Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> คำประพันธ์ แยกตามประเภท >> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม >> อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา  (อ่าน 11312 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #60 เมื่อ: 19, สิงหาคม, 2568, 07:57:01 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๕ /๖) ๔.วิภังค์


 (๙) รูปกัมมัญญตา = เป็นภาวะที่ควรแก่การงานของรูป ดังเช่น ทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว (๑๐) รูปอุปจยะ = รูปเกิดขึ้นขณะแรก (๑๑) รูปสันตติ = ขณะที่รูปเจริญขึ้น (๑๒) รูปชรตา = ขณะที่รูปเสื่อมลง (๑๓) รูปอนิจจตา = ขณะที่รูปดับ (๑๔) กวฬิงการาหาร = อาหาร (๑๕) อาโปธาตุ = ธาตุน้ำ (๑๖) หทยรูป = คือ รูปที่เป็นที่ตั้งอาศัยเกิดของจิตและเจตสิก เพื่อทำกิจให้สำเร็จ เป็นกุศลหรืออกุศล หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ไม่ใกล้ ในที่ไม่ใกล้ชิด ในที่ไกล ในที่ไม่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปไกล
รูปใกล้ เป็นไฉน = ได้แก่
(๑) จักขายตนะ - คือ ตาซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด (๒)โสตายตนะ - หู ฯลฯ (๓) ฆานายตนะ - จมูก (๔) ชิวหายตนะ - ลิ้น (๕) กายายตนะ - กาย (๖) รูปายตนะ - สี (๗) สัททายตนะ - เสียง (๘) คันธายตนะ - กลิ่น (๙) รสายตนะ - รส
โผฏฐัพพายตนะ ซึ่งเป็นที่ประชุมที่เกิด
(๑๐) สัมผัส เย็น,ร้อน ด้วยธาตุไฟ (๑๑) อ่อน,แข็ง ด้วยธาตุดิน (๑๒) ตึง,ไหว ด้วยธาตุลม
หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ใกล้ ในที่ใกล้ชิดในที่ไม่ไกล ในที่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปใกล้
รูป แจกตาม อภิธัมมภาชนียะ = รูปได้แก่ มหาภูตรูป  ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ (รูปที่ต้องอาศัยมหาภูตรูปเกิด) แจกออกเป็น ๑๑ หมวด คือ
(๑) เอกกะ = แจกออกเป็น ๑
รูปทุกชนิด "มิใช่เหตุ" (มิใช่เหตุฝ่ายดี เพราะมิใช่ อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ และมิใช่เหตุฝ่ายชั่ว เพราะมิใช่ โลภะ,โทสะ,โมหะ)
"ไม่มีเหตุ" (ไม่มีโลภะ,โทสะ,โมหะ หรือ อโลภะ,อโทสะ,อโมหะ เป็นมูลเหมือน อกุศล หรือ กุศล เพราะเป็นกลางๆ)
(๒) ทุกะ = แจกออกเป็น ๒
(๒.๑) "รูปที่อาศัยมีอยู่"- คืออุปาทยรูป
(๒.๒) "รูปที่มิได้อาศัยมีอยู่" - คือ มหาภูตรูป
 มีเพิ่มอีก ๑๐๓ คู่ รวมเป็น ๑๐๔ คู่
(๓) ติกะ = แจกออกเป็น ๓
(๓.๑) "รูปใดเป็นไปในภายใน รูปนั้นเป็น อุปาทยรูป"
(๓.๒) "รูปใดเป็นไปในภายนอก รูปนั้นเป็น อุปาทยรูป"
(๓.๓) "รูปใดเป็นไปในภายนอก รูปนั้นเป็น นโนอุปาทยรูป (มิใช่รูปอาศัย)"
มีรูปกลุ่ม ๓ อีก ๓๐๒ รวมเป็น ๓๐๓
(๔) จตุกะ = แจกออกเป็น ๔
(๔.๑) "รูปใดเป็นรูปอาศัย รูปนั้นถูกยึดถือ"
(๔.๒) "รูปใดเป็นรูปอาศัย รูปนั้นไม่ถูกยึดถือ"
(๔.๓) "รูปใดไม่เป็นรูปอาศัย รูปนั้นถูกยึดถือ"
(๔.๔) "รูปใดไม่เป็นรูปอาศัย รูปนั้นไม่ถูกยึดถือ"
 (๕) ปัญจกะ = แจกออกเป็น ๕
คือ ธาตุดิน,ธาตุน้ำ,ธาตุไฟ,ธาตุลม และ รูปอาศัย
(๖) ฉักกะ = แจกออกเป็น ๖ คือ
รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือตา, ด้วยโสตวิญญาณ คือหู, ด้วยฆานวิญญาณ คือจมูก, ด้วยชิวหาวิญญาณ คือลิ้น, ด้วยกายวิญญาณ, และมโนวิญญาณ ด้วยใจ
(๗) สัตตกะ = แจกออกเป็น ๗ คือ
(๗.๑) รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือ ตา (๗.๒) รูปที่พึงรู้ด้วย โสตวิญญาณ คือหู (๗.๓) รูปที่พึงรู้ด้วย ฆานวิญญาณ คือจมูก (๗.๔) รูปที่พึงรู้ด้วย ชิวหาวิญญาณ คือลิ้น (๗.๕) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ คือกาย  (๗.๖) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนธาตุ(ธาตุคือใจ) (๗.๗) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ทางใจ


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลิตเติลเกิร์ล, ฝาตุ่ม, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..

แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #61 เมื่อ: 19, สิงหาคม, 2568, 05:07:48 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๖/๖) ๔.วิภังค์

(๘) อัฏฐกะ = แจกออกเป็น ๘
(๘.๑) รูปที่พึงรู้ด้วย จักขุวิญญาณ คือ ตา (๘.๒) รูปที่พึงรู้ด้วย โสตวิญญาณ คือ หู (๘.๓) รูปที่พึงรู้ด้วย ฆานวิญญาณ คือจมูก (๘.๔) รูปที่พึงรู้ด้วย ชิวหาวิญญาณ คือลิ้น (๘.๕) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ มีสัมผัสเป็นสุข (๘.๖) รูปที่พึงรู้ด้วย กายวิญญาณ มีสัมผัสเป็นทุกข์ (๘.๗) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนธาตุ (๘.๘) รูปที่พึงรู้ด้วย มโนวิญญาณธาตุ
(๙) นวกะ = แจกออกเป็น ๙
อินทรีย์ ธรรมชาติอันเป็นใหญ่ คือ จักขุนทรีย์ - ตา, โสตินทรีย์ - หู, ฆานินทรีย์ - จมูก, ชิวหินทรีย์ - ลิ้น, กายินทรีย์ - กาย, อิตถินทรีย์ - ภาวะหญิง, ปุริสินทรีย์ - ภาวะเพศชาย, ชีวิตินทรีย์ - ชีวิต, และรูปที่ไม่เป็นอินทรีย์ คือ ธรรมชาติ
(๑๐) ทสกะ = แจกออกเป็น ๑๐
(๑๐.๑) อินทรีย์ คือ ตา (๑๐.๒) อินทรีย์คือ หู (๑๐.๓) อินทรีย์คือ จมูก (๑๐.๔) อินทรีย์ คือ ลิ้น (๑๐.๕) อินทรีย์คือ กาย (๑๐.๖) อินทรีย์คือ หญิง (๑๐.๗) อินทรีย์คือ ชาย (๑๐.๘) อินทรีย์คือ ชีวิต (๑๐.๙) ธรรมชาติซึ่งมิใช่อินทรีย์อันถูกต้องได้ (สัปปฏิฆะ) (๑๐.๑๐) ธรรมชาติซึ่งมิใช่อินทรีย์อันถูกต้องไม่ได้ (อัปปฏิฆะ)
(๑๑) เอกาทสก ๑๑ = แจกออกเป็น ๑๑ คือ
(๑๑.๑) จักขายตนะ - ที่ต่อหรือบ่อเกิด คือ ตา (๑๑.๒) โสตายตนะ คือ หู (๑๑.๓) ฆานายตนะ คือ จมูก (๑๑.๔) ชิวหายตนะๅ คือ ลิ้น (๑๑.๕) กายายตนะ คือ กาย (๑๑.๖) รูปายตนะ คือ รูป (๑๑.๗) สัททายตนะ คือ เสียง (๑๑.๘) คันทายตนะ คือ กลิ่น (๑๑.๙) รสายตนะ คือ รส
(๑๑.๑๐) โผฏฐัพพายตนะ คือ โผฏฐัพพะ - สิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย (๑๑.๑๑) รูปที่เห็นไม่ได้ (เอนิทัสสนะ) และถูกต้องไม่ได้ (อัปปฏิฆะ) เป็นของเนื่องด้วย ธัมมายตนะ (รู้ได้ด้วยใจ)
ปัญหาปุจฉกะ = หมวดถามตอบปัญหา ในเรื่อง รูปขันธ์ มีสรุป เช่น
(๑) กองรูป = เป็น อัพยากฤต เป็นกลางๆ ไม่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศล
(๒) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น กามาวจร - ท่องอยู่ในกามคุณ ๕
(๓) รูป = มีสภาวะธรรม เป็นปริยาปันนะ - นับเนื่องในวัฏฏะทุกข์
(๔) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อนิยยานิกะ - ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏะทุกข์ 
(๕) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อัปปีติกะ -ไม่มีปีติ
(๖) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อวิตักกะ - ไม่มีวิตก (ความตรึก)
(๗) รูป = มีสภาวะธรรม เป็น อวิจาระ - ไม่มีวิจาร(ความตรอง)


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #62 เมื่อ: 28, สิงหาคม, 2568, 09:01:33 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

อภิธรรมปิฎก : ๕.วิภังค์ (ว่าด้วยขันธวิภังค์ : เวทนาขันธ์)

กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒

   ๑."เวทนา"ส่วนหนึ่ง....................................ของขันธ์ห้าถึง
"รูป,เวทนา"พึง............................................."สังขาร,สัญญา"
และ"วิญญาณขันธ์"......................................ห้าครันล้วนหนา
สร้างกายสัตว์พา..........................................ชีพสืบต่อไป

    ๒.เวทนารู้สึก............................................พอใจสุขลึก
ไม่พอใจนึก..................................................เกิดทุกข์ก่อไข
ไม่สุขไม่ทุกข์...............................................ก่อซุกเฉยไป
อุเบกขาไซร้.................................................อารมณ์กลางกลาง

   ๓.ความรู้สึกเกิด.........................................จากผัสสะเชิด
ประสาทห้าเปิด.............................................ได้"เห็น,ยิน"ผาง
"กลิ่น,ลิ้ม,สัมผัส"............................................ผ่านชัด"ตา"บ้าง
"หู,จมูก,ลิ้น"กร่าง...........................................กาย,ใจตนเอย

   ๔.ใจรับรู้สึก................................................สบายใจนึก
หรือไม่สบายตรึก...........................................หรือเฉยเฉยเลย
เกิดเวทนารู้....................................................พร่างพรูมากเผย
เวทนา"สอง"เปรย...........................................สาม,ห้า,หก,..มี

   ๕.เวทนาขันธ์กราน......................................เจาะแยกหลายกาล
อดีต,อนาคตพาน...........................................ปัจจุบันที
เวทนา"ภายใน"..............................................."นอก"ไซร้มีคลี่
"หยาบ-ละเอียด"รี่...........................................ทราม-ประณีต"แล

   ๖.เวทนาไกล-ใกล้........................................รวมหมดเรียกไข
เวทนาขันธ์ไว.................................................สภาวะหลายแช
เวทนาอดีตคือ................................................ชื่อดับแล้วแฉ
ต้องมีเปลี่ยนแปร............................................รวมเป็นอดีตเอย

   ๗.มี"สุขเวทนา"............................................"ทุกข์เวทนา"กล้า
"อทุกข์สุขฯ"พา..............................................รู้สึกสามเอย
เรียกว่าอดีต...................................................มีขีดคั่นเผย
ความไม่เที่ยงเกย............................................มีปัจจัยนา

   ๘.เวทนาหนึ่ง"..............................................สัมปยุตพึง
ประกอบด้วยตรึง............................................กับผัสสะมา
เวทนาสอง......................................................ความตรองรู้กล้า
"มีเหตุ"นำมา...................................................และ"ไร้เหตุ"แล

   ๙.เวทนาสาม................................................มี"กุศล"ตาม
"อกุศล"ลาม....................................................."อัพยากฤต"แว
สี่เวทนา...........................................................กามาวจร"แน่
อยู่ท่องกามแท้.................................................รูป,รส,กลิ่นเอย

   ๑๐."รูปาว์จฯ"ชม............................................เป็นรูปพรหม
ในรูปภาพคม...................................................."อรูปาว์ฯ"เกย
ใน"อรูปภพ"ไซร้................................................พรหมไร้รูปเอ่ย
"พ้นวัฏฏะ"เชย..................................................ทุกข์จะพ้นแล


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #63 เมื่อ: 28, สิงหาคม, 2568, 09:34:53 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๒/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๑๑.เวทนาห้า............................................"สุขินทรีย์"หนา
"ทุกข์,ทุกขินฯ"มา........................................."เศร้า,โทมนัส"แว
"โสมนัสสินฯ"เอก.........................................อุเบกขินฯ"แน่
วางเฉยโดยแท้............................................ไม่รู้สึกเลย

    ๑๒.หกเวทนา...........................................รู้สัมผัสหนา
สัมผัสด้วย"ตา"............................................."หู,โสตสัมฯ"เอย
ทาง"จมูกฆานสัมฯ".......................................รู้พร่ำ"ลิ้น"เอ่ย
"กายสัมผัสฯ"เกย.........................................รู้ทางกายรอ

   ๑๓."มโนสัมผัสส์ฯ".....................................รู้ด้วยใจชัด
เวทนาเจ็ดคัด...............................................เกิดสัมผัสจ่อ
"ตา,จักขุฯ"โดด.............................................ด้วย"โสตสัมฯ"ขอ
"จมูก,ฆาน์สัมฯ"พอ........................................."ลิ้น,ชิวหาฯ"แล

   ๑๔."กายสัมผัสส์ชา"...................................เกิดทางกายหนา
"มโนธาตุสัมฯ"กล้า........................................เกิดทางใจแด
"มโนวิญญาณฯ"............................................ใจขานรู้แน่
เกิดหกทวารแล้.............................................รวมหกอารมณ์

   ๑๕.แปดเวทนา...........................................เกิดสัมผ้สหนา
"ตา,จักขุฯ"กล้า.............................................."หู,โสตสัมฯชม
"จมูก,ฆานสัมฯ"พริ้ว........................................"ลิ้น,ชิวหาฯ"ขม
"กายสัมผัสฯ"ร่ม.............................................เกิดเป็นสุขเอย

   ๑๖."กายสัมผัส"ล้น......................................เกิดเป็นทุกข์ขาน
"มโนธาตุสัมฯ"ดล...........................................กระทบรู้เลย
"มโนวิญญ์สัมฯ"..............................................ใจพร่ำรู้เผย
จิตรู้มากเชย..................................................หลายอารมณ์แล

   ๑๗.เวทนากล้า............................................เกิดรู้หลายเร้า
"จักขุสัมฯ"เฝ้า................................................รู้ด้วยตาแน่
"โสตสัมผัสฯ".................................................หูชัดยิ่งแฉ
"ฆานสัมผัส"แท้..............................................."ลิ้น,ชิวหาฯ"เอย

