Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา >> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม >> - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -  (อ่าน 258464 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #285 เมื่อ: 17, กรกฎาคม, 2562, 10:50:06 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -


<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>                   .

- ยกทัพไปตีเมืองทวาย -

ยกทัพข้ามเขาสูงแสนลำบาก
ทรงทนตรากตรำจนพ้นเขาเขิน
ตีพม่าทุกค่ายพ่ายยับเยิน
ทัพดำเนินต่อเนื่องถึงเมืองทวาย

          อภิปราย ขยายความ....................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดาร ๒ ฉบับมาวางให้ท่านอ่านกันถึงตอนที่  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ทรงเป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพไปตีเมืองทวายด้วยพระองค์เอง  เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป  เชิญอ่านความในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่ขอยกมาแสดงดังนี้


          “ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) แม่ทัพหน้าของไทยที่เดินทัพข้ามเขาสูงไปนั้น  ให้พระยาสุรเสนา  พระยามหาอำมาตย์ และท้าวพระยานายทัพนายกองหลายนายคุมพลทหาร ๕,๐๐๐ ล่วงหน้าไปก่อน  เมื่อข้ามเขาลงไปถึงเชิงเขาก็เห็นค่ายพม่าตั้งรับอยู่  พระยาสุระเสนา  พระยามหาอำมาตย์  นายกองหน้าจึงให้ตั้งค่ายลงเป็นหลายค่ายเข้าประชิดค่ายพม่า  พม่าก็ยิงปืนใหญ่น้อยออกจากค่ายเข้าใส่ทหารไทย  ฝ่ายไทยก็มิได้หวั่นเกรง  คงตั้งค่ายมั่นอยู่รอโอกาสเข้าปล้นค่ายพม่า


          ครั้นถึงวันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ เพลาเช้า  พระเสนานนท์กับขุนหมื่นและไพร่พลในกองยกเข้าปล้นค่ายพม่า  พม่ายิงปืนนกสับออกมาถูกขาซ้ายพระเสนานนท์ล้มลง  พลทหารเข้าช่วยพยุงถอยกลับมาเข้าค่าย  พระยามหาอำมาตย์ก็ขับพลทหารหนุนเข้าไปปล้นค่ายพม่า  ได้ต่อรบกันเป็นสามารถ  เมื่อหักเอาค่ายพม่าไม่ได้ก็ถอยกลับมา  ได้ยกเข้าปล้นค่ายเป็นหลายวันก็ไม่สำเร็จ  ฝ่ายไทยต้องสูญเสียพระยาสุรเสนา  พระยาสมบัติบาล  ซึ่งถูกปืนข้าศึกตายในที่รบ


          วันอาทิตย์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓  เจ้าพระยารัตนาพิพิธ  เจ้าพระยามหาเสนา  ก็ยกพลทหารหนุนไปช่วยกองหน้าเข้าระดมตีค่ายพม่า  ฝ่ายพม่าก็ต่อรบเป็นสามารถ  รบกันตั้งแต่เช้าจนค่ำ  โดยพลทหารไทยหนุนเนื่องกันเข้าไปมิได้ท้อถอย  บ้างเย่อค่าย ปีนค่าย  พม่าสู้รบต่อต้านอยู่จนถึงเวลาประมาณยามหนึ่ง  นัดมิแลนายทัพเห็นเหลือกำลังจะต้านทานไหว  ก็พาพลทหารแตกออกข้างหลังค่ายหนีไป ณ ค่ายเมืองกลิอ่อง  กองทัพไทยก็ได้ค่ายวังปอ  แล้วให้ม้าใช้รีบลงมากราบทูลพระกรุณายังทัพหลวง  แล้วเข้าตั้งพักรี้พลอยู่ค่ายวังปอสองวัน


          * ณ วันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๓  กองทัพหน้าของไทยก็ยกตามลงไปถึงค่ายเมืองกลิอ่อง   เข้าตั้งค่ายติดเมืองกลิอ่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงดำเนินทัพหลวงข้ามเขาสูงหนุนไป  ภูเขาลูกนั้นชันนัก  จะทรงช้างพระที่นั่งขึ้นไปมิได้  จึงดำรัสให้ผูกราวแล้วต้องทรมานพระกายเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท  ยุดราวขึ้นไปตั้งแต่เชิงเขา  แต่เช้าจนเที่ยงจึงถึงยอด  ส่วนช้างซึ่งขึ้นเขานั้นต้องเอางวงยึดต้นไม้เหนี่ยวกายขึ้นไปได้อย่างยากลำบากยิ่ง  มีพระราชดำรัสว่า  ไม่รู้ว่าทางนี้เดินยากพาลูกหลานมาได้ความลำบากยิ่งนัก  เมื่อลงเขาก็ต้องเสด็จพระราชดำเนินยึดราวลงไปเหมือนกัน  ครั้นกองทัพหลวงยกข้ามภูเขาสูงล่วงพ้นไปแล้ว  จึงเสด็จยั้งทัพหลวงประทับแรม ณ ค่ายวังปอ  ให้ตำรวจไปเร่งกองหน้าตีเมืองกลิอ่องให้แตกโดยเร็ว


          เจ้าพระยารัตนาพิพิธ  เจ้าพระยามหาเสนา  เจ้าพระยายมราช  ก็ขับพลเข้าหักค่ายเมืองกลิอ่อง  พม่าก็ต่อรบเป็นสามารถ  รบกันทั้งกลางวันกลางคืน  เสียงปืนยิงโต้ตอบกันมิได้หยุดหย่อน  จนถึงวันเสาร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔  เพลากลางคืนประมาณยามเศษ  เจ้าเมืองทวายและนัดมิแลเห็นว่าเหลือกำลังจะต้านทานต่อรบ  ก็แหกหนีออกทางหลังค่ายแตกพ่ายไป ณ เมืองทวาย  กองทัพไทยก็ได้ค่ายเมืองกลิอ่อง  หยุดพักพลจัดแจงเสบียงอาหารอยู่ที่นั้นหลายวัน  แต่งกองสืบแนมไปสืบก็ทราบว่าพม่าตั้งค่ายปีกกาสกัดท้องทุ่งคอยรับอยู่กลางทางที่จะไปเมืองทวาย  จึงบอกไปกราบทูลพระกรุณายังค่ายหลวง  ทรงทราบดังนั้นจึงมีพระราชดำรัสให้กองหน้าตรวจเตรียมรี้พลอย่างกวดขันทุกทัพทุกกอง  อย่าประมาทให้เสียทีแก่ข้าศึก  แล้วให้ยกไปตีค่ายปีกกาพม่าให้แตกในวันเดียว  ถ้าล่วงวันไปจะเอาโทษนายทัพนายกองถึงสิ้นชีวิต


          ถึงวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ เพลาเช้า  แม่กองหน้าของไทยก็ยกเข้าตีค่ายปีกกาของพม่า  โดยท้าวพระยานายทัพนายกองทั้งหลายนั้นกั้นสัปทนแดงดาดไปทั้งท้องทุ่ง  แบ่งหน้าที่กันเร่งขับพลทหารเข้าหักค่ายปีกกาพร้อมกันทุกทัพทุกกอง  ให้ระดมยิงปืนใหญ่น้อยเสียงสะเทือนสะท้านไปทั้งท้องทุ่ง  พม่าก็ยิงปืนใหญ่น้อยโต้ตอบจากทุกค่ายปีกกา  รบกันตั้งแต่เช้าจนค่ำ  พลทหารไทยเยียดยัดกันหนุนเนื่องเข้าไปมิได้ท้อถอย  เข้าปีนค่ายเย่อค่ายสู้รบกันถึงขั้นอาวุธสั้น  พลพม่าต่อสู้ต้านทานมิได้ก็แตกฉานพ่ายหนีไปเข้าเมืองทวาย  กองทัพไทยก็ไล่ติดตามไปจนถึงเมืองทวายในเพลากลางคืนวันนั้นเอง


          * แก่งหวุ่นแมงญีแม่ทัพใหญ่  และแมงแกงซาเจ้าเมืองทวาย  กับทั้งนายทัพนายกองทั้งปวงก็พากันตื่นตกใจเห็นว่าจะรักษาเมืองไว้ไม่ได้  ก็ชวนกันหนีออกจากเมือง  ที่ข้ามน้ำไปฟากข้างโน้นก็มีบ้าง  ที่ยังอยู่ในเมืองก็มีบ้าง  แต่มิได้มีคนขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินกำแพงเมืองเลย

          วันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ เพลาเช้า  พลทัพไทยกองหน้าก็ยกไปถึงเชิงกำแพงเมืองทวาย  แลไม่เห็นผู้คนขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน  แต่ประตูเมืองปิดอยู่  แม่ทัพหน้าจึงปรึกษากันแล้วเห็นว่ายังไม่ควรจู่โจมทำลายประตูเมืองเข้าไป  ด้วยพม่าอาจจะแต่งกลซุ่มพลไว้  จึงให้รอทัพอยู่นอกเมืองคอยดูท่วงทีพม่าว่าจะทำประการใด  อย่าให้เสียทีแก่ข้าศึก  แล้วก็ถอยออกมาตั้งค่ายล้อมเมืองไว้สามด้าน  เว้นทางริมแม่น้ำไว้”


          ** ท่านผู้อ่านครับ  อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาถึงตรงนี้ก็ได้เห็นพระวิริยานุภาพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ที่ทรงตรากตรำลำบากในการเดินทัพไปตีเมืองทวาย  เสด็จรอนแรมไปในทางทุรกันดารเท่านั้นมิพอ  ยังต้องทรงเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาททรมานพระกายในการไต่ภูเขาสูง  เสี่ยงอันตรายนำทัพไทยไปจนถึงเมืองทวาย  พระองค์มิได้ทำเพื่อพระองค์เอง  หากแต่ทรงทำเพื่อประเทศชาติไทยโดยแท้  และมิใช่ว่าพระองค์ทรงคิดจะรุกรานพม่าเพื่อแสวงหาอำนาจ  หากแต่พระองค์จำต้องยกไปตีพม่า  เพื่อป้องกันมิให้พม่ายกมาตีไทยอีก  เพราะหากว่าไทยมีแต่คอยจะตั้งรับอยู่ก็จะเสียเปรียบพม่า  จึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายรุกไปบ้าง  เพื่อให้พม่าเกิดความยำเกรงจนไม่กล้ายกมารุกรานไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เมื่อยกทัพไปถึงเมืองทวายแล้ว  เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป  รออ่านกันต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๕ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กลอน123, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม, ปิ่นมุก, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..

บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #286 เมื่อ: 30, กรกฎาคม, 2562, 10:38:46 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- ยึดทวายไม่สำเร็จ -

ยึดทวายไม่สำเร็จเสด็จกลับ
ทรงเลิกทัพลาจรก่อนเสียหาย
องเชียงสือคิดกลับญวนชวนเพื่อนตาย
ทั้งแจวพายนาวาออกทะเล


          อภิปราย ขยายความ...................

          เมื่อวันวานก่อนนี้ได้เก็บความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  มาบอกเล่าถึงตอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยกทัพหลวงไปตีเมืองทวาย  ทรงพยามยามเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทข้ามยอดเขาสูงไปได้ด้วยความลำบากยิ่ง  กองทัพหน้าตีค่ายพม่าที่ยกมาตั้งรับแตกพ่ายไปทั้ง ๓ ค่าย  แล้วยกเข้าประชิดเมืองทวาย  นายทัพนายกองพม่าส่วนมากหนีออกจากเมืองข้ามแม่น้ำไป  แต่ปิดประตูเมืองไว้  ทัพหน้าทหารไทยไม่กล้าทลายประตูเมืองเข้าไปด้วยเกรงว่าจะเป็นกลอุบายของข้าศึก  จึงตั้งค่ายล้อมเมืองอยู่ทั้ง ๓ ด้าน  โดยเว้นทางด้านแม่น้ำไ ว้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปมาดูกันต่อครับ

          * “ นายทัพนายกองพม่าเห็นว่ากองทัพไทยไม่กล้าเข้าตีเมืองทวาย  จึงพากันข้ามแม่น้ำลอบกลับเข้าในเมือง  แล้วเกณฑ์พลทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินกำแพงเมืองเป็นสามารถ  ในขณะนั้นกองทัพหลวงของไทยก็ยกตามกองทัพหน้าเข้าไปตั้งใกล้กำแพงเมืองทวาย  ห่างจากค่ายกองทัพหน้าประมาณห้าสิบเส้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร  ยกไปตั้งค่ายใหญ่หนุนค่ายกองทัพหน้าอยู่หน้าทัพหลวง

          ขณะนั้นช้างต้นพังเทพลีลาพระราชคชาธารเกิดป่วยลง  โดยไม่จับหญ้าถึงสามวัน  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกยิ่งนัก  ด้วยพังเทพลีลาเชือกนี้เป็นช้างพระที่นั่งข้าหลวงเดิม  ได้เคยทรงเสด็จไปงานพระราชสงครามมาแต่ก่อนทุกครั้ง  ทรงพระอาลัยด้วยเกรงว่าพระราชพาหนะเพื่อนทุกข์เพื่อนยากจะล้มเสีย  จึงทรงพระอธิษฐานเสกข้าวสามปั้นให้ช้างกิน  ด้วยเดชะพระบารมีเป็นอัศจรรย์ปรากฏว่าช้างนั้นหายไข้เป็นปกติ  ทรงดีพระทัยเป็นยิ่งนัก  นายทัพนายกองพม่าที่ตั้งรักษาเมืองทวายอยู่นั้นเห็นจะเกรงกลัวพระเดชานุภาพเป็นกำลัง  จึงมิได้ยกพลออกมาต่อรบนอกเมือง  พากันนิ่งรักษาเมืองมั่นอยู่  กองทัพไทยก็ไม่กล้ายกเข้าหักเอาเมืองทวายจึงตั้งล้อมเมืองอยู่นานถึงกึ่งเดือน  เสบียงอาหารก็เบาบางลง

          ขณะนั้นเจ้าอินซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าล้านช้างเก่าจึงกราบทูลขออาสายกเข้าปีนปล้นเอา  มีพระราชโองการตรัสห้ามว่า ทัพหลวงตั้งใกล้เมืองนัก  เกรงจะไม่สมคะเนลาดถอยมาแล้วข้าศึกได้ทีจะยกออกมจากเมืองไล่ติดตามกระทั่งปะทะค่ายหลวง  จะเสียทีเหมือนเมื่อครั้งยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ครั้งก่อน

          จากนั้นพระยาสีหราชเดโชและท้าวพระยานายทัพนายกองหลาย  กราบบังคมทูลอาสาจะเข้าปล้นเอาเมือง  ก็ดำรัสห้ามเสียเหมือนเดิม  พอเสบียงอาหารขัดลงก็ดำรัสให้เลิกทัพถอยมาทางถม่องส่วย  ให้กองทัพหน้ารอรั้งมาเบื้องหลัง  พม่าก็ยกทัพมาติดตาม  กองหน้าก็รอรบมาจนสิ้นแดนเมืองทวาย

          * กล่าวถึงสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ  ขณะประทับจัดแจงบ้านเมืองอยู่ในล้านนาไทยนั้นทรงทราบว่า  สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงยกทัพหลวงไปตีเมืองทวาย  ก็เสด็จยาตราทัพจากเมืองนครลำปางกลับมายังกรุงเทพมหานคร  แล้วเสด็จทางชลมารคออกไปตามสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้า  เมื่อไปถึงแม่น้ำน้อยก็พอดีกับทัพหลวงเสด็จกลับมาถึงพระตำหนักค่ายท่าเรือ  จึงเสด็จเข้าไปเฝ้ากราบบังคมทูลให้เสด็จพระราชดำเนินกลับพระนคร  โดยพระองค์จะตั้งทัพอยู่ดูทีพม่าว่าจะเป็นประการใด  จะคิดอ่านป้องกันสู้รบรักษาพระราชอาณาเขตจนสุดความสามารถ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบด้วย  จึงเสด็จกรีธานาวาทัพกลับคืนยังกรุงเทพมหานคร

          กองทัพพม่าที่ยกติดตามกองทัพไทยมานั้น  เมื่อมาสิ้นสุดแดนเมืองทวายก็ยั้งทัพ  โดยไม่กล้าล่วงล้ำเข้าเขตแดนไทย  แล้วก็เลิกทัพกลับเมืองทวายในที่สุด  สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯทรงจัดแจงให้พลเมืองอยู่รักษาด่านทางมั่นคงแล้วก็เลิกทัพเสด็จกลับพระนคร


          * กล่าวถึงองเชียงสือซึ่งโดยเสด็จทัพหลวงไปตีเมืองทวายนั้น  เมื่อกลับมาแล้วได้ปรึกษาขุนนางญวนและพรรคพวกของตนว่า   “เราหนีข้าศึกเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงได้ความสุข  แล้วโปรดให้กองทัพยกไปตีข้าศึก  จะคืนเอาเมืองให้ถึงสองครั้งก็ยังหาสำเร็จไม่  บัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชกังวลด้วยการศึกพม่า  ยังรบติดพันกันอยู่  เห็นจะช่วยธุระเรามิได้  ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลาออกไปรบข้าศึกตีเอาบ้านเมืองคืนด้วยกำลังเราเอง  ก็เกรงพระราชอาชญาอยู่  เห็นจะไม่โปรดให้ไป  จำจะหนีไปจึงจะได้”   ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วก็เขียนหนังสือทูลลาเอาไว้ในเรือน  แล้วจัดแจงเรือทะเลได้สี่ลำ  ลอบพาสมัครพรรคพวกขุนนางและไพร่ครอบครัวทั้งปวงลงเรือหนี  รีบแจวเรือออกไปทางปากน้ำเมืองสมุทรปราการในเพลากลางคืน  พวกชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้เคียงบ้านพักองเชียงสือรู้เรื่องจึงเข้าแจ้งต่อเจ้าพระยาพระคลัง  เจ้าพระยาพระคลังจึงเข้ากราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทันที”

          ** ท่านผู้อ่านครับ  การยกทัพไปตีทวายไม่สำเร็จ  เพราะทัพหน้าที่ไล่ตีพม่าจากค่ายนอกเมืองหนีเข้าเมือง  เจ้าเมืองและกรมการเมืองพากันปิดประตูเมืองแล้วหนีออกทางหลังเมือง  นายทัพหน้าไทยไม่กล้าบุกเข้ายึดเมือง  เพราะเกรงพม่าซ่อนกลศึกไว้ในเมือง  ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้จนพม่าพากันกลับเข้ารักษาเมืองได้อีก  จึงพลาดโอกาสยึดครองเมืองทวายไปอย่างน่าเสียดาย

          เสร็จศึกทวายแล้ว   องเชียงสือ  อดีตกษัตริย์ญวน  ซึ่งร่วมไปในการศึกสงครามด้วย  ได้เกิดความคิดที่จะกลับไปกอบกู้ราชบัลลังก์ของตนคืนด้วยตนเอง  จึงพาสมัครพรรคพวกลงเรือหนีไป  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร  ติดตามอ่านต่อไปนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๖ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #287 เมื่อ: 01, สิงหาคม, 2562, 12:01:48 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- องเชียงสือหนีกลับญวน -

ทรงตรัสห้ามมิให้ใครตามจับ
ปล่อยให้กลับญวนไปไม่ร่อนเร่
เปิดโอกาสตั้งตนไม่ปนเป
เห็นเขาเซเราซ้ำทำไม่ลง

องเชียงสือเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน
ลมว่าวผ่านพัดแรงเป็นแรงส่ง
เรือแล่นใบไวว่องสิ้นพะวง
มุ่งหน้าตรงเกาะกูดเกาะร้างไกล


          อภิปราย ขยายความ....................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มาให้ได้อ่านกันถึงตอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ทรงยกทัพไปตีเมืองทวาย  ตั้งค่ายล้อมเมืองอยู่จนขาดเสบียงอาหารจึงเลิกทัพกลับกรุงเทมหานคร  ในการศึกครั้งนี้องเชียงสือกษัตริย์ญวนพลัดถิ่นได้ร่วมไปในกองทัพด้วย  เมื่อกลับมากรุงเทพฯแล้ว  ได้ปรึกษาสมัครพรรคพวกในการกลับไปกอบกู้ราชบัลลังก์บ้านเมืองด้วยตนเอง  ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลาก็มิกล้า  ด้วยเกรงพระราชอาชญา  จึงเขียนหนังสือกราบทูลถวายบังคมลาใส่พานวางไว้บนโต๊ะบูชา  แล้วลงเรือหนีออกไปในยามค่ำคืน  ชาวบ้านรู้เรื่องจึงแจ้งให้เจ้าพระยาพระคลังทราบ  เจ้าพระยาพระคลังจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูล  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร อ่านต่อเถิดครับ


          * “สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า  จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งพร้อมด้วยเรือข้าราชการทั้งปวงออกติดตามไปก็มิทัน  ด้วยเรือองเชียงสือได้ออกพ้นปากน้ำตกถึงท้องทะเลเสียแล้ว  จึงเสด็จกลับพระนคร  ครั้นรุ่งเช้าเสด็จขึ้นเฝ้ากราบทูลว่าจะจัดแจงเรือรบเรือทะเลยกกองทัพออกไปติดตามเอาตัวองเชียงสือให้จงได้  พอดีเวลาเช้าวันนั้นพวกข้าหลวงไปค้นเรือนองเชียงสือ  พบหนังสือที่เขียนทูลลาไว้จึงนำมาถวาย  ทรงพระกรุณาให้อ่านเป็นใจความว่า


           “ข้าพระพุทธเจ้าองเชียงสือเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร  ทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงก็ได้ความสุข  บัดนี้มีความวิตกถึงบ้านเมือง  ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลากลับออกไปก็กลัวพระราชอาชญานัก  จึงต้องคิดอ่านหนีด้วยเป็นความจำเป็น  ใช่จะคิดการกบฏกลับมาประทุษร้ายนั้นหามิได้  ขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทไปตราบเท่าชีวิต  ซึ่งถวายบังคมลาไปทั้งนี้ ด้วยจะไปตั้งซ่องสุมเกลี้ยกล่อมผู้คนเข้าตีเอาเมืองคืนให้จงได้  แม้นขัดสนกระสุนดินดำและเหลือกำลังประการใด  ก็จะบอกมาขอพระราชทานลูกดินและกองทัพออกไปช่วยกว่าจะสำเร็จ  การสงครามคืนเอาบ้านเมืองได้แล้ว  ก็จะขอเป็นเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไป”


          ครั้นได้ทรงทราบความในหนังสือนั้นแล้ว  จึงตรัสห้ามสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าว่า  อย่ายกทัพไปติดตามจับเขาเลย เขาเห็นว่าเราจะช่วยธุระเขามิได้  ด้วยมีการศึกติดพันกันอยู่  จึงหนีไปตีเอาบ้านเมืองคืน  เรามีคุณแก่เขาเขียนด้วยมือแล้วจะลบด้วยเท้ามิควร  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าจึงกราบทูลว่า  "องเชียงสือคนนี้  แม้นทรงพระกรุณาจะละไว้  มิให้ติดตามเอาตัวให้ได้  นานไปภายหน้าหาบุญเราไม่แล้ว  มันจะทำความลำบากเดือดร้อนแก่ลูกหลานเราเป็นแท้อย่าสงสัยเลย"  ตรัสดังนั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลากลับไป”


          * ความตอนที่องเชียงสือหนีกลับญวนนี้  เจ้าพระทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เขียนไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑   ให้รายละเอียดมากกว่าความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  คือ  ให้รายละเอียดว่า  องเชียงสือนั้น  เวลาเสด็จพระราชดำเนินการทัพศึก  ก็ได้ตามเสด็จไปช่วยราชการบ้าง  เวลาเสด็จอยู่ในพระนครก็เข้าเฝ้าแหนและรับราชการบ้าง  และยังได้คิดฝึกหัดซักซ้อมญวนหก  ญวนรำกระถาง  สิงโตล่อแก้วสำหรับเล่นกลางวัน  สิงโตคาบแก้วสำหรับเล่นในเวลากลางคืน  เป็นการเล่นอย่างญวนถวายตัว  จึงโปรดให้เล่นหน้าพลับพลาในเวลามีการมหรสพ  เป็นแบบแผนสืบมาจนทุกวันนี้

          ตอนที่หนีจากกรุงเทพฯนั้น  เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ให้รายละเอียดว่า  หลังจากปรึกษาจนเห็นพ้องต้องกันและเขียนหนังสือกราบถวายบังคมลาแล้ว  วางหนังสือนั้นไว้ที่โต๊ะบูชา  สั่งให้องกว้าน   องญี่  เอาเรือใหญ่เดิมของตัวไปคอยอยู่ที่เกาะสีชัง  ครั้นเพลาค่ำ  องเชียงสือจึงให้หาตัวนายจันท์  นายอยู่  นายเมือง  ตำรวจในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ซึ่งเป็นคนชอบพอกันไปเลี้ยงสุราที่เรือนองเชียงสือ  แล้วให้แพรย่นสีทับทิมคนละผืน  ทั้งสามคนเมาสุราถึงขนาดไม่รู้สึกสมประดี  จึงให้จับตัวคนทั้งสามมัดมือแล้วให้คนหามลงไว้ในท้องเรือ  จากนั้นองเชียงสือก็พาครอบครัวกับพวกญวนเก่าที่กรุงเทพฯไป  องเฮียวเจ้ากรมช่างสลัก ๑   องหับเจ้ากรมช่างไม้ ๑   องเกาโลเจ้ากรมช่างหล่อ ๑   รวม ๓ คนลงเรือแล้วถอนสมอรีบแจวไปในเวลากลางคืนวันนั้น  เรือ ๔ ลำ  คนประมาณ ๑๕๐ เศษ


          ตอนที่กรมพระราชวังบวรฯเสด็จตามไปนั้น  เจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวว่า  เสด็จไปถึงปากอ่าวยามรุ่งอรุณแลเห็นเรือองเชียงสือ  ฝ่ายองเชียงสือก็เห็นเรือตามมา  ออกปากอ่าวแล้วใช้ใบไม่ได้เพราะไม่มีลม  องเชียงสือตกใจคิดว่าคงจะถูกจับได้และถูกฆ่าเสียแน่แล้ว  ตัดสินใจว่า  เราเป็นคนไม่มีวาสนาแล้วจะอยู่ไปไยให้หนักแผ่นดิน  ว่าแล้วก็ชักดาบออกจะเชือดคอตายเสีย  องภูเวกระโดดเข้าชิงดาบในมือองเชียงสือไว้  จากนั้นองภูเวก็แนะนำให้อธิษฐานเสี่ยงทายดู  หากมีบารมีพอจะเป็นเจ้าแผ่นดินญวนก็คงจะมีลมมาช่วยให้ใช้ใบแล่นเรือหนีไปได้  หลังจากนั้นก็ปรากฏว่ามีลมว่าวพัดมา  เรือญวนทั้งสี่ลำก็ใช้ใบแล่นหนีไปโดยเร็ว  จากนั้นก็แล่นเรือไปพำนักอยู่ที่เกาะกูดซึ่งมีน้ำจืดบริบูรณ์  และในเวลานั้นเกาะนี้เป็นเหมือนเกาะร้าง เพราะหาผู้คนอยู่อาศัยมิได้เลย”

          ** ท่านผู้อ่านครับ  องเชียงสือหนีกลับญวน  จะชิงเมืองคืนได้หรือไม่  อย่างไร  ติดตามอ่านกันในวันพรุ่งนี้ครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๗ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, กลอน123, ปิ่นมุก, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #288 เมื่อ: 02, สิงหาคม, 2562, 12:02:05 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- องเชียงสือตั้งหลักกู้บัลลังก์ -

องเชียงสือซ่อนตนบนเกาะกูด
รอพิสูจน์ให้เห็นตนเป็นใหญ่
อุปสรรคนานาฟันฝ่าไป
เดินเข้าใกล้ความหวังบัลลังก์ญวน


          อภิปราย ขยายความ.....................

          เมื่อวันวานนี้ได้พูดถึงองเชียงสือพาพรรคพวกหนีกลับญวน  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ  กราบทูลขอส่งกองเรือรบออกตามจับตัวกลับมา  แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห้ามไว้  เพราะได้ทอดพระเนตรหนังสือที่องเชียงสือเขียนข้อความกราบบังคมลาใส่พานไว้ในเรือน  ว่าจะกลับไปกู้เมืองญวนคืนมา  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าไม่พอพระทัย  กราบทูลว่า  "องเชียงสือคนนี้  แม้นทรงพระกรุณาจะละไว้มิให้ติดตามเอาตัวให้ได้  นานไปภายหน้า  หาบุญเราไม่แล้ว  มันจะทำความลำบากเดือดร้อนแก่ลูกหลานเราเป็นแท้อย่าสงสัยเลย"  ดำรัสดังนั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลาเสด็จกลับไปพระราชวัง  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร  วันนี้มาดูกันต่อไปครับ


          * ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวต่อไปว่า  ในปีมะแม จุลศักราช ๑๑๔๙ พ.ศ. ๒๓๓๐ นั้น  พระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมืองพุทไธมาศถึงแก่พิราลัย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้บุตรพระยาราชาเศรษฐีญวนเจ้าเมืองพุทไธมาศคนเก่านามว่าองเทียม  เป็น พระยาราชาเศรษฐี  ออกไปครองเมืองพุทไธมาศแทน  แล้วตรัสปรึกษาสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า  ถึงเมืองสมุทรปราการว่า  เมืองนี้หามีกำแพงเมืองไม่  เกรงว่าจะมีราชศัตรูหมู่ปัจจามิตรยกมาทางทะเล  ไม่มีที่มั่นจะป้องกันรับข้าศึกศัตรู  ทรงเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงให้เกณฑ์ทำอิฐแล้วเกณฑ์ข้าราชการให้ก่อป้อมและกำแพงไว้ที่ริมแม่น้ำใต้ปากลัด  ฟากฝั่งตะวันออก  เป็นที่มั่นป้องกันอริราชไพรีอันจะมีมาทางทางทะเลนั้น


          และในปีเดียวกันนั้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กอง  ปรุงเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาทขึ้นใหม่  ทั้งนี้เพราะเหตุว่าในคราวที่พม่ายกมาล้อมกรุงเก่านั้น  พวกจีนค่ายคลองสวนพลูคบคิดกันเอาเพลิงไปจุดเผาพระมณฑปเดิมนั้นเสีย  ตกมาถึงสมัยพระเจ้าตากสินนั้นทรงให้ทำเป็นแต่หลังคามุงกระเบื้องกั้นพระพุทธบาทไว้  หาได้สร้างเป็นพระมณฑปดังแต่ก่อนเก่าไม่  เมื่อก่อนยังมิได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีทวายนั้นทรงตรัสให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า  เป็นแม่การยกพระมณฑปพระพุทธบาท  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าจึงเสด็จทางชลมารคถึงที่ประทับท่าเจ้าสนุก  แล้วมีพระราชบัณฑูรให้เกณฑ์ข้าราชการไพร่นายช่วยกันขนตัวไม้เครื่องบนพระมณฑปขึ้นไปยังพระพุทธบาท  ด้วยพระราชศรัทธาเปี่ยมล้น  พระองค์ทรงยกตัวลำยองเครื่องบนพระมณฑป  ทรงแบกด้วยพระองค์เองแล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทไปตามทาง  ให้ตั้งขาหยั่งและพลับพลาที่ประทับไปตามระยะทางจนถึงพระพุทธบาท  เมื่อให้ช่างยกเครื่องบนพระมณฑปเสร็จแล้ว  ให้จัดการลงรักปิดทองประดับกระจก  ให้ทำพระมณฑปน้อยกั้นรอยพระพุทธบาทภายในพระมณฑปใหญ่  เสาทั้งสี่กับเครื่องบนและยอดล้วนแผ่ทองคำหุ้มทั้งสิ้น


          * คราวนี้ขอกล่าวถึงเรื่องราวขององเชียงสือ(เหงียน ฟลุ๊ค แอ๋ง ?)  ที่หนีจากกรุงเทพมหานครกลับไปเมืองญวน โดยจะขอเก็บความในพระราชพงศาวดารกัมพูชา  ฉบับนักองค์นพรัตน  ที่  พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์) แปลจากภาษาเขมร  ตอนที่ว่าด้วยองเชียงสือ (หรือ เหงียน ฟลุ๊ค แอ๋ง)  กอบกู้เมืองญวน ดังต่อไปนี้


          ถึงปีจุลศักราช ๑๑๔๙ (พ.ศ.๒๓๓๐)  ปีมะแม  องเชียงสือเจ้าเวียดนาม  ซึ่งพ่ายเจ้าไกเซิน  พาครอบครัวหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงสยามนั้น  ได้ลอบพาสมัครพรรคพวกหนีออกจากเมืองไทยมาปักหลักอยู่ ณ เกาะตรน (เกาะกูด?)  เกลี้ยกล่อมได้ไพร่พลญวนเป็นสมัครพรรคพวกจำนวนมากพอสมควรแล้วจึงยกไปตีได้เมืองตึกเขมา  เมืองกระมวนสอ  ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยธิเบศร์(แป้น) หรือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร(แบน)  เมื่อได้ทราบข่าวว่า  องเชียงสือเจ้าเวียดนามกลับมาตีเมืองญวนคืน  ก็จัดแจงไพร่พลออกจากเมืองพระตะบอง  มาที่เมืองอุดงฦๅชัย  ทั้งนี้ด้วยมีพระราชดำรัสจากพระเจ้ากรุงสยามให้ยกกองทัพไปช่วยองเชียงสือ  ความในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาตอนนี้กล่าวไม่ค่อยชัดเจนนัก  ดังนั้นจึงจักขอนำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑  ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  ที่ท่านเขียนไว้ชัดเจนที่สุดมาแสดง ดังนี้


          * องเชียงสือซึ่งหนีไปอยู่ที่เกาะกูดนั้น  หมดสิ้นเสบียงอาหารจนต้องกินแต่เนื้อเต่ากับมันกลอย  วันหนึ่งแลเห็นเรือแล่นเข้าไปใกล้เกาะกูด ๑ ลำ  องเชียงสือตกใจจึงให้ครอบครัวเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่า  แล้วให้องจวงลงเรือเล็กไปถามว่าเรือนี้มาแต่ไหน   จีนฮุ่นสามีอำแดงโตด  ญวนเมืองจันทบุรีบอกว่า  เรือบรรทุกข้าวสารมาแต่เมืองจันทบุรี ๓๐ เกวียน  จะไปจำหน่ายที่เมืองเขมา  เมืองเต๊กเซีย  ต้องพายุซัดเรือออกไป  องจวงจึงบอกความจริงแก่จีนฮุ่นว่าองเชียงสือหนีมาอยู่ที่เกาะนี้  ให้จีนฮุ่นขึ้นไปเฝ้าด้วยกัน  จีนฮุ่นก็คิดว่าเรือเราลำเดียวพลัดเข้ามาถึงที่นี่  หากไม่ไปหาองเชียงสือ  เขาก็จะหักหาญเอา  ที่ไหนจะพ้นมือไปได้  จำจะคิดทำคุณไว้ดีกว่า  คิดแล้วจึงลงเรือไปกับองจวง  เมื่อพบกับองเชียงสือแล้วก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี  โดยองเชียงสือบอกเล่าว่ามาอยู่ที่เกาะนี้นานแล้วจนเสบียงอาหารหมดสิ้น  ไม่มีข้าวจะกิน  เมื่อเรือจีนฮุ่นบรรทุกข้าวสารมาถึงที่นี่ก็ดีแล้ว  ยังพอมีเงินตราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ไว้เหลืออยู่ ๑๗ ชั่ง ๑๐ ตำลึง  เงินทั้งหมดนี้จะขอซื้อข้าวสารจีนฮุ่นตามแต่จะขายให้ได้  จีนฮุ่นบอกว่า  ท่านมาอยู่ที่ลำบากยากแค้น  ข้าวสาร ๓๐ เกวียนของเรานั้นจะขอมอบให้ท่านทั้งสิ้นโดยให้เปล่าไม่ขอรับเงินแม้แต่น้อย  องเชียงสือจึงเขียนหนังสือสัญญาประทับตรารูปมังกรให้จีนฮุ่นไว้ว่า  ถ้าออกไปตีเอาบ้านเมืองคืนได้เป็นเจ้านายฝ่ายญวนแล้ว  ขอให้จีนฮุ่นออกไปหาองเชียงสือ  จะทดแทนคุณให้ถึงขนาด จ ากนั้นก็ให้คนลงไปขนข้าวสารจากเรือจีนฮุ่นจนสิ้น  จีนฮุ่นก็อำลากลับเมืองจันทบุรี”


          * ท่านผู้อ่านครับ  ในที่สุดองเชียงสือก็หนีจากกรุงเทพมหานครไปได้สำเร็จ  เขาขึ้นไปอยู่บนเกาะร้างชื่อ  เกาะกูด  อยู่กลางทะเลระหว่างแดนต่อแดน ไทย กัมพูชา และเวียดนาม  เขาเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามก็มิได้เข้ามาอยู่เปล่า  นอกจากร่วมออกรบในราชการสงครามกับกองทัพไทยแล้ว  ยังรับราชการเฝ้าแหนมิได้ขาด  ผลงานที่ยังคงอยู่ขององเชียงสือคือ  การแสดงญวนหก  ญวนรำกระถาง  สิงโตล่อแก้วสำหรับแสดงเวลากลางวัน  และ  สิงโตคาบแก้วสำหรับแสดงเวลากลางคืน  เพลงประกอบการรำที่ชื่อว่า  ญวนรำกระถาง  นั้นสำเนียงทำนองดนตรีไพเราะมาก  ท่ารำก็สวยงามอย่างหาที่ติมิได้


          ดวงชะตาขององเชียงสือจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินญวน  ตอนที่หนีออกจากกรุงเทพฯ  สมเด็จพระอนุชาธิราชติดตามจับตัวใกล้จะได้แล้ว  ก็เกิดลมว่าวพัดมาอย่างแรง  ช่วยให้กางใบแล่นเรือหนีไปได้อย่างรวดเร็ว  เป็นที่น่าอัศจรรย์  ตอนที่ตกอยู่บนเกาะกูดซึ่งเป็นเกาะร้างโดดเดี่ยวนั้น  เกิดความขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนัก  ก็เกิดมีลมพัดพาเรือบรรทุกข้าวสารของจีนฮุ่น  จากจันทบุรีที่จะไปค้าขายนั้น  ลอยไปถึงเกาะกูด  เขาจึงได้ข้าวสารเลี้ยงชีวิตทุกคนบนเกาะพ้นความเดือดร้อนไปได้

          เรื่องราวขององเชียงสือ(หรือจักรพรรดิยาลอง) จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้  วันพรุ่งนี้เปิดอ่านกันได้ตามใจครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๘ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, กลอน123, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, ขวัญฤทัย (กุ้งนา)

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #289 เมื่อ: 02, สิงหาคม, 2562, 10:50:32 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- หนุนองเชียงสือตีไซ่ง่อน -

ทรงให้เรือให้ปืนดินดำกระสุน
สนับสนุนตามขออย่างครบถ้วน
องเชียงสือไม่จบการรบกวน
ทุกอย่างล้วนได้จากแผ่นดินไทย


          อภิปราย ขยายความ...................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์มาบอกเล่าถึงตอนที่  องเชียงสือใช้เรือแล่นใบจากกรุงเทพฯไปถึงเกาะกูดอันเป็นเกาะร้าง  ได้พาพรรคพวกขึ้นอยู่อาศัยจนเสบียงอาหารหมดลง  ก็พอดีมีเรือค้าข้าวสารของจีนฮุ่นจากเมืองจันทบุรีนำข้าวสารไปขายยังต่างเมือง  ถูกลมพัดพาไปถึงเกาะกูด องเชียงสือได้ขอซื้อข้าวสารทั้งหมด  แต่จีนฮุ่นกลับยกให้ทั้งหมด  เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป  อ่านความต่อจากนี้ครับ
 

          * “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่าองเชียงสือไปตั้งอยู่ ณ เกาะกูด  จึงโปรดให้จัดเรือตระเวนหลายลำพร้อมปืนและกระสุนดินดำ  ให้กรมการเมืองตราดส่งไปพระราชทานแก่องเชียงสือที่เกาะกูด  ให้เป็นกำลังและช่วยลาดตระเวนสลัดให้ด้วย  องเชียงสือได้รับพระราชทานเรือลาดตระเวนและเครื่องศาสตราวุธดังนั้น  ก็พาสมัครพรรคพวกลงเรือไปตีเอาเมืองเขมา  เมืองประมวนสอได้  แล้วแต่งให้เรือออกไปลาดตระเวนสลัด  จับสลัดญวนได้บ้าง  ยอมเข้าสวามิภักดิ์องเชียงสือบ้าง  องเชียงสือให้ฆ่านายสลัดเสียคนหนึ่ง  ให้เอาศีรษะใส่ถังมอบให้พระยาราชาเศรษฐีส่งเข้ามากรุงเทพมหานคร  ก่อนที่จะไปตีเมืองเขมา  และเมืองประมวนสอได้นั้น  ได้ให้องจวงลอบไปสืบการบ้านเมืองตลอดถึงเมืองไซ่ง่อน   องจวงกลับมาแจ้งว่าได้ไปเกลี้ยกล่อมผู้คนเมืองพระตะพัง  สมัครเข้าด้วยเป็นอันมาก  แล้วองจวงก็พาองเชียงสือไปพักอยู่ที่ปากน้ำเมืองป่าสัก

          กล่าวถึงญวนสองพี่น้องคือ  องโหเตืองดึก  กับ  องทงยุงยาน  พาครอบครัวหนีจากเมืองญวนมาทางเมืองลาว มาตามองเชียงสือถึงกรุงเทพมหานคร  เจ้าพนักงานนำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชดำริว่า องเชียงสือนั้นให้ลงไปอยู่ข้างล่างใกล้ทะเลจึงหนีไปโดยง่าย  ญวนพวกนี้ต้องให้อยู่ข้างบน  ถึงจะคิดหนีออกไปก็ลำบากไม่สะดวก  จึงมีรับสั่งโปรดเกล้าฯว่า  องเชียงสือหนีออกไปจากกรุงเทพมหานครเสียแล้ว  ขอให้องโหเตืองดึก องทงยุงยาน พักครอบครัวไว้ที่บ้านบางโพก่อนเถิด


          อยู่มาถึงวันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ  องเชียงสือได้มีหนังสือเข้ามาถึงพระยาพระคลังให้นำความกราบบังคมทูลว่า
          “ข้าพเจ้าได้หนีเข้ามาพึ่งพระบารมีพระเดชพระคุณ  ทรงพระเมตตากรุณาให้กองทัพออกไปตีเมืองญวนคืนให้  การก็ยังไม่สำเร็จ  เพราะด้วยที่กรุงมีการศึกพม่าติดพันอยู่  และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก  เมืองประเทศราชทั้งปวงก็รู้แจ้งอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าได้รับหนังสือเจ้าเมืองตังเกี๋ยและญวนพวกพ้องข้าเก่าของปู่และบิดาข้าพเจ้าว่า  ให้ออกไปคิดเอาบ้านเมืองคืนให้จงได้  ข้าพเจ้าจะกราบบังคมก็เกรงพระราชอาชญาจะไม่โปรด จึงได้ทำหนังสือตามเรื่องความกราบถวายบังคมลาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องบูชาแล้ว  จึงได้หนีออกมา  ทราบว่าพวกญวนที่รบพุ่งเป็นศึกกับพวกไกเซินไม่มีที่พึ่ง  ลงเที่ยวเป็นโจรผู้ร้ายอยู่ในท้องทะเล  ข้าพเจ้าปราบปรามไม่ทิ้งพยศร้าย  จึงได้ตัดศีรษะให้เจ้าเมืองบันทายมาศส่งเข้ามาครั้งก่อนแล้ว  ครั้งนี้ข้าพเจ้าให้กายดาวคุมเครื่องยศที่พระราชทานแก่ข้าพเจ้า  คือกระบี่บั้งทอง เล่ม ๑   คนโททอง ๑   ถาดหมากทอง ๑   เข้ามาส่ง   ขอรับพระราชทานเรือตระเวนปืนกระสุนดินดำที่พระราชทานให้ข้าพเจ้าออกไปลาดตระเวนนั้น  ไปทำศึกกับไกเซินต่อไป  ถ้าเสร็จการแล้วจึงจะส่งคืนเข้ามาถวาย”  
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบความตามหนังสือนั้นแล้ว  จึงพระราชทานปืน  กระสุนดินดำ  เพิ่มเติมออกไปให้อีก  ครั้นกายดาวถวายบังคมลากลับไปแล้ว  ได้บอกความแก่องเชียงสือว่า  องโหเตืองดึก  องทงยุงยาน  ได้พาครอบครัวอพยพหนีไกเซินเข้าไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครแล้ว


          ถึงวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๓๑  องเชียงสือมีหนังสือมากราบทูลฉบับหนึ่ง  ใจความว่า  “ด้วยโปรดให้กายดาวคุมสิ่งของออกไปพระราชทานนั้น  ระยะทางไกลไปมากันดารนัก  ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมาก  บัดนี้นายทัพนายกองและไพร่พลพวกไกเซินหาปรกติกันไม่  หนีมาหาข้าพเจ้าหลายพวกหลายเหล่า  ข้าพเจ้าทราบว่าองโหเตืองดึก  องทงยุงยาน  หนีไกเซินมาอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร  และองโหเตืองดึก  องทงยุงยาน  รู้แยบคายกลศึกอยู่  ขอรับพระราชทานองโหเตืองดึก  องทงยุงยาน ออกไป  จะได้ช่วยข้าพเจ้าทำศึกกับไกเซินต่อไป  และปืนกระสุนดินดำมีน้อย ขอรับพระราชทานปืนกระสุนดินดำให้องโหเตืองดึก  องทงยุงยานคุมออกไปพระราชทานข้าพเจ้าด้วย”


          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  โปรดพระราชทานเรือรบให้องโหเตืองดึก ๑ ลำ  องทงยุงยาน ๑ ลำ  มีปืนกระสุนดินดำพร้อม  ให้ออกไปช่วยการศึกองเชียงสือยึดเมืองญวนให้จงได้  องโหเตืองดึก  องทงยุงยาน  กราบถวายบังคมลาไปด้วยกายดาวเมื่อพบกับองเชียงสือที่ปากน้ำเมืองป่าสักแล้ว  ก็ร่วมกับองเชียงสือเกลี้ยกล่อมญวน เขมร เข้าเป็นพวกด้วยเป็นอันมาก  ครั้นตระเตรียมพลรบพรักพร้อมแล้วก็ยกทัพเรือ  จากเมืองป่าสักขึ้นไป  ถึงแพรก ทะเลิง  ญวนพวกไกเซินชื่อองดกเซม  ยกลงมาจากเมืองไซ่ง่อนได้สู้รบกันเป็นสามารถ  องดกเซมสู้มิได้ก็แตกทัพหนีไป  องเชียงสือก็ได้รี้พลเพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นอันมาก  โดยรี้พลเหล่านี้นับถือว่าองเชียงสือเป็นเป็นเจ้านายของตน  จึงเข้าเป็นไพร่พลขององเชียงสือพร้อมกันด้วยความยินดี  เป็นเหตุให้องเชียงสือยกกองทัพเรือขึ้นไปยึดเมืองไซ่ง่อนได้โดยง่าย”


          ** ท่านผู้อ่านครับ  งานกอบกู้บ้านเมืองขององเชียงสือเริ่มขึ้นแล้ว  ด้วยความยากลำบากยิ่ง  เพราะแม้จะได้กำลังพลเพิ่มขึ้น  แต่อาวุธยุทโธปกรณ์นั้นไม่มีมากพอที่จะทำศึกใหญ่  ดีที่พระเจ้ากรุงสยามทรงพระเมตตาให้การช่วยเหลือในเรื่องนี้ ผลจะเป็นอย่างไร ติดตามรับอ่านกันต่อไปในวันพรุ่งนี้ครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทบ
๙ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, เนิน จำราย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ก้าง ปลาทู

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #290 เมื่อ: 03, สิงหาคม, 2562, 10:50:14 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- องเชียงสือกู้บัลลังก์ได้ -

องเชียงสือยึดไซ่ง่อนสำเร็จ
เป็นบำเหน็จความยากที่อยากได้
ชาวเวียดนามมากมวลล้วนร่วมใจ
ยกย่องให้นั่งแท่นเจ้าแผ่นดิน


          อภิปราย ขยายความ ..................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารมาบอกกล่าวถึงองเชียงสือมีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ทูลขอตัวองโหเตืองดึก  กับ  องทงยาน  ไปช่วยรราชการสงคราม  พร้อมทูลขอกระสุนดินดำเพิ่ม  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตา  พระราชทานให้ตามคำทูลขอ  เรื่องราวจะเป็นอยางไรต่อไป  วันนี้มาดูกันต่อครับ


          * พระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาได้กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้โดยย่อว่า  “เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน)  กับ  ออกญากระลาโหม (อุก)  แห่งเขมรได้ไปร่วมประชุมกับองพดเส็ม(องดกเซม?)  พวกญวนไกเซิน  ที่ตำบลคลองเถลิง  ในเขตเมืองป่าสัก  
          เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์(แป้น)  ผู้รับคำสั่งจากกรุงเทพมหานครให้ยกทัพไปช่วยองเชียงสือนั้น  ได้ให้ออกญาจักรี(แกบ)  เป็นแม่กองใหญ่กับออกญายมราช(กัน)  เป็นที่ปรึกษา  ยกกองทัพเรือไปทางน้ำ  ผ่านทะเลตึกวิล(น้ำวน)  อันลงสาน(วังสาน)  ถึงเมืองเมี๊ยดจรูก(ปากหมู)  แลพระสตึงจาสเดา(แม่น้ำจาสเดา)  ก็ได้ปะทะกับกองทัพญวนขององพดเส็มที่เจ้าฟ้าทะละหะ(แทน)  เป็นผู้ควบคุม  ทัพญวนผสมเขมร  กับทัพไทยผสมเขมรได้รบกันเป็นสามารถ  กองทัพออกญาจักรี(แกบ) เข้มแข็งกว่าจึงได้รับชัยชนะ  ตีทัพญวนผสมเขมรแตกกระเจิง  องพดเส็มหนีรอดไปไซ่ง่อน  เจ้าฟ้าทะละหะ(แทน)  และพรรคพวกชาวเขมรถูกจับตัวได้  ออกญาจักรีจึงบอกส่งตัวไปให้เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์ (อภัยภูเบศร์) ณ เมืองอุดงฦๅไชย

          เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์ให้ชำระไต่สวน  ผู้ใดมีโทษหนักก็ให้ฆ่าเสีย  ผู้ใดโทษเบาก็เอาตัวไว้  ส่วนตัวเจ้าฟ้าทะละหะ(แทน) นั้น  ได้บอกส่งตัวไปถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาไม่เอาโทษ  แล้วโปรดเกล้าฯ ให้คงเป็นที่เจ้าฟ้าทะละหะตามเดิม


          ลุถึงจุลศักราช ๑๑๕๑ ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๓๒  เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์(แป้น)  พร้อมด้วยออกญาจักรี(แกบ)  ออกญายมราช(กัน)  ร่วมกับองเชียงสือ  ได้ยกทัพขึ้นไปตีเมืองไซ่ง่อน  ได้รบกับกองทัพญวนไกเซินจนมีชัยชนะ  จับตัวองพดเส็มได้แล้วให้ฆ่าเสีย”


          * ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์  ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ได้กล่าวถึงเรื่องการตีเมืองไซ่ง่อน  โดยเมื่อตีเมืองไซ่ง่อนได้แล้ว  องเชียงสือถวายต้นไม้ทองเงินครั้งที่ ๑ ว่า  “ครั้นมาถึง เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ  ในปีวอกสัมฤทธิศกนั้น  องเชียงสือมีหนังสือบอกเข้ามาฉบับ ๑  ใจความในหนังสือว่า  เดือน ๑๐ ขึ้น ๖ ค่ำ  องเชียงสือตีได้เมืองไซ่ง่อน เมืองโลกนาย  เมืองบาเรียแล้ว  ครั้นมาถึงเดือน ๑๒ องเชียงสือคิดถึงพระเดชพระคุณ  จึงได้ทำต้นไม้เงิน ๑  ทอง ๑  ด้วยฝีมือช่างลายแทงทั้งต้น  และกระถางสูง ๒๐ นิ้ว  แต่งให้องโบโฮคุมเข้ามาทูลเกล้าฯถวาย  ก็โปรดให้ไปบูชาไว้ในหอพระเจ้า ในหนังสือนั้นว่า  อ้ายเชียงซำผู้รักษาเมืองไซ่ง่อนแตกหนีมาอยู่เมืองป่าสัก  และขอพระราชทานยืมเรือรบ ๓๐ ลำ  กับปืนหน้าเรือปืนท้ายเรือ  กระสุนดินดำออกไป  และขอกองทัพเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เขมร  ๓,๐๐๐ คน  จะให้ตัดผมเป็นไทยไปช่วยตีเมืองป่าสักจับอ้ายเชียงซำ  ก็โปรดให้องโบโฮ  องโหเตืองดึก  องไกจัด  ไปเลือกเรือรบ  ก็มีแต่เรือชำรุด  ได้เรือดี ๕ ลำ  พระราชทานปืนนกโพรงออกไปด้วย ๗๐ กระบอก  กระสุนดินดำสำหรับเรือพร้อม  และมีตราออกไปให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์  แต่งกองทัพเขมรลงไปช่วยองเชียงสือ  เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ไปถึงพร้อมกับองเชียงสือ  ก็เข้าล้อมเมืองป่าสักไว้  อ้ายเชียงซำก็เข้าหาองเชียงสือ  แล้วองเชียงสือก็ให้พระยาจักรี(แกบ)เขมรรักษาเมืองป่าสักไว้เป็นเมืองเขมร  เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็กลับไปเมืองเขมร”

          รุ่งขึ้นปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๑๕๑  ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๓๒  ปรากฏความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ว่า  เดือน ๕ แรม ๑ ค่ำ  องเชียงสือได้จัดข้าวสาร ๒๐๐ เกวียนเข้ามาถวายตามที่มีท้องตราออกไป  แสดงให้เห็นว่าองเชียงสือยังคงมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้ากรุงสยามอยู่อย่างมั่นคง  จากนั้นถึงปีจุลศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๓  ความในพระราชพงศาวดารฉบับเดียวกันนี้กล่าวถึงองเชียงสือไว้ว่า


           “ลุจุลศักราช ๑๑๕๒ ปีจอ โทศก  องเชียงสือซึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าอนัมก๊ก  แต่งให้องโบโฮ ๑   องเบ็ดเลือง ๑   องโดยเวียน ๑   คุมต้นไม้ทองเงิน กับเครื่องราชบรรณาการระย้าแก้วคู่ ๑  เชิงเทียนคู่ ๑  กระจกคู่ ๑  ตัวอย่างเรือพระที่นั่งที่จะต่อถวาย ๑ ลำ  เข้ามาทูลเกล้าฯถวาย  และมีหนังสือให้โบโฮถือเข้ามาถึงพระยาพระคลังว่า  ฝนแล้ง  อาณาประชาราษฎรเมืองไซ่ง่อนทำนาได้ผลน้อย  ถ้าเรือลูกค้าจะออกไปค้าขาย ณ เมืองไซ่ง่อน  ขอได้โปรดให้บรรทุกข้าวสารออกไปจำหน่าย จะได้เป็นกำลังแก่ไพร่พลทำการศึกต่อไป”


          * เรื่องของญวนและองเชียงสือยังมีในบันทึกพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์  พอสรุปได้ว่า  พวกญวนไกเซินยกมารุกรานลาว  โดยเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์บอกลงมายังกรุงเทพมหานครว่า  องลองเยือง  องดึก  องแอม  ให้องเจียงบา  องเจียงเวียน  เป็นแม่ทัพคุมญวนไกเซิน ๓,๐๐๐  สมทบกับกองทัพลาวเมืองพวนอีก ๓,๐๐๐ ยกมารุกราน  เจ้าเวียงจันทน์แต่งทัพลาวออกไปสู้รบกับพวกญวนที่เมืองพวน  กองทัพลาวใช้ความเข้มแข็งเข้าตีทัพญวนเมืองตังเกี๋ยแตกกระจัดกระจายล้มตาย  ยึดได้ปืนและเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก  จับได้ลาวคือนายภูทหาร  นายทอง  นายปาน  กับไพร่ ๓๐ คน  ส่งลงมากรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เอาตัวนายภูทหาร  นายทอง  นายปาน  กับญวนมีชื่อ ๓๐ คน  ไปให้องโบโฮ  องเบ็ดเลือง  องโดยเวียน  ถามเอาปากคำนำความไปแจ้งแก่องเชียงสือเจ้าอนัมก๊ก  และจากนั้นก็เกิดความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ กับองเชียงสือ


          ทางฝ่ายองเชียงสือมีหนังสือเข้ามากราบทูลกล่าวโทษเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์  ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็มีหนังสือกราบทูลกล่าวโทษองเชียงสือ  แต่เรื่องก็สงบระงับไปด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความ  “นิ่ง”  ไม่สอบสวนทวนความใด ๆ  สาเหตุของเรื่องนี้ก็คือ  หลวงจำนง  กับ  ขุนสนิทเสนหา  ข้าหลวงของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ไปลักผู้หญิงญวนเข้ามาแล้วถูกจับได้แล้วก็โกรธ  ขู่ว่าเมื่อเข้ากรุงเทพฯแล้วจะทูลกล่าวโทษองเชียงสือ  และก็มีหนังสือกล่าวโทษถึง ๓ ฉบับ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงเชื่อ  ภายหลังทรงให้มีหนังสือไปถึงองเชียงสือว่าป่าวร้องให้บรรดาเรือลูกค้านำข้าวสารไปขายเมืองไซ่ง่อนตามที่ทูลขอ  พร้อมกันนั้นก็ให้จัดม้าผู้สีขาว สูง ๒ ศอกคืบ ๑ ม้า   สีแดง สูง ๒ ศอกคืบ ๑ ม้า  เครื่องม้าอย่างไทยคร่ำเงิน ๑ สำรับ  อย่างฝรั่ง ๑ สำรับ  พรมใหญ่ ๑ ผืน  ศิลาปากนก ๑๐,๐๐๐  ศิลาฝนหมึก ๑ อัน  พู่กัน ๑ หีบ  แพรมังกรอย่างดีสีต่าง ๆ ๑๐ ม้วน  ฆ้องใหญ่ ๔ ฆ้อง  และสิ่งของอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก  ให้พระราชมนตรี  ขุนศรีเสนา นำออกไปกับองโบโฮ  องเบ็ดเลือง  องโดยเวียน  ซึ่งมาถวายต้นไม้ทองเงินนั้นคุมออกไปพระราชทานเจ้าอนัมก๊ก  โดยมิได้กล่าวถึงเรื่องหลวงจำนง  และพวกข้าหลวงเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์   ที่องเชียงสือกล่าวโทษนั้นเลย”

          ** ท่านผู้อ่านครับเรื่องขององเชียงสือก็ได้กล่าวมาอย่างยืดยาวแล้ว  เห็นควรพักไว้แค่นี้  เพราะยังมีเรื่องอื่น ๆ  เช่นสงครามพม่า  รออยู่  วันพรุ่งนี้พบกันใหม่ครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, เนิน จำราย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #291 เมื่อ: 04, สิงหาคม, 2562, 11:24:15 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- ปราบนักมวยพนันฝรั่งเศส -

มีกำปั่นฝรั่งเศสสองพี่น้อง
หยิ่งผยองท้าพนันกันถึงถิ่น
ชกมวยไม่มีรูปแบบบ่งระบิล
แล้วแต่ศิลปะใครจะใช้กัน

สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า
คัดเลือกเอามวยดีที่ก๋ากั๋น
“หมื่นผลาญ”ล่ำคนเหิมสู้เดิมพัน
ทาน้ำมันว่านลื่นขึ้นเวที

เชิงมวยไทยร้ายกาจฉลาดสู้
ฝรั่งจู่โจมจับขยับหนี
จับคว้าไหล่ไม่ติดถูกโต้ตี
ฝรั่งพี่ผลักหลังหวังช่วยน้อง

จึงถูกรุมอุตลุดหยุดไม่อยู่
ฝรั่งคู่ล้มดิ้นสิ้นผยอง
เข็ดจนตายไม่อยู่ยอมประลอง
กางใบล่องเรือลับไม่กลับมา


          อภิปราย ขยายความ..........

          เมื่อวันวานนี้นำความในพระราชพงศาวดารมาบอกเล่าถึงเรื่องราวขององเชียงสือกอบกู้แผ่นดินญวน  โดยได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามจนสำเร็จ  วันนี้ขอพักเรื่องญวนไว้ก่อน  หันมาดูเรื่องราวของไทยกันต่อไปครับ


          ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวเรื่องแทรกเข้ามาว่า  ในปีวอกจุลศักราช ๑๑๕๐  ซึ่งตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๑ นั้น  มีเรือกำปั่นฝรั่งเศสเข้าสู่กรุงเทพมหานครลำหนึ่ง  นายกำปั่นฝรั่งเศสสองคนพี่น้องมีจิตใจกล้าหาญ  คนน้องนั้นเป็นคนมวยมีฝีมือ  ในขณะเดินทางยังเมืองต่าง ๆ นั้น  ได้เที่ยวท้าพนันชกมวยและชนะมาหลายเมืองแล้ว  เมื่อมาถึงกรุงเทพมหานครก็บอกให้ล่ามกราบเรียนเจ้าพระยาพระคลังว่า  จะขอชกมวยพนันกับคนมวยในพระนครนี้

          เจ้าพระยาพระคลังนำความขึ้นกราบบังคมทูล  ได้ทรงทราบแล้วจึงตรัสปรึกษากับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า  สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯกราบทูลว่าหากเรามิจัดแจงคนมวยของเราออกต่อสู้คนมวยฝรั่งแล้ว  ฝรั่งซึ่งเป็นคนต่างประเทศก็จะดูหมิ่นว่า  พระนครนี้หาคนมวยดีจะต่อสู้มิได้  ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศปรากฏไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง  “ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดแจงแต่งคนมวยที่มีฝีมือออกต่อสู้กับฝรั่งเอาชัยชำนะให้จงได้”  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบด้วย  จึงดำรัสให้เจ้าพระยาพระคลังบอกแก่ฝรั่งรับพนันชกมวยกัน  โดยวางเดิมพันกันเป็นเงิน ๕๐ ชั่ง


          สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรสั่งให้คัดเลือกหาคนมวยฝีมือดีที่สุดในกรมทนายเลือก (กรมหนึ่งมีหน้าที่กำกับมวย)  ทั้งในพระราชวังหลวงและวังหน้า  ก็ได้หมื่นผลาญผู้หนึ่งเป็นทนายเลือก (นักมวยผู้มีหน้าที่ป้องกันพระราชา)  เป็นคนรูปกายล่ำสัน  มีฝีมือดีกว่านักมวยทั้งหมดในกรมนี้  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ปลูกพลับพลาใกล้โรงละครด้านตะวันตกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)  จัดตั้งสนามมวยชั่วคราวขึ้นที่นั้น แล้วกำหนดวันชกมวยพนันกับฝรั่ง

          * ครั้นจะถึงวันที่กำหนดนัดชกมวยกัน  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้ามีพระราชบัณฑูรให้แต่งตัวหมื่นผลาญ  เอาน้ำมันว่านอันอยู่คงชะโลมทั่วทั้งกาย  แล้วให้ขี่คอคนลงมายังพระราชวังหลวง  ฝ่ายฝรั่งเศสนายกำปั่นสองพี่น้องกับพวกบ่าวไพร่  ก็ขึ้นจากเรือกำปั่นมาสู่ที่สนามมวยชั่วคราวในพระราชวังหลวง  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พลับพลา  เพื่อทอดพระเนตรการชกมวยพนันพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง


          ทรงให้เอาเส้นเชือกขึงวงรอบสนามมวยชั่วคราวนั้น  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จสถิตบนพลับพลาชั้นลดที่สองเตรียมพระองค์คอยทีอยู่  ดำรัสให้พวกทนายเลือกทั้งวังหลวงและวังหน้าเตรียมตัวอยู่พร้อมกัน  ก่อนที่จะชกกัน  หมื่นผลาญกับฝรั่งเศสคู่มวยก็เข้ากราบถวายบังคมในกลางสนาม  แล้วยืนขึ้นตั้งท่าเข้าชกกัน  มวยฝรั่งเศสนั้นล้วงมือจะจับหักกระดูกไหปลาร้าหมื่นผลาญ  หมื่นผลาญก็ยกมือขึ้นกันแล้วชกพลางถอยพลาง  มวยฝรั่งเศสถูกต้องหมัดมิได้ฟกช้ำจึงไม่ย่อท้อ  ตั้งแต่ท่าล้วงอย่างเดียว  เดินหน้าไล่ตามมาจนใกล้วงเชือกซึ่งขึงไว้  แต่ก็ยังไม่สามารถจับต้องตัวหมื่นผลาญได้

          ฝ่ายฝรั่งเศสนายกำปั่นผู้เป็นพี่ชายเห็นดังนั้นจึงยืนขึ้นข้างหลังหมื่นผลาญแล้วยกมือผลักหมื่นผลาญให้เลื่อนเข้าไปในกลางวงไม่ให้ถอยหนีได้  ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้มวยน้องชายจับหักกระดูกไหปลาร้าให้จงได้  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าทอดพระเนตรเช่นนั้นก็ทรงพระพิโรธ  ดำรัสว่า  “เล่นชกพนันกันแต่ตัวต่อตัว  ไฉนจึงช่วยชกเป็นสองคนเล่า”  ดำรัสแล้วก็โดดลงจากพลับพลายกพระบาทถีบเอาฝรั่งเศสพี่ชายล้มลง  ขณะนั้นพวกทนายเลือกก็วิ่งกรูกันเข้าชกต่อยปะเตะถีบทุบถองฝรั่งเศสทั้งสองคนพี่น้องจนบาดเจ็บสาหัส  แล้วลากออกไปจากสนามมวย  พวกบ่าวไพร่ฝรั่งเศสก็เข้าแบกหามนายลงไปยังกำปั่น

          ยามนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาดำรัสพระราชทานหมอนวดหมอยาให้ลงไปรักษาพยาบาลฝรั่งเศสทั้งสองนั้น  ครั้นหายเจ็บป่วยแล้วก็บอกล่ามให้กราบเรียนเจ้าพระยาพระคลังช่วยกรายทูลถวายบังคมลา  แล้วถอยกำปั่นเลื่อนลงไปจากพระนคร  ออกปากน้ำเมืองสมุทรปราการสู่ท้องทะเลหลวง  ใช้ใบกลับไปยังเมืองฝรั่งเศส  และกำปั่นลำนั้นก็มิได้หวนเข้ามาสู่กรุงเทพมหานครอีกเลย”


          ** ท่านผู้อ่านครับ  เรื่องนายกำปั่นชาวฝรั่งเศสมาท้าชกมวยพนันเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่ารู้ไว้บ้าง  นำมาให้อ่านคั่นอารมณ์เครียดจากการอ่านเรื่องการสงคราม  หลังจากเรื่องปราบนักมวยชาวฝรั่งเศสแล้ว  จะมีเรื่องอะไรในพระราชพงศาวดารอีกบ้าง  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #292 เมื่อ: 05, สิงหาคม, 2562, 11:30:22 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- ปรารภชำระพระไตรปิฎก -

โปรดให้ลูกยาเธอทรงผนวช
สามองค์รวดรวมหลานไร้ปัญหา
จากนั้นทรงพินิจพิจารณา
ถึงตำราไตรปิฎกบกพร่องคำ


          อภิปราย ขยายความ..................

          เมื่อวันวานนีได้นำความในพระราชพงศาวดารมาให้อ่านถึงตอนที่ชาวเรือกำปั่นสองพี่น้องสัญชาติฝรั่งเศสมาท้าชกมวยพนัน  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าคัดเลือกนักมวยไทยจากทนายเลือก  ได้หมื่นผลาญเป็นตัวแทนฝ่ายไทย  การแข่งขันเริ่มขึ้น  นักชกฝรั่งเศสเดินเข้าหาจ้องจะจับไหปลาร้าไทยหัก  แต่จับไม่ติด  ไล่จับรอบ ๆ เวที  ฝ่ายพี่ชายยืนอยู่ข้างเวทีเอามือผลักหลังนักชกไทย  สมเด็จพระอนุชาธิราชตรัสว่าฝรั่งโกง  จึงโดดเตะฝรั่งผู้พี่จนเกิดการรุมบาทาใส่ฝรั่งเศสสองพี่น้องนั้น บาดเจ็บบอบช้ำสะบักสะบอม  วันนี้มาอ่านความในพระราชพงศาวารกันต่อไปครับ


          * ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  กับพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑  ของเจ้าพระ ยาทิพากรวงศ์  บันทึกไว้ตรงกันว่า  ในปีวอก จุลศักราช ๑๑๕๐ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๓๑ นั้น  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่  คือ  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร  เจริญพระชนม์ได้ ๒๑ พรรษา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าเห็นควรที่ให้ทรงบรรพชาอุปสมบทได้แล้ว  อีกทั้งสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศร์   เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์  ทั้งสองพระองค์นั้นก็มีพระชนมายุเกินอุปสมบทแล้ว  ยังหาได้ทรงผนวชเป็นภิกษุไม่  ดังนั้น  จึงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตให้ออกทรงผนวชทั้งสามพระองค์พร้อมกัน ในวันอาทิตย์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ เวลา ๓ โมงเช้า ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)

          ครั้นถึงกำหนดพิธีผนวช  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ  ก็เสด็จพระราชดำเนินสู่พระอุโบสถวัดพรศรีรัตนศาสดาราม  พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์  ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายก็สโมสรสันนิบาตโดยอันดับ  เสนาบดีผู้ใหญ่ปรึกษาให้พ้องกันว่า  ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงผนวชก่อน  หรือที่เรียกกันว่า  “เป็นนาคเอก”  เพราะแม้จะอ่อนพระชันษาก็เป็นลูกหลวงเอก  มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าพระเจ้าหลานเธอทั้งสองพระองค์ซึ่งเป็นพระราชบุตรสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  ซึ่งแม้จะมีพระชันษาแก่กว่า  แต่บรรดาศักดิ์ต่ำกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ  จึงควรเป็น “นาครอง”  ให้เข้าขอผนวชทีหลัง  เมื่อพระสงฆ์ราชาคณะ  พระอุปัชฌาย์  พระกรรมวาจาจารย์และพระอันดับมาประชุมพร้อมในโรงพระอุโบสถแล้ว  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอก็เข้าขออุปสมบทเป็นอันดับแรก  ตามด้วยสมเด็จพระเจ้าหลานเธอทั้งสองพระองค์  ครั้นเสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว  พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับราชวัง


          ในปีเดียวกันนั้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกอันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา  ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์ให้เป็นค่าจ้างช่างจารจารึกข้อความในพระไตรปิฎกลงในใบลานสิ้นพระราชทรัพย์ไปเป็นอันมาก  ทรงให้แยกแยะชำระตำหรับตำราฉบับที่เป็นอักษรลาว  อักษรรามัญ  ให้แปลออกเป็นอักษรขอมไทย  จารึกลงลานเสร็จแล้วให้ใส่ตู้ไว้ในหอพระมนเทียรธรรม  และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียนกันทุกๆพระอารามหลวง

          ยามนั้นเจ้าหมื่นไวยวรนาถกราบทูลว่า  พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้  ปรากฏว่าอักษรบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา  หาผู้จะทำนุกบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นยังมิได้  ทรงสดับดังนั้นก็ทรงพระราชปรารภว่า  พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้  เมื่อมีผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้  จะเป็นเค้ามูลปริยัติปฏิปัตติศาสนาปฏิเวธศาสนานั้นมิได้  อนึ่ง  ท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนัก  ถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้ว  เห็นว่าปริยัติศาสนา  และปฏิปัตติศาสนา  และปฏิเวธศาสนา  จะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนัก  สัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งมิได้ในอนาคตกาลเบื้องหน้า  ควรจะทำนุกบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการเป็นประโยชน์แก่เทพามนุษย์ทั้งปวง  จึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี


          ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้วจึงให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์  มีสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าเป็นประธานบนพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท  และให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช  พระราชาคณะ  ถานานุกรมบาเรียนร้อยรูป  มารับพระราชทานฉัน  ครั้นพระสงฆ์กระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว  จึงทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่า พระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด


          สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะทั้งปวงถวายพระพรพร้อมกันว่า  พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมากมาช้านานแล้ว  หากษัตริย์พระองค์ใดจะทะนุบำรุงเป็นศาสนูปถัมภกมิได้  แต่กำลังอาตมาภาพทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทะนุบำรุงอยู่เห็นจะไม่สำเร็จ  และยังถวายพระพรอีกว่า  กาลเมื่อพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารานั้น  มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรสงฆ์ทั้งปวง  พระธรรมวินัยอันใดทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์  อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน  เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว  พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น จะเป็นครูสั่งสอนท่านและสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างพระตถาคต  พระองค์ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้แก่พระปริยัติธรรมฉะนี้แล้วก็เข้าสู่พระปรินิพพาน”


          ** ท่านผู้อ่านครับ  พระปริยัติศาสนาอันได้แก่พระไตรปิฎกเป็นเสมือนธรรมนูญพระพุทธศาสนา  มีประวัติความเป็นมายาวนานอย่างไร  มีการแก้ไขปรับปรุงกันอย่างไร  เป็นเรื่องที่ชาวพุทธทุกคนควรรับรู้ไว้บ้างนะครับ  เป็นที่แน่นอนแล้วว่าพระไตรปิฎกที่มีอายุตกมาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์  มีความบกพร่องผิดเพี้ยนไปไม่น้อย  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะมีบทบาทต่อพระไตรปิฎกอย่างไร  วันพรุ่งนี้จะมาเขียนบอกเล่าให้อ่านกันนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #293 เมื่อ: 06, สิงหาคม, 2562, 10:57:58 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- ความเป็นมาพระไตรปิฎก -

อายุกาลยาวไกลพระไตรปิฎก
พระสงฆ์ยกมาเล่าเรื่องราวร่ำ
สังคายนายแปดครั้งยังจดจำ
โดยกระทำที่อินเดียลังกาไทย


          อภิปราย ขยายความ.............

          เมื่อวันวานได้นำความในพระราชพงศาวดารมาบอกเล่าถึงตอนที่ว่าด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระราชปรารภถึงพระปริยัติศาสนา  แล้วประชุมพระราชาคณะในพระราชวังตรัสถามถึงเรื่องพระไตรปิฎก  ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะถวายพรว่ามีผิดเพี้ยนบกพร่องไปตามกาลเวลา  ยังหาผู้อุปถัมภ์บำรุงให้เต็มบริบูรณ์ได้ไม่  วันนี้มาอ่านเรื่องนี้กันต่อไปตามความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่จะเก็บความมาให้อ่านดังนี้


จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก หรือปฐมสังคายนา  ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา

          * “สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะถวายพระพรให้ทราบความเป็นมาของพระไตรปิฎกพอเก็บความได้ว่า  เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน  และถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว  พระมหากัสสปเถระเจ้าปรารภถ้อยคำสุภัททะภิกษุผู้เฒ่า  ที่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย  แล้วชักชวนพระสงฆ์องค์อรหันต์ได้จำนวน ๕๐๐ รูป  กระทำสังคายนายรวบรวมพระธรรมวินัยไว้ให้เป็นหมวดหมู่  โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรู  พระเจ้าแผ่นดินมคธเป็นองค์เอกอัครศาสนูปภัมภก ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา  เชิงเขาเวภารบรรพต  ใกล้กรุงราชคฤห์  ใช้เวลา ๗ เดือนจึงสำเร็จ  นับเป็นปฐมสังคายนาย


เมืองเวสาลี ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๒

          ๒. ครั้นพระพุทธศาสนายุกาลล่วงได้ ๑๐๐ ปี  ภิกษุชาววัชชีไม่มียางอายบังอาจเหยียบย่ำพระธรรมวินัย  ยกวัตถุ ๑๐ ประการขึ้นมากระทำผิดพุทธบัญญัติ  พระสงฆ์องค์อรหันต์ ๘๐๐ องค์  มีพระสัพพกามีเถระเจ้าเป็นประธานกระทำสังคายนาย เป็นครั้งที่ ๒  ณ วัดวาลุการามวิหาร  ใกล้เมืองเวสาลี มีพระเจ้ากาลาโศกราช เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก  ใช้เวลา ๘ เดือนจึงสำเร็จ


จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
พระโมคคลีบุตรติสสเถระ และพระเจ้าอโศกมหาราช ขณะทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๓

          ๓. ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนายุกาลได้ ๒๑๘ ปี  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนเจริญเฟื่องฟูที่สุด  เหล่าเดียรถีย์ (นักบวชนอกพุทธศาสนา) หวังได้ลาภสักการะ  จึงปลอมตัวเข้ามาบวชเป็นภิกษุแล้วใช้ธรรมจอมปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) กล่าวสอนประชาชนเพื่อได้ลาภสักการะ  พระโมคลีบุตรติสเถระจึงดำเนินการให้พระเจ้าอโศกมหาราชชำระคดีจับพระปลอมสึกเสีย ๖๐,๐๐๐ เศษ  จากนั้นจึงกระทำสังคายนายเป็นครั้งที่ ๓  โดยพระโมคลีบุตรติสเถระเป็นประธาน  ร่วมด้วยพระสงฆ์องค์อรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์ ณ อโสการามวิหาร  ใกล้กรุงปาตลีบุตร  มีพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก  ใช้เวลากระทำอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ  แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงส่งคณะพระสมณะทูตนำพระธรรมวินัยที่ได้กระทำสังคายนายนั้น  เดินทางไปเผยแผ่ในนานาประเทศ ๙ คณะ  โดยมีพระโสณะเถระกับพระอุตตรเถระนำคณะสมณะทูตนั้นมาสู่สุวรรณภูมิ


เจดีย์ถูปาราม (Thuparama Pagoda) เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๔

          ๔. ครั้นพุทธศาสนายุกาลได้ ๒๓๘ ปี  พระมหินทเถระเจ้า  พระราชโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าอโศกมหาราช  เป็นหัวหน้าคณะนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ ณ ลังกาทวีป  ปรารภให้พระพุทธศาสนาตั้งมั่นในลังกาทวีป  จึงร่วมกับพระอรหันต์ ๓๘ องค์  กับพระสงฆ์ทรงพระปริยัติธรรม ๑๐๐ รูป  กระทำสังคายนายเป็นครั้งที่ ๔  ณ ถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี  มีพระเจ้าเทวานัมปิย-ดิส  เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก  ใช้เวลา ๑๐ เดือนจึงสำเร็จ


          ๕. เมื่อพระพุธศาสนาล่วงมาได้ ๔๓๓ ปี  พระอรหันต์ในลังกาทวีปมีความเห็นตรงกันว่า  พระพุทธศาสนากำลังจะเสื่อมลง  เนื่องจากพระสงฆ์ที่ทรงพระไตรปิฎกโดยการท่องจำกันไว้ด้วยปากนั้นมีจำนวนน้อยลง  ควรที่จะทำการจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษร ไว้ให้เป็นหลักฐานมั่นคงดำรงพระพุทธศานาสืบไปนานเท่านาน  จึงคัดเลือกพระอรหันต์อันทรงปฏิสัมภิทาญาณ  และพระสงฆ์ปุถุชนผู้ทรงพระปริยัติธรรมได้มากกว่าพันองค์  ประชุมกันทำสังคายนายแล้วจารึกพระธรรมวินัยที่สอบทานไว้ถูกต้องเป็นอันดีนั้น  ลงในเปลือกไม้เป็นภาษาสิงหฬ  นับเป็นสังคายนายครั้งที่ ๕  ณ อภัยคีรีวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี  มีพระเจ้าวัฏคามินีอภัยเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ใช้เวลา ๑ ปี จึงสำเร็จ


          ๖. ครั้นอายุพระพุทธศาสนาล่วงได้ ๙๕๖ ปี  พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจากชมพูทวีปเดินทางสู่ลังกาทวีป  ทำการแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหฬเป็นภาษามคธ (บาลี)  นับเป็นสังคายนายครั้งที่ ๖ ณ โลหปราสาท  เมืองอนุราธบุรี  มีพระเจ้ามหานามเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก  ใช้เวลา ๑ ปี จึงสำเร็จ


          ๗. ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๑๕๘๗ ปี  พระเจ้าปรักมพาหุราชได้เสวยราชในลังกาทวีปแล้วทรงย้ายเมืองหลวงจากอนุราธบุรีมาตั้ง ณ จลัตถิมหานคร  แล้วทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในการทำสังคายนายเป็นครั้งที่ ๗  ซึ่งพระมหากัสสปเถระกับพระสงฆ์ปุถุชนมากกว่า ๑,๐๐๐ องค์ประชุมกระทำกัน  เป็นการชำระพระไตรปิฎกซึ่งเป็นภาษาสิงหฬบ้าง มคธบ้างปะปนกันอยู่  จึงแปลงแปลให้เป็นภาษามคธทั้งหมด  แล้วจารึกลงในใบลาน  จัดเป็นคัมภีร์  เป็นหมวดเป็นหมู่ได้ ๓ หมู่  คือ  พระวินัยปิฎก  พระสุตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ให้ยึดถือเป็นหลักพุทธศาสนาแต่นั้นมา  และนานาประเทศทั้งปวงที่เป็นสัมมาทิฐินับถือพระรัตนตรัยนั้นได้ลอกต่อ ๆ กันไป  เปลี่ยนแปลงอักขระ  ลายลักษณ์อักษรตามประเทศภาษาของตน ถ้อยคำและข้อความจึงผิดเพี้ยนวิปลาสไปมากบ้างน้อยบ้างทุก ๆ คัมภีร์


วัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) เมืองเชียงใหม่ สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๘

          ๘. เมื่อพุทธศาสนายุกาลล่วงได้ ๒๐๒๐ ปี  พระธรรมทินเถระเจ้าแห่งนครพิงค์เชียงใหม่ได้พิจารณาเห็นว่า  พระไตรปิฎก  ทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกามีพิรุธมาก  จึงถวายพระพรแก่พระเจ้าติโลกราช  เจ้านครพิงค์เชียงใหม่  ว่าจะชำระพระปริยัติให้บริบูรณ์  มหาราชนครเชียงใหม่จึงให้สร้างมหามณฑปในมหาโพธารามวิหาร  ให้เป็นที่ประชุมชำระพระปริยัติธรรม  พระธรรมทินมหาเถระจึงคัดเลือกพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฎกกว่า ๑๐๐ รูปประชุมสังคายนาย  กระทำชำระพระไตรปิฎกตกแต้มให้ถูกถ้วนบริบูรณ์  โดยมีพระเจ้าติโลกราชมหาราชนครพิงค์เชียงใหม่เป็นองค์เอกอัคครศาสนูปถัมภก  ใช้เวลา ๑ ปี จึงสำเร็จ  นับเป็นการสังคายนายครั้งที่ ๘  และเมื่อเสร็จการสังคายนายแล้ว  จึงเฉลิมพระนามาภิไธยพระเจ้าติโลกราชว่า พระเจ้าศิริธรรมจักรวัติโลกราชามหาธรรมิกราช พระเจ้านครพิงค์เชียงใหม่  จากนั้นเป็นต้นมายังไม่มีการทำสังคายนายหรือชำระพระไตรปิฎกกันอีกเลย”


          * ท่านผู้อ่านครับ  ความเป็นมาของพระไตรปิฎกที่ยกย่อมาให้อ่านนี้ ก็พอเห็นที่มาของคัมภีร์ที่ชาวพุทธในเมืองไทยเราถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก  บางคนไม่เคยอ่านความในคัมภีร์นี้เลย  บางคนอ่านมาแล้วบ้างแต่ไม่เข้าใจ  พระมหาเถรานุเถระแต่โบราณกาลได้ชำระแก้ไขตกทอดมาเป็นเวลานานนับพันปี  สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะร่วมกันถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกให้ทรงทราบความเปลี่ยนแปลงเป็นมาของพระไตรปิฎกดังนี้แล้ว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบแล้วจะมีพระราชดำริและพระราชวินิจฉัยประการใด  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณหุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ปลายฝน คนงาม, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, กลอน123, ขวัญฤทัย (กุ้งนา), ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี, เนิน จำราย

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #294 เมื่อ: 07, สิงหาคม, 2562, 11:34:05 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- กรุงสยามทำสังคายนาย -

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถวายตัวอุปถัมภ์บำรุงให้
ทำสังคายนายหมายการณ์ไกล
ครั้งที่เก้าก้าวไปในสากล


          อภิปราย ขยายความ..........................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเรขา  ว่าด้วยสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะถวายพระพร  ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบประวัติความเป็นมาของพระไตรปิฎก  ที่บันทึกเรื่องราวการกระทำสังคายนาย  ตั้งแต่ครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๘  โดยครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๔ นั้น  เมื่อชำระพระธรรมวินัยให้ถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้ว ก็ประกาศรับรอง  และให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงช่วยกันท่องจำเป็น  “มุขปาฐะ”  หมั่นสาธยายให้ติดปากติดใจ  ถ่ายทอดกันด้วยปากต่อปากเรื่อยมา


          จนถึงปี พ.ศ. ๔๓๓ พระสงฆ์องค์อรหันต์ในลังกาทวีปปรารภว่า  การท่องจำพระธรรมวินัยแล้วถ่ายทอด“ปากต่อปาก” นั้น  พระภิกษุผู้ท่องสาธยาย  มีความจำไม่แมนยำมั่นคง  มักผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป  และหาผู้ทรงจำได้น้อยลง  จึงควรทำสังคายนายชำระพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  แล้วจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้มิให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอีกต่อไป  การจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนั้น  จารึกเป็นอักษรภาษาสิงหฬ  ต่อมาถึงปี พ.ศ. ๙๕๖  มีพระภิกษุชาวอินเดียรูปหนึ่งเป็นผู้แตกฉานในนิรุกตศาสตร์  มีนามวา  พระพุทธโฆษาจารย์  เดินทางจากชมพูทวีปไปยังลังกาทวีป  แล้วทำการแปลพระคัมภีร์ธรรมวินัยที่จารึกไว้เป็นภาษาสิงหฬนั้นให้เป็นภาษาบาลีทั้งหมด  แล้วให้เผาต้นฉบับภาษาสิงหฬนั้นเสีย    


          ตกมาถึงปี พ.ศ. ๑๕๘๗ พระมหากัสสปะ กับสงฆ์ปุถุชนชาวลังกามากกวาพันรูปประชุมกระทำสังคายนาเป็นครั้งสำคัญขึ้นในลังกา  ที่ว่าสำคัญก็เพราะว่า  การทำสังคายนายครั้งนี้  เมื่อชำระพระธรรมวินัยที่เป็นภาษาสิงหฬปนคละกันกับภาษาบาลี  ให้เป็นเป็นบาลีทั้งสิ้นแล้วจารึกลงในใบลาน  แยกเป็นคัมภีร์  เป็นหมวดหมู่ได้ ๓ หมู่  เรียกว่า  “ปิฎก”  คือ  วินัยปิฎก ๑   สุตันตปิฎก ๑   อภิธรรมปิฎก ๑   รวมเรียกว่า “พระไตรปิฎก”  คำว่า  พระไตรปิฎกจึงเกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๑๕๘๗ เป็นต้นมา    ครั้นสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะถวายพระพรดังนี้แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จะทรงมีพระราชดำริประการใด  อ่านความในพระราชพงศาวดารกันต่อไปนะครับ


          "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับคำถวายพระพรดังนั้น  จึงดำรัสว่า  อาราธนาพระมหาเถรานุเถระทั้งปวงรับหน้าที่ชำระพระไตรปิฎกให้บริสุทธิ์บริบูรณ์  เป็นการกระทำสังคายนายครั้งที่ ๙  โดยพระองค์ขอเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก  พระสงฆ์ทั้งหลายถวายพระพรลาออกมาแล้วสมเด็จพระสังฆราชจึงเรียกประชุมพระราชาคณะถานานุกรมบาเรียน ณ วัดบางหว้าใหญ่ แล้วเลือกคัดจัดสรรพระภิกษุผู้ทรงภูมิปริยัติได้ ๒๑๘ รูป  กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก ๓๒ คน  เพื่อจะกระทำการชำระพระไตรปิฎกต่อไป


          จากนั้นจึงให้เจ้าหมื่นไวยวรนาถกราบบังคมทูลพระกรุณา  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์จึงมีพระราชดำรัสให้จัดแจงสถานที่จะกระทำสังคายนาย  โดยเลือกเอาวัดนิพพานาราม  ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างพระราชวังหลวงกับพระราชวังหน้า  เป็นสถานที่กระทำสังคายนาย  แล้วเปลี่ยนนามใหม่เป็น  วัดพระศรีสรรเพชดาราม  และทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นอันมากแจกจ่ายเพื่อการนี้


          เกณฑ์พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งพระราชวังหลวง  วังหน้า  และวังหลังให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ซึ่งชำระพระไตรปิฎกทั้งเช้าทั้งเพล  เพลาละสี่ร้อยสามสิบหกสำรับ ณ วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ พุทธศักราช ๒๓๓๑  เวลาบ่ายสามโมง  พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินสู่วัดพระศรีสรรเพชดาราม(คือวัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ ในปัจจุบัน)   เข้าโรงพระอุโบสถถวายนมัสการพระรัตนตรัยแล้ว อาราธนาพระพิมลธรรมให้อ่านประกาศเทวดาในท่ามกลางสังฆสมาคม  ขออานุภาพเทพเจ้าทั้งปวงให้อุปถัมภ์มหาสังคายนายได้สำเร็จกิจ


          จากนั้นแบ่งพระสงฆ์ออกเป็นสี่กอง

          สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตันตปิฎก
          พระวันรัตนเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
          พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎก
          พระพุฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททาวิเศษ

          โปรดให้แยกกันชำระพระปริยัติอยู่ ณ พระอุโบสถกองหนึ่ง  ณ พระวิหารกองหนึ่ง  ณ พระมณฑปกองหนึ่ง  ณ การเปรียญกองหนึ่ง


          พระสงฆ์กับทั้งราชบัณฑิตนั้นประชุมกันพิจารณาดูพระปริยัติ  สอบสวนพระบาลี  กับ อรรถกถา  ฎีกา  ที่ผิดเพี้ยนวิปลาส  ก็ตกแต้มเปลี่ยนแปลงอักขระให้ถูกต้องบริบูรณ์ทุก ๆ พระคัมภีร์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น  เริ่มทำการชำระตั้งแต่วันเพ็ญเดือนสิบสอง  ไปตราบเท่าถึงวันเพ็ญเดือนห้า  เป็นเวลา ๕ เดือน  ก็สำเร็จกิจสังคายนาย


          ครั้นเสร็จสิ้นการสังคายนายแล้ว  จึงทรงพระกรุณาโปรดให้จำหน่ายพระราชทรัพย์ให้เป็นค่าจ้างช่างจารจารึกพระไตรปิฎกที่ชำระบริสุทธ์บริบูรณ์แล้วนั้นลงในลานใหญ่  เสร็จแล้วให้ปิดทองทึบทั้งใบปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้นเรียกว่าฉบับทอง  ห่อด้วยผ้ายกเชือกรัดถักด้วยไหมเบญจพรรณ  มีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึก  และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุก ๆ คัมภีร์


ตู้พระไตรปิฎกประดับมุก สมัยรัชกาลที่ ๑

          ครั้นเมื่อเสร็จการสร้างพระไตรปิฎกฉบับทองแล้ว  จึงให้เชิญพระคัมภีร์ทั้งปวงขึ้นพระยานุมาศพระราชยานต่าง ๆ ตั้งกระบวนแห่สมโภชพระไตรปิฎก  เชิญพระคัมภีร์ปริยัติธรรมเข้าประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก  ตั้งในหอพระมนเทียรธรรมกลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ภายในพระราชวัง


          แล้วให้มีงานมหรสพฉลองพระไตรปิฎกและหอพระมนเทียรธรรม  ครั้งนั้นมีละครผู้หญิงด้วย  และมีการจุดดอกไม้เพลิง  ลูกพลุไปตกบนหลังคาหอพระมนเทียรธรรมเพลิงติดไหม้ขึ้น  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ดำรัสให้ข้าราชการทั้งปวงเข้าไปยกตู้ประดับมุกและขนพระไตรปิฎกออกมาได้ทั้งสิ้น”


          * ท่านผู้อ่านครับการสังคายนายครั้งที่ ๙ เสร็จสิ้นแล้ว  แต่การจัดเก็บคัมภีร์พระไตรปิฎกเกิดมีปัญหาขึ้นมาอีก  ต้องไปอ่านกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, กลอน123, เนิน จำราย, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #295 เมื่อ: 09, สิงหาคม, 2562, 12:46:17 AM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

“ไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพุทธศักราช 2332”
จิตรกรรมจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร

- ไฟไหม้พระมหาปราสาท -

เกิดฟ้าผ่าลงพระมหาปราสาท
เพลิงเกรี้ยวกราดเกิดกล้าโกลาหล
พระชาวบ้านถ้วนทั่วทุกตัวตน
ช่วยกันขนน้ำสลับสาดดับไฟ


          อภิปราย ขยายความ......................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารมาบอกเล่า  ว่าด้วยการทำสังคายนายพระไตรปิฎกซึ่งนับเป็นการสังคายนายครั้งที่ ๙  ในฝ่ายเถรวาท  เหตุที่ทำสังคายนายครั้งนี้ก็ปรารภเรื่องที่ข้อความและถ้อยคำในพระไตรปิฎกซึ่งสืบทอดกันมาเป็นเวลานานนั้น  ขาดตกบกพร่องคลาดเคลื่อนไปมากแล้ว  เมื่อทำสังคายนายเสร็จสิ้น  ทรงเชิญพระคัมภีร์พระไตรปิฎกประดิษฐานในหอพระมนเทียรธรรม  ทำการฉลองและมีการจุดพลุไฟด้วย  พลุไฟตกลงบนหลังคาหอพระมนเทียรธรรมจนเกิดไฟไหม้  ทรงให้ช่วยกันขนคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาทั้งหมดได้อย่างปลอดภัย  เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป วันนี้อ่านกันต่อครับ


พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
Cr. Photo By คุณพัสวีสิริ เปรมกุลนันท์

          “ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวต่อไปว่า  เพลิงไหม้แต่เพียงหอพระมนเทียรธรรมพินาศไปเท่านั้น  ส่วนพระอุโบสถพระแก้วมรกตซึ่งอยู่ใกล้กันนั้นเพลิงลามไปไม่ถึง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสว่า ..เทพยาดาผู้บำรุงรักษาพระพุทธศาสนาเห็นว่าหอไตรยังต่ำอยู่  จึงบันดาลให้เพลิงไหม้แต่เฉพาะหอไตร  มิให้ไหม้พระอุโบสถด้วย  จะให้สร้างพระมณฑปขึ้นใส่พระไตรปิฎกธรรมใหม่”   ดำรัสดังนั้นแล้ว  ทรงมอบหมายให้พระยาราชสงครามเป็นแม่การทำพระมณฑป  ให้ถมสระเดิมนั้นเสีย  แล้วขุดรากก่อพระมณฑปลงที่นั้น  มีชาลาและกำแพงแก้วเป็นที่ปทักษิณล้อมพระมณฑป ลดพื้นลงมาสามชั้น  แล้วให้ขุดสระใหม่ลงเบื้องทิศตะวันออกแห่งพระมณฑป  ก่ออิฐถือปูนทั้งรอบ  แล้วให้ก่อหอพระมนเทียรธรรมขึ้นใหม่ฝ่ายทิศอีสานแห่งพระมณฑป  การทั้งปวงดังกล่าวนั้นยังมิได้สำเร็จ


“ไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพุทธศักราช 2332”
จิตรกรรมจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร

          ลุศักราช ๑๑๕๑ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๒ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗  เวลาบ่ายสามโมงเศษ  ขณะที่ฝนตกลงมานั้นก็เกิดฟ้าฝ่า  ลงต้องหน้าบันมุขเด็จพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท  ติดเป็นเพลิงโพลงขึ้นไหม้เครื่องบนพระมหาปราสาท  กับทั้งหลังคามุขทั้งสี่ทำลายลงสิ้น  แล้วเพลิงก็ลามไปติดไหม้พระปรัศว์ซ้ายด้วยอีกหลังหนึ่ง  ในขณะที่เพลิงฟ้าแรกติดไหม้พระมหาปราสาทนั้น  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ และพระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวงกับข้าราชการใหญ่น้อย  รวมทั้งพระราชาคณะฐานานุกรมทุก ๆ พระอารามหลวงก็พากันเข้ามาในพระราชวัง  ช่วยกันดับเพลิงพร้อมกันทั้งสิ้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ข้าราชการช่วยกันยกพระที่นั่งราชบัลลังก์ประดับมุก  ซึ่งกั้นเศวตฉัตรบนพระมหาปราสาทนั้นลงมาได้ก่อนที่จะถูกเพลิงไหม้  พวกเจ้าจอมข้างในต่างตื่นตกใจเพลิงพากันหนีออกจากพระราชวัง ไปอาศัยอยู่บ้านเจ้าพระยารัตนาพิพิธบ้าง  บ้านเจ้าพระยายมราชบ้าง  บ้านเจ้าพระยาธรรมาบ้าง  บ้านเจ้าพระยาพลเทพบ้าง  ที่ยังอยู่ในพระราชวังก็มีบ้าง  ฝ่ายพระสงฆ์และคฤหัสถ์ข้าราชการทั้งปวงช่วยกันสาดน้ำดับเพลิงบ้าง  ช่วยกันขนถุงพระราชทรัพย์ในพระคลังในลงทิ้งในสระในพระอุทยานภายในพระราชวังบ้าง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระแสงง้าวเร่งให้ข้าราชการดับเพลิงอยู่อย่างใกล้ชิด



          ครั้นเพลิงดับสงบแล้ว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสให้พวกชาวที่ชาววังและจ่าโขลนแยกย้ายกันไปตามพวกเจ้าจอมข้างใน  ซึ่งหนีเพลิงไปอาศัยอยู่ตามบ้านเสนาบดีทั้งนั้น  รับกลับเข้ามาพระราชวัง  ตรัสถามมุขมนตรีทั้งปวงว่า  ไฟฟ้าไหม้พระมหาปราสาทดังนี้จะมีดีร้ายประการใด  พระยาราชวังเมืองกราบทูลว่า  แต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง  อสนีบาตลงพระที่นั่งมังคลาภิเษกมหาปราสาท  ไฟฟ้าไหม้เหมือนครั้งนี้มิได้มีเหตุร้าย  เป็นศุภนิมิตมหามงคลอันดี  ได้พระราชลาภต่างประเทศเป็นอันมาก  ทรงทราบความดังนั้นจึงทรงพระกรุณาพระราชทานเงินตราชั่งหนึ่งแก่พระยาราชวังเมือง  เป็นรางวัลที่กราบทูลทำนายเป็นศุภนิมิตนั้น  ซึ่งต้องกับคำพระโหรากราบทูลทำนายเมื่อครั้งผึ้งจับต้นจันทน์ที่เกยฝ่ายปัจจิมทิศ  ถวายพยากรณ์ว่า  จะได้พระราชลาภต่างประเทศ
          จากนั้น  ดำรัสสั่งสมุหนายกให้จัดแจงรื้อปราสาทเก่าเสีย  แล้วสร้างปราสาทขึ้นใหม่ย่อมเข้ากว่าองค์ก่อนนั้น  สูงใหญ่เท่าพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทกรุงเก่า  มุขหน้ามุขหลังนั้นยาวกว่ามุขข้าง  และมุขเบื้องหลังนั้นอยู่ที่ข้างในยาวไปจดถึงพระปรัศว์ซ้ายขวา  กระทำปราสาทองค์ใหม่นี้ยกออกมาตั้ง ณ ที่ข้างหน้าทั้งสิ้น  มุขทั้งสี่นั้นก็เสมอกันทั้งสี่ทิศ  ใหญ่สูงเอาแต่เท่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์กรุงเก่า  ยกบราลีเสีย  มิได้ใส่เหมือนองค์เก่า  แต่ที่มุมยอดทั้งสี่มุมนั้นยกทวยเสีย  ใส่รูปครุฑเข้าแทน  แล้วให้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ที่ข้างในต่อมุขหลังเข้าไปอีกหลังหนึ่ง  พอเสมอท้ายมุขปราสาทองค์เก่า  พระราชทานนามว่าพระที่นั่งพิมานรัตยา  และให้ทำพระปรัศว์ซ้ายขึ้นใหม่คงตามเดิม  และหลังคาปราสาทและมุขกับทั้งพระที่นั่งพิมานรัตยา และพระปรัศว์ดาดดีบุกทั้งสิ้นเหมือนอย่างเก่า


สิงห์สัมฤทธิ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
Cr. Photo By Supawan

          ครั้นการมหาปราสาทลงรักปิดทองเสร็จแล้วจึงพระราชทานนามปราสาทองค์ใหม่  ชื่อพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท  แล้วเร่งให้ทำการพระมณฑปและหอพระมนเทียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น  ลงรักปิดทองแล้วเสร็จบริบูรณ์  แล้วให้แผ่แผ่นเงินลาดพื้นในองค์พระมณฑปนั้นด้วย  จึงให้เชิญตู้พระไตรปิฎกฉบับทองขึ้นตั้งไว้ในพระมณฑป   ส่วนฉบับครูเดิม  และฉบับอื่นซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่นั้น  ให้ใส่ตู้ปิดทองลายรดน้ำในหอพระมนเทียรธรรมใหม่  เป็นที่อยู่กรมราชบัณฑิตให้บอกกล่าวพระไตรปิฎกแก่พระสงฆ์สามเณรเหมือนอย่างแต่ก่อน  แล้วทรงให้ช่างหล่อหล่อรูปสิงห์ด้วยทองสัมฤทธิ์ขึ้นใหม่สิบรูป  รวมกับรูปสิงห์ทองสัมฤทธิ์ที่ได้มาแต่เมืองพุทไธมาศแต่ก่อนนั้นสองรูป  เป็นสิบสองรูป  ก่ออิฐเป็นพานรองถือปูนเป็นอันดีตั้งไว้นอกประตูกำแพงแก้วล้อมพระมณฑปชั้นล่างทั้งสองข้างประตู ประตูละคู่  ทั้งสี่ประตูเป็นแปดรูป  กับตั้งไว้ที่มุมกำแพงแก้วทั้งสี่มุม  มุมละสี่รูป  รวมเป็นสิงห์สิบสองรูปด้วยกัน  บนหลังกำแพงแก้วทั้งสามชั้นนั้นให้ทำโคมเป็นรูปหม้อปรุ  แล้วไปด้วยทองแดงเป็นที่ตามประทีป  ตั้งเรียงรายไปโดยรอบ  หว่างโคมนั้นให้ปักฉัตรที่ทำด้วยทองแดงลงรักปิดทอง   มีใบโพธิแก้วห้อยทุกชั้นทั้งสิ้นด้วยกันเป็นการบูชาพระปริยัติไตรปิฎกธรรมเป็นมโหฬารยิ่งนัก”


          ** ท่านผู้อ่านครับ  อ่านพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาถึงตรงนี้  ระทึกใจกับเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นนะครับ  ปัจจุบันเราไม่ค่อยเห็นฟ้าผ่าแล้วเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงมากนัก  แต่กาลนั้นเกิดฟ้าผ่าลงยังมหาปราสาทในพระบรมมหาราชราชวังเกิดเพลิงไหม้ใหญ่โต  พระภิกษุสงฆ์ทุกพระอารามหลวงพากันออกจากวัดมาช่วยดับเพลิงกันอย่างพร้อมเพรียง  บรรดาเจ้าจอมทั้งหลายพากันหนีออกจากพระราชวังไปอาศัยอยู่ในบ้านเจ้าพระยารัตนาพิพิธ(สน)  และเจ้าพระยาอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้พระราชวัง  หลังจากนั้นทรงให้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่  เรื่องราวจะเป็นอย่างไรพรุ่งนี้มาอ่านต่อกันใหม่นะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบทุกภาพนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, เนิน จำราย, ก้าง ปลาทู, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #296 เมื่อ: 09, สิงหาคม, 2562, 11:22:11 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- เผาร่างกายบูชาธรรม -

นายบุญเรืองเคร่งครัดศรัทธามั่น
มีความฝันสูงสุดจุดหมายใหญ่
“โพธิญาณ”อนาคตกำหนดไว้
ด้วยมั่นใจสำเร็จเสร็จสมจินต์

รักษาศีลฟังธรรมประจำแหล่ง
ณ วัดแจ้งจิตไม่วายถวิล
บูชาธรรมกำจัดขัดมลทิน
ล้างให้สิ้นกิเลสเหตุเสื่อมทราม

เอาน้ำมันราดร่างตั้งจิตมั่น
จุดเพลิงพลันเผากายไร้คนห้าม
ประกาศชัดชัยชนะอย่างงดงาม
คนล้นหลามโมทนาสาธุการ


          อภิปราย ขยายความ.....................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดดารฉบับพระราชหัตถเลขา  มาแสดงถึงตอนที่  เกิดฝนตกฟ้าคะนองและฟ้าผ่าลงมาต้องพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท  เกิดเพลิงไหม้มหาปราสาทกับทั้งหลังคามุขทั้งสี่ทำลายลงสิ้น  หลังจากฟ้าผ่าเพลิงไหม้พระที่นั่งดังกล่าวแล้ว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้สมุหนายก(เจ้าพระยารัตนาพิพิธ(สน)) ดำเนินการรื้อปราสาทเก่าแล้วสร้างขึ้นใหม่  มีขนาดใหญสูงเท่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์กรุงเก่า  ครั้นการกอสร้างมหาปราสาทเสร็จแล้วลงรักปิดทอง  พระราชทานนามใหม่ว่า  พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร  อ่านพระราชพงศาวดารต่อครับ

          * “ ถึงปีจุลศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๓๓  ชายคนหนึ่งชื่อบุญเรือง  เป็นคนมีศรัทธายิ่ง  ร่วมด้วยสหายสองคนคือ  ขุนศรีกัณฐัศว์กรมม้า  กับ  นายทองรัก  พากันไป ณ พระอุโบสถวัดครุธาราม  ต่างปรารถนาพุทธภูมิด้วยกันทั้งสามคน  ชวนกันนมัสการพระพุทธรูปประธาน  แล้วตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงดอกบัวอ่อนคนละดอก  บูชาพระพุทธเจ้าว่า  ถ้าผู้ใดจะสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตขอให้ดอกบัวของผู้นั้นจงบานเห็นประจักษ์โดยแท้

          ครั้นรุ่งขึ้นดอกบัวของนายบุญเรืองนั้นบานดอกเดียว  ของขุนศรีกัณฐัศว์และนายทองรักนั้นหาบานไม่  ตั้งแต่นั้นมา  นายบุญเรืองก็มาอาศัยการเปรียญเก่า ณ วัดแจ้ง  ตั้งสมาทานอุโบสถศีลฟังพระธรรมเทศนา  เอาน้ำมันชุบสำลีเป็นเชื้อ  พาดแขนทั้งสองข้าง  จุดเพลิงบูชาต่างประทีปทุก ๆ วัน  ครั้นถึงวันศุกร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ยามค่ำประมาณทุ่มเศษ  นายบุญเรืองฟังพระธรรมเทศนาจบแล้วก็นุ่งห่มผ้าชุบน้ำมัน  เดินออกมาหน้าการเปรียญ  นั่งพับเพียบพนมมือ  ตั้งสติรักษาจิตรำงับสงบดีแล้วก็จุดเพลิงเผาตัว  ขณะเมื่อเปลวเพลิงลุกวูบขึ้นท่วมตัวนั้น  นายบุญเรืองก็ร้องประกาศแก่คนทั้งปวงว่า

“สำเร็จความปรารถนาแล้ว”

คนทั้งหลายซึ่งดูอยู่ในที่ประมาณ ๖๐๐ เศษก็พากันชื่นชมยินดี  บ้างก็ร้องสาธุการเอิกเกริกอื้ออึง  แล้วเปลื้องผ้าห่มโยนเข้าไปบูชาในกองเพลิง  แม้แต่พวกแขกมิจฉาทิฐิภายนอกพระพุทธศาสนาก็เกิดศรัทธา  ถอดหมวกคำนับแล้วโยนหมวกเข้าไปในกองเพลิงด้วย”

* ท่านผู้ฟังครับ ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาสิ้นสุดลงตรงนี้

          แต่เรื่องราวของกรุงสยามกับประเทศรอบข้างยังไม่จบ  เป็นประวัติศาสตร์ที่ควรรับรู้กันไว้เพื่อเป็นบทเรียนในการสร้างและรักษาประเทศชาติของไทยเราต่อไป

          ยังมีความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ และ ที่ ๒ ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) และความที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงชำระเมื่อ ร.ศ. ๑๒๐ ( พ.ศ. ๒๔๔๕)  เป็นประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ซึ่งมีเรื่องราวการรบระหว่างไทย-พม่าอย่างเข้มข้น  บรรพชนไทยใช้ชีวิตเลือดเนื้อต่อสู้ข้าศึกศัตรูปกป้องแผ่นดินไทยไว้อย่างไร  เราสามารถศึกษาเอาความรู้ได้จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ที่จะนำมาแสดงต่อไป

          เรื่องราวของกัมพูชาและญวนที่คาราคาซังมาตั้งแต่ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ยังเป็นเรื่องที่น่าติดตามและสะสมเป็นความรู้ไว้ไม่น้อย  โดยเฉพาะเรื่องขององเชียงสือเจ้าอนัมก๊ก  หรือพระเจ้าแผ่นดินญวน  หลังจากได้เป็นเจ้าอนัมก๊กแล้ว  จะแสดงบทบาทอย่างไร  เป็นเรื่องน่าติดตาม

          ท่านผู้นี้ในขณะที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารนั้น  ได้สร้างและปลูกฝังศิลปวัฒนธรรมญวนไว้ในสังคมไทยด้วย  นั่นก็คือทำนองเพลงและท่าร่ายรำในเพลง  “ญวนรำกระถาง”  และการแสดงสิงโตล่อแก้ว  สิงโตคาบแก้ว  เป็นต้น  เป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่องเชียงสือถ่ายทอดไว้ให้ไทยเรา

          วันพรุ่งนี้มามาดูเรื่องราวในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๑-๒ จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค)กันต่อไปนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, กลอน123, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, เนิน จำราย, ปลายฝน คนงาม, เฒ่าธุลี, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #297 เมื่อ: 10, สิงหาคม, 2562, 10:23:20 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -

- ตานีกับแขกเซียะตีสงขลา -

ทั้งรายานี,แขกเซียะกล้า
ตีสงขลาสำแดงกำแหงหาญ
ถูกปราบปรามสิ้นพลันไม่ทันนาน
เป็นคนพาลที่ไม่ประมาณตน


          อภิปราย ขยายความ ................

          เมื่อวันวานนี้ได้เก็บความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามาบอกเล่าถึงตอนที่นายบุญเรืองใช้น้ำมันราดเสื้อผ้าเผาตัวเองเป็นพุทธบูชา  ที่วัดแจ้ง  แล้วสิ้นความในฉบับพระราชหัตถเลขา  แต่เรื่องของสยามยังไม่จบ  เพราะยังมีข้อความที่สมเด็จพระเจ้าบรมเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงชำระเมื่อปีรัตนโกสินทรศก ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๕)  นำมาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาจนจบตลอดรัชกาลที่ ๑  และความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  บอกเล่าเรื่องราวในรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ ไว้อีกด้วย  ดังนั้นจึงขอนำความในพระราชพงศาวดารดังกล่าวมาแสดงให้ท่านได้อ่านกันต่อไป  มีความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์  กล่าวถึงเรื่องรายาเมืองตานีและแขกเซียะตีเมืองสงขลาไว้ว่า  ดังนี้

          * “ณ เดือน ๘ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีระกา จุลศักราช ๑๑๕๑ (พ.ศ. ๒๓๓๒) พระยาพระคลังมีหนังสือออกไปถึงองเชียงสือฉบับ ๑  ใจความว่า  องเชียงสือบอกข้อราชการศึกเข้าไปเมื่อใด  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะให้ยกกองทัพออกมาช่วย แต่จะให้ไปทางบกนั้นไกลนัก  จะให้ไปทางเรือเล่า  เรือรบที่กรุงก็มี ๗๐–๘๐ ลำ  บรรจุไพร่พลก็ได้น้อย  ถ้าองเชียงสือว่างการศึกแล้วให้คิดต่อเรือกูไลให้ได้สัก ๖๐–๗๐ ลำ  กับเรือกูไลอย่างดีสำหรับเป็นเรือพระที่นั่งเข้าไปถวายด้วย  ส่วนครอบครัวองโหเตืองดึกชายหญิง ๖๓ คนนั้น  ได้มอบให้องไกจัดคุมออกมาด้วยแล้ว

          ครั้นถึง ณ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนอ้าย องเชียงสือก็มีหนังสือบอกเข้ามามีใจความว่า  เมื่อเดือน ๑๑ ปีระกา  ศักราช ๑๑๕๑ นี้  รายาแขกเมืองตานีให้นักกุดาสุงถือหนังสือและคุมเอาปืนคร่ำทอง ๒ บอก  ดาบด้ามทอง ๒ เล่ม  แหวนทองประดับเพชร เข้ามาให้  ในหนังสือเมืองตานีนั้นว่า  รายาตานีมีความพยาบาทอยู่กับกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา  ราชาตานีจะยกกองทัพเข้ามาตีกรุง  ให้องเชียงสือแต่งกองทัพเรือยกเข้ามาช่วยรายาตานีตีกรุงเทพมหานครศรีอยุธยาด้วย  แต่องเชียงสือยังรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในยามที่หนีไกเซินเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร  จึงมิได้รับของที่รายาตานีให้นั้น  ส่วนนักกุดาสุงนั้นครั้นจะจับกุมตัวส่งมาก็เห็นว่าเป็นแต่เพียงนายเรือเล็กน้อย  และธรรมเนียมจีนกับญวนมีกฎหมายห้ามมิให้ทำร้ายแก่ผู้ถือหนังสือ  เกรงจะเสียประเพณี  จึงให้พระยาพิมลวารี  พระราชมนตรี  นำต้นหนังสือรายาตานีเข้ามาทูลเกล้าฯถวาย

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบดังนั้น  ทรงพระราชดำริว่า  รายาตานีผู้นี้เป็นเทือกเถาเจ้าเมืองตานีเก่า  มีใจกำเริบโอหังนัก  ไม่เจียมตัวว่าเป็นผู้น้อย  คิดองอาจจะมาตีเมืองใหญ่  จะละไว้มิได้  หากละไว้ก็จะไปเที่ยวชักชวนเมืองแขกทั้งปวงพลอยเป็นกบฏขึ้นหมด  จึงโปรดให้พระยากลาโหมราชเสนา  ซึ่งเป็นบิดาเจ้าพระยายมราช(ทองสุก)  เป็นแม่ทัพเรือกับนายทัพนายกองยกออกไปเมืองตานี  และก็ได้สู้รบกับพวกรายาตานีเป็นสามารถ  ฝ่ายรายาตานีสู้มิได้ก็หนีไป  กองทัพไทยไล่ติดตามไปจับตัวได้ในกุฎีสงฆ์ที่วัดแห่งหนึ่ง  พระยากลาโหมจึงให้จองจำไว้มั่นคงแล้วกวาดครอบครัวเมืองตานีกลับเข้ามา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้เอาตัวรายาตานีไปจำคุกไว้จนกว่าจะตาย”

          * ท่านผู้อ่านยังคงจำกันได้นะครับว่า  เมื่อปีจุลศักราช ๑๑๔๘ ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๒๙ นั้น  สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรฯ  รับพระราชบัญชาให้ยกทัพลงไปขับไล่พม่าทางชายทะเลตะวันตก  เมื่อรบและขับไล่พม่าพ้นไปจากเขตแดนไทยในภาคใต้ของประเทศหมดแล้ว  ก็ทรงยกทัพเลยไปปราบเมืองมลายูซึ่งมีตานีเป็นศูนย์กลาง  เมื่อทรงปราบพระยาตานีได้แล้ว  ให้กวาดครอบครัวชาวมลายูจำนวนมากลงเรือรบขึ้นมากรุงเทพมหานคร  พร้อมกับนำปืนใหญ่มากรุงเทพฯด้วย  จากนั้นมาเป็นเวลาล่วงได้เพียง ๓ ปี  ราชาตานีก็กลับคิดแข็งเมืองอีก  แสดงว่าชาวปัตตานีมิได้ยินยอมพร้อมใจเข้าอยู่ในปกครองของสยามตั้งแต่นั้นมาจนถึงกาลปัจจุบัน

           “ปราบรายาตานีราบคาบลงได้ไม่นานนัก  ตกมาถึงเดือน ๖ ปีกุน ตรีศก จุลศักราช ๑๑๕๓ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๓๔  ก็เกิดมีแขกเซียะซึ่งอยู่ภายนอกราชอาณาเขต  ไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใด  ได้ยกกองทัพเรือมาตีเมืองสงขลา  เจ้าเมืองกรมการสู้รบต้านทานมิได้ก็พาครอบครัวและชาวเมืองส่วนหนึ่งหนีไปอยู่แขวงเมืองพัทลุง  ฝ่ายพระศรีไกรลาศซึ่งเป็นพระยาพัทลุงทราบข่าวก็พลอยตื่นตกใจกลัวแขกข้าศึก  ข้าศึกยังยกมาไม่ทันถึงเมืองพัทลุงก็พากรมการและครอบครัวอพยพหนีเข้าป่า  โดยมิได้คิดจะตั้งมั่นอยู่ต่อรบดูท่วงทีข้าศึกก่อนเลย

          ครั้นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้ทราบข่าวว่ากองทัพแขกมลายูเมืองเซียะยกมาตีเมืองสงขลา  จึงเกณฑ์กองทัพเมืองนครศรีธรรมราชยกออกไปช่วยเมืองสงขลา  ได้รบกันกับทัพแขก  ทัพแขกเซียะสู้ไม่ได้ก็แตกพ่ายหนีไป  จึงบอกข้อราชการทั้งปวงเข้ามายังกรุงเทพมหานคร  ให้สมุหพระกลาโหมกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระพิโรธพระยาพัทลุง  ดำรัสว่า  ข้าศึกมายังมิทันจะถึงเมืองก็แตกหนี  จากนั้นจึงดำรัสให้ข้าหลวงถือท้องตราออกไปถอดพระยาพัทลุงเสีย  แล้วลงพระราชอาชญาจำคุกเข้ามา ณ กรุงเทพมหานคร  แล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก  ซึ่งเป็นบุตรพระยาพัทลุงคนก่อน ออกไปว่าราชการเมืองพัทลุงป้องกันพระราชอาณาเขตสืบไป”

          ** ท่านผู้อ่านครับ  เมืองตานีหรือปัตตานี  รบกับกรุงเทพฯทีไรก็สู้ไม่ได้ทุกที  แต่เขาไม่ยอมแพ้  มีโอกาสก็แข็งเมืองเรื่อยมา  ทางกรุงเทพฯก็ปราบปรามราบคาบเรื่อยมาเช่นกัน  สำหรับแขกเซี๊ยะนั้น  ยกมาจากบนฝั่งเกาะสุมาตรา  หัวหน้านามว่า  โต๊ะสาเหย็ด  หรือ  ไซยิด  รายาตานีชักชวนมาช่วยตีสงขลา  แล้วพ่ายแพ้ยับเยินในที่สุด  เรื่องราวจะมีอะไรต่อไป  พรุ่งนี้มาอ่านต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลิตเติลเกิร์ล, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, เฒ่าธุลี, เนิน จำราย, กลอน123, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #298 เมื่อ: 11, สิงหาคม, 2562, 11:09:12 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -


- ให้เวียงจันทน์ตีหลวงพระบาง -

หลวงพระบางปันใจให้พม่า
ทรงโกรธาสั่งทัพไม่สับสน
ให้เจ้าเมืองเวียงจันทน์นั้นจัดพล
ยกไปปล้นตีช่วงชิงหลวงพระบาง

เจ้าเวียงจันทน์จัดทัพกระฉับกระเฉง
ยกไปเร่งตีลาวรวมเผ่า...ผาง!
จับพระเจ้าร่มขาวเข้าตะราง
แคว้นล้านช้างจึงสยบสงบดี


          อภิปราย ขยายความ ...........

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์  ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  มาแสดงถึงเรื่องรายาตานีเป็นกบฏขอให้แขกเซียะยกจากเกาะสุมาตรามาตีเมืองสงขลา  แต่ถูกปราบปรามได้สิ้น  วันนี้มาอ่านเรื่องราวกันต่อไปครับ

          * มีความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชำระ  กล่าวความจากเรื่องแขกเซียะต่อไปว่า

           “ครั้นถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุนนั้น  เจ้าอนัมก๊กมีหนังสือเข้ามาจัดซื้อปืนคาบศิลา ๑,๐๐๐ บอก  เหล็กท่าซุง หนัก ๑,๐๐๐ หาบ  แล้วจัดเปลญวนเข้ามาถวาย ๓๐ สำรับ  และส่งเรือรบที่เกณฑ์ให้ต่อเข้ามาด้วย ๗๐ ลำ  เรือนั้นโปรดให้เอาไปไว้ที่แหลมบางอ้อ  ล่วงมาถึงวันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓  โปรดพระราชทานเหล็กท่าซุง ๒๐๐ หาบ  ปืนลำกล้องเปล่า ๒๐๐ บอก  ออกไปให้เจ้าอนัมก๊ก

          ในปีเดียวกันนั้น  พระเจ้าจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตวิสุทธิรัตนราชธานีบุรีรมย์ล้านช้างร่มขาวเวียงจันทน์  ให้ข้าหลวงถือศุภอักษรลงมายังกรุงเทพมหานคร  ให้สมุหนายกกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า  เจ้ามหาอุตมวงศ์ฯล้านช้างหลวงพระบาง คิดการเป็นกบฏไปเข้าด้วยพม่า  ใช้คนไปถึงเมืองอังวