Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร  (อ่าน 61620 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #180 เมื่อ: 11, สิงหาคม, 2568, 10:26:26 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๖/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

กุลบุตรเรียนธรรม = คือ เล่าเรียน นิตถรณปริยัติ ปริยัติมี ๓ นัย คือ
(๑) อลคัททูปริยัตติ - การเล่าเรียนเปรียบด้วยงูพิษ ได้แก่การเล่าเรียนมุ่งลาภสักการะด้วยคิดว่า เราเล่าเรียนแล้วจักได้จีวร หรือคนอื่นจะรู้จักเราในท่ามกลางบริษัท ๔
(๒) นิตถรณปริยัตติ - การเล่าเรียนมุ่งประโยชน์คือการออกจากวัฏฏะ ได้แก่การเล่าเรียนด้วยตั้งใจว่า เราเล่าเรียนพุทธพจน์แล้วจักบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ ให้ได้สมาธิ เริ่มเจริญวิปัสสนาแล้ว จักอบรมมรรค จักทำผลให้แจ้ง
(๓) ภัณฑาคาริกปริยัตติ - การเล่าเรียนประดุจขุนคลัง ได้แก่การเล่าเรียนของพระขีณาสพ เพราะท่านกำหนดรู้ขันธ์แล้วละกิเลสได้แล้ว อบรมมรรค ทำให้แจ้งผลแล้ว เมื่อเล่าเรียนพุทธพจน์ เป็นผู้ทรงแบบแผน รักษาประเพณี ตามรักษาอริยวงศ์
วัฏฯ= วัฏฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด
ขีณาสพ = คือ พระอรหันต์ ซึ่ง อาสวะสิ้นแล้ว มี ๔ ได้แก่ กามาสวะ, ภาวาสวะ, ทิฏฐาสวะ, อวิชชาสวะ,  ท่านละได้ ถอนขึ้นได้ สงบระงับ เป็นของไม่เกิดขึ้นอีก อันท่านเผาแล้วด้วยไฟคือญาณ
ฉันทราคะ = คือ ความพอใจติดใคร่, ความชอบใจจนติด, ความอยากที่แรงขึ้นเป็นความติด; ฉันทะ ในที่นี้ หมายถึงอกุศลฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นต้น เมื่อเป็นราคะอย่างอ่อน (ทุพพลราคะ) ก็เรียกแค่ว่าเป็นฉันทะ แต่เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็กลายเป็นฉันทราคะ คือราคะอย่างแรง (พลวราคะ หรือสิเนหะ)
อสัทธรรม ๗ = คือ ธรรมของอสัตบุรุษ ได้แก่
(๑) เป็นคนไม่มีศรัทธา (๒) เป็นคนไม่มีหิริ (๓) เป็นคนไม่มีโอตตัปปะ (๔) เป็นคนมีสุตะน้อย (๕) เป็นคนเกียจคร้าน (๖) เป็นคนมีสติหลงลืม (๗) เป็นคนมีปัญญาทราม
สัทธรรม ๗ = คือ ธรรมของคนดี, ธรรมของสัตบุรุษมี สัทธรรม ๓ อย่าง คือ           
(๑) เป็นคนมีศรัทธา (๒) เป็นคนมีหิริ (๓) เป็นคนมีโอตตัปปะ (๔) เป็นคนมีพหูสูต (๕) เป็นคนปรารภความเพียร (๖) เป็นคนมีสติมั่นคง (๗) เป็นคนมีปัญญา
ทิฏฐิฏฐาน  = เป็นชื่อของทิฏฐิ เพราะเป็นเหตุแห่งสักกายทิฏฐิที่ยิ่งกว่าทิฏฐิเกิดขึ้นก่อน และเป็นเหตุแห่งสัสสตทิฏฐิบ้าง เป็นชื่อของอารมณ์ คือ ขันธ์ ๕ และรูปารมณ์เป็นต้นบ้าง เป็นชื่อของปัจจัย คือ อวิชชา, ผัสสะ, สัญญา เป็นต้นบ้าง
สักกายทิฏฐิ = เป็นหนึ่งในสังโยชน์ ๓ ที่โสดาปัตติมรรคประหาร สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ
~ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป
~ย่อมเห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็นตนในเวทนา
~ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา
~ย่อมเห็นสังขารเป็นตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร
~ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ
สัสสตทิฐิ = คือ ความเห็นว่าเที่ยง เป็นทิฐิที่ตรงกันข้ามกับ อุจเฉททิฐิ ศาสนาพุทธถือว่าทั้งสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ
อุจเฉททิฐิ = คือ ความเห็นที่ว่าสัตว์โลกทั้งปวงเมื่อตายหรือละจากอัตภาพนี้ไปแล้วก็เป็นอันขาดสูญไม่มีอะไรที่จะไปเกิดหรือไปปฏิสนธิในภพอื่นอีก สิ่งที่เรียกว่าอาตมัน หรืออัตตา ชีวะ เจตภูติ ก็สูญไปเช่นเดียวกัน เรียกว่าขาดสูญไปทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือให้ไปเกิดในสุคติหรือทุคติอีก
เหตุแห่งทิฏฐิ ของปุถุชน ๖ = คือ ปุถุชนในโลกนี้
(๑) ผู้ไม่ได้สดับ (๒) ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย (๓)ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ (๔)ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ (๕)ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ (๖)ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นว่า :
~เห็นรูปว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
~เห็นเวทนาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
~เห็นสัญญาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
~เห็นสังขารทั้งหลายว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
~เห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
~ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั้นโลก นั้นอัตตาในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่ เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
การเห็นว่า “นั่นของเรา”= เป็นอาการของตัณหา
การเห็นว่า “เราเป็นนั่น” = เป็นอาการของมานะ
การเห็นว่า“นั่นเป็นอัตตาของเรา”= เป็นอาการของทิฏฐิ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #181 เมื่อ: 11, สิงหาคม, 2568, 11:42:06 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๗/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