   ๑๘."กายสัมผัสฯ"แล้ว...................................ใจรู้แน่แน่ว
"มโนธาตุสัมฯ"แคล่ว........................................จิตรู้ซึ้งเลย
"มโนวิญญ์สัมฯ"ล้น..........................................กุศลเด่นเผย
"มโนวิญญ์สัมฯ"เกย.........................................อกุศลด้วยนา

   ๑๙."มโนวิญญ์สัมฯวาง..................................เกิดเป็นกลางกลาง
ไม่บ่งเพราะพราง.............................................กรรมชั่ว,ดีพา
เวทนาสิบพร่ำ..................................................รู้สัมผัส"ตา"
"โสตสัมผัส"หนา..............................................จมูกสัมผัสแล

   ๒๐.ชิวหาสัมผัส............................................กายสัมผัสชัด
รู้สองอย่างจัด..................................................เกิดสุข,ทุกข์แว
"มโนธาตุสัมฯ"มาก...........................................เกิดจากใจแฉ
"มโนวิญญ์ฯแท้.................................................เกิดกุศลวาง


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #64 เมื่อ: 29, สิงหาคม, 2568, 12:32:29 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๓/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๒๑."มโนวิญญ์ฯวิ่ง.....................................อกุศลดิ่ง
"มโนวิญญ์ฯ"นิ่ง............................................อัพ์ยากฤตกลาง
สิบแปดเวทนา..............................................จิตหนารู้ขวาง
จิตมั่วสุมบ้าง................................................"โสมนัสหก"เอย

    ๒๒.ทางตา,จมูก,หู....................................ลิ้น,กาย,ใจพรู
รุม"โทมนัส"ชู...............................................หกทางแน่เลย
อุเบกขาเด่น.................................................รู้เป็นกลางเผย
หกทางเหมือนเกย........................................เช่นเดียวกันแล

   ๒๓."ร้อยแปดเวทนา".................................อดีต,อนาฯ
ปัจจุบันคว้า.................................................สามกาลนี้แล้
มีเท่ากันกริบ................................................สามสิบหกแฉ
เวทนาหลายแท้............................................ง่ายต่อสอนชน

   ๒๔.สุขเวทนา............................................เสวยอารมณ์หนา
ทั้งกาย,ใจฝ่า...............................................สุขตั้งอยู่ล้น
แต่จะเกิดทุกข์.............................................ถูกบุกเปลี่ยนผล
เมื่ออารมณ์ดล.............................................ถูกแปรเปลี่ยนไป

   ๒๕.ทุกข์เวทนา.........................................เสวยอารมณ์หนา
เกิดทุกข์ทนกล้า..........................................ต้องหมองกาย,ใจ
ไม่สำราญจัง................................................ทุกข์ตั้งอยู่ไซร้
จะเกิดสุขไว.................................................เมื่อทุกข์แปรเอย

   ๒๖.อทุกข์สุขเวทน์ฯ...................................ไร้สองประเภท
ทั้งสุข,ทุกข์เจตน์...........................................ไม่สำราญเลย
หรือสำราญกราย..........................................ทั้งกาย,ใจเผย
"สุขรู้ชอบ"เปรย............................................"ทุกข์รู้ผิด"แล

   ๒๗.ราคานุสัย............................................กิเลสนอนไซร้
สุขเวทนาไว..................................................สงฆ์ละกามแช
อกุศลล่ม......................................................ลุปฐมฌานแฉ
ราคานุฯแท้...................................................มิตามนอนเอย

   ๒๘.ปฏิฆานุสัย...........................................ฉุกโกรธเกิดไว
ทุกข์เวทนาไส...............................................มุ่งวิโมกข์เกย
โทมนัสเกิดชัด..............................................ต้องปัดทิ้งเผย
ปฏิฆานุฯเปรย...............................................หลักโทมนัสนา

   ๒๙.อวิชชานุฯไซร้.......................................นอนเนื่องอยู่ใน
อทุกข์สุขเวทน์ฯใกล้......................................สงฆ์ละสองพา
ทั้งสุข,ทุกข์เอก..............................................อุเบกขานา
เศร้า,โสมนัสล้า..............................................สติใสเอย

   ๓๐.มิหลงมัวใน............................................กามราคาฯไซร้
ลุฌานสี่ใส.....................................................บริสุทธิ์เลย
อวิชชานุฯทราม..............................................มิตามนอนเผย
ในฌานสี่เปรย................................................เวทนาดับปลง

   ๓๑.เวทนามีต่าง...........................................ด้วยอามิสขวาง
สุขเวทนาพราง..............................................ไร้สิ่งล่อทรง
สุขเวทนามี....................................................เจือคลี่อามิสบ่ง
ทุกข์เวทนาส่ง...............................................ไร้อามิสปน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #65 เมื่อ: 29, สิงหาคม, 2568, 07:55:36 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๔/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๓๒.ทุกข์เวทนามี.....................................อามิสอยู่รี่
อทุกข์สุขเวทน์ฯปรี่....................................อามิสระคน
อทุกข์สุขเวทน์ฯหนา..................................ไร้อามิสดล
หมดสิ่งล่อผล............................................เวทนาคลาย

   ๓๓.วิบากเวทนา......................................ผลเวทนาหนา
ก่อบุญ,บาปกล้า.........................................แก่ตัวตนปลาย
ดับเวทนาชัด..............................................ดับผัสสะวาย
ดับเวทนาหน่าย..........................................ดัวยมรรคแปดพาน

   ๓๔.สงฆ์รู้เวทนา.......................................เหตุเกิดดับหนา
ผล,ทางดับมา.............................................เวทนาสามราน
มีปัญญายิ่ง.................................................พร้อมดิ่งสลัดผลาญ
เป็นสงฆ์จริงสาน.........................................ประโยชน์สงฆ์เอย

   ๓๕.เวทนาเกิด..........................................เพราะผัสสะเพริด
ตัณหาเหตุเชิด............................................เวทนาเกิดเปรย
ดับเวทนาชัด...............................................ดับผัสสะเผย
ทางจะดับเกย..............................................ด้วยมรรคแปดแล

   ๓๖.อะไรเป็นคุณ.......................................แห่งเวทนาหนุน
สุข,โสมนัสดุน..............................................ที่เอ่ยแน่แท้
ใดโทษเวทนา...............................................ด้วยหนาความแปร
สิ่งไม่เที่ยงแน่...............................................เปลี่ยนแปลงธรรมดา

   ๓๗.ใดเป็นอุบาย........................................ทิ้งเวทนาวาย
"ฉันทราคะ"กราย..........................................ขจัดออกมา
ติดใจแรงตาม................................................เพิ่มความอยากหนา
ละออกไปพา.................................................เวทนาหมดไป

   ๓๘.ชนนึกอดีตว่า........................................เคยมีเวทนา
สงฆ์ย่อมคิดหนา............................................เวทนากินไซร้
ในอดีตเหมือนลุ.............................................ปัจจุบันไว
อนาคตยังใกล้...............................................ถูกกินเช่นกัน

   ๓๙.คิดไม่ยินดี............................................ทั้งสามกาลคลี่
เกิดเบื่อหน่ายรี่..............................................คลายกำหนัดครัน
ไม่ชื่นพอใจ...................................................เลิกไซร้หยุดสรรค์
ดับเวทนาพลัน...............................................ปัจจุบันแล

   ๔๐.ชนผู้สดับธรรม,.....................................มิสดับเลยหนำ
สุขเวทนานำ..................................................ทุกข์เวทนาแน่
อทุกข์สุขเวทน์ฯ............................................ซึ้งเจตน์บ้างแฉ
ใดต่างกันแน่.................................................ผู้ฟัง,ไม่ยิน

   ๔๑.ผู้ไม่สดับ..............................................ทุกข์เวทนาตรับ
ย่อมโศกเศร้านับ...........................................คร่ำครวญผลิน
เกิดงมงายเจตน์............................................เสวยเวทนาสิ้น
มีสองอย่างวิ่น...............................................ทั้งใจและกาย

    ๔๒.เขาขัดเคืองพา....................................ทุกข์เวทนา
โกรธ,ปฏิฆา..................................................ย่อมนอนมิคลาย
เพลินกามสุขอยู่............................................ไม่รู้อุบาย
สลัดทุกข์เวทน์ฯวาย......................................มีแต่สุขนอน


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ลิตเติลเกิร์ล, ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #66 เมื่อ: 30, สิงหาคม, 2568, 08:22:20 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๕/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๔๓.ราคานุสัย....................................ติดกามเพลินไซร้
ย่อมนอนเนื่องไว...................................มิรู้เหตุจร
คุณ,โทษ,ดับวาย...................................อุบายจะถอน
เวทนาซับซ้อน.......................................ตามความเป็นจริง

   ๔๔.ไม่รู้วิธี..........................................สกัดเวทนารี่
อวิชชานุฯคลี่.........................................หลงติดกามดิ่ง
อทุกข์สุขเวท์นา.....................................จำพานอนนิ่ง
มีกิเลสสิง..............................................เสพ"อทุกข์สุขฯ"ชิน

   ๔๕.ไม่สดับเวทนา...............................มีกิเลสพา
เสพ"สุขเวทนาฯ"กล้า.............................."สุขเวทนาฯ"ยิน
"อทุกข์สุขเวทน์ฯ"เร้า..............................พุทธ์เจ้าตัดสิน
กอปรชาติ,ชราสิ้น..................................ตายเศร้าเสียใจ

   ๔๖.ผู้ได้สดับ.......................................ทุกข์เวทนาครัน
ไม่โศกครวญนับ.....................................เสวยเวทนาใด
แค่กายเท่านั้น........................................เว้นครันจิตใส
ไม่โกรธเคืองไกล....................................ปฏิฆาฯไม่มี

   ๔๗.ผู้สดับรุก.......................................มิเพลินกามสุข
รู้อุบายชุก..............................................ผละทุกข์เวทน์ฯปรี่
กามสุขมิเพลิน........................................จึงเดินพ้นหนี
ราคานุฯลี้...............................................กามมิแค่นอนเอย

   ๔๘.รู้เกิด,ดับปรี่...................................คุณ,โทษวิธี
ละเวทนารี่..............................................ความเป็นจริงเปรย
อวิชชานุฯชิด..........................................หลงติดกามเผย
อทุกข์สุขเวทน์ฯเกย................................มินอนเนื่องแล

   ๔๙.แม้เสพสุขเวทน์ฯ.............................ทุกข์เวทนาเจตน์
อทุกข์สุขเวทน์ฯ......................................ปราศกิเลสแล้
ผู้สดับแล้ว...............................................เรียกแน่วปราศแฉ
ชาติ,ชราแท้.............................................ตาย,โศก,ทุกข์วาย

   ๕๐.สงฆ์ผู้สดับ......................................สุข,ทุกข์ไม่รับ
เพราะไม่เที่ยงนับ.....................................เสื่อมดับแปรกลาย
เวทนาอนัตตา..........................................ไม่หนาตัวตนฉาย
จักพินาศวาย...........................................สงฆ์คลายยินดี

   ๕๑.ผู้ไม่ละไซร้.....................................ราคานุสัย
เพราะยังติดใจ.........................................สุขเวทนาลี
ปฏิฆาฯมิรุก..............................................กับทุกข์เวทน์ฯชี้
เพราะยังเศร้าคลี่......................................ปฏิฆาฯจึงนอน

    ๕๒.ผู้ยังไม่ทิ้ง.......................................อวิชชานุฯจริง
ยังยินดียิ่ง................................................อทุกข์สุขเวทน์ฯจร
มิรู้โทษยับ................................................ทางดับสิ้นถอน
อวิชชานุฯยอน..........................................จึงนอนเนื่องเอย

   ๕๓.ผู้ยังไม่ละ.........................................ไม่อยู่ฐานะ
จะตัดทุกข์ฉะ............................................ให้สิ้นไปเลย
ถ้าละสามหนา...........................................ราคานุฯเผย
ปฏิฆาฯ,อวิชช์ฯเปรย..................................ดับทุกข์ได้ครัน


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #67 เมื่อ: 30, สิงหาคม, 2568, 03:33:52 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๖/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๕๔."ผัสสะ"ปัจจัย...........................เกิดเวทนาไซร้
เสวยอารมณ์ไว.................................สุข,ทุกข์บ้างเอ่ย
ไม่สุข,ไม่ทุกข์...................................มิบุกเพราะเฉย
เวทนาอยู่เกย....................................เพราะผัสสะเจริญ

   ๕๕.เวทนารู้สึก...............................เป็น"อนัตตา"ตรึก
"ไม่ใช่ตัวตน"นึก................................ทำใดได้เพลิน
ถ้าเวทนาเป็น....................................."ตน"เด่นแน่เถิน
ไม่มีป่วยเดิน......................................สั่งหยุดได้แล

   ๕๖.ผู้กล่าวเวทนา............................เป็นตน,อัตตา
คำพูดนั้นหนา.....................................มิสมควรแน่
เวทนามีเกิด........................................มีเพริดเสื่อมแฉ
ตนอัตตาแท้.......................................ต้องเกิด,ดับลง

   ๕๗.ชนเห็นอัตตา.............................เป็นของตนหนา
เสพสุขเวทนา.....................................ทุกข์เวทนาตรง
อทุกข์สุขเวทน์ฯลาม...........................ทั้งสามนี้บ่ง
เวทนาดับลง.......................................แค่ปัจจุบัน

   ๕๘.เห็นเวทนาตรอง.........................ไม่เป็นตนครอง
ตัวเราไม่ต้อง......................................เสพเวทนาพลัน
แต่ก็มิใช่............................................ยังได้เสพผลัน
ตัวเรามีครัน........................................เวท์นาธรรม์ดา

   ๕๙.กล่าวเวทนาแล...........................มิเป็นตนแน่
แต่ยังเสพแท้.......................................ธรรมดาซินา
ถูกซักเวทนา.......................................ดับพร่าหมดหนา
ยังคิด"ตน"ว่า.......................................เป็นเราได้ไย

   ๖๐.สงฆ์ไม่ตรึกยล............................เวทนาเป็นตน
ไม่เล็งเสวยล้น.....................................มิคิดเสพไว
ว่าเวทนา.............................................ธรรมดาไซร้
สงฆ์ไม่ยึดไกล.....................................ย่อมลุนิพพาน

   ๖๑.พุทธ์เจ้าทรงคลี่..........................สติปัฏฐานสี่
เจริญสติทวี........................................."กายในกาย"ชาญ
มีสติเพียรดั้น.......................................สัมปชัญญะฉาน
กำจัด"โลภะ"ซาน.................................โทมนัสหมดลง

    ๖๒.พิจารณ์"เวทนา...........................ในเวทนา"กล้า
"จิตในจิต"หนา....................................."ธรรมในธรรม"ตรง
สติปัฏฐานล้ำ........................................จะกำหนดบ่ง
รู้เวทนาส่ง............................................ทั้งสามนี้เอย

   ๖๓.เห็น"เวทนาใน...............................เวทนา"เป็นใด
สงฆ์กำลังใฝ่.........................................สุขเวทน์ฯรู้เอ่ย
กำลังทุกข์เวทน์ฯ...................................รู้เดชมันเผย
อทุกข์สุขเวทน์ฯเกย..............................ก็รู้ยิ่งแล

   ๖๔.สุขเวทนามี...................................อามิสเจือคลี่
สุขเวทนาที่...........................................ไม่มีเจือแท้
ทุกข์เวทนาติด.......................................อามิสเจือแฉ
ทุกข์เวทนาแน่.......................................ไม่เจือชัดเอย


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ข้าวหอม, ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #68 เมื่อ: 31, สิงหาคม, 2568, 07:58:57 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๗/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๖๕.อทุกข์สุขเวทน์ฯมี..............อามิสเจือคลี่
อทุกข์สุขเวทนาฯที่.....................ไม่มีเจือเลย
สงฆ์พิจารณ์หนา........................เวทนารู้เผย
ภายใน-นอกเชย.........................เกิด,เสื่อมถ้วนนา

   ๖๖.สงฆ์มีสติชู.........................เวทนามีอยู่
ไร้ตัณหาพรู...............................ไร้ทิฏพา
ไม่ถือมั่นใจ.................................ที่ในโลกหนา
เรียกเห็น"เวทนา..........................ในเวทนา"เลย

   ๖๗.สงฆ์มีสติรู้..........................ใจพากเพียรชู
สุขเวทนาพรู................................อาศัยกามเกย
ผัสสะเกิดไว.................................ซึ่งไม่เที่ยงเผย
มีเสื่อม,ดับเอ่ย..............................ต้องสลัดแล

   ๖๘.ทิ้งผัสสะใน..........................สุขเวทนาไซร้
ราคานุสัย.....................................ละ"ติดกาม"แท้
สุขเวทนาดับ.................................หายลับตามแฉ
ตรึกเยี่ยงนี้แล้...............................อีกสองเวทนา

   ๖๙.ราคานุสัย............................สงฆ์ละเลิกไซร้
เลิกติดกามไว................................จากสุขเวทน์ฯพา
ปฏิฆานุฯโกรธ...............................กระโดดพ้นหนา
จากทุกข์เวทน์ฯมา.........................ละเสียได้เอย

   ๗๐.อวิชชานุสัย..........................สงฆ์ละเร็วไกล
เลิกหลงรู้ไว...................................จากอทุกข์สุขฯเปรย
พุทธ์เจ้าตรัสว่า..............................ผู้กล้าเก่งเผย
ตัดตัณหาเสย................................ตัดสังโยชน์แล

   ๗๑.ดำริถูกต้อง...........................มีความเพียรครอง
สติสัมป์ชัญฯผ่อง...........................เรียกบัณฑิตแท้
ย่อมจดรู้หนา.................................เวทนาหลายแฉ
หมดกิเลสแน่..................................มิหลงคราวตาย

   ๗๒.ผู้ศรัทธาธรรม........................เชื่อมั่นยิ่งล้ำ
ไม่หวั่นไหวถลำ...............................ตา,หู..แปรกลาย
ไม่เที่ยงธรรมดา..............................ด้วยตา,รูปฉาย
สัมผัสเกิดกราย...............................จักขุเวทน์ฯเอย

   ๗๓.โสตสัมผัสเวทนาฯ...................ฆานสัมผัสหนา
ชิวหาเวทน์ฯพา................................กายสัมผัสฯเกย
มโนสัมผัสฯปรก...............................ทั้งหกแปรเผย
ผู้ไม่หวั่นเอ่ย....................................."สัทธานุฯแล

   ๗๔.พุทธ์เจ้าตรัสเล่า.......................ผู้เพ่งธรรมเคล้า
ด้วยปัญญาเนา................................."ธัมมานุฯ"แว
เป็นโสดาบัน......................................มิหวั่นต่ำแฉ
ผู้เที่ยงซิแน่.......................................ตรัสรู้ต่อไป

   ๗๕.เวทนาสาม................................สุขเวทนาตาม
ทุกข์เวทนาลาม..................................อทุกข์สุขเวทน์ฯใด
เกิดด้วยเด่นชัด..................................มีผัสสะไข
เป็นมูล,เหตุไว....................................รวมปัจจัยแล


รายนามผู้เยี่ยมชม : ลิตเติลเกิร์ล, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #69 เมื่อ: 31, สิงหาคม, 2568, 02:45:02 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
(ต่อหน้า ๘/๑๗) ๕.วิภังค์

   ๗๖.ผัสสะที่ตั้ง.........................เวทนาฝัง
เสพสุขเวทนาหยั่ง......................ผัสสะดับแช
สุขเวทนาย่อม............................ดับพร้อมเลยแฉ
อีกสองเวทน์ฯแท้........................ก็เช่นเดียวกัน

   ๗๗.อริยะตรึก..........................สุขเวทนานึก
ว่าเป็นทุกข์ลึก............................ทุกข์เวทนาพลัน
เห็นเป็นลูกศร.............................วิ่งจรไกลครัน
อทุกข์สุขเวทน์ฯดั้น.....................ว่าไม่เที่ยงนา

   ๗๘.พุทธ์เจ้าทรงตรัส................อริยะชัด
ผู้เห็นชอบจัด...............................ตัดตัณหาพา
ล่วงสังโยชน์รุก............................ลิทุกข์หมดหนา
ละมานะกล้า................................ถือตนสิ้นลง

   ๗๙.สงฆ์ใดพินิจ........................เวทนาชิด
เห็นสุขโดยคิด.............................ว่าเป็นทุกข์ตรง
เห็นทุกข์ขจร...............................ลูกศรแน่บ่ง
เห็นอทุกข์สุขฯคง.........................สิ่งไม่เที่ยงครัน

   ๘๐.สงฆ์นั้นเห็นชอบ...................พ้นเวทนาตอบ
อภิญญานอบ................................จบหกแล้วพลัน
อาสวักข์ยญาณ............................รานกิเลสพลัน
ลุวิโมกข์ดั้น...................................ชื่อมุนีแล

   ๘๑.เวทนาที่เกิด..........................จากตา,หู..เชิด
จมูก,ลิ้น,กายเปิด............................และใจล้วนแปร
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์............................ไม่รุกตามแผ่
ว่าของเราแล้..................................เป็นตัวตนเอย

   ๘๒.เวทนาเกิดหก.......................จักขุสัมฯปก
โสตสัมผัสฯดก..............................ฆานสัมผัสฯเปรย
ชิวหาสัมฯพร่ำ................................กายสัมผัสฯเคย
มโนสัมผัสฯเอ่ย..............................ควรหน่ายพ้นนา

   ๘๓.กำหนัดคลายลง.....................จิตย่อมหลุดบ่ง
ญาณหยั่งรู้ตรง...............................จิตหลุดพ้นมา
ทราบชัดบรรเจิด.............................ชาติ,เกิดสิ้นหนา
พรหมจรรย์จบครา..........................ทำกิจครบพลัน

   ๘๔.เวทนาปัจจัย...........................สำคัญ"รู้"ไกล
รู้ลึกซึ้งไว........................................มิเจือ"อยาก"ครัน
ทิฏฐิ,มานะ.......................................ไม่ประชิดยัน
มีสติรู้ทัน.........................................เวทนาทุกครา

   ๘๕.ทำตนถูกต้อง..........................ไร้โลภ,โกรธครอง
หนีกระบวนผอง................................สังสารวัฏพา
ไร้ผลเสียเล็ง....................................ตนเองเลยหนา
สร้างปัญญากล้า...............................เวทน์นุปัสส์ฯเอย

   ๘๖.ได้"รู้"บริสุทธิ์............................แบบวิวัฏรุด
เห็นจากทุกข์หลุด..............................แม้จิตมิเกย
วิมุตหลุดพ้น......................................ก็ดลคุณเผย
แก่ตนเองเอ่ย.....................................สงบจิรังกาล ฯ|ะ

แสงประภัสสร


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ต้นฝ้าย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #70 เมื่อ: 01, กันยายน, 2568, 08:18:40 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๙/๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาขันธ์ = เป็นองค์ประกอบหนึ่งของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์  และ วิญญาณขันธ์
เวทนา = เป็นความรู้สึก ซึ่งอาจจะเป็นความพอใจ (สุขเวทนา) หรือความไม่พอใจ (ทุกขเวทนา) หรือความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ (อุเบกขา)  ความรู้สึกนี้เกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ (การมองเห็น ลิ้มรส ได้กลิ่น ได้ยิน และสัมผัส ผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และทางใจ โดยขึ้นอยู่กับอารมณ์ คือ สิ่งเร้าที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ หรือกลาง ๆ
คือมีวัตถุภายนอกมากระทบประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แล้วส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้จึงเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมา เช่น มีรูปมากระทบ ประสาทตาส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ คือเมื่อเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รูปนี้สวยจึงเกิดความสบายใจ หรือไปเห็นสุนัขเน่า ทั้งตัว จึงไม่สบายใจเป็นทุกข์
เวทนาเกิดจากผัสสะและจำแนกได้ถึง ๑๐๘ ชนิด แต่ที่นิยมกล่าวถึงมี ๓ ชนิดได้แก่สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา เวทนามีธรรมชาติที่อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้ง ๓ ประการเช่นขันธ์ ๕ ทั้งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะแยกว่า
(๑) เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ =ปราศจากตัณหา มานะและทิฏฐิ เป็นกระบวนธรรมแบบวิวัฏ เวทนาเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยๆ ที่ช่วยให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ นำไปสู่วิชชาและวิมุติ
(๒) เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ = เจือด้วยตัณหา มานะและทิฏฐิ อันเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ เวทนาเป็นปัจจัยสำคัญที่ครอบงำความเป็นไปของกระบวนธรรมทั้งหมด นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด และทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น กล่าวได้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็เพราะเวทนาและเพื่อเวทนา จึงนับว่าเวทนามีความสาคัญยิ่งต่อชีวิต เพราะถ้าเกิดเวทนาแล้วปฏิบัติตนไม่ถูกต้องก็จะเกิดความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ต้องวนเวียนอยู่กับกองทุกข์ แต่ถ้าปฏิบัติตนถูกต้องก็จะเกิดความรู้ที่บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ต่อชีวิตทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
เวทนาขันธ์ เป็นไฉน = คือ
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็น (๑) เวทนาอดีต เวทนาอนาคต เวทนาปัจจุบัน (๒) เวทนาภายใน เวทนาภายนอก (๓) เวทนาหยาบ เวทนาละเอียด (๔) เวทนาทราม เวทนาประณีต (๕) เวทนาไกล เวทนาใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์
ในเวทนาขันธ์นั้น เวทนาอดีต=  เป็นไฉน?
เวทนาใด ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว ที่เป็นอดีตสงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต ได้แก่สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาอดีต
เวทนาอนาคต = เป็นไฉน?
เวทนาใด ยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาอนาคต
เวทนาปัจจุบัน = เป็นไฉน?
เวทนาใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาปัจจุบัน
เวทนาภายใน = เป็นไฉน?
เวทนาใด ของสัตว์นั้นๆ เองซึ่งมีในตน เฉพาะตน เกิดในตนเฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาภายใน
เวทนาภายนอก = เป็นไฉน?
เวทนาใด ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นนั้นๆ ซึ่งมีในตน เฉพาะตนเกิดในตน มีเฉพาะบุคคล อันกรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิยึดครอง ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาภายนอก
เวทนาหยาบ = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๒) กุศลเวทนาและอกุศลเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๓) ทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๔) สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ
(๕) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนาหยาบ
(๖) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาหยาบ
เวทนาละเอียด = เป็นไฉน?
(๑) กุศลเวทนาและอัพยากตเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๒) อัพยากตเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๓) สุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๔) อทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาละเอียด
(๕) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็นเวทนาละเอียด
(๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาละเอียด
หรือพึงทราบเวทนาหยาบเวทนาละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
เวทนาทราม = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๒) กุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๓) ทุกขเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๔) สุขเวทนาและทุกขเวทนา เป็นเวทนาทราม
(๕) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เป็นเวทนาทราม
(๖) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนาทราม


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม, ต้นฝ้าย, หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #71 เมื่อ: 01, กันยายน, 2568, 07:35:01 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๐ /๑๗) ๕.วิภังค์

เวทนาประณีต =เป็นไฉน?
(๑) กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๒) อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๓) สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๔) อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาประณีต
(๕) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็นเวทนาประณีต
(๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนาประณีต
หรือพึงทราบเวทนาทราม, เวทนาประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้นๆ เป็นชั้นๆ ไป
เวทนาไกล = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา ไกลจาก กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา
(๒) กุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา ไกลจาก อกุศลเวทนา
(๓) กุศลเวทนา ไกลจาก อกุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา
(๔) อกุศลเวทนา และ อัพยากตเวทนา ไกลจาก กุศลเวทนา
(๕) อัพยากตเวทนา ไกลจากกุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา
(๖) กุศลเวทนา และ อกุศลเวทนา ไกลจาก อัพยากตเวทนา
(๗) ทุกขเวทนา ไกลจาก สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๘) สุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา ไกลจาก ทุกขเวทนา
(๙) สุขเวทนา ไกลจาก ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑๐) ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา ไกลจาก สุขเวทนา
(๑๑) อทุกขมสุขเวทนา ไกลจากสุขเวทนาและทุกขเวทนา
(๑๒) สุขเวทนาและทุกขเวทนาไกลจาก อทุกขมสุขเวทนา
(๑๓) เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ไกลจาก เวทนาของผู้เข้าสมาบัติ
(๑๔) เวทนาของผู้เข้าสมาบัติไกลจาก เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ
(๑๕) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ไกลจาก เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ.
(๑๖) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ไกลจาก เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เวทนาใกล้ = เป็นไฉน?
(๑) อกุศลเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ อกุศลเวทนา
(๒) กุศลเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ กุศลเวทนา
(๓) อัพยากตเวทนา เป็นเวทนาใกล้กับ อัพยากตเวทนา
(๔) ทุกขเวทนา เป็นเวทนา ใกล้กับ ทุกขเวทนา
(๕) สุขเวทนาเป็นเวทนา ใกล้กับ สุขเวทนา
(๖) อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาใกล้กับ อทุกขมสุขเวทนา
(๗) เวทนาของ ผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ
(๘) เวทนาของ ผู้เข้าสมาบัติ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาของผู้เข้าสมาบัติ
(๙) เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
(๑๐) เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็นเวทนา ใกล้กับ เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เวทนาขันธ์โดยปริยายต่าง ๆ =
(๑) เวทนา ๑ = คือ เวทนาที่สัมปยุต (ประกอบด้วย) ผัสสะ
(๒) เวทนา ๒ = คือ
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุ และไม่มีเหตุ
(๓) เวทนา ๓ = คือ
เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศล, ที่เป็นอกุศล, และที่เป็นอัพยากฤต
(๔) เวทนา ๔ = ได้แก่
เวทนาขันธ์ที่เป็น  กามาวจร; ที่เป็นรูปาวจร; ที่เป็นอรูปาวจร; ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
กามาวจร =  คือผู้ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภพ
รูปาวจร = ผู้ที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปภพ
อรูปาวจร = ผู้ที่ยังท่องเที่ยวในอรูปภพ
ผู้ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ = ผู้หมดกิเลส หลุดพ้นทุกข์
(๕) เวทนา ๕ = คือ
(๕.๑) สุขินทรีย์ - อินทรีย์คือ สุข; (๕.๒) ทุกขินทรีย์ - อินทรีย์คือ ทุกข์ ; (๕.๓) โสมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์คือ โสมนัส (ความสุขใจ ปลาบปลื้ม เบิกบานใจ); (๕.๔) โทมนัสสินทรีย์ - อินทรีย์คือ โทมนัส (ความเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าโศก); (๕.๕) อุเบกขินทรีย์ -  อินทรีย์คือ อุเบกขา (วางเฉย)
(๖) เวทนา ๖ = คือ
(๖.๑) จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางตา;
(๖.๒) โสตสัมผัสสชาเวทนา - ทางหู; (๖.๓) ฆานสัมผัสสชาเวทนา - ทางจมูก; (๖.๔) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - ทางลิ้น;  (๖.๕) กายสัมผัสสชาเวทนา - ทางกาย; (๖.๖) มโนสัมผัสสชาเวทนา - และเวทนา อันเกิดแต่สัมผัส ทางใจ
(๗) เวทนา ๗ =ได้แก่
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ,โสตสัมผัส, ฆานสัมผัส, ชิวหาสัมผัส, กายสัมผัส, มโนธาตุสัมผัส, มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
มโนธาตุ  = คือ อเหตุกจิต ๓ ดวง ได้แก่ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวงและปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง จิตทั้ง ๓ ดวงนี้เป็นมโนธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์และเกิดได้เพียง ๕ ทวาร
มโนวิญญาณธาตุ = คือ สภาพที่รู้แจ้งทางใจ หมายถึงจิต ๗๖ ดวง นอกเหนือจากปัญจวิญญาณธาตุ ๑๐ ดวงและมโนธาตุ ๓ ดวง จิต ๗๖ ดวงนี้เป็นมโนวิญญาณธาตุ เพราะรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ และเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และวิบากจิตบางดวงที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ก็รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวาร


รายนามผู้เยี่ยมชม : หยาดฟ้า, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ข้าวหอม

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #72 เมื่อ: 02, กันยายน, 2568, 10:44:59 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๑/๑๗) ๕.วิภังค์

(๘) เวทนา ๘ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่
(๘.๑) จักขุสัมผัส (๘.๒) โสตสัมผัส (๘.๓) ฆานสัมผัส (๘.๔) ชิวหาสัมผัส  (๘.๕) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุข (๘.๖) เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์ (๘.๗) เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส (๘.๘) เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
(๙) เวทนา ๙ = ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่ (๙.๑) จักขุสัมผัส (๙.๒)โสตสัมผัส (๙.๓) ฆานสัมผัส (๙.๔) ชิวหาสัมผัส (๙.๕) กายสัมผัส (๙.๖) มโนธาตุสัมผัส  (๙.๗) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล (๙.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล (๙.๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
(๑๐) เวทนา ๑๐ = ได้แก่เวทนาที่เกิดแต่
(๑๐.๑) จักขุสัมผัส (๑๐.๒)โสตสัมผัส (๑๐.๓) ฆานสัมผัส (๑๐.๔) ชิวหาสัมผัส (๑๐.๕) กายสัมผัส ที่เป็นสุข (๑๐.๖) กายสัมผัส ที่เป็นทุกข์ (๑๐.๗) มโนธาตุสัมผัส (๑๐.๘) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศล (๑๐.๙) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอกุศล (๑๐.๑๐) มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นอัพยากฤต
(๑๑) เวทนา ๑๘ = คือ
(๑๑.๑) เวทนาที่สหรคตด้วยโสมนัส ๖ - ความรู้สึกของจิตที่มั่วสุมอยู่ด้วย โสมนัสหกอย่าง (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ); (๑๑.๒) เวทนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ๖ อย่าง; (๑๑.๓) เวทนาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๖ อย่าง
(๑๒) เวทนา ๓๖ = คือ
(๑๒.๑) เคหสิตโสมนัส ๖ - โสมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน (กามคุณ ๕) หกอย่าง; (๑๒.๒) เนกขัมมโสมนัส ๖ - โสมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๓)  เคหสิตโทมนัส ๖- โทมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๔) เนกขัมมสิตโทมนัส ๖ - โทมนัสเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๕) เคหสิตอุเบกขา ๖ -  อุเบกขาเวทนาที่ เนื่องด้วยเหย้าเรือน หกอย่าง; (๑๒.๖) เนกขัมมสิตอุเบกขา ๖ - อุเบกขาเวทนาที่ เนื่องด้วยการหลีกออก จากเหย้าเรือน หกอย่าง
(๑๕) เวทนา ๑๐๘ = คือ เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็นอดีต; เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็นอนาคต; และ เวทนา ๓๖ ส่วนที่เป็น ปัจจุบัน
สุขเวทนา = คือความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขในทางกายหรือทางจิต จะเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ แต่เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา = คือ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ ทางกายหรือทางจิต จะเป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ แต่เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนา = คือ ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่สำราญ (มิใช่สุขมิใช่ทุกข์) เกิดทางกายหรือทางจิต เนื่องจากเป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด
ราคานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในสุขเวทนา แต่ราคานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในสุขเวทนา
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อมละราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัยไม่ได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น
ปฏิฆานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในทุกขเวทนา แต่ปฏิฆานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในทุกขเวทนา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไรเราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้ โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น
อวิชชานุสัย = นอนเนื่องอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา แต่อวิชชานุสัยทั้งหมดไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตฌานนั้น
อนุสัย มี ๗ ประการ =  คือ
(๑) กามราคานุสัย  - โลภะ ความติดข้องในกาม (๒) ปฏิฆานุสัย -  โทสะ ความโกรธ (๓) ทิฏฐานุสัย - ความเห็นผิด (๔) วิจิกิจฉานุสัย - ความสงสัย (๕) มานานุสัย - ความถือตัว, ความสำคัญตัว (๖) ภวราคานุสัย - โลภะ ความติดข้องในภพ (๗) อวิชชานุสัย - โมหะ ความไม่รู้กามราคานุสัย
ความต่างกันแห่งเวทนา = คือ
(๑) สุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๒) สุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๓)ทุกขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๔) ทุกขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๕) อทุกขมสุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่ (๖) อทุกขมสุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่
วิบากแห่งเวทนา = คือ
(๑) การที่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่ ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากเวทนานั้น ๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ
(๒) ความดับแห่งเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ
(๓) ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับแห่งเวทนา คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
เมื่อใดอริยสาวกทราบชัดเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความต่างกันแห่งเวทนา วิบากแห่งเวทนา ความดับแห่งเวทนา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งเวทนาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัด พรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสเป็นที่ดับเวทนานี้


รายนามผู้เยี่ยมชม : ข้าวหอม, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #73 เมื่อ: 02, กันยายน, 2568, 04:41:21 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๒/๑๗) ๕.วิภังค์

หากสมณะไม่รู้ = ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ๓ เหล่านี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ตามความเป็นจริง ก็ยังไม่นับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และท่านเหล่านั้น ย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ 
หากสมณะรู้ = ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา ๓ เหล่านี้ตามความเป็นจริง นับว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และท่านเหล่านั้นย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา = เป็นไฉน เพราะผัสสะเกิดเวทนาจึงเกิด
ปฏิปทาให้เกิดเวทนา= เป็นไฉน
เพราะตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งเวทนา
ความดับแห่งเวทนา= เป็นไฉน
เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา = เป็นไฉน
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นคุณแห่งเวทนา = คือ สุขโสมนัสเกิดขึ้นเพราะอาศัยเวทนาอันใด นี้เป็นคุณแห่งเวทนา
อะไรเป็นโทษแห่งเวทนา = คือ เวทนาอันใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
อะไรเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา =
ความกำจัด ความละฉันทราคะในเวทนา นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา
ฉันทะ = คือ ความพอใจติดใคร่, ความชอบใจจนติด, ความอยากที่แรงขึ้นเป็นความติด; ฉันทะ ในที่นี้ หมายถึงอกุศลฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นต้น เมื่อเป็นราคะอย่างอ่อน (ทุพพลราคะ) ก็เรียกแค่ว่าเป็นฉันทะ แต่เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็กลายเป็นฉันทราคะ คือราคะอย่างแรง (พลวราคะ หรือสิเนหะ)
บุคคลย่อมตามระลึกถึงเวทนา = ดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้ อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นว่า บัดนี้ เราถูกเวทนากินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกเวทนากินแล้ว เหมือนปัจจุบันยังถูกกินอยู่ แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูกเวทนากินเช่นกัน เมื่อคิดแล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในเวทนาอดีต ย่อมไม่ชื่นชมเวทนาอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับเวทนาในปัจจุบัน
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ = ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อะไรเป็นความพิเศษ ทำให้ต่างกันระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ = จะมีอาการใด
(๑) ทุกขเวทนาย่อมเศร้าโศก ร่ำไร รำพัน ทุบอก คร่ำครวญ งมงาย เขาย่อมเสวยเวทนา ๒ อย่าง คือ เวทนาทางกายและเวทนาทางใจ
(๒) เขาขัดเคือง ปฏิฆานุสัย (โกรธ) เพราะทุกขเวทนานั้น ย่อมนอนตามเขา
(๓) เขาเป็นผู้พบทุกขเวทนาแล้ว ย่อมเพลินกามสุข เพราะไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกจากทุกขเวทนานอกจากกามสุข และเมื่อเขาเพลินกามสุขอยู่ ราคานุสัย(ติดในกาม) เพราะสุขเวทนานั้นย่อมนอนเนื่อง เขาย่อมไม่รู้เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง
(๔) เมื่อเขาไม่รู้เหตุเกิด,ความดับ, คุณ, โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง อวิชชานุสัย (โลภหลงในกาม) เพราะอทุกขมสุขเวทนาย่อมนอนเนื่อง
(๕) เขาย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยกิเลส เสวยสุขเวทนา , เสวยทุกขเวทนา, เสวยอทุกขมสุขเวทนา นั้น
(๖) ผู้ไม่ได้สดับนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเป็นผู้ประกอบด้วย ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส (ความคับแค้น) เรากล่าวว่า เป็นผู้ประกอบด้วยทุกข์
ฝ่ายอริยสาวกผู้ได้สดับ = จะมีอาการใด
(๑) เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความงมงาย เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ
(๒) เธอย่อมไม่มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนานั้น ปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนานั้นย่อมไม่นอนตามเธอผู้ไม่มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนา
(๓) เธอผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินกามสุข สดับแล้ว ย่อมรู้ชัดอุบายสลัดออกจากทุกขเวทนา
(๔) เมื่อเธอไม่เพลิดเพลินกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนาย่อมไม่นอนเนื่อง เธอย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง
(๕) เมื่อเธอรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายจะสลัดออกแห่งเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง อวิชชานุสัย เพราะ อทุกขมสุขเวทนา ย่อมไม่นอนเนื่อง
(๖) ถ้าเธอเสวย สุขเวทนา อยู่ ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสนั้น; ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสเสวย; ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลสนั้น


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา), หยาดฟ้า

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
แสงประภัสสร
ผู้มีจินตนาการ
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:5036
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 1076
จำนวนกระทู้: 742



| |
Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา
« ตอบ #74 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 08:27:27 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: อภิธรรมปิฎก : ๑.พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ~ กาพย์ทัณฑิกา

(ต่อหน้า ๑๓/๑๗) ๕.วิภังค์

(๗) อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ปราศจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เราย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ปราศจากทุกข์
(๘) อริยสาวกเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่เสวยทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา นี้คือความต่างกันระหว่างผู้ฉลาดกับปุถุชน ผู้มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ต้องแปรไปตลอด เห็นแจ้งโลกนี้และโลกหน้าอยู่ ท่านย่อมไม่ถึงความขัดเคืองเพราะอนิฏฐารมณ์ (มีสติดำรงอยู่ เป็นผู้ปราศจากทุกข์) อนึ่งเวทนาเป็นอันตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะอริยสาวกนั้นไม่ยินดีและไม่ยินร้าย
โลกธรรม ๘ = ธรรมดาของโลก, ความเป็นไปตามคติธรรมดาซึ่งหมุนเวียนมาหาสัตว์โลกและสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป
(๑) ลาภ -ได้ลาภ, มีลาภ (๒) อลาภ -เสื่อมลาภ, สูญเสีย (๓) ยส -ได้ยศ, มียศ (๔) อยส - เสื่อมยศ (๕) นินทา -ติเตียน (๖) ปสังสา - สรรเสริญ (๗) สุข - ความสุข  (๘) ทุกข์ - ความทุกข์
ข้อ ๑,๓,๖,๗ เป็น อิฏฐารมณ์ =  ส่วนที่น่าปรารถนา;
ข้อที่เหลือเป็น อนิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา
(๙) ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ เรากล่าวหมายเอาความที่สังขารทั้งหลายนั่นแหละมีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
(๑๐) ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ทั้งที่เป็นภายใน-นอกมีอยู่ ภิกษุรู้ว่าเวทนานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความพินาศเป็นธรรมดา ย่อมคลายความยินดีในเวทนาเหล่านั้น
ฐานะที่มิกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ = เป็นอย่างใด
(๑) ผู้ยังไม่ละราคานุสัย ~ เพราะสุขเวทนา
ยังไม่บรรเทา ยังติดใจอยู่ ราคานุสัยจึงนอนเนื่อง 
(๒) ยังไม่ละ ปฏิฆานุสัย ~ เพราะทุกขเวทนา
ยังไม่ถอน เพราะยังเศร้า ครวญ จึงมี ปฏิฆาวิสัย นอนเนื่องอยู่
(๓) ยังไม่ละ อวิชชานุสัย ~ เพราะ อทุกขมสุขเวทนา
ไม่ละอวิชชาเสีย ยังไม่รู้ คุณ, โทษ, ความดับ, วิธีดับ อทุกขมสุขเวทนา อวิชชานุสัยจึงนอนเนื่อง
จักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
ฐานะที่จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ = เป็นอย่างใด
(๑) ผู้ที่สุขเวทนาถูกต้องแล้ว ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ จึงไม่มีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่
(๒)ผู้ที่ทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญทุ่มอก ไม่ถึงความหลงพร้อม จึงไม่มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
(๓) ผู้อัน อทุกขมสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไปคุณ โทษ และที่สลัดออกแห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่มีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
บุคคลนั้นละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา ถอนอวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา ยังวิชชาให้เกิดขึ้นเพราะละอวิชชาเสียได้ แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย = ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์ เป็นสุขบ้าง, เป็นทุกข์บ้าง, มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้างจจะไม่พึงเป็นอาพาธ จะขอได้ว่าๆ เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้, เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่เป็นไปดังหวังเลย
ผู้ใดกล่าวว่า = เวทนาเป็นอัตตา คำของผู้นั้นไม่ควร
เพราะเวทนามีความเกิด, ความเสื่อม ปรากฏ อัตตาของเราจึงเกิดขึ้นและเสื่อมไป
บุคคลเเล็งเห็น= เวทนาเป็นอัตตา ย่อมเห็นว่า
(๑) เวทนา = เป็นอัตตาของเรา
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ จะถูกซักถามว่าเวทนา ๓ ประการนี้ คือ สุขเวทนา, ทุกขเวทนา, อทุกขมสุขเวทนา เห็นอันไหนว่าเป็นอัตตา
(๑.๑) คราใด อัตตาเสวย สุขเวทนา ก็ไม่ได้เสวย ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑.๒) คราใด อัตตาเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่ได้เสวยสุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
(๑.๓) คราใด อัตตาเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่ได้เสวย สุขเวทนา
เวทนาที่เป็นสุขก็ดี, เป็นทุกข์ก็ดี, เป็นอทุกขมสุขก็ดี ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย และความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวยเวทนาทั้ง ๓ ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา เมื่อเวทนานั้นๆ ดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว
ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา
(๒) ถ้าเวทนา = ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา
เขาจะถูกซักว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้เสวยอารมณ์อยู่ จะเกิดอหังการว่าเป็นเราไม่ได้
เพราะเหตุนั้นแหละ จึงไม่ควรจะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา


รายนามผู้เยี่ยมชม : ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอน  "แสงประภัสสร"
..
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.164 วินาที กับ 144 คำสั่ง
กำลังโหลด...