั้งนั้นก็ถูกโรคร้ายคร่าชีวิตไปหลายคน ครั้นโรคร้ายระงับหายไปเมื่อเดือน ๗ แล้ว ถึง ณ เดือน ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงแต่งให้พระยาทิพโกษาเป็นราชทูต พระจิตรเสน่ห์เป็นอุปทูต หลวงสำแดงฤทธิรงค์เป็นตรีทูต เชิญพระราชสาส์น คุมสิ่งของทรงยินดีไปถึงพระเจ้ากรุงเวียดนามพระองค์ใหม่
ในเดือน ๑๑ ปีเดียวกันนั้น พระวันรัต อาด ซึ่งแห่มาแต่วัดสระเกศ ให้อยู่ ณ วัดมหาธาตุ เพื่อรอการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น ต้องอธิกรณ์ขึ้น กล่าวคือ มีผู้ฟ้องร้องว่า ท่านพอใจลูบคลำเล่นของที่ลับของพวกศิษย์รุ่นหนุ่มหล่อ ๆ สวย ๆ จึงโปรดให้ตระลาการชำระ ได้ความจริงตามนั้น แม้ไม่ถึงปาราชิก ก็ทรงเห็นว่ามัวหมองอยู่ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงให้ถอดเสียจากที่พระวันรัตแล้วเนรเทศเสียจากวัดมหาธาตุ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ โปรดให้แห่พระญาณสังวรเถร วัดพลับ (ราชสิทธาราม) มาอยู่วัดมหาธาตุ
พระญาณสังวรเถรองค์นี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ ให้รายละเอียดว่า ท่านมีนามเดิมว่า สุก เดิมอยู่วัดท่าหอยคลองคูจาม กรุงเก่า เป็นพระวิปัสสนาจารย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงอาราธนาให้มาครองวัดพลับ (ราชสิทธาราม) เป็นที่เคารพนับถือในพระราชวงศ์มาแต่รัชการที่ ๑ เป็นสมเด็จพระญาณสังวรในสมัยรัชกาลที่ ๒
* สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราชพระองค์นี้นะครับท่านผู้อ่าน ว่ากันว่าพระองค์เป็นพระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระที่มีฌานและญาณแก่กล้า มีพระเมตตาธรรมสูงสุดยากที่จะหาผู้เสมอเหมือนได้ในยุคนั้น ว่ากันว่าบรรดาสัตว์ที่ดุร้ายและเปรียวทั้งหลายนั้น เมื่อพระองค์พบเห็นแล้วจะทำให้คลายความดุร้าย ความปราดเปรียว จนเชื่องลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไก่ป่า หรือ ไก่เถื่อน ที่ไม่มีใครเลี้ยงให้เชื่องได้ เพียงพระองค์เสกข้าวให้กินครั้งเดียว ไก่เถื่อนนั้นก็กลายเป็นไก่เชื่องเหมือนไก่บ้าน จนคนทั่วไปเรียกฉายาของพระองค์ว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน จนถึงปัจจุบัน
เรื่อง “พระตุ๊ด” มิใช่มีดังที่เป็นข่าวในยุคปัจจุบัน เรื่องทำนองนี้มีมาแต่ครั้งก่อนพุทธกาล ครั้งพุทธกาล เรื่อยมาจนปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต เป็นโลกียวิสัยของปุถุชน (ผู้มีกิเลสหนาแน่น) ตกมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น โดยมีผู้กล่าวหาว่า พระวันรัตน อาด วัดสระเกศ ที่แห่มาครองวัดมหาธาตุรอการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ท่านมีความกำหนัดพอใจรักใคร่ในพระ เณร ศิษย์ของท่านที่รูปหล่อ หน้าตาดี เรียกเข้าปรนนิบัติ นวดเฟ้น แล้วท่านก็กอดจูบลูบคำอวัยวะเพศ เมื่อถูกกล่าวหาแล้ว สอบสวนได้ความเป็นจริง จึงโปรดเกล้าฯให้ถอดจากสมณะศักดิ์ และเนรเทศให้ไปจากวัดมหาธาตุเสียในที่สุด
เรื่องราวจะมีว่าอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทบ ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|