การพิจารณาของอริยสาวก =มีเหตุ ๓ คือ
(๑)ผู้สดับแล้ว (๒)ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะ (๓) เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นว่า :
~เห็นรูปว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~เห็นเวทนาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~เห็นสัญญาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นนั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~เห็นสังขารทั้งหลายว่า นั่นไม่ใช่ของเราเราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~ย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั่นโลก นั่นตน เมื่อตายแล้วในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
~พระอริยสาวกนั้นพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่สะดุ้ง ในเพราะสิ่งที่ไม่มีอยู่
อรีย์,อรียะ = พระอริยะบุคคล ในพุทธศาสนา ประกอบด้วย พระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, พระอนาคามี และ พระอรหันต์
สัตบุรุษ = คนดีมีคุณธรรมประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม, คนที่เป็นสัมมาทิฐิ
สัปปุริสธรรม = คือ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ มี ๗ ประการ
(๑) ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ (๒)อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักผล (๓) อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน (๔) มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ (๕) กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล (๖) ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักบริษัท (๗) ปุคคลัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล
อัตตะ = อัตตา แปลว่า ตัวตน,ของตน
อนุสัย ๗ = คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนตะกอนนอนอยุ่ที่ก้นภาชนะ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมาทำน้ำให้ขุ่นเพราะมีคนไปกระทบหรือกวนภาชนะฉันใด อนุสัยกิเลสก็เช่นเดียวกัน จะฟุ้งขึ้นมาทำจิตให้ขุ่นมัว เมื่อมีอารมณ์ภายนอกมากระทบเช่นเดียวกันฉันนั้น ประกอบด้วย
(๑) ทิฏฐิ - การหลงผิดในความเห็น (สักกายทิฏฐิและสีลัพพัตตปรามาส) (๒) วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย (๓) ปฏิฆะ - ความไม่ยินดีพอใจ
(๔) ราคะ - ความยินดีพอใจในกาม (กามราคะ)
(๕) ภวราคะ - ความยินดีพอใจในภพ ทั้งภพที่ไม่สงบ (อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน) และภพที่สงบคือ รูปราคะและอรูปราคะ (๖) มานะ - ความสำคัญว่าดีกว่า, เสมอกัน, เลวกว่า ในสิ่งทั้งปวง (๗) อวิชชา - ความไม่รู้จริง
อัตตวาทุปาทาน = คือ ความยึดมั่นในตัวตน เป็น ๑ ใน ๔ ของ
อุปาทาน ดังนี้
(๑) กามุปาทาน - ยึดติดในกาม คือความเพลินพอใจที่เกิดจาก ตา หู จมู ลิ้น กายสัมผัส (๒) ทิฏฐุปาทาน - ความยึดติดในความคิดเห็นของตนเอง ว่าความเห็นตนถูก คนอื่นผิด (๓) สีลัพพัตตุปาทาน - ความลังเลสงสัยในวัตรปฏิบัติของลัทธิตน (๔) อัตตวาทุปาทาน - ความยึดถือ ยึดมั่นในความเป็นตัวตน ว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา อัตตวาทุปาทาน หมายถึงสักกายทิฏฐิ ๒๐ ประการ
(๔.๑) เห็นรูปเป็นตน คือ ขณะที่เห็นผิดยึดถือว่า รูปร่างกายเป็นเรา (ตน) อุปมา เหมือนเห็นเปลวไฟและสีของเปลวไฟเป็นอย่างเดียวกัน (๔.๒) เห็นตนมีรูป คือ ขณะที่ยึดถือว่านามธรรมเป็นเรา ที่มีรูปร่างกาย อุปมาเหมือนเห็นต้นไม้มีเงา (๔.๓) เห็นรูปในตน คือ ขณะที่ยึดถือว่านามธรรมเป็นเรา และรูปอยู่ในนามที่เรา อุปมาเหมือนกลิ่นในดอกไม้ (๔.๔) เห็นตนในรูป คือ ขณะที่ยึดถือว่า นามธรรมเป็นเราที่อยู่ในรูปร่างกาย อุปมาเหมือนแก้วมณีในขวด (๔.๕) เห็นเวทนาเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า ความรู้สึกเป็นเรา (ตน) อุปมาโดยนัยเดียวกันกับรูป (๔.๖) เห็นตนมีเวทนา คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นเรา และเรามีเวทนา (๔.๗) เห็นเวทนาในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีเวทนาในเรา (๔.๘) เห็นตนในเวทนา คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในเวทนา (๔.๙) เห็นสัญญาเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า ความจำเป็นเรา (ตน) (๔.๑๐) เห็นตนมีสัญญา คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีสัญญา (๔.๑๑) เห็นสัญญาในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีสัญญาในเรา (๔.๑๒) เห็นตนในสัญญา คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในสัญญา (๔.๑๓) เห็นสังขารเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า สังขารตัวปรุงแต่งเป็นเรา (๔.๑๔) เห็นตนมีสังขาร คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีสังขาร (๔.๑๕) เห็นสังขารในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีสังขารในเรา (๔.๑๖) เห็นตนในสังขาร คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในสังขาร (๔.๑๗) เห็นวิญญาณเป็นตน คือในขณะที่ยึดถือว่า วิญญาณเป็นเรา (ตน) (๔.๑๘) เห็นตนมีวิญญาณ คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และเรามีวิญญาณ (๔.๑๙) เห็นวิญญาณในตน คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และมีวิญญาณในเรา (๔.๒๐) เห็นตนในวิญญาณ คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในวิญญาณ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #182 เมื่อ: 12, สิงหาคม, 2568, 05:26:04 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๘/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

ทิฏฐินิสฯ = ทิฏฐินิสสัย หมายถึงทิฏฐิ ๖๒ ประการ
ทิฏฐิ ๖๒ ประการ=แสดงความคิดเห็นของสมณพราหมณ์ในครั้งนั้น แยกเป็น ปุพพันตกัปปิกะ ๑๘ ประเภท และ อปรันตกัปปิกะ ๔๔ ประเภท
(๑) ปุพพันตกัปปิกะ = คือ พวกมีความเห็นปรารถเบื้องต้นของสิ่งต่างๆว่าเป็นอย่างไร มี ๑๘ ประเภท แบ่งออกเป็น ๕ หมวดได้แก่
(๑.๑) สัสสตวาทะ ๔ = หมวดเห็นว่าเที่ยง
(๑.๑.๑)เห็นว่าตัวตน(อัตตา)และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ
(๑.๑.๒) เห็นว่าตัวตนและโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่ ๑ กัปป์-๑๐ กัปป์ (๑.๑.๓) เห็นว่าตัวตนและโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ๆ ตั้งแต่ ๑๐ กัปป์-๔๐ กัปป์
(๑.๑.๔) นักเดา เดาตามความคิดและคาดคะเนว่าโลกเที่ยง
(๑.๒) เอกัจจอสัตตติกะ ๔ คือ หมวดเห็นว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
(๑.๒.๑) เห็นว่าพระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง
(๑.๒.๒) เห็นว่าเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน(ขิฑฑาปโทสิกา) ไม่เที่ยง (๑.๒.๓) เห็นว่าเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น(มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง
(๑.๒.๔) นักเดา เดาตามคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง
(๑.๓) อันตานันติกะ ๔ หมวดเห็นว่ามีที่สุดและไม่มีที่สุด
(๑.๓.๑)เห็นว่าโลกมีที่สุด
(๑.๓.๒) เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด
(๑.๓.๓)เห็นว่าโลกมี ที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้างและขวาง ไม่มีที่สุด
(๑.๓.๔)นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่
(๑.๔) อมราวิกเขปิกะ ๔ = คือ หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล
(๑.๔.๑)เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็มิใช่,อย่างนั้นก็มิใช่,อย่างอื่นก็มิใช่,มิใช่(อะไร)ก็ไม่ใช่
(๑.๔.๒) เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธ แบบข้อ ๑.๔.๑
(๑.๔.๓) เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธ แบบข้อ ๑.๔.๑
(๑.๔.๔) เพราะโง่เขลาจึงพูดปฏิเสธ แบบข้อ ๑.๔.๑ และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย
(๑.๕) อธิจจสมุปปันนะ ๒ = หมวดเห็นว่าสิ่งต่างๆมีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ
(๑.๕.๑) อสัญญีสัตว์ คือพรหมพวกหนึ่งมีรูปแต่ไม่มีสัญญา เห็นว่าสิ่งต่างๆมีขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็น อสัญญีสัตว์
(๑.๕.๒)นักเดา คะเนว่าสิ่งต่างๆมีขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ
(๒) อปรันตกัปปิกะ = คือ ทิฏฐิความเห็นเบื้องปลายที่มี ๔๔ ประเภท แบ่งเป็น ๕ หมวด
(๒.๑) สัญญีวาทะ ๑๖ หมวดเห็นว่ามีสัญญา -ความจำได้ หมายรู้
(๒.๒) อสัญญีวาทะ ๘ เห็นว่าไม่มีสัญญา
(๒.๓) เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
(๒.๔)อุจเฉทวาทะ ๗ หมวดเห็นว่าขาดสูญ แบ่งได้
(๒.๔.๑)ตนที่เป็นของมนุษย์ สัตว์
(๒.๔.๒)ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ
(๒.๔.๓)ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ
(๒.๔.๔)ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ -พรหมที่เพ่งอากาศเป็นอารมณ์
(๒.๔.๕)ตนที่เป็นวิญญาณัญตนะ-เป็นอรูปพรหม เพ่งวิญญาณหาที่สุดมิได้
(๒.๔.๖)ตนที่เป็น อากิญจัญญายตนะ -ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์
(๒.๔.๗)ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ-สัญญา ความจำสิ้นลง
(๒.๕) ทิฎฐิธัมมนิพพาน ๕ = หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน
(๒.๕.๑)เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
(๒.๕.๒)เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๑-ปฐมฌาน เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
(๒.๕.๓)เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วย ฌาน ๒-ทุติยฌาน เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
(๒.๕.๔.)เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วย ฌาน ๓-ตติยฌานเป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
(๒.๕.๕)เห็นว่าการเห็นว่าการเพียบพร้อมด้วย ฌาน ๔-จตุตถฌาน เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
อุปายาส = คือ ความคับแค้นใจ
ขันธ์ ๕ = ประกอบด้วย รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ
พรหมจรรย์ = คือ กิจแห่งการปฏิบัติเพื่อทำลายอาสวกิเลส จบสิ้นสมบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเอง แต่ยังมีหน้าที่เพื่อผู้อื่นอยู่ ผู้บรรลุถึงขั้นนี้ได้ ชื่อว่า อเสขบุคคล
กิจที่ควรทำ = ในที่นี้หมายถึงกิจในอริยสัจ ๔ คือ การกำหนดรู้ทุกข์, การละเหตุเกิดแห่งทุกข์, การทำให้แจ้งซึ่งความดับทุกข์ และการอบรมมรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #183 เมื่อ: 12, สิงหาคม, 2568, 08:28:12 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๙/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

ไม่มีกิจอื่นอีก = คือไม่มีหน้าที่ในการบำเพ็ญมรรคญาณเพื่อความหมดสิ้นแห่งกิเลสอีกต่อไป เพราะพระพุทธศาสนาถือว่า การบรรลุพระอรหัตตผลเป็นจุดหมายสูงสุดแล้ว
สังขาร = คือชาติ การเกิด หมายถึงกัมมาภิสังขาร อันเป็นปัจจัยแห่งขันธ์ที่เกิดในภพใหม่ เพราะเกิดและท่องเที่ยวไปในชาติต่างๆ
โอรัมฯ = โอรัมภาคิยสังโยชน์ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการ  (๑) สักกายทิฏฐิ - ความเห็นว่าเป็นอัตตา (๒) วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลและวัตร (๔) กามราคะ - ความติดใจในกามคุณ (๕) ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ = สังโยชน์เบื้องสูงเป็นอย่างละเอียดเป็นไปแม้ในภพอันสูง มี ๕ ประการ
(๖) รูปราคะ - ติดใจใน รูปธรรม (สิ่งที่มีรูป), ติดใจในอารมณ์แห่ง รูปฌาน ๔ (ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์)
(๗) อรูปราคะ - ติดใจใน อรูปธรรม ติดใจในอารมณ์แห่ง อรูปฌาน ๔ (ฌานที่มีอรูปธรรมเป็นอารมณ์)
(๘) มานะ - ความถือตนโดยความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา
(๙) อุทธัจจะ - อารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตส่าย ใจวอกแวก
(๑๐) อวิชชา - ความไม่รู้แจ้งใน อริยสัจจ์ ๔ อวิชชาแบ่งเป็น  ๔ คือ
(๑๐.๑) ไม่รู้ใน ทุกข์ (๑๐.๒) ไม่รู้ใน ทุกขสมุทัย (๑๐.๓) ไม่รู้ใน ทุกขนิโรธ (๑๐.๔) ไม่รู้ใน ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ได้แก่ ไม่รู้ใน อดีต ไม่รู้เหตุการณ์; ไม่รู้ใน อนาคต; ไม่รู้ทั้ง อดีต ทั้ง อนาคต; ไม่รู้ ปฏิจจสมุปบาท
 ตถาคต =มีความหมาย ๒ นัย คือ
(๑)นัยที่ ๑ ตถาคต ในคำว่า ‘วิญญาณของตถาคตอาศัยสิ่งนี้’
หมายถึงสัตว์ผู้สิ้นอาสวะ ทรงมุ่งใช้เพื่อตรัสเรียกแทนพระขีณาสพผู้ไม่มีปฏิสนธิปรินิพพานแล้ว
(๒) นัยที่ ๒ ตถาคตในคำว่า ‘ถ้าบุคคลเหล่าอื่นด่าบริภาษ ... กระทบกระทั่งตถาคต ...’ หมายถึงพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สิ้นอาสวะ ทรงมุ่งใช้เพื่อตรัสเรียกแทนพระองค์เอง
แต่เมื่อว่าโดยสภาวธรรมแล้ว ทั้ง ๒ นัยนั้นมีความหมายเดียวกัน คือสภาวะที่สิ้นอาสวะ และปรินิพพาน จิตของผู้สิ้นอาสวะปรินิพพานแล้ว เทวดา มาร พรหม ไม่สามารถจะค้นพบได้ ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ‘อาศัยอารมณ์อะไรเป็นไป’
อรีย์สัจ =อริยสัจ ๔
ขันธ์ ๕= รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สัญญะ= สัญญา -ความจำได้,หมาย,รู้
วิญญ์ฯ= วิญญาณ -ความรู้แจ้ง
วัฏฏะ = วัฏฏสงสาร - การเวียนว่ายตายเกิด
โอปฯ = โอปปาติกะ - สัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อจุติ(ตาย) ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากศพไว้ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น แต่ในที่นี้หมายถึงพระอนาคามีที่เกิดในสุทธาวาส
(ที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์) ๕ ชั้น มีชั้นอวิหาเป็นต้น แล้วดำรงภาวะอยู่ในชั้นนั้นๆ ปรินิพพานสิ้นกิเลสในสุทธาวาสนั่นเอง ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
สกาฯ = พระสกทาคามี
โสดาฯ,โสดะบัน = พระโสดาบัน
พระอริยบุคคล = บุคคลผู้ประเสริฐ มีอยู่ ๔ ระดับ โดยไม่ระบุถึงความเป็นหญิง ความเป็นชาย ความเป็นบรรพชิต หรือเป็นฆราวาส แต่หมายถึง สภาพจิตหรือคุณธรรมที่อยู่ในระดับต่าง ๆ กัน คือการละสังโยชน์ หรือละกิเลสที่ผูกมัดใจให้เป็นทุกข์ มี ๑๐ อย่างตามลำดับ คือ
(๑) พระโสดาบัน - ละสังโยชน์สามข้อแรกได้คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส (๒) พระสกิทาคามี - ละสังโยชน์สามอย่างข้างต้นได้เหมือนกับพระโสดาบัน  แล้วยังทำกามราคะและปฏิฆะให้คลายลง
(๓)พระอนาคามี - ละสังโยชน์ ๕ อย่างเบื้องต้นได้เด็ดขาด ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต ปรามาส กามราคะ และปฏิฆะ
(๔) พระอรหันต์ - ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ อย่าง คือ (๔.๑) สักกายทิฏฐิ (๔.๒) วิจิกิจฉา (๔.๓) สีลัพพตปรามาส  (๔.๔) กามราคะ (๔.๕) ปฏิฆะ (๔.๖) รูปราคะ (๔.๗) อรูปราคะ (๔.๘) มานะ (๔.๙) อุทธัจจะ (๔.๑๐) อวิชชา
อบายภูมิ = ภพที่หาความสุขได้ยาก มีแต่เร่าร้อน ทุรนทุราย มี ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
ปรินิพฯ = ปรินิพพาน
โพธิญาณ = คือ พระสัพพัญญุตญาณ หรือ ทศพลญาณ
คือพระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต ๑๐ ประการ ที่ทำให้พระองค์สามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาได้มั่นคง
(๑) ฐานาฐานญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฏธรรมชาติเกี่ยวกับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลาย เกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่งจะได้รับผลกรรมที่ดีและชั่วต่างๆกัน
(๒) กรรมวิปากญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อน ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #184 เมื่อ: 13, สิงหาคม, 2568, 09:22:04 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๑๐/๑๐) ๔๘.อลคัททูปมสูตร

(๓) สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง คือ สุคติ ทุคติ หรือพ้นจากคติ หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่ประโยชน์ทั้งปวง คือรู้ว่าเมื่อปรารถนาจะเข้าถึงคติหรือประโยชน์ใด จะต้องทำอะไรบ้าง มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติอย่างไร
(๔) นานาธาตุญาณ - ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นเอนก คือ รู้สภาวะของธรรมชาติ เช่น รู้จักส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิต อาทิการปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และรู้เหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
(๕) นานาธิมุตติกญาณ - ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ คือ รู้อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปต่างๆ กัน
(๖) อินทริยปโรปริยัตตญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย คือ รู้ว่าสัตว์นั้นๆ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมาก กิเลสน้อย มีอินทรีย์อ่อน หรือแก่กล้า สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่
(๗) ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ่ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติทั้งหลาย
(๘) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ - ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้
(๙) จุตูปปาตญาณ - ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม
(๑๐) อาสวักขยญาณ - ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ธัมม์นุสารีฯ = ธัมมานุสารี ในที่นี้หมายถึงผู้แล่นไปตามธรรม ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล มีปัญญาแก่กล้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
สัทธาฯ = สัทธานุสารี หมายถึงผู้แล่นไปตามศรัทธา ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธาแก่กล้า บรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต
อริยบุคคล ๗ = บุคคลผู้ประเสริฐ  เรียงจากสูงลงมา
(๑) อุภโตภาควิมุต - ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย และสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ
(๒) ปัญญาวิมุต - ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติก็สำเร็จเลยทีเดียว
(๓) กายสักขี - ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๔) ทิฏฐิปปัตตะ - ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๕) สัทธาวิมุต - ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านที่เข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ
(๖) ธัมมานุสารี - ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ
(๗) สัทธานุสารี - ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือ คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต
กล่าวโดยสรุป บุคคลที่ ๑ และ ๒ (อุภโตภาควิมุต และปัญญาวิมุต) ได้แก่พระอรหันต์ ๒ ประเภท
บุคคลที่ ๓, ๔ และ ๕ (กายสักขี ทิฏฐิปปัตตะ และสัทธาวิมุต) ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค จำแนกเป็น ๓ พวกตามอินทรีย์ที่แก่กล้า เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ สมาธินทรีย์ หรือปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์
บุคคลที่ ๖ และ ๗ (ธัมมานุสารีและสัทธานุสารี) ได้แก่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จำแนกตามอินทรีย์ที่เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ ปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย, ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #185 เมื่อ: 22, สิงหาคม, 2568, 08:55:47 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๔๙. วัมมิกสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยจอมปลวก)

สรัสวตีเทวีฉันท์ ๑๘

   ๑.คราพุทธ์เจ้าศยะอยู่ ณ "เชต์วัน"
สิอาราม"อนาฯ"ครัน....................................ถวายไว้

   ๒.กาลนั้น"กัสสปะฯ"พัก ณ ป่าใกล้
ซิ"อันธ์วัน"ลุคืนไซร้.....................................ปฐมยาม

   ๓.เทพองค์หนึ่งอติงามสว่างขาม
และเปล่งรัศมีลาม.......................................พนาวัน

   ๔.เข้าพบกัสสปะกล่าววจีพลัน
เจาะสิบห้าสิความครัน.................................กะเล่าเปรย

   ๕.เรื่อง"จอมปลวก"จะกระจายสิ"ควัน"เผย
นิศากาลตะ"ลุก"เกย....................................ทิวากาล

   ๖.พราหมณ์บอกว่ากะ"สุเมธ"ซิเธอวาน
กุศัตราเจาะ"ขุด"พาน...................................ปะ"ลิ่มฯ"ไว

   ๗.เอาลิ่มขึ้นทะลุขุดปรุต่อไป
จะพบ"อึ่ง"ก็เก็บไซร้.....................................เจาะ"สองทาง"

   ๘.ขุดต่อไปริปะ"หม้อฯ"สิอยู่ขวาง
และเห็น"เต่า"กะ"เขียงฯ"วาง..........................ปะ"เนื้อ"ตรง

   ๙.ขุดสุดท้ายจะปะ"นาค"ซิพราหมณ์บ่ง
มิเบียดเบียนสถิตย์คง...................................และนบกราน

   ๑๐.เทพขอกัสสปะถามพระพุทธ์เจ้าฉาน
สิปัญหาเฉลยชาญ........................................และจดจำ

   ๑๑.หมู่โลกจตุเทพ,มนุษย์ล้ำ
พระพรหม,มารซิเว้นคำ..................................พระพุทธ์องค์

   ๑๒.ไม่มีใครจะเจาะตอบซิถูกตรง
และเราชื่นรตียง............................................ผละแล้วลา

   ๑๓.แล้วสงฆ์กัสสปะเฝ้าพระพุทธ์ฯหนา
เจาะทูลคืออะไรมา........................................สิคำโยง

   ๑๔.จอมปลวก,ควันรติกาล,จะลุกโพลง
ณ กลางวัน,สิพราหมณ์โจง............................สุเมธใคร

   ๑๕.ศัสตรา,ขุดระดะ,ลิ่มสลักไหน
ก็อึ่ง,ทางสิสองไย..........................................ปะหม้อกรอง

   ๑๖.เต่า,เขียงหั่น,ระกะเนื้อ,และนาคส่อง
เจาะสิบห้าซิให้ตรอง......................................สิความนัย

   ๑๗.ตรัส"จอมปลวก"วปุกายซิสัตว์ไซร้
ประกอบด้วยสิธาตุไว.....................................มหาภูฯ

   ๑๘.มีพ่อแม่เจาะสฤษดิ์อุบัติชู
เจริญด้วยซิข้าวพรู.........................................ขนมกุมฯ

   ๑๙.กายไม่เที่ยงจะเจาะนวดเฟ้นสุม
จะต้องแตกกระจายรุม....................................ประจำพาน

   ๒๐.ยาม"พ่นควัน"ศศิกาลเพราะทำงาน
ณ กลางวันตะคิดการ......................................ณ กลางคืน

   ๒๑.ไฟ"ลุกโพลง"จิรกาลริบ่อยยืน
ณ กลางคืนกระทำดื่น......................................ณ กลางวัน

   ๒๒.คำ"พราหมณ์"คือ"อรหันตสัมฯ"ครัน
สิผู้สอนพระธรรมครัน......................................ตถาฯแล

   ๒๓.มีใครชื่อวะ"สุเมธ"ก็นามแฉ
พระสงฆ์"เสขะ"ยังแช.......................................อร์หันต์เอย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #186 เมื่อ: 22, สิงหาคม, 2568, 04:06:14 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๓) ๔๙.วัมมิกสูตร

   ๒๔.หก"ศัสตรา"ภวปัญฯะยิ่งเผย
ขจัดตัวกิเลสเคย.........................................มลานไป

   ๒๕.เจ็ด"ขุด"หมายพิรมั่นมิหวั่นไหว
พยายามมิท้อใด..........................................ลุเลิศยล

   ๒๖.แปดใด"ลิ่มเจาะสลัก"ริยกพ้น
อวิชชาละทิ้งดล..........................................ลุวิชชา

   ๒๗.เก้า"อึ่ง"คือหฤทัยซิแค้นหนา
กุโกรธมากละทิ้งพา.....................................ลิโกรธไป

   ๒๘."ทางสองแพร่ง"วิจิกิจฯ"ริสงสัย
ตริขุดขึ้นละทิ้งไว.........................................ระแวงซา

   ๒๙."หม้อกรองน้ำ"ก็นิวรณ์สิห้าหนา
สกัดจิตมิให้มา..............................................ลุความดี

   ๓๐.เช่น"กาม์ฉันทนิวรณ์"รตีรี่
ลุขวางจิตมิให้ลี.............................................กุศลทำ

   ๓๑."อาฆาต"เครื่องเจาะริกั้นหทัยนำ
กุเคืองแค้นถลำยำ.........................................จะกั้นทาง

   ๓๒."หดหู่"ถีนะฯ"จะกั้นสกัดขวาง
กุฟุ้งซ่านและร้อนพราง...................................สมาธิ์ไกล

   ๓๓."ความสงสัยวิจิกิจนิวรณ์"ไหว
ลุปิดกั้นฤดีไว.................................................จะต้องลา

   ๓๔."เต่า"เป็นชื่อเพราะอุปาฯซิขันธ์กล้า
ก็ขันธ์ห้าเกาะยึดมา........................................มนุษย์ตรึง

   ๓๕."รูปูปาฯ"ก็เกาะ"รูป"และยึดพึ่ง
เจาะรู้เวทนาดึง...............................................และยึดแล

   ๓๖."สัญญา,จำเจาะระลึกมิลืมแฉ
ลิสังขารสิปรุงแด............................................ริหยุดเลย

   ๓๗."วิญญาณแจ้ง"จะคะนึงและยึดเผย
กิเลสด้วยรตีเอย.............................................และพอใจ

   ๓๘."เขียงหั่นเนื้อ"ดุจะกาม์คุณไข
สิมีห้าจะชวนไว...............................................และอยากกราน

   ๓๙."รูป"พึงเห็นซิประจักษ์เพราะตาขาน
และ"เสียง"รู้สิหูพาน........................................เจาะได้ยิน

   ๔๐."รส"พึงรู้รสะลิ้มซิด้วยลิ้น
ซิ"กลิ่น"รู้จมูกชิน.............................................เพราะดมพา

   ๔๑.รู้"โผฏฐัพพะ"กระทบกะกายหนา
จะชวนรักสนิทมา............................................และต้องการ

   ๔๒."ชิ้นเนื้อ"คือ"ภวเพลิดและเพลินผลาญ
กุกำหนัดอุบัติมาน...........................................ละทิ้งไกล

   ๔๓.ใครชื่อ"นาค"อรหันต์ฯกิเลสไส
ขจัดสิ้นมิกลับไป.............................................ลิเกิดครัน

   ๔๔.ขีณาสพบริสุทธิ์ผละทิ้งกั้น
เพราะทิ้งหมดติสามพลัน..................................ลิ"กาม์คุณ"

   ๔๕.เลิกติด"ภพ"ภวจบมิมีหนุน
"อวิชชา"เลาะพ้นตุน.........................................ลุวิชชา

   ๔๖.ตรัสเสร็จกัสสปะชื่นและชมหนา
กะภาษิตพระพุทธ์ฯพา......................................รตีแล ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร.๓ วัมมิกสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=23


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #187 เมื่อ: 23, สิงหาคม, 2568, 09:04:11 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๓) ๔๙.วัมมิกสูตร

