บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ภาพปู่ม่านย่าม่าน วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน - น่านและเมืองบริวาร -
"น่าน"เป็นแคว้นหรือรัฐประเทศราช มีบทบาทยิ่งใหญ่ในเขตขัณฑ์ "ดำพงศ์กาวชาวเลือง"เนื่องปางบรรพ์ เป็นเผ่าพันธุ์"พ่อขุนรามคำแหง"แท้
"นันทบุรี"นี้นามเดิมเมืองน่าน บริวารเมืองที่มีนามแน่ คือ"เมืองม่าน,เมืองพลัว"ไร้คำแปล ต้องไปแลหลังน่านกันเอาเอง |
อภิปราย ขยายความ........
...ศิลาจารึกบรรทัดนี้กระเทาะอักษรหายไปตรงที่ว่า "เมืองม่าน....นเมืองพลัว" ตรงรอยกระเทาะนั้นสันนิษฐานไม่ผิดว่าคือ "น่าน" เพราะมีอักษร น ตัวสะกดคงอยู่ จึงสรุปได้ว่า เมืองทางเบื้องตีนนอนที่ขึ้นอยู่ในปกครองของพ่อขุนรามคำแหง ต่อจากเมืองแพล (แพร่) คือ เมืองม่าน เมืองน่าน เมืองพลัว"
เมืองม่านยังไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้คือ เมืองอะไร ตั้งอยู่ระหว่างเมืองแพลกับเมืองน่าน สำหรับเมืองน่านนั้นคือ นันทบุรี เดิมเป็นมืองประธาน หรือเมืองหลวงของแคว้น มีเมืองแพล เมืองม่าน เมืองพลัวเป็นเมืองบริวาร เมืองบริวารที่คงอยู่ชัดเจนในปัจจุบัน คือ แพร่ และ ปัว อำเภอหนึ่งของน่าน
น่าน หรือ นันทบุรีมีอายุเก่าแก่กว่าสุโขไท มีหลักฐานปรากฏในตำนานเมืองเหนือว่า ในราวปีจุลศักราช ๓๕๐ ตรงกับพุทธศักราช ๑๕๓๑ พระยากือคำล้าน ยกพลจากนันทบุรีไปชิงได้เมืองชัยวรนคร ของพระยาจังกาเรือนแก้ว เมืองชัยวรนคร คือ หิรัญเงินยัง (ยาง) หรือช้างแสน=เชียงแสน ที่ลาวจังกราชสร้างขึ้น เมื่อจุลศักราช ๑๐ ปี (พ.ศ.๑๑๙๑) แสดงให้เห็นว่า เมืองน่านมีมาก่อนสุโขไท
สืบทราบมาได้ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง เดิมคือ บางกลางท่าว โอรสของเจ้านครนันทบุรี ในราชวงศ์ "ดำพงศ์กาว ชาวเลือง" ได้ยกพลจากนันทบุรีลงไปทางใต้ แล้วสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นที่เมือบางยาง (นครไทย) ดังได้กล่าวมาแล้ว โดยจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ จารึกเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๓๕ เรียกกันว่าจารึกปู่สบถหลานบ้าง จารึกปู่ขุนจิดขุนจอดบ้าง เล่าเรื่องการทำสัญญาสาบานระหว่าง "ปู่พระยา" เจ้าเมืองน่าน กับหลานพระยาคือ มหาธรรมราชาลือไท ในจารึกนี้กล่าวอ้างถึงบรรพบุรุษที่เกี่ยวพันเป็นญาติกัน โดยทางฝ่ายปู่พระยา อ้างถึงปู่พระยา มี "ปู่พระยา...ปู่เริง ปู่มุง ปู่พอง ปู่ฟ้าฟื้น...ปู่พระยาผากอง....ฝ่ายพระยาผู้หลานมี ..ผีปู่ผาคำ ปู่ขุนจิดขุนจอด ปู่พระยาศรีอินทราทิตย์ ปู่พระยาบานเมือง ปู่พระยารามราช ปู่ไสสงคราม ปู่พระยาเลอไท ปู่พระยางั่วนำถม ปู่พระยามหาธรรมราชา พ่องำเมือง....ปู่พระยาผู้ทำสัญญาสาบานกับพระยาลือไทนี้คือ พระยาคำตันเจ้าเมืองน่านในกาลนั้น ได้ความชัดว่า ปู่พระยาศรีอินทราทิตย์ เป็น "ไทยผู้ดีชาวเลือง" ในตระกูลดำพงศ์กาวแห่งนันทบุรีนี้นี่เอง
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวียิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๓ กันยายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
วัดวิชุนราช หรือวัดพระธาตุหมากโม หลวงพระบาง - ชวา > หลวงพระบาง -
จากเมืองน่านเดินหน "พ้นฝั่งของ" ถึง"เชียงทอง,เซ่า,ชวา"ช้าไม่เร่ง กลายนามเป็น"หลวงพระบาง"ไม่วังเวง บางกาลเปล่งประกายงามความรุ่งเรือง
มีอายุเก่าแก่จนเกินกล่าว ด้วยเรื่องราวไม่สนิทติดต่อเนื่อง สรุปให้พอชัดคลายขัดเคือง ว่าเป็นเมืองประเทศราชสุโขไท... |
อภิปราย ขยายความ..........
ความในจารึกหลักที่ ๑ ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๒๕-๒๗ อันเป็นวรรคสุดท้ายของจารึกหลักนี้ว่า ...."..พ้นฝั่งของเมืองชวาเป็นที่แล้ว ๐ ปลูกเลี้ยงฝูงลูกบ้านลูกเมืองนั้นชอบด้วยธรรมทุกคน" หมายความว่า อาณาเขตกรุงสุโขไทจากน่าน ข้ามแม่น้ำโขงไปถึงเมืองชวาเป็นที่สุด ทรงปกครองดูแล ไพร่ฟ้าประชาชนชอบด้วยธรรมทุกคน
"ชวา" เป็นชื่อเมืองในยุคพ่อขุนรามคำแหง ก่อนหน้านั้นมีชื่อว่า เมืองเส้า หรือ เซ่า (แปลว่าหยุด) และ เชียงทอง ต่อมาเมืองนี้เปลี่ยนชื่อเป็น "หลวงพระบาง" และใช้นามนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
มหาสิลา วีระวงศ์ เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ลาวว่า ในราวปี พ.ศ. ๑๑๓๙-๑๒๓๙ เป็นช่วงเวลาที่ขอมเรืองอำนาจ มีกษัตริย์องค์หนึ่งนามว่า "ขุนเจืองธรรมิกราช" หรือท้าวฮุ่ง (ซึ่งไทยและเขมรเรียกว่า "พระร่วง") เสวยราชสมบัติอยู่ นครเงินยาง (เชียงแสน) ได้ทำสงครามกับพวกแกวประกัน เมืองเชียงขวาง ท้าวกว่าเจ้าเมืองแกวประกันตายในที่รบ ขุนเจืองจึงจัดเลี้ยงกำลังพลฉลองชัย โดยให้ทำเหล้าไหเลี้ยงไพร่พลเป็นอันมาก แล้วทิ้งไหเหล้าเกลื่อนอยู่ในท้องทุ่ง ณ ที่นั้น คือ ทุ่งไหหิน ในแขวงเชียงขวา ง อยู่จนถึงวันนี้
ขุนเจือง มอบให้ขุนควงอยู่รักษาเมืองแกวประกัน พระองค์กลับนครเงินยาง ต่อมามีแม่ทัพแกวชื่อหุนบัง ยกกำลังมาตีเมืองแก้วประกัน ขุนเจืองทราบจึงยกทัพไปช่วยขุนควง หุนบังสู้ไม่ได้จึงหนีไปพึ่งท้าวฟ้าฮ่วนเมืองตุมวาง ขุนเจืองยกทัพตามไปตีเมืองตุมวาง ท้าวฟ้าฮ่วนจึงแต่งทูตไปเชิญเจ้าขุนลอที่นครกาหลงมาช่วย เจ้าขุนลอกับขุนเจืองรบกันถึงขั้นชนช้าง และเจ้าขุนลอฟันขุนเจืองตายคาคอช้าง ทัพเมืองนครเงินยางแตกพ่ายมาถึงเมืองชวา เจ้าขุนลอตามตีมายึดเมืองชวาจากขุนกันฮางได้ แล้วตั้งเมืองชวาเป็นราชธานีของลาวล้านช้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๓๐๐ โดยเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น "เชียงทอง"
จากประวัติชาติลาวดังกล่าว ก็ได้อายุเมืองชวาว่า แก่กว่าสุโขไทยุคขุนศรีนาวนำถุม ๔๒๑ ปี และแก่กว่ายุคขุนศรีอินทราทิตย์ ๔๘๖ ปี แก่กว่ายุคพ่อขุนรามคำแหง ๕๒๒ ปี แต่ในตำนานพงศาวดารโยนก กล่าวว่า ขุนเจื๋อง หรือท้าวเจือง ท้าวฮุ่ง กษัตริย์องค์ที่ ๒ แห่งพะเยา เกิดเมื่อปีจุลศักราช ๔๖๑ ตรงกับ พ.ศ. ๑๖๔๒ รบชนะแกวประกัน ปี จศ. ๔๙๖ ตรงกับ พ.ศ.๑๖๗๗ สวรรคต พ.ศ. ๑๗๑๙ เกิดก่อนพ่อขุนรามคำแหง ๑๗๐ ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ว่า ขุนเจือง มีอายุอยู่ในราวปี พ.ศ. ๑๖๖๕-๑๗๓๕ ร่วมยุคสมัยกับศรีสุริยวรมัน ที่ ๒ กษัตริย์กัมพูชา ใกล้เคียงกันกับความในพงศาวดารโยนก มากกว่าประวัติศาสตร์ลาว ของมหาสิลา วีระวงศ์
...พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ความเป็นธรรมแก่ไพร่ฟ้าข้าไท ลูกเจ้าลุกขุน ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ให้ข้าแผ่นดินเกิดความรู้สึก "เหลื่อมล้ำต่ำสูง" ดังนั้น คนในเมืองไทยจึงพากันขานพระนามพระองค์่ด้วยความเคารพเทิดทูนว่า "พ่อขุนรามคำแหง" ด้วยความจริงใจ....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี - เมืองนอกเขตสุโขไท -
หัวเมืองเบื้องอาคะเนย์หมด ซึ่งปรากฏต่อเนื่องเป็นเมืองใหญ่ คือ "ละโว้,อโยธยา" เขตยาวไกล "พิมาย"ไป"ร้อยเอ็ด,นครพนม"
ความใน"โผ"สุโขไทไม่บันทึก ตกจารึกหรือไรดูไม่สม ปริศนาตรงนี้มีเงื่อนปม การเมืองข่มขบเหลี่ยมทัดเทียมกัน |
อภิปราย ขยายความ.........
ละโว้ (ลพบุรี) อโยธยา (อยุธยา) พิมาย (นครราชสีมา) นครพนม และเมืองใหญ่ต่าง ๆ ในเบื้องอาคะเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) หลายเมืองไม่ปรากฏชื่่อในจารึกสุโขไท แสดงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่ในปกครองของพ่อขุนรามคำแหง เป็นเพราะเหตุใด ?
...ปัญหานี้ มีคำตอบได้ว่า .....เพราะ เมืองใหญ่ ๆ ด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีลพบุรี อยุธยา นครราชสีมา เป็นต้น เมืองเหล่านี้ขึ้นอยูในปกครองของขุนผาเมือง ผู้ร่วมกับขุนบางกลางท่าวกอบกู้กรุงสุโขไท หลังจากที่ทรงมอบอำนาจให้ขุนบางกลางท่าวพระสหายครองกรุงสุโขไทแล้ว พระองค์กลับไปเมืองราด แล้วขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีโสธรปุระ (กัมพูชา) ในประวัติศาสตร์กัมพูชาเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าอินทรวรมัน ที่ ๓ หรือ พระเจ้าศรีศรินทรวรมัน พระองค์ครองกรุงกัมพูชาอยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๗๘๖-๑๘๓๘
จึงเป็นไปได้ว่า ในการมอบให้ขุนบางกลางท่าวครองสุโขไทนั้น ขุนผาเมืองมีข้อแม้ให้ขุนบางกลางท่าว "ถือ" คือ ให้ครองเมืองบริวารด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ สรลวงสองแฅ ว ลุมบาจาย สคา เวียงจันทน์ เวียงคำ เท่านั้น ส่วนเมืองเบื้องตะวันออกเฉียงใต้ คือเมืองราด ละโว้ อโยธยา พิมาย นครพนม นั้นขอให้ขึ้นอยู่ในปกครองของพระองค์ ณ กัมพูชา สุโขไทจึงรักษาสัญญานี้ตลอดมาจนถึงยุคสมัยพ่อขุนรามคำแหง ปรากฏเมืองในปกครองของสุโขไทมีเพียงดังที่ได้กล่าวมาแล้วเท่านั้น
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ปลาก้างพระร่วง - พ่อขุนรามฯ=พญาร่วง -
นามพ่อขุนรามคำแหงแสนแรงฤทธิ์ ทั่วทุกทิศแดนไทยใช้สร้างสรรค์ ความเก่งกล้าสามารถองอาจครัน อัศจรรย์พระเดชาบารมี
เรียกพระนามยามฟังแล้ว"ขลัง"ยิ่ง เสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเสริฐศรี "พระร่วง"เจ้าจอมคนบนปฐพี ทุกพาทีสัมฤทธิ์ไม่ผิดคำ
วาจาสิทธิ์พูดเล่นเป็นจริงหมด จึ่งปรากฏต่อเนื่องในเรื่องขำ เช่นทิ้งก้างปลาให้ว่ายในน้ำ ก้างผุดดำว่ายธารปานตัวปลา
มิใช่เก่งด้านปราชญ์ฉลาดลึก ด้านการศึกก็แกร่งกำแหงกล้า เผด็จศึกราบคาบปราบปัจจา ราชอาณาจักรสร้างจนกว้างไกล |
อภิปราย ขยายความ......
