(ต่อหน้า ๖/๑๐) ๕๒.ปาสราสิสูตร
๘๑.พระสงฆ์ลุ"เจ็ด,อะกิญจัญฯ"............มิมีประชันอะไรหนา
เจาะนามธรรมสิสี่หล้า..............................มิเที่ยงเกาะทุกข์และไร้ตน
๘๒. เวทนา,รู้ดล
สัญญา,จำล้น...........................................สังขาร,ปรุงเอย
วิญญาณ,รู้คือ..........................................ชื่อนามธรรมเอ่ย
สภาวะเชย...............................................มารมิเห็นแล
๘๓.พระสงฆ์ลุ"เนวสัญญาฯ"..................ระลึกซิหนามิมีแฉ
จะว่า"มิมีก็ไม่"แช......................................"จะมีก็ไม่"เจาะจริงใด
๘๔. เนวสัญญาไกล
จิตละเอียดไซร้........................................คล้ายไร้สัญญา
สัญญา,จำมี.............................................อาจชี้ไร้หนา
สภาพเกิดนา............................................มารตาบอดราน
๘๕.พระสงฆ์ลุ"เวทนิโรธฯ"เทิด...............เพราะปัญญะเลิศกิเลสผลาญ
ลิ"เวทนา"ลิ"จำ"กราน................................สงบซิแทบมิหายใจ
๘๖. เวทยิทฯ,เก้าไกล
การพักผ่อนไซร้........................................อริยะครัน
เฉพาะอนาคาฯ..........................................กล้าอรหันต์
สภาพนี้ยัน................................................มารมิเห็นเลย
๘๗.พระพุทธเจ้าซิตรัสชัด......................ลุฌานละตัดกิเลสเผย
เจาะข้ามและพ้นกะโลกเอย........................เพราะเดินสิคนละทางแฉ
๘๘. มารมิเห็นแล
มิติดบ่วงแล้...............................................อยู่ไกลบ่วงมาร
สงฆ์ฟังภาษิต............................................ชิดทรงสอนชาญ
ต่างชื่นชมกราน.........................................ถ้อยพระองค์เอย ฯ|ะ
แสงประภัสสร
ที่มา : มจร. ๖. ปาสราสิสูตร : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
https://share.google/LGXOpem4mxgzWSc8mเชตวันฯ = เชตวนาราม วัดที่ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี สร้างถวาย
รัมมะฯ = รัมมกพราหมณ์ คือชื่อพราหมณ์ ที่มีอาศรม พระภิกษุจะเข้าไปประชุมสนทนาธรรมกัน
การสนทนาธรรม = หมายถึงสนทนาเรื่องกถาวัตถุ ๑๐
การเป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยะ = หมายถึงการเข้าฌานสมาบัติ
ฌานหมายถึงสมาธิขั้นสูงที่จิตสงบแน่วแน่ และสมาบัติหมายถึงการเข้าถึงฌานนั้นๆ หรือการเข้าถึงความสงบของจิตในระดับฌานนั้นๆ
กถาวัตถุ ๑๐ = หมายถึง เรื่องที่ควรพูด เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุ ได้แก่
(๑) อัปปิจฉกถา = เรื่องความมักน้อย ถ้อยคำที่ชักชวนให้มีความปรารถนาน้อย (๒) สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อหรือปรนปรือ (๓) ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ (๔) อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลี ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ (๕) วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร (๖) สีลกถา เรื่องศีล ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล (๗) สมาธิกถา เรื่องสมาธิ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น (๘) ปัญญากถา เรื่องปัญญา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา (๙) วิมุตติกถา เรื่องวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์ (๑๐) วิมุตติญาณทัสสนกถา เรื่องความรู้ความเห็นในวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจ และเข้าใจเรื่องความรู้ ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์
อุปธิ = กิเลส, ความพัวพัน,ติดวนเวียนเกิด-ตาย ในที่นี้หมายถึงกามคุณ ๕ ประการ (คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ)
อาฬารฯ = สำนักของ อาฬารดาบส กาลามโคตร
อากิญจัญฯ = อากิญจัญญายตนสมาบัติ
อุทกฯ = สำนักของ อุทกดาบส รามบุตร
เนวสัญฯ = เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ฌาน = การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก ฌานแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
(๑) รูปฌาน = ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ คือ
(๑.๑) ปฐมฌาน - ฌานที่ ๑ ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๒) ทุติยฌาน - ฌานที่ ๒ ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา (๑.๓) ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา (๑.๔) จตุตถฌาน - ฌานที่ ๔ ประกอบด้วย อุเบกขา เอกัคคตา