พุทธ์เจ้า,พระพุทธ์ฯ,พุทธ์องค์ = หมายถึง พระพุทธเจ้า
เชต์วัน =เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถีอารามของอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ถวายแด่พระพุทธเจ้า
กัสสปะ = พระกุมารกัสสปะ คือ พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่ง เป็นบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ ท่านคลอดเมื่อมารดาบวชเป็นภิกษุณีแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ทารกนั้นได้นามว่า กัสสปะ ภายหลังเรียกกันว่า กุมารกัสสปะ เพราะท่านเป็นเด็กสามัญ แต่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างราชกุมาร ท่านอุปสมบทในสำนักของพระศาสดา ได้บรรลุพระอรหัตได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นเอตทัคคะในทางแสดงธรรมวิจิตร
อันธ์วันฯ = อันธวัน คือ ป่าที่ พระกุมารกัสสปะ พำนักอยู่
ปฐมยาม = ความนี้มีความหมายว่า เมื่อสิ้นปฐมยามกำลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม เทวดาก็ปรากฏ
คำถาม ๑๕ ข้อ = ที่พระกุมารกัสสปะ ถามพระพุทธเจ้า
(๑) อะไรหนอ ชื่อว่าจอมปลวก = เป็นชื่อของร่างกายนี้ ซึ่งประกอบด้วย มหาภูตรูป ๔ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เติบโตด้วยข้าวสุก
และขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องบริหาร ต้องนวดฟั้น จะต้องแตกสลาย และกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา
มหาภูฯ = มหาภูตรูป ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ขนมกุมฯ = กุมมาส ขนมสด คือขนมที่เก็บไว้นานเกินไปจะบูดเช่น ขนมด้วง ขนมครก ขนมถ้วย ขนมตาล เป็นต้น พระพุทธเจ้า หลังจากเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาก็เสวยข้าวสุกและกุมมาส         
(๒) อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน = คือ การที่บุคคลทำงานในเวลากลางวัน แล้วตรึกตรองถึงในเวลากลางคืน นี้ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน 
(๓) อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน = คือ การที่บุคคลตรึกตรองถึงบ่อยๆ ในเวลากลางคืน แล้วประกอบการงานในเวลากลางวัน ด้วยกายและวาจา นี้ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน
(๔) ใคร ชื่อว่าพราหมณ์ = คือ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
(๕) ใคร ชื่อว่าสุเมธ = ชื่อของภิกษุผู้เป็นเสขะ ซึ่งยังต้องศึกษาไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อบรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปอีก เรียกเต็มว่า พระเสขะ หรือ เสขบุคคล เสขะ คือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุ อรหันตผล หรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี เสขะ หากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ และได้ชื่อว่าใหม่ว่า อเสขะ
(๖) อะไร ชื่อว่าศัสตรา = คือ ชื่อแห่งปัญญาอันประเสริฐ
(๗) อย่างไร ชื่อว่าการขุด = คำว่า จงขุด เป็นชื่อของการปรารภความเพียร
(๘) อะไร ชื่อว่าลิ่มสลัก = เป็นชื่อแห่งอวิชชา อธิบายว่า สุเมธ
เธอจงใช้ศัสตรา ยกลิ่มสลักขึ้น คือ จงละอวิชชา จงขุดขึ้นมา
(๙) อะไร ชื่อว่าอึ่ง = เป็นชื่อของความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ มีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำอึ่งขึ้นมา คือ จงละความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ จงขุดขึ้นมา’                         
(๑๐) อะไร ชื่อว่าทางสองแพร่ง = เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา อธิบายว่า‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราถากทางสองแพร่ง คือ จงละวิจิกิจฉา จงขุดขึ้นมา’
(๑๑) อะไร ชื่อว่าหม้อกรองน้ำด่าง = เป็นชื่อแห่งนิวรณ์ ๕ ประการ คือ
(๑๑.๑) กามฉันทนิวรณ์ - สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม
(๑๑.๒) พยาบาทนิวรณ์ - สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ
(๑๑.๓) ถีนมิทธนิวรณ์ - สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม
(๑๑.๔) อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ - สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ
(๑๑.๕) วิจิกิจฉานิวรณ์ - สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย
อธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นมา คือจงละนิวรณ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’
(๑๒) อะไร ชื่อว่าเต่า = เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๑- ๕ ประการ คือ
(๑๒.๑) รูปูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์คือ รูป
(๑๒.๒) เวทนูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์คือเวทนา
(๑๒.๓) สัญญูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์คือสัญญา
(๑๒.๔) สังขารูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์คือสังขาร
(๑๒.๕) วิญญาณูปาทานขันธ์ - อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ
อธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานำเต่าขึ้นมา คือ จงละ
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา'
(๑๓) อะไร ชื่อว่าเขียงหั่นเนื้อ = เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕ ประการ คือ
(๑๓.๑) รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
(๑๓.๒) เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ
(๑๓.๓) กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ฯลฯ
(๑๓.๔) รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ฯลฯ
(๑๓.๕) โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ฯลฯ
อธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกเขียงหั่นเนื้อขึ้นมา คือจงละกามคุณ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา
(๑๔) อะไร ชื่อว่าชิ้นเนื้อ = เป็นชื่อแห่ง นันทิราคะ(ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน) อธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมา คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นมา'
(๑๕) อะไร ชื่อว่านาค = เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นอรหันต์ขีณาสพ อธิบายว่า ‘นาคจงดำรงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย เธอจงทำความนอบน้อมนาค'
อรหันต์ขีณาสพ = คือ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว,  หมายถึงพระอรหันต์ผู้หมดอาสวะแล้ว เพราะกำจัดอาสวะคือกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต ที่ชุบย้อมจิตให้ชุ่มอยู่เสมอได้แล้วอย่างสิ้นเชิงไม่กลับมาเกิดทำอันตรายจิตได้อีกต่อไป พระอรหันตขีณาสพเป็นผู้ละอาสวกิเลสได้แล้วทั้ง ๓ อย่าง คือ
(๑) กาม - ความติดใจรักใคร่ในกามคุณ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น
(๒) ภพ - ความติดอยู่ในภพ ในความเป็นนั่นเป็นนี่
(๓) อวิชชา ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมืดมัวด้วยโมหะ
วิชชา = ความรู้แจ้งในอริยสัจจ ๔


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #188 เมื่อ: 23, สิงหาคม, 2568, 07:00:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

ประมวลธรรม : ๕๐.รถวนีตสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยรถ ๗ ผลัด)

มุทิงคนาทฉันท์ ๑๔

   ๑.พระพุทธเจ้าประทับครัน..................ณ "เวฬุวันกลันฯ"ฐาน
ณ ราชคฤห์บุรีพาน................................ประจวบกะกาลลุพรรษา

   ๒.พระสงฆ์จะเกิดนะถิ่นเดียว...............หละหลายสิเชียวลุเฝ้ามา
ริตรัสจะมีพระสงฆ์ไหนหนา....................สหายจะสรรเสริญไข

   ๓.กระทำลุ"อัปปิฯ,มักน้อย"..................เจาะสี่นะคล้อย"ธุดงค์ไกล"
"ริพอเหมาะควรกะปัจจัย"......................."ตริเรียน","ลุ"ธรรมมิโอ่"เผย

   ๔.ลุ"สันตุฯสามกะสันโดษ"...................ก็พอมิโอดจะเพิ่มเอ่ย
จะได้อะไรก็พอเอย................................ประชาถวายเหมาะกับสงฆ์

   ๕.ประพฤติ"สงัดปวีเวกฯ".....................กระทำซิเอกวิเวกบ่ง
สงบสิกายและใจส่ง................................สมาฯพะพร้อมลุนิพพาน

   ๖."อสังฯมิยุ่งและคลุกคลี".....................มิ"คุย"ระรี่"ประชิด"กราน
"มิเห็นและฟัง"อะไรผลาญ.......................และเว้นแตะกายลุสัมผัส

   ๗."ลุเพียรวิรียะฯ"ใจกาย.......................เจาะกล่าวขยายกะสงฆ์ชัด
ตริ"ปาริสุทธิศีล"วัตร...............................พิบูลย์ซิครบกะสี่แฉ

   ๘.วิบูลย์"สมาธิสัมฯ"ชัด........................สมาธิอัฏฐะแปดแล
วิปัสสนาซิพร้อมแน่.................................ลุ"ฌานเลาะรูป,อรูป"ไข

   ๙.ผิ"ปัญญะสัมปทาฯ"ครัน....................จะสอนซิพลันกะสงฆ์ไซร้
"วิมุตติสัมปทาฯ"ไว..................................พจีกะสงฆ์เสมอเอย

   ๑๐.สิผู้"วิมุตติญาณทัสส์ฯ"....................แนะสงฆ์มิปัดนะถ้อยเลย
แถลงซิวาทะชวนเผย...............................ซิกล้ากระทำมิท้อถอย

   ๑๑.พระสงฆ์ซิทูล"พระปุณณ์มันฯ".........ประพฤติเจาะดั้นสกลช้อย
พระสาริบุตรตริลาภคล้อย........................พระปุณณะฯลุสรร์เสริญ

   ๑๒.พระพุทธ์ฯเสด็จ ณ "เชต์วันฯ"...........พระปุณณะฯพลันซิเฝ้าเกริ่น
พระองค์สิแจงจะชวนเชิญ.........................และเร้าหทัยทแกล้วหนา

   ๑๓.ประโลมฤดีระรื่นธรรม......................เจาะรับและนำประพฤติกล้า
พระปุณณะฯพอหทัยจ้า............................รตีพจีพระองค์แฉ 

   ๑๔.ก็ลาและเดินประทักษิณ....................เจาะคืนผลิน ณ ป่าแล
พระสาริบุตรก็ตามแน่................................และพัก ณ พฤกษ์ซิทั้งสอง

   ๑๕.ลุเย็นพระสาริบุตรลี้..........................ละออก ณ ที่เจาะ"เร้น"ครอง
เสาะเยี่ยมพระปุณณะถามตรอง.................ตริบวชกะพุทธองค์หรือ

   ๑๖.พระปุณณะตอบวะใช่ความ...............พระสาริฯถามประพฤติครือ
สะอาดกะ"สีล์วิสุทธิ์"พรือ...........................พระปุณณะฯกล่าวมิใช่เลย

   ๑๗.พระสาริฯต่อประพฤติเพื่อ.................ก็จิตตะเอื้อวิสุทธิ์เอย
พระปุณณะฯตอบมิใช่เผย.........................วิสุทธิ์นะทิฏฐิใช่นา

   ๑๘.มิใช่,พระสาริฯถามรุด.......................ตริญาณวิสุทธิ์ลิกังขา
มิใช่,เจาะถามสิ"ญาณทัสส์ฯหนา"...............ริเห็นซิทางสะอาดไหม

   ๑๙.มิใช่,กุถาม"ปฏีป์ทาฯ"........................ซิรู้คณากะญาณไย
พระปุณณะฯตอบก็ไม่ได้............................ตริ"ญาณวิสุทธิ"นี้หรือ

   ๒๐.พระปุณณะฯตอบมิใช่เลย..................พระสาริฯเอ่ยซิพฤติชื่อ
พระธรรมอะไรเหมาะบันลือ.........................พระปุณณะฯตอบ"อนูปาฯ"

   ๒๑.พระสาริฯถามซิแปดรุด.......................ก็"สีล์วิสุทธิฯ",จิตตาฯ"
ริ"ทิฏฐิฯ,กังขะฯ,มัคคาฯ".............................."ปฏีปทาและญาณทัสส์ฯ"

   ๒๒.เจาะแปดจะเป็นอนูปาฯ.......................สิแล้วละหนาตะตอบชัด
พระปุณณะฯตอบมิใช่คัด.............................พระสาริฯถามพระธรรมเหลือ


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #189 เมื่อ: 24, สิงหาคม, 2568, 09:33:09 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๔) ๕๐.รถวินีตสูตร

   ๒๓.ผิเว้นสิแปดจะเป็นครือ......................"อนูปะฯ"หรือมิใช่เครือ
พระปุณณะฯตอบมิใช่เพื่อ.........................พระสาริตอบมิเห็นด่ำ
 
   ๒๔.พระปุณณะฯกล่าวพระพุทธ์ฯจด........ผิทรงจรดกะแปดธรรม
จะเป็น"อนูปะฯ"ถือย้ำ.................................เจาะยึดและตรึง"อุปาทาน"

   ๒๕.ผิธรรมสิอื่นลุ"อนูปาฯ".......................นิกรซิหนาก็นิพพาน
นิกรมิมีพระธรรมฉาน................................วิสุทธิเปรียบซิ"รถ"ชัด

   ๒๖."ปเสนทิฯไป ณ สาเกต......................ตริรถพิเศษซิเจ็ดผลัด
สิแรกประตูตะ"สาวัติฯ"..............................มุเปลี่ยนซิเจ็ดลุสาเกต

   ๒๗.พระปุณณะฯถามผิมีผู้.......................เสาะถามวะกรูลุปลายเขต
เพราะรถสิหนึ่งวะผลัดเหตุ..........................จะตอบซิใดจะแจ้งชัด

   ๒๘.พระสาริฯตอบจะถูกต้อง....................ลุถึงซิคล่องปะเจ็ดผลัด
พระปุณณะฯกล่าววะเปรียบจัด...................กะแปดพระธรรมเซาะเป้าหมาย

   ๒๙.เพราะ"สีล์วิสุทธิ"ต้องรุด.....................ริ"จิตต์วิสุทธิ"เรียงราย
สิ"จิตต์วิสุทธิ"คลี่กราย................................เจาะมีปะ"ทิฏฐ์วิสุทธิ์"หนา

   ๓๐.ริทิฏฐ์วิสุทธิสำเร็จ..............................เจาะ"กังขะฯ"เสร็จพะวงซา
ริกังขะฯรุดขยายมา....................................จิ"มัคคะญาณฯ"ซิเป้าเผย

   ๓๑.ผิมัคคะฯเสร็จระเร็วรี่..........................ปฏีปะฯคลี่กะญาณเชย
ปฏีปทาฯขจรเกย........................................จะมีอนูปะฯมุ่งไข

   ๓๒.พระปุณณะฯกล่าวประพฤติครัน..........ริพรหมจรรย์พระศาสน์ไกล
ก็เพื่ออนูปะทาฯไว.......................................ลุดับกิเลสมิเหลือแฉ

   ๓๓.พระสาริฯกล่าววะอัศ์จรรย์...................พระปุณณะฯดั้นซิเฟ้นแท้
สิปัญญะลึกเหมาะสงฆ์แน่.............................ซิรู้จะแจ้งพระธรรมผอง

   ๓๔.พระศาสดาตริสอนคลี่.........................เหมาะลาภสขีพระสงฆ์ถ่อง
ปะเห็นและนั่งประชิดดอง.............................ผิเทิดวะเหนือซิหัวหนอ

   ๓๕.ก็นับวะลาภพระสงฆ์ชม.......................ผิตัวกระผมกระนั้นจ่อ
สิเห็นและได้เลาะนั่งคลอ..............................กะท่านพระปุณณฯนี้เผย

   ๓๖.พระปุณณะกล่าวพจีรี่..........................พระสาริฯมีเจาะถามเอ่ย
เพราะเลือกและเฟ้นเสาะถามเปรย................เจอะลาภเพราะเห็นและนั่งเคียง

   ๓๗.สหายซิสองก็ต่างชม............................กะถ้อยสดมภ์ซิร้อยเรียง
เจาะเป็นอสีติฯสงฆ์เกรียง.............................ก็สงฆ์ซิของพระโคดม ฯ|ะ

แสงประภัสสร

ที่มา : มจร. ๔. รถวินีตสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ https://share.google/rLMzM72zanY6msnEr

เวฬุวัน = พระเวฬุวัน
กลันทกฯ = กลันทกนิวาปสถาน คือสถานที่สำหรับพระราชทานเหยื่อแก่กระแต
พระพุทธเจ้าหาภิกษุ = ที่มีคุณสมบัติดังนี้
๑.อัปปิจฉกถา - ความมักน้อย ๔ ประการ คือ (๑.๑) เป็นผู้มักน้อยในปัจจัย ๔ (๑.๒) เป็นผู้มักน้อยในธุดงค์ ได้แก่ ไม่ประสงค์ให้ผู้อื่นรู้ความที่ตนสมาทานธุดงค์ (๑.๓) เป็นผู้มักน้อยในการเล่าเรียน ได้แก่ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้ความที่ตนเป็นพหูสูต (๑.๔) เป็นผู้มักน้อยในการบรรลุธรรม ได้แก่ ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้ความที่ตนเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
(๒) สันตุฏฐิกถา - เป็นผู้สันโดษ ๓ ประการ คือ (๒.๑) ยถาลาภสันโดษ - เป็นผู้สันโดษตามมีตามได้ทั้งดีและไม่ดี (๒.๒) ยถาพลสันโดษ - เป็นผู้สันโดษตามกำลังทั้งกำลังของตนและของทายก (๒.๓) ยถาสารุปปสันโดษ - เป็นผู้สันโดษตามสมควรแก่สมณภาวะ
(๓) ปวิเวกกถา - ความสงัด
เป็นผู้สงัด = มีวิเวก ๓ ประการ คือ (๓.๑) กายวิเวก สงัดกาย ได้แก่ อยู่ผู้เดียวทุกอิริยาบถ (๓.๒) จิตตวิเวก ได้แก่ ได้สมาบัติ ๘ (๓.๓) อุปธิวิเวก ได้แก่ บรรลุนิพพาน
(๔) อสังสัคคกถา - ความไม่คลุกคลี
ผู้ไม่คลุกคลีด้วยการคลุกคลี ๕ ประการ คือ (๔.๑) การคลุกคลีด้วยการฟัง (๔.๒) การคลุกคลีด้วยการเห็น (๔.๓) การคลุกคลีด้วยการสนทนา (๔.๔) การคลุกคลีด้วยการอยู่ร่วมกัน (๔.๕) การคลุกคลีทางกาย


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #190 เมื่อ: 24, สิงหาคม, 2568, 05:27:52 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๔) ๕๐.รถวินีตสูตร

(๕) วิริยารัมภกถา = การปรารภความเพียร คือเพียรทางกายและทางจิตให้บริบูรณ์
(๖) สีลสัมปทากถา - ความสมบูรณ์ด้วยศีล คือ ปาริสุทธิศีล ๔ ประการ คือ (๖.๑) ศีลคือการสังวรในพระปาติโมกข์ (๖.๒) ศีลคือการสำรวมอินทรีย์ ๖ (๖.๓) ศีลคือการพิจารณาใช้สอยปัจจัย ๔ (๖.๔) ศีลคือการเลี้ยงชีวิตด้วยความบริสุทธิ์
ปัจจัย ๔ = คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
(๗) สมาธิสัมปทากถา - เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ - คำสมาธิ หมายถึงสมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ อันเป็นบาทแห่งวิปัสสนา
(๘) ปัญญาสัมปทากถา - ความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา
(๙) วิมุตติสัมปทากถา - ความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ
(๑๐) วิมุตติญานทัสสนสัมปทากถา - เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
(๑๑) เป็นผู้ให้โอวาท แนะนำ ชี้แจงให้เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายเห็นชัด เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่น
พระปุณณ์มันฯ,พระปุณณะฯ = พระปุณณมันตานีบุตรเถระ เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก ๘๐ องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระปุณมันตานีบุตรเถระเป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ ออกบวชโดยความชักชวนของพระอัญญาโกณฑัญญะ
พระอสีติมหาสาวก ๘๐ = อสีติมหาสาวก คือ พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกสำคัญ ๘๐ รูป
รายนามพระอสีติมหาสาวก
พระมหาเถระนั่งด้านพระปรัศว์ขวา(เบื้องขวา) ของพระพุทธเจ้า = ๔๐ รูป
(๑) พระอัญญาโกณฑัญญะ    (๒) พระวัปปะ    (๓) พระภัททิยะ   (๔) พระมหานามะ   (๕) พระอัสสชิ (๖) พระนาลกะ   (๗) พระยสะ   (๘) พระวิมละ   (๙) พระสุพาหุ   (๑๐) พระปุณณชิ    (๑๑) พระควัมปติ (๑๒) พระอุรุเวลกัสสปะ   (๑๓) พระนทีกัสสปะ (๑๔) พระคยากัสสปะ    (๑๕) พระสารีบุตรเถระ   (๑๖) พระมหากัสสปะเถระ    (๑๗) พระมหากัจจายนะ   (๑๘) พระมหาโกฏฐิตเถระ    (๑๙) พระมหากัปปินเถระ   (๒๐) พระมหาจุนทเถระ   (๒๑) พระอนุรุทธเถระ    (๒๒) พระกังขาเรวตเถระ    (๒๓) พระอานนทเถระ    (๒๔) พระนันทกเถระ    (๒๕) พระภคุเถระ   (๒๖) พระนันทเถระ    (๒๗) พระกิมพิลเถระ    (๒๘) พระภัททิยเถระ (กาฬิโคธาบุตร)   (๒๙) พระราหุลเถระ    (๓๐) พระสีวลีเถระ   (๓๑) พระอุบาลีเถระ (๓๒) พระทัพพมัลลบุตรเถระ    (๓๓) พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ   (๓๔) พระขทิรวนิยเรวตเถระ (๓๕) พระปุณณมันตานีบุตรเถระ    (๓๖) พระปุณณสุนาปรันตเถระ    (๓๗) พระโสณกุฏิกัณณเถระ    (๓๘) พระโสณโกฬิวิสเถระ   (๓๙) พระราธเถระ   (๔๐) พระสุภูติเถระ   
พระมหาเถระนั่งด้านพระปรัศว์ซ้าย(เบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า = ๔๐ รูป
(๑) พระมหาโมคคัลลานะ (๒) พระองคุลิมาลเถระ (๓) พระวักกลิเถระ (๔) พระกาฬุทายีเถระ (๕) พระมหาอุทายีเถระ (๖) พระปิลินทวัจฉเถระ (๗) พระโสภิตเถระ (๘) พระกุมารกัสสปเถระ (๙) พระรัฏฐปาลเถระ (๑๐) พระวังคีสเถระ (๑๑) พระสภิยเถระ (๑๒) พระเสลเถระ (๑๓) พระอุปวาณเถระ (๑๔) พระเมฆิยเถระ (๑๕) พระสาคตเถระ (๑๖) พระนาคิตเถระ (๑๗) พระลกุณฏกภัททิยเถระ (๑๘) พระปิณโฑลภารทวาชเถระ (๑๙) พระมหาปันถกเถระ (๒๐) พระจูฬปันถกเถระ (๒๑) พระพากุลเถระ (๒๒) พระโกณฑธานเถระ (๒๓) พระพาหิยทารุจิริยเถระ (๒๔) พระยโสชเถระ (๒๕) พระอชิตเถระ (๒๖) พระติสสเมตเตยยเถระ (๒๗) พระปุณณกเถระ (๒๘) พระเมตตคูเถระ (๒๙) พระโธตกเถระ (๓๐) พระอุปสีวเถระ (๓๑) พระนันทกเถระ (๓๒) พระเหมกเถระ (๓๓) พระโตเทยยเถระ (๓๔) พระกัปปเถระ (๓๕) พระชตุกัณณีเถระ (๓๖) พระภัทราวุธเถระ (๓๗) พระอุทยเถระ (๓๘) พระโปสาลเถระ (๓๙) พระโมฆราชเถระ (๔๐) พระปิงคิยเถระ
พระสาริบุตร = พระสารีบุตร อัครวาวกเบื้องขวา ของพระโคตมพุทธเจ้า ผู้เลิศด้วยปัญญา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #191 เมื่อ: 25, สิงหาคม, 2568, 09:14:21 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๔/๔) ๕๐.รถวินีตสูตร

เชต์วันฯ = เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี สร้างถวาย
ประทักษิณ = ประทักษิณ คือ การเวียนขวารอบสิ่งหรือบุคคลที่เคารพเพื่อให้เกิดสิริมงคล เช่น การเวียนเทียน เป็นต้น
ที่หลีกเร้นของพระสารีบุตร =  คือ ในที่นี้หมายถึงผลสมาบัติชั้นสูงสุด
พระสารีบุตร ซัก พระปุณณมันตานีบุตร ๙ ข้อ = ดังนี้
(๑) ท่านผู้มีอายุ ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคของเราหรือ ท่านพระปุณณมันตานีบุตรตอบว่า “ขอรับ ท่านผู้มีอายุ”
(๒) สีลวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งศีล
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อสีลวิสุทธิหรือ “ข้อนี้ หามิได้”
(๓) จิตตวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งจิต
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อจิตตวิสุทธิ หรือ “ข้อนี้ หามิได้”
(๔) ทิฏฐิวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อทิฏฐิวิสุทธิ หรือ  “ข้อนี้ หามิได้”
(๕) กังขาวิตรณวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อกังขาวิตรณวิสุทธิ หรือ “ข้อนี้ หามิได้”
(๖) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ หรือ “ข้อนี้ หามิได้”
(๗) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นทางดำเนิน
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ หรือ “ข้อนี้ หามิได้”
(๙) ญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อญาณทัสสนวิสุทธิ หรือ “ข้อนี้ หามิได้”
อนูปาฯ,อนูปะฯ = อนุปาทาปรินิพพาน หมายถึงปรินิพพานที่หาปัจจัยปรุงแต่งมิได้ แต่ในที่นี้ พระเถระหมายเอาสภาวะเป็นที่สุด เป็นเงื่อนปลาย เป็นที่จบการประพฤติพรหมจรรย์ของท่านผู้ถืออปัจจยปรินิพพาน
ปเสนทิฯ = พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระมหากษัตริย์แห่งโกศลจากราชวงศ์อิกษวากุ เสวยราชย์อยู่ ณ เมืองสาวัตถี  ถือเป็นอุบาสกที่สำคัญพระองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า และทรงสร้างอารามไว้หลายแห่ง เช่น วัดราชิการามเป็นวัดที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างถวายเพื่อเป็นที่อยู่ของพระภิกษุณี
สาเกต = ชื่อมหานครแห่งหนึ่ง อยู่ในแคว้นโกศล ห่างจากเมืองสาวัตถี ๗ โยชน์ ธนัญชัยเศรษฐี บิดาของนางวิสาขา ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้เข้าตั้งถิ่นฐานและสร้างขึ้น เมื่อคราวที่ท่านเศรษฐีอพยพจากเมืองราชคฤห์มาอยู่ในแคว้นโกศลตามคำเชิญชวนของพระองค์
พระโคดม = พระโคดมพุทธเจ้า


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฝาตุ่ม, ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #192 เมื่อ: 25, สิงหาคม, 2568, 04:03:39 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
ประมวลธรรม : ๕๑.นิวาปสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยเหยื่อหรืออาหารสัตว์)

จันทรกานต์ฉันท์ ๑๕/โคลงสี่สุภาพ

   ๑.พุทธ์เจ้าประทับ ณ เชตว์นาราม............ภณะตามพระสงฆ์ซิเฝ้า
เรื่องพราหมณ์สิอยู่ลุมือมารเนา..................ดุจะเนื้อจะเป็นนะเหยื่อ

   ๒.ทรงตรัสพราหมณ์ปลูกหญ้า............ชักนำ ฝูงโค
หลอกเสพเพลินถลำ..............................จับได้
ฝูงโคเล่ารวมหนำ..................................มีสี่ ฝูงนา
โคอยู่กินเผลอไซร้................................ไม่แคล้วรอดเผย

   ๓.เอ่ยฝูงซิแรกเลาะเล็มทุ่งหญ้า...............มทะหนาเดาะเพลินและเผลอ
นายพรานก็จับประกบตัวเออ......................ประลุสิทธิพรานซิหนา

   ๔.มาฝูงสองคิดแล้...............................พึงดู เลียนแบบ"
จึงงดกินเลิกกรู......................................ไม่กล้า
กินในป่าแทนพรู....................................จนหมด ภัตรนา
กลับสู่ผืนแปลงหญ้า..............................แน่แท้ทาสพราน

   ๕.กรานโคสิสามลุยังป่าใหญ่...................ติณะไซร้สิภัตรประทัง
เมื่อผ่านวสันต์ฤดูหญ้ายั้ง...........................ก็อุสุภซิอดและผอม

   ๖.โคกรอมหมดเรี่ยวแท้.......................ทะยาน  ออกวนา
ถึงเขตแปลงของพราน...........................ไม่เข้า
ในแปลงอยู่นอกชาญ..............................เดินซุ่ม กินแล
จึงไม่ถูกพรานเฝ้า...................................มุ่งร้ายเลยแฉ

   ๗.แลพรานตริโคซิกลุ่มสามยาตร..............จะฉลาดมิเหมือนกะสัตว์
ดูคล้ายประกอบกะฤทธิ์ชัด.........................จะเกาะกุมจะต้องเจาะรู้

   ๘.พรานชูแผนเพื่อแจ้ง.........................ทางเดิน ไป-กลับ
ตาข่ายถูกสรรค์เทิน...............................มุ่งล้อม
พรานตามติดเผชิญ................................มิพลาด โคสาม
โคจึ่งมิรอดด้อม......................................ผละลี้นายพราน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ต้นฝ้าย, ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #193 เมื่อ: 26, สิงหาคม, 2568, 09:41:50 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๒/๔) ๕๑.นิวาปสูตร

   ๙.พรานกรานตริ"โคซิกลุ่มสี่"เชียว..........จะเฉลียวคะคล้ายสิสาม
จึงล้อมตะข่ายสิทุ่งหญ้าผลาม...................ตะมิพบเจอะโคเฉลย

   ๑๐.พรานเลยคิดหากแม้น................ทำโค ตกใจ
สามกลุ่มกระเทือนโข.........................ร่วมพร้อม
ผองโคไม่เดินโชว์...............................กินอยู่ ในแปลง
พรานจุ่งวางเฉยค้อม...........................สี่พ้นพรานแฉ

   ๑๑.แลพุทธเจ้าซิตรัสแปลกราน..............วจะ"พราน"ก็"มาร"นะเอย
ทุ่งหญ้าเจาะกามคุณสิห้าอย่างเผย............จตุ"โค"เหมาะพราหมณ์พลี

   ๑๒.มีพราหมณ์พวก"หนึ่ง"ไซร้...........เดินหา กามคุณ
มารล่อจึงหลบหนา..............................ท่วมท้น
ลืมตนประมาทพา................................มารรุก ถูกงำ
พราหมณ์กลุ่มแรกมิพ้น.......................ใหญ่แท้ของมาร

   ๑๓.พราหมณ์ชาญซิสองริเลิกเสพกาม.....ภยผลามมิเข้าเซาะเอย
หลีกไปพนาเสาะกินพืชเผย........................บริโภคซิผลลุหล่น

   ๑๔.กาลยลฤดูที่แล้ง.........................อาหาร หมดลง
คราร่างซูบผอมกราน...........................เรี่ยวน้อย
ตั้งใจเสื่อมเลิกงาน...............................บริโภค คืนกาม
หลงเกลือกมัวมิคล้อย..........................ไม่พ้นมารเผย

   ๑๕.เอ่ยพราหมณ์ซิสามริชิดกามใกล้........นิรไซร้มิเสพกะ"กาม"
ไม่ลืมซิตนมิหลงมัวลาม..............................ตะริทิฏฐิเห็นซิผิด

   ๑๖.จิตพราหมณ์สามคิดน้อม.............โลกยืน มิคง
ตายไม่เกิดอีกกลืน...............................แน่แท้
หลังตายเกิดมิยืน.................................เวียนคิด วนไป
คิดเด่นใจเถียงแล้.................................ไม่พ้นมือมาร

   ๑๗.พานพราหมณ์ซิสี่ริอาศัยอยู่...............ศยะชูสิมารมิถึง
พราหมณ์เลิกเจาะกามมิหลงมัวตรึง.............จตุกลุ่มผละมารซิไกล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร
« ตอบ #194 เมื่อ: 26, สิงหาคม, 2568, 03:45:24 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: ประมวลธรรม: ๘.เกวัฏฏสูตร

(ต่อหน้า ๓/๔) ๕๑.นิวาปสูตร

   ๑๘.มารไปถึงไม่ได้..........................สภาพทรง กุศล
สงฆ์ล่วงปฐมฌานตรง.........................สงบแล้
ปีติ,ตรึก,ตรองคง.................................สุขก่อ สมาธิ์แล
สงฆ์เด่นมารบอดแท้............................ไม่จ้องเห็นเลย

   ๑๙.เผยสงฆ์ซิตรึกและตรองดับราน......."ทุติย์ฌาน"ลุครันสงบ
จิตปีติ,สุขสิเป็นหนึ่งพบ............................ลุสภาพซิมารมิเห็น

   ๒๐.เป็นสงฆ์คลายเหวี่ยงทิ้ง...............อิ่มใจ จางลง
สงฆ์ล่วง"ตติย์ฌานฯ"ไว........................แม่นแล้ว
มี"อุเบกขา"ไกล....................................สติพร่าง วางเฉย
สุขร่วมมารจึงแคล้ว..............................ไม่ชี้เห็นแล

   ๒๑.แฉสงฆ์ละเศร้าและดีใจได้................มละไซร้ลิทุกข์ลิสุข
สงฆ์คงซิเหลืออุเบกขาชุก.........................."จตุต์ฌานฯ"ลุมารมิเห็น

   ๒๒.เป็นสงฆ์กำหนดแล้....................."อากาศ มิสุด"
ดับ"รูปสัญญา"กาจ..............................ไม่ย้ำ
"ปฏิฆะ"ดับมิยาตร..............................."นานัตต์ฯ" จิตสงบ
จึงล่วง"อากาฯ"ล้ำ................................เด่นจ้องมารหาย

   ๒๓.สงฆ์กรายจรดวะวิญญาณนา.............นิรหาเจาะสุดมิได้
ทุกสิ่งมิเที่ยงลุ"วิญญาฯ"ไกล......................ผิวะมารมิเห็นเฉลย

   ๒๔.สงฆ์เปรยกำหนดไซร้..................."อะไร มิมี"
ผองขันธ์มิเที่ยงไกล..............................ทุกข์แท้
เป็นอนัตตาไว.......................................มิใช่ ตัวตน
สงฆ์ล่วง"อากิญจ์ฯ"แล้...........................เปี่ยมท้นรอดมาร

   ๒๕.สงฆ์กรานระลึกซิสัญญา,จำ...............นิรพร่ำวะมีรึไม่
กราย"เนวสัญฯ"ละเอียดใจไว.....................ผิวะมารมิอาจจะยล


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.202 วินาที กับ 152 คำสั่ง
กำลังโหลด...