พ่อขุนรามคำแหงในความรู้ที่คนไทยปัจจุบันรู้กันว่า พระองค์เป็นนักปราชญ์ นักปกครอง ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยให้ใช้กันมาจนทุกวันนี้ ทรงสร้างสรรค์ศิลปะวัฒนธรรมประเพณีขึ้นมามากมาย ทรงมีอิทธิฤทธิ์ขลัง โดยเฉพาะด้านพระวาจา ทรงตรัสอย่างไรจะเป็นอย่างนั้น จึงมีตำนานบอกเล่าเกี่ยวกับวาจาสิทธิ์ของพระองค์มากมาย เช่นว่า คราวหนึ่งเสด็จไปทรงลับพระขรรค์ ณ ต้นธารบนภูเขา ทรงใช้พระขรรค์ฟันหินจนขาดเป็นช่องทางให้น้ำไหล ที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า "พระร่วงลองพระขรรค์" หรือ โซกพระร่วง ทรงพักผ่อนพระอริยาบถ ณ ริมธารนั้น เสวยพระกระยาหาร ครั้นเสวยเนื้อปลาหมดแล้ว ทรงโยนก้างปลาลงน้ำแล้วตรัสว่า เจ้าจงว่ายอยู่ในน้ำต่อไป ก้างปลานั้นก็กลายเป็นปลามีชีวิตแหวกว่ายน้ำให้เห็น จนเรียกกันว่า "ปลาก้างพระร่วง" มองเห็นแต่ก้างไม่เห็นเนื้อ อย่างนี้เป็นต้น
...ในด้านการรบนั้น เริ่มแต่เป็นแม่ทัพตั้งแต่พระชนม์ ๑๙ ชันษา ชนช้างกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดที่ เมืองตาก (อ.บ้านตาก) จากทั้งทรงไป "ตีหนังวังช้าง ท่บ้านท่เมือง ได้ข้าเสือกข้าเสือ นำมาถวายพ่อขุนศรีอินทราทิตย์มากมาย" ทรงสร้างขยายอาณาจักรสุโขไทให้กว้างไกล ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนก่อนหน้านี้
ความในตำนานเมืองเหนือเรียกพระนามว่า "พญาร่วง" เป็นพระสหายใกล้ชิดกันกับ พญางำเมือง พญาเม็งราย............
เต็ม อภินันท์ สถาบันกในิพนธ์ไทย ณ พิพธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- สามกษัตริย์สร้างเชียงใหม่ -
กล่าวถึงเจ้าเม็งรายย้ายเมืองหลวง หลังจากช่วงชิงนคร"ลำพูน"ได้ ตั้งที่"เวียงกุมกาม"ตามพอใจ แล้วยกไปชิงพุกาม,หงสาวดี"
อาณาเขต"เชียงราย"ขยายกว้าง แล้วคิดสร้างกรุงประจักษ์สมศักดิ์ศรี เลือกทำเลเชิงดอยอ้อยช้างชี้ ให้เป็นที่ตั้งเมืองประเทืองบุญ
เชิญ"พญางำเมือง,พญาร่วง" สร้างเมืองหลวงของแคว้นแสนอบอุ่น สามกัตริย์เอออวยช่วยค้ำจุน ถึงลงทุนลงแรงขุดแต่งเมือง
ขนานนามคำคล้องของเมืองนี้ "นพบุรีศรีนครพิงค์"พริ้งลือเลื่อง เรียกสั้นสั้น"เชียงใหม่"รายรุ่งเรือง ถิ่นประเทืองล้านนามาเนิ่นนาน.... |
อภิปราย ขยายความ..........
ย้อนกาลไปกล่าวถึงพระยาเม็งราย โอรสเจ้าลาวเม็งกับนางเทพคำขยายแห่งเชียงแสน หลังจากย้ายมาสร้างเมืองใหม่ริมน้ำกกชื่อเมืองเชียงราย แล้วได้เป็นพระสหายกับพ่อขุนรามคำแหง (พญาร่วง) จากนั้นคิดการใหญ่ ยกกำลังเข้ายึดนครหริภุญไชย (ลำพูน) ของพระยายีบา กษัตริย์เชื้อสายพระนางจามเทวีได้ แล้วตั้งเมืองใหม่ในที่ลุ่มเหนือเมืองลำพูน ชื่อว่าเวียงกุมกาม ทรงยกกำลังไปได้เมืองหงสาวดี เมืองพุกามของรามัญ ไว้ในอำนาจด้วย
...อยู่มาถึงปี พ.ศ. ๑๘๓๔ พระยาเม็งรายดำริสร้างเมืองใหม่ ณ บริเวณเชิงดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ ปัจจุบัน) จึงเชิญพญางำเมืองแห่งภูกามยาว (พะเยา) ผู้เป็นทั้งพระญาติ (ผู้น้อง) และพระสหาย กับส่งราชทูตมาเชิญพ่อขุนรามคำแหง (พญาร่วง) พระสหายแห่งกรุงสุโขไท ไปปรึกษาวางแผนผังการสร้างเมืองใหม่ พระยาเม็งรายถามพระสหายว่า เมืองใหม่นี้จะสร้าง กว้าง ๒,๐๐๐ วา หรือ ๑๐๐ เส้น พระสหายเห็นว่าเหมาะสมไหม พญางำเมืองเห็นด้วย แต่ พญาร่วง กล่าวว่า เมืองกว้าง ๒,๐๐๐ วาใหญ่โตเกินไป คนเรามีน้อยไม่พอที่จะดูแลรักษาเมือง ถ้าเกิดมีข้าศึกศัตรูยกกำลังมาโจมตี เราก็จะรักษาเมืองไว้ได้ยาก จึงเห็นว่าเมืองกว้างสัก ๑,๐๐๐ วา ก็พอสมควรแล้ว พระยาเม็งรายเห็นด้วย จึงลดขนาดความกว้างของเมืองลงมาดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสามกษัตริย์เห็นชอบให้ขนานนามเมืองที่สร้างใหม่นี้ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" แต่บัดนั้นเป็นต้นมา.....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึผึ้งไทย ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช (เชียงราย) Cr. Photo By คุณ Tui Laksi - เม็งราย > มังราย -
นาม"เม็งราย"คือใครรู้ไม่ยาก ค้นหาจากจารึกอักษรสาร ปากต่อปากบอกกล่าวเล่าตำนาน ทั้งชาวบ้านชาววัดเรื่องชัดเจน
เจ้า"ลาวเม็ง"เชื้อสายขุนเจืองนั้น ครองหิรัญเงินยางอย่างโดดเด่น ธิดาเชียงรุ้งงามตามกฎเกณฑ์ จึ่งส่งทูตวอนเวนเป็นชายา
ได้"นางเทพคำขยาย"ไม่ผิดหวัง เมื่อนางตั้งครรภ์แรกแปลกนักหนา ฝันได้แก้วแวววามงามจับตา นางรับมากลืนกินอย่างยินดี
โหรทำนายได้กุมารชาญฉลาด จะสามารถปราบหมดทศวิถี สร้างบ้านเมืองเรืองยศปรากฏมี ปฐพีกว้างไกลอยู่ในมือ
ครั้นประสูติโอรสงดงามลักษณ์ ญาติพร้อมพรักคับคั่งร่วมตั้งชื่อ นามพ่อแม่และตารวมบันลือ ให้ยึดถือเป็นเก่งว่า"เม็งราย" |
อภิปราย ขยายความ .......
พระยาเม็งรายในประวัติศาสตร์ไทยเรียกพระนามนี้ว่า "มังราย" โดยอ้างหลักฐานจากจารึกต่าง ๆ มีจารึกวัดพระยืน เป็นต้น ออกพระนามว่า "มังราย" แต่ตำนานพงศาวดารโยนกและตำนานอื่น ๆ รวมทั้ง "มุขปาฐะ " ของชาวเชียงรายเรียกพระองค์ว่า "เม็งราย" พระองค์จึงมี ๒ พระนาม
ที่มาของพระนามว่า "เม็งราย" คือตำนานเมืองเหนือพงศาวดารโยนก กล่าวว่าเชื้้อวงศ์ขุนเจืองครองราชสมบัติเมืองหิรัญเงินยาง (เชียงแสน) สืบมาชั่ว ๔ ราชวงศ์ ถึง "ลาวเมือง" และลาวเมืองมีโอรสชื่่อ "ลาวเม็ง" ทราบว่าท้าวรุ่งแก่นชายเจ้าเมืองเชียงรุ้ง มีธิดานามว่าเทพคำขยาย รูปโฉมงดงามมาก จึงส่งทูตไปสู่ขอมาอภิเษกกับเจ้าชายลาวเม็ง นางเทพคำขยายเมื่อเป็นชายาของลาวเม็งแล้ว ก็ฝันว่ามีดวงแก้วลอยลงมาจากฟ้า เปล่งประกายงดงามมาก นางรับดวงแก้วแล้วกลืนกินลงไป ตื่นเช้าเล่าความฝัน โหรทำนายว่า จะได้โอรสทรงศักดานุภาพปราบประเทศทั้งหลายไปถึงแดนสมุทร
ครั้นนางเทพคำขยายทรงครรภ์ครบกำหนดทศมาสแล้วก็ประสูติโอรส ลาวเม็งกับท้าวรุ่งแก่ชายและพระญาติได้ประชุมขนานพระนามราชกุมารนั้น แล้วตกลงให้นามว่า "เม็งราย" โดยถือเอานามลาวเม็งผู้เป็นบิดา ท้าวรุ่งแก่นชายผู้เป็นตา นางเทพคำขยายผู้เป็นมารดา ประมวญเข้าด้วยกันเป็น "เม็งราย" ให้รู้ว่า "คือลูกท้าวเม็ง หลานท้าวรุ่ง เกิดแต่นางเทพคำขยาย..."
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
อนุเสาวรีย์พระยาลิไท อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย - สุโขทัยในประวัติศาสตร์ -
ประมาณปี"พอศอหนึ่งแปดสี่สอง" "ขุนรามฯ"ต้องสวรรคตตามกฎถ่าย ถอดวิญญาณผ่านกากทิ้งซากกาย ฝากความหมายแทนตัวคือชั่วดี
พระ"เลอไท"โอรส"ขุนรามราช" สืบอำนาจครองเมืองเรืองศักดิ์ศรี ทรงครองแคว้นสุโขไทอยู่หลายปี ประมาณ"ยี่สิบ"วัสสาสิ้นพระชนม์
จึ่ง"พระงั่วนำถม"ครองสมบัติ อำนาจรัฐเริ่มเสื่อมทุกแห่งหน พระทรงตั้ง"ลิไท"ไว้เมืองบน เป็น"ขุนยี่"คู่ตนสร้างผลงาน.. |
อภิปราย ขยายความ........
ประมาณปี พ.ศ. ๑๘๔๒ พ่อขุนรามคำแหงสวรรคต พระโอรสนามว่า "เลอไท" ได้ครองกรุงสุโขไทสืบแทน เป็น "พระยาเลอไทธรรมิกราช" บางแห่งเรียกว่า พระมหาธรรมราชาเลอไท ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จนถึงกับส่งราชทูตไปลังกาทวีป (ประเทศศรีลังกา) ขอให้ช่างหลวงจำลองรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏของลังกา อัญเชิญมาประดิษฐานบนยอดเขาริมเขื่อนสรีดภงส แล้วเรียกภูเขาลูกนี้ว่า เขาสุมนกูฏ นามเดียวกันกับของลังกา (ปัจจุบันเรียกว่า "เขาพระบาทใหญ่) แล้วเสด็จขึ้นไปนมัสการทุกวันธรรมสวนะ (วันพระ) มิได้ขาด
....พระยาเลอไทธรรมิกราช สวรรคตในราวปี พ.ศ. ๑๘๘๓ พระงั่วนำถมซึ่งเป็นราชกุมารสายขุนบานเมืองได้ครองบัลลังก์กรุงสุโขไท บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ในแคว้นเริ่มกระด้างกระเดื่อง พระองค์ทรงแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองด้วยการแต่งตั้งให้ พระยาลิไท โอรสเลอไทธรรมิกราช เป็น "ขุนยี่" คือมหาอุปราช ขึ้นไปครองเมืองศรีสัชนาลัย (เมืองบน) ......
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ขอบคุณเจ้าของภาพ ร้าน dbook2.com - ลำดับกษัตริย์สุโขทัย -
กษัตริย์ครองสุโขไทเรียงกันวุ่น หลังพ่อขุนรามฯที่มีหลักฐาน "ไสงสงคราม"นามไม่คุ้นลูก"ขุนบาน" เป็นรัชกาลขั้นตอนก่อน"เลอไท"
หลัง"เลอไท"ลำดับกลับเข้าที่ "งั่วนำถม"องค์นี้มิยิ่งใหญ่ สาย"บานเมือง"เดชอ่อนห่อนเกรียงไกร ผลงานไม่ปรากฏให้จดจำ
สาย"ขุนรามคำแหง"ล้วนแกร่งกล้า ทั้งศาสนาทรงชูชุปอุปถัมภ์ อย่าง"ลิไท"อุปราชฉลาดล้ำ ทรงรวมคำสอนสั่งทั้งพุทธพราหมณ์
แต่งคัมภีร์ศาสนาวรรณศิลป์ โลกยลยินยกย่องก้องสยาม เรื่อง"ไตรภูมิ"ลุ่มลึกชวนตรึกตาม จะเห็นความซึ้งทราบทั้งบาปบุญ... |
อภิปราย ขยายความ.........
การเรียงลำดับกษัตริย์ครองกรุงสุโขไทในช่วงหลังรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง ที่เป็นมานั้นอยู่ในภาวะสับสน กล่าวคือ นักประวัติศาสตร์เรียงลำดับว่า ต่อจากพ่อขุนรามคำแหง เป็น พระญาเลอไท จากเลอไท เป็นงั่วนำถม จากงั่วนำถม เป็นลิไท
แต่ความในศิลาจารึกปู่สบถหลาน (จะกล่าวถึงต่อไป) เรียงไว้ว่า ต่อจากปู่รามราช คือ ปู่ไสสงคราม ปู่เลอไท ปู่งั่วนำถม.... เป็นไปตามราชประเพณี (หรือกฎมณเฑียรบาล) คือ พี่ครองก่อน สิ้นพี่แล้วน้องครองต่อ สลับกัน ตอนที่บานเมืองครอง พระรามคำแหงเป็นอุปราช พ่อขุนรามคำแหงครอง ไสยสงครามโอรสบานเมืองเป็นอุปราช ไสสงครามครอง เลอไทโอรสพระรามราชเป็นอุปราช เลอไทครอง งั่วนำถมโอรสไสสงครามเป็นอุปราช งั่วนำถมครอง จึงสถาปนาลิไท โอรสเลอไทเป็นอุปราช สลับกันไปอย่างนี้ ราชประเพณีนี้ใช้ต่อกันมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในปี พ.ศ. ๑๘๘๓ พระยาเลอไทธรรมิกราชสวรรคต พระยางั่วนำถมโอรสไสสงครามขึ้นครองกรุงสุโขไท ตั้งพระยาลิไทโอรสพระยาเลอไทเป็นมหาอุปราชให้ไปครองนครศรีสัชนาลัย (ตามราชประเพณี) พระยาลิไทมีความฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงศึกษาเล่าเรียนความรู้ด้านศาสนาจากสำนักพระอาจารย์หลากหลายจนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ทรงรจนาคัมภีร์ศาสนาขึ้นมาคัมภีร์หนึ่งให้ชื่อว่า "เตภูมิกถา" หรือ "ไตรภูมิกถา" ว่าด้วยความเป็นมาเป็นไปของบรรดาสัตว์ในภพภูมิทั้ง ๓ คือ มนุษย์ สวรรค์ นรก ทรงเน้นการสั่งสอนให้คนรู้จัก บาป บุญ คุณ โทษ ทรงบรรยายให้เห็นภาพมนุษย์ สวรรค์ นรก ได้อย่างละเอียดพิสดาร ทำให้คนอ่านแล้ว ฟังแล้ว รู้สึกกลัวบาป อกุศลกรรม แล้วรื่นเริงบันเทิงใจในการทำบุญกุศล จนคัมภีร์นี้กลายเป็นโครงสร้างสังคมไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขไทมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเรารู้จักกันในนามว่า "ไตรภูมิพระร่วง" คัมภีร์นี้ทรงใช้เวลารจนาอยู่นานถึง ๖ ปี จึงจบบริบูรณ์...
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ข ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- พระเถระคู่บุญ "ลิไท" -
"ลิไท"เป็นจอมปราชญ์ศาสนา พระเถรานุเถระมากเกื้อหนุน ถ่ายทอดภูมิปัญญาด้วยการุณย์ ทรงคบคุ้นเคยมากหลากอาจารย์
สองภิกษุคู่บุญมีคุณโข นาม"อโนมทัสสี"มีถิ่นฐาน อยู่ศรีสัชนาลัยชนม์ยืนนาน ถึงรัชกาล"ลือไท,พระยาราม"
อีกหนึ่งนาม"สุมนะ"ป่ามะม่วง อยู่เมืองหลวง"สุโขไท"ไม่"วางก้าม" เป็นเพื่อนกันไปมาหาทุกยาม มีศีลงามผุดผ่องทั้งสององค์
ผลงานหนึ่ง"สุมน"คือพระธาตุ เผยแผ่ศาสนธรรมตามประสงค์ พระเจ้า"กือนา"ที่มีจำนง "ลิไท"ส่งพระ"สุมน"ไป..... |
อภิปราย ขยายความ..........
ในขณะดำรงตำแหน่งเป็น "ขุนยี่" คือมหาอุปราชเสวยราชย์อยู่นครศรีสัชนาลัยนั้น พระยาลิไททรงมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์อย่างจริงจัง มีพระเถระ อนุเถระผู้ทรงภูมิความรู้เรื่องศาสนธรรมหลายรูปที่พระยาลิไทเข้าฝากตัวเป็นศิษย์ เช่นพระธรรมบาลมหาเถระ พระสิทธัตถมหาเถระ พระมณีวงศมหาเถระ พระปรัชญามหาเถระ พระสุมนเถระ พระอโนมทัสสีเถระ และ อุปเสนราชบัณฑิต (เป็นคฤหัตถ์) อีกทั้งติดต่อโดย "สารพิสัย" (จดหมาย = เรียนทางไกล ไปรษณีย์) กับพระพุทธโฆสาจารย์มหาเถระ แห่งนครหริภุญไชย (ลำพูน) คัมภีร์ที่ทรงศึกษานั้นมี อรรกถา ฎีกา อภิธรรม และคัมภีร์เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วทรงนำมาร้อยเรียงเรื่องราวเป็น "ไตรภูมิกถา" วรรณคดียิ่งใหญ่ของไทยในกาลต่อมา
พระเถระ ๒ รูปที่คุ้นเคยกับพระยาลิไทเป็นอย่างมาก คือ พระอโนมทัสสี เมืองศรีสัชนาลัย กับ พระสุมนเถระ วัดป่ามะม่วงสุโขไท ทั้ง ๒ รูปนี้เป็นสหายธรรมกัน วันหนึ่งพระสุมนเถระเดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอโนมทัสสี ระหว่างทางนั้น ผ่านเมืองปางจา (บางขลัง) ริมฝั่งน้ำฝากระดาน (ปาณามนที) พบพระสารีนริกธาตุในเจดีย์ร้างซึ่งมีกอเข็มขึ้นปกคลุมอยู่ จึงอัญเชิญไปให้พระอโนมทัสสีกราบไหว้ด้วย พระยาลิไททรงทราบ จึงขอทอดพระเนตร ปรากฏว่าพระสารีริกธาตุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นานา จนข่าวลือลงถึงกรุงสุโขไท พระยางั่วนำถม (บางแห่งเรียกพระเจ้าน้ำท่วม) ทรงทราบจึงปรารถนาได้ทอดพระเนตรบ้าง ครั้นพระสุมนเถระกลับมาเมืองสุโขไทจึงเสด็จไปขอทอดพระเนตร ณ วัดป่ามะม่วง ทรงสรงพระธาตุด้วยน้ำเครื่องหอมนานา แต่พระธาตุไม่แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ จึงไม่ทรงเลื่อมใส มอบให้พระสุมนเถระเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตน......
เรื่องพระสารีริกธาตุ เป็นเรื่องยาว จากสุโขไทไปลำพูน เชียงใหม่ แล้วประดิษฐานบนดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ) ในที่สุด ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
- ศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช -
เมื่อ"พ่องั่วนำถม"สวรรคต พระโอรสสืบต่อขอเป็นใหญ่ แต่"งำเมือง"ทำผิดสิทธิ์วางไว้ โกง"ลิไท"ดื้อรั้นครองบัลลังก์
ขุนหัวเมืองประเทศราชขาดนับถือ ต่างลุกฮือแข็งข้อแหกกฎขลัง สุโขไทแคว้นแตกแยกไม่ยั้ง จนแทบพังภินท์ล่มล้มละลาย
ปีพอศอหนึ่งแปดเก้าศูนย์นั้น "ลิไท"พลันตื่นตนเร่งขวนขวาย ยกกำลังพร้อมหัวเมืองมีมากมาย จับตัว"นาย"แล้วประหารทิ้งทันที
ยก"พระญาลิไท"เป็นใหญ่สุด นามสมมุติชูเชิดประเสริฐศรี "ศรีสุริยพงศ์ราม.."เลิศความดี สร้อยนามมี"มหาธรรมราชา" |
อภิปราย ขยายความ........
พรญา(พระยา)ลิไท ทรงใช้เวลารจนาไตรภฺูมิกถาอยู่นานถึง ๖ ปีจึงสำเร็จ หลังจากที่ทรงเป็น "ขุนยี่" (มหาอุปราช) ครองนครศรีสัชนาลัยอยู่ ๗ ปี ถึง พ.ศ. ๑๘๙๐ นั้น พรญางั่วนำถมสวรรคต พรญางำเมืองผู้โอรสขึ้นครองกรุงสุโขไทสืบแทนพระราชบิดา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดพระราชประเพณี ที่ถูกแล้วต้องให้ พรญาลิไท ขึ้นครองกรุงสุโขไท พรญางำเมือง เป็น "ขุนยี่" (มหาอุปราช) สลับสายกันปกครองจึงจะะถููกต้องตามราชประเพณี
เหตุเพราะพรญางำเมืองขึ้นครองสุโขไทแบบผิดราชประเพณีนี้เอง บรรดาขุนหัวเมืองต่าง ๆ ในแคว้นสุโขไทต่างเห็นกันว่า พรญางำเมืองเป็นกบฏต่อพรญาลิไท จึงพากันกระด้างกระเดื่องไม่ยอมขึ้นอยู่ในอำนาจการปกครอง จนแคว้นสุโขไทยามนั้น "ขาดเป็นบั้นเป็นแซว" ครานั้นพรญาลิไททนนิ่งดูอยู่มิได้ จึงยกกำลังลงมาจากศรีสัชนาลัย บรรดาขุนหัวเมืองก็พากันยกกำลังเข้าสมทบกองกำลังของพรญาลิไท มีความในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง บรรยายภาพตอนนี้ว่า พรญาลิไทเอาขวานจามประตูเมืองสุโขไทเข้าไป แล้วจับพรญางำเมืองประหารเสีย
บรรดาขุนหัวเมืองประเทศราชทั้งหลายพากันยกพรญาลิไท..... "ได้ขึ้นเสวยราชในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขไท แทนปู่แทนพ่อ ฝูงเป็นท้าวเป็นพรญาทั้งเบื้องตะวันออกตะวันตก หัวนอนตีนนอน ต่างคนต่างมีใจใคร่ใจรัก เอามงกุฏขันชัยศรีเศวตฉัตรมา "ยัดยัญ" อภิเษกให้เป็นท้าวเป็นพระยา ทั้งหลายจึงสมมติขึ้นชื่อ "ศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช" เสวยราชย์ชอบด้วยทศพิธราชธรรมรู้ปรานีแก่ไพร่ฟ้าข้าไททั้งหลาย......"
การครองราชสมบัติของกษัตริย์กรุงสุโขทัยที่แต่เดิมนั้น เมื่อพี่ครองแผ่นดินแล้วตั้งน้องเป็นอุปราช (ขุนยี่) พี่ตายลงน้องขึ้นครองแทนแล้วตั้งลูกของพี่เป็นอุปราช สลับกันเช่นนี้มาถึงพระยางั่วนำถมสิ้นพระชนม์โอรสคือ งำเมือง กลับทำผิดประเพณีขึ้นครองแผ่นดินแทนราชบิดา พวกขุนหัวเมืองต่าง ๆ ไม่ยอมรับนับถือ พากันตั้งตนเป็นอิสระ พระยาลิไทอุปราชจึงต้องยกกำลังจากศรีสัชนาลัยลงมาชิงราชบัลลังก์รักษาราชประเพณี โดยมีขุนหัวเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมด้วย เมื่อทำการสำเร็จแล้วบรรดาขุนหัวเมืองทั้งหลายจึงร่วมกันอภิเศก (ยัดยัญ) พระยาลิไทให้ครองกรุงสุโขไท ถวายพระนามว่า "พระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช" สร้อยพระนาม "มหาธรรมราชา" จึงเป็นพระนามกษัตริย์กรุงสุโขไทแต่นั้นมา
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
พระบรมธาตุนครชุม - ลิไทสร้างเมืองนครชุม -
จากจอมปราชญ์ศาสนามาครองราชย์ ทรงอำนาจแผ่ประเทศด้วยเดชกล้า เร่งขยายขอบขัณฑสีมา ด้วยหวังว่าเท่า"ปู่พระญารามฯ"
ในยามนั้นสุโขไทได้แตกแล้ว "เป็นบั้นแซว"หลายเสี่ยงมากแเสี้ยนหนาม จึงยกพลปล้นกำราบเที่ยวปราบปราม พยายามรวมไทยอยู่หลายปี
"พอศอหนึ่งเก้าศูนย์ศูนย์"ทำบุญเขื่อง ทรงสร้างเมือง"นครชุม"กุมวิถี ลุ่มน้ำปิงด้านบนเขต"คนฑี" ปลูกพระศรีมหาโพธิ์โพธิญาณ
ตั้งหลักหินจารึกบันทึกเรื่อง ทำนายเนื่องศาสนาวัยพ้นผ่าน "ห้าพันปี"สิ้นค่าอายุกาล เป็นตำนานที่ไทยฝังใจจำ.... |
อภิปราย ขยายความ ....
ปี พ.ศ. ๑๘๘๘ พระญาลิไท ทรงพระราชนิพนธ์วรรณดีศาสนาเรื่องเตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิกถา จบบริบูรณ์ ถึงปี พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงยกกำลังสมทบขุนหัวเมืองต่าง ๆ ในแคว้นสุโขไทเข้ายึดกรุงสุโขไท ได้รับการ "ยัดยัญ" อภิเษกจากบรรดาขุนทั้งหลายและไพร่ฟ้าทั้งปวงให้ขึ้นครองบัลลังก์กรุงสุโขไท เฉลิมพระนามว่า "ศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชธิราช"
จากนั้นทรงยกกำลังไปเที่ยวปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ยังกระด้างกระเดื่องอยู่ ขยายอาณาจักรสุโขไทหมายพระทัยจะให้กว้างไกลเท่าเทียมยุคสมัยปู่พระญารามคำแหง ทั้งนี้เพราะอาณาเขตสุโขไทเริ่มเล็กลงหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว และแตก "เป็นบั้นเป็นแซว" เมื่อสมัย พระญางั่วนำถมครองราชย์
ปี พ.ศ. ๑๙๐๐ หลังจากทรงปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ได้ราบคาบลงแล้ว ทรงเสด็จไปประทับริมฝั่งน้ำปิง ด้านทิศตะวันตกตอนเหนือเมืองคนฑี แล้วทรงสร้างเมืองขึ้นใหม่ให้นามว่า "นครชุม" ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ และที่สำคัญทรงทำศิลาจารึก (วัดนครชุม) กล่าวถึงเรื่องราวของพระองค์และพระพุทธทำนายเรื่องอายุกาลของพระพุทธศาสนาว่า จะสิ้นอายุเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี ความในพุทธทำนายนี้เป็นที่เชื่อถือของคนไทยส่วนหนึ่งมานานจนถึงปัจจุบัน....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกฝีนิพนธ์ไทย ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
พระพุทธลีลา - พระเจ้าอู่ทอง -
สามปีแรก"ลิไท"ได้ครองราชย์ ทรงแปรปราชญ์ศาสนามากร้าวกล้ำ เป็นนักรบองอาจไม่ขาดธรรม ขยายอำนาจไกลแคว้นใหญ่โต
กล่าวถึง"เจ้าอู่ทอง"ครองเขตใต้ ชุมชนไทยภาคกลางกว้างอักโข "ทวาราวดี"หรือ"ละโว้" ยามนั้นโผซบรัฐสุพรรณบุรี
"อู่ทอง"เขยเมืองสุพรรณฝันยิ่งใหญ่ ย้ายลงไป อโยธยาสง่าศรี อยากได้แคว้นสุโขไทในทันที ลอบเข้าตี"สองแฅว"ได้ครอบครอง
ให้"พี่เมีย"จากสุพรรณอันทรงเดช ปกครองเขต"สองแฅว"แผ่ผยอง ข่ม"พระญาลิไท"ไม่ให้ลำพอง ทั้งได้น้องสาวลิไทเป็นชายา..... |
อภิปราย ขยายความ.......
เมื่อพระญาลิไทครองกรุงสุโขไทแล้ว ทรงปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ขยายพระราชอำนาจพร้อมกับประกาศธรรมนั้น ทางฝ่ายเมืองทวาราวดี หรือ ละโว้ (ลพบุรี) มีกษัตริย์เชื้อสายไศเลนทร์ปกครองสืบมาจนถึงเจ้าอู่ทอง พระองค์ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งสุพรรณภูมิ ทำให้สองแคว้นนี้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นแคว้นเดียวกัน
ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ เจ้าอู่ทองย้ายจากละโว้ลงไปสร้างราชธานีในท้องที่ของอโยธยา ซึ่งเมืองนี้เดิมชื่อ รามนคร บ้าง ศรีรามเทพนคร บ้าง ศรีอโยธยา บ้าง มีฐานะเดิมเป็นเมือง "ลูกหลวง" ของทวาราวดี หรือ ละโว้ ครั้นเจ้าอู่ทองสร้างราชธานีเสร็จแล้วขนานนามเมืองนี้ว่า "กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา" โดยนำเอาสร้อยนาม "ทวาราวดี" จากละโว้ลงมาใช้กับเมืองนี้ด้วย
ขณะที่พระญาลิไทขยายพระราชอำนาจ สร้างพระเดชพระคุณอยู่ในแคว้นสุโขไทนั้น พระเจ้าอู่ทอง (รามาธิบดีที่ ๑) ปรารถนาได้ครอบครองแคว้นสุโขไทไว้ในอำนาจ จึงลอบยกกำลังขึ้นมา ยึดนครสรลวงสองแฅวไว้ได้โดยง่าย แล้วมอบให้ขุนหลวงพ่องั่วพระเชษฐาในพระมเหสีของพระองค์จากสุพรรณภูมิขึ้นมาปกครองนครสรลวงสองแฅว และขุนหลวงพ่องั่วยังได้พระนางมหาเทวี ราชธิดาพระญาเลอไท ผู้เป็นพระขนิษฐาของพระญาลิไท เป็นพระราชวรชายาอีกด้วย
พระญาลิไท ไม่สามารถใช้กำลังชิงเอาเมืองสรลวงสองแฅวคืนจากขุนหลวงพ่องั่วได้ จึงยุติบทบาทการเป็นนักรบของพระองค์ไว้ แล้วหันไปเป็นนักการศาสนา สร้างพระพุทธรูป พระพิมพ์ สร้างพระอาราม พระสถูปเจดีย์ ปลุกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระสถูปเจดีย์ที่เป็นเอกลักษณ์สุโขไทกำเนิดขึ้นในยุคของพระองค์คือ พระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (ยอดเจดีย์เป็นดอกบัวตูม) พระพุทธรูปที่เป็นเอกลักษณ์สุโขไทเกิดสมัยพระองค์คือ พระพุทธลีลา ซึ่งเป็นพุทธศิลป์งดงามที่สุดในโลกปัจจุบัน...
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทย ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
วัดป่ามะม่วง - พระญาลิไททรงผนวช -
"พระญาลิไท"หันหน้าเข้าหาวัด ปฏิบัติตามหลักศาสนา ทราบข่าวมีพระสงฆ์วงศ์ลังกา เลิศศีลาจารวัตรอยู่"เมืองพัน"
จึงประสงค์องค์พระสังฆราช มาโปรดญาติโยมไทยให้สุขสันต์ นิมนต์มาสุโขไทในเร็ววัน ทรงมุ่งมั่นบำรุงศาสน์รุ่งเรือง
หล่อพระใหญ่ไว้หน้ามหาสถูป พระพุทธรูปน้อยใหญ่ไว้ต่อเนื่อง ไม่เสียดายทรัพย์สินที่สิ้นเปลือง ทรงปลดเครื่องทรงกษัตริย์ด้วยศรัทธา
สละราชย์ผนวชองค์เป็นสงฆ์หนึ่ง หวังเข้าถึงโพธิญาณในกาลหน้า ถือวัด"ป่ามะม่วง"พัทธสีมา จำพรรษาบำเพ็ญบารมี..... |
อภิปราย ขยายความ...........
สมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช (ลิไท) ถูกขุนหลวงพ่องั่วยึดการปรกครองนครสรลวงสองแฅว แล้วยังแทรกแซงราชสำนักสุโขไท โดยตั้งพระมหาเทวีขนิษฐาในพระองค์ (พระยาลิไท) เป็นพระราชวรชายา ทำให้พระองค์ไม่สะดวกในการบริหารบ้านเมือง จึงหันหน้าเข่้าวัด สร้างกุฎีพิหาร พระสถูปเจดีย์ พระพุทธรูป พระพิมพ์มากมาย
พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยบริสุทธิ์หลายแบบหลายปางเกิดขึ้นในยุคนี้ พระพุทธรูปปางลีลาอันงดงามซึ่งพัฒนามาจากพระอัฏฐารศ ได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะงดงามที่สุดในโลก คือองค์ที่ประดิษฐาน ณ วัดเบญจมบพิตรฯ ในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ ทรงทราบว่าพระสงฆ์ลังกาวงศ์ฝ่ายมหาวิหารมาตั้งประกาศลัทธินิกายอยู่ที่เมืองพัน (นครพัน เมาะตะมะ) มีศีลาจารวัตรงดงาม จึงโปรดให้พระสุมนเถระ กับพระอโนมทัสสีเถระ พาบริวารไปมอบตัวเป็นศิษย์ศึกษาพระพุทธธรรมในคณะสงฆ์นี้ เพื่อนำกลับมาเผยแผ่ที่สุโขทัย พระเถระทั้งสองพร้อมศิษย์ไปทำทัฬหีกรรม (บวชครั้งที่สอง) ในสำนักพระอุทุมพรมหาสามีสังฆราชอยู่ครบ ๕ พรรษาแล้วจึงกลับสุโขไท โดยพระญาลิไทให้อาราธนาพระอุทุมพรมหาสามีสังฆราชเสด็จมาสุโขไทด้วย
ความในจารึกวัดป่ามะม่วง กล่าวว่า "พระอุทุมพรบุปผามหาสวามิสังฆราช เสด็จมาประทับ ณ วัดสีโหล (สีโทน) ใต้วัดป่ามะม่วง พระญาลิไททรงอธิษฐานเพศเป็นดาบสแล้วบรรพชาเป็นสามเณรต่อหน้าองค์พระพุทธรูปทองในพระมหาปราสาท จากนั้นเสด็จไปทำพิธีอุปสมบทในพัทธสีมาวัดป่ามะม่วง ท่ามกลางคณะสงฆ์ลังกาวงศ์ฝ่ายมหาวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชอุทุมพรเป็นประธานสงฆ์ (พระอุปัชฌาย์) แล้วประทับจำพรรษาอยู่ ณ วัดป่ามะม่วงนั้น
เมื่อออกพรรษาแล้วทรงลาพระผนวช บำเพ็ญพระราชกุศลเป็นมหาทาน ฉลองพระพุทธรูปสำริดที่ทรงโปรดให้ "หล่อเท่าองค์พระพุทธพระเป็นเจ้า" บริจาคไทยทานคือ ทอง ๑๐ ชั่ง เงิน ๑๐ ชั่ง เบี้ย ๑๐ ล้าน หมาก ๒ ล้าน จีวร ๔ กระแส บาตร หมอนนอน หมอนนั่ง เสื่อ จำนวนเท่า ๆ กัน....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
แนวกำแพงแก้วของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร Cr. Photo By คุณหมุนตามไมล์ - ลิไทไปครองสรลวงสองแฅว -
ลาผนวชแล้ว"ลิไท"รับข้อแม้ ครอง"สองแฅว"เหมือนจักลดศักดิ์ศรี สุโขไทให้"พระมหาเทวี" ภคินีของพระองค์ทรงครอบครอง
อยู่"สรลวงสองแฅว"แผ่กุศล ให้ทุกคนร่วมบุญเลิกขุ่นข้อง "ไตรภูมิกถา"ธรรมโลกจำลอง เป็นแสงส่องทางอุดมสังคมไทย
ให้กลัวบาปรักบุญกุศลสร้าง เป็นแบบอย่างอยู่เย็นเป็นสุขได้ "มหาธรรมราชา"ทรงตั้งใจ สร้างวัดใหญ่พระพุทธสุดแสนงาม
"พระพุทธชินราช,ศาสดา,ชินสีห์" ทุกองค์มีลักษณะเลิศสยาม ได้โอรสยศยงทรงพระนาม "ลือไท"ตามรอยบาทพระบิดา..... |
อภิปราย ขยายความ............
พระญาลิไททรงผนวชจำพรรษา ณ วัดป่ามะม่วงในแดนอรัญญิกด้านตะวันตกเมืองสุโขไท ทรงให้สร้างพระพิมพ์งดงามขึ้น ๒ แบบ คือพระพิมพ์ประทับนั่งสมาธิราบ ปางมารวิชัย (ชาวบ้านเรียกหลวงพ่อโต) บรรจุไว้ ณ วัดป่ามะม่วง แดนอรัญญิก และวัดสระศรีในกลางเมืองสุโขไท กับ พระพิมพ์ลีลา บรรจุ ณ พระเจดีย์บนยอดเขา กับในถ้ำเชิงเขาแดนอรัญญิก และ ในพระเจดีย์ บนเขาสะพานหิน ( คือพระลีลา ถ้ำหีบและเขาสะพานหิน)
ครั้นทรงลาผนวชแล้ว ยอมรับข้อเสนอของขุนหลวงพ่องั่ว คือทรงแปรพระราชฐานไปประทับ ณ นครสรลวงสองแฅว มอบให้พระมหาเทวีชนิษฐาของพระองค์ปกครองสุโขไทแทน ขุนหลวงพ่องั่วจึงเสด็จกลับไปครองสุพรรณภูมิตามเดิม
พระมหาธรรมราชา (ลิไท) แปรพระราชฐานไปประทับ ณ นครสรลวงสองแฅวแล้วมุ่งหน้าเผยแผ่พระพุทธศาสนธรรมตามแนวคิดของพระองค์ คู่มือสำคัญในการเผยแผ่ศาสนธรรมคือ "ไตรภูมิกถา" ที่พระองค์ทรงรจนาขึ้นในขณะเป็นมหาอุปราชดังกล่าวแล้ว ทำให้คนไทยรู้จักบาปบุญคุณโทษ กลัวบาป ทำบุญกันมากขึ้น เป็นความง่ายต่อการปกครอง
ทรงสร้างวัดใหญ่ ๆ ขึ้นในนครสองแฅวหลายวัด เช่นวัดพระศรีรัตนมหาธาตุในเมือง เป็นคามวาสี วัดอรัญญิกในป่าด้านตะวันออกของตัวเมือง เป็นอรัญวาสี ผลงานที่ยอดเยี่ยมของพระองค์คือ ทรงสร้างพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย มีพระพุทธลักษณะตามตำรามหาบุรุษ คือพระพุทธรูปงดงามที่สุดในโลก ได้แก่ พระพุทธชินราช และยังมีพระศาสดา พระชินสีห์ อีกด้วย นอกจากพระพุทธรูปประทับนั่งแล้วยังทรงสร้างพระพุทธรูปยืนเรียกว่า พระอัฏฐารศ ตามแบบอย่างของสุโขไทอีกด้วย ต่อจากพระพุทธรูปแล้วยังสร้างพระเจดีย์มียอดเป็นรูปดอกบัวตูมที่เรียกว่า "ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์" อันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย
ขณะประทับ ณ นครสรลวงสองแฅวนี้ ทรงได้พระราชโอรสอันประสูติแต่พระนางศรีธรรมราชมาตา ที่่ปรากฏในศิลาจารึกชัดเจน ๑ องค์ ขนานพระนามว่า "ลือไท" อันเป็นพระนามล้อเลียนนามของพระองค์ .....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
บ้านกลอนน้อยฯ
|
Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
ยอดเขาสุมณกูฏ - ลิไทคืนสุโขไท -
อยู่สองแฅวเจ็ดปีแม้มีสุข แต่เป็นทุกข์เรื่องแคว้นแดนปู่ย่า ต้องแตกแยกเป็น"สองนครา" ปรารถนาให้เป็นไปเช่นเดิม
เสด็จกลับสุโขไทไม่รอช้า "อยุธยา"สิ้น"อู่ทอง"พร่องผู้เสริม อาศัยบุญคุณธรรมค้ำจุนเจิม โดยทรงเริ่มไหว้พระบาทรอยจำลอง
ขนิษฐาเทวีมิข้องขัด ราชสมบัติสุโขไทในทั้งผอง ทรงเวนคืนโดยชอบให้ครอบครอง ลบรอย"สองนครา"หมดสิ้นไป....
|
อภิปราย ขยายความ............
ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกว่า ในปีที่ ๖ ซึ่งพระญาลิไทประทับ ณ สรลวงสองแฅวนั้น ประมาณดือน ๘ ปีวอก จุลศักราช ๗๓๐ ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๙๑๑ สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดามหาดิลกรัตนราชนาถกรรโลงมเหสี ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช (ลิไท) ได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง มีพระนามตามจารึกว่า "พระศรีสุริยวงศ์" พระนามสาสัญที่ชาวเมืองเรียกขานกัน คือ "ลือไท"
รุ่งขึ้นปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ส มเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยาสวรรคต สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสขึ้นครองราชแทน ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลง พระญาลิไทจึงถือโอกาสนี้ พาไพร่พลพร้อมหัวเมืองบริวารเสด็จคืนกรุงสุโขไท อ้างว่าเพื่อนบไหว้รอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมณกูฏ (เขาพระบาทใหญ่)
ครานั้น สมเด็จพระมหาเทวีขนิษฐาของพระองค์ พระราชวรชายาขุนหลวงพ่องั่ว ซึ่งครองกรุงสุโขไทอยู่ ในประมาณปี พ.ศ.๑๙๑๐ พระนางได้ประสูติพระโอรสองค์หนึ่งให้พระนามว่าพระเทพาหูราช ครั้นพระเชษฐาธิราชพาพลกลับคืนมานบพระพุทธบาทดังน้ั้น จึงเวนราชสมบัติคืนให้พระองค์ครอบครองตามเดิม เพื่อให้สุโขไทคืนสู่แคว้นสุโขทัยอันยิ่งใหญ่ต่อไป ....
เต็ม อภินันท์ สถาบันกวีนิพนธ์ไทย ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้ในเน็ต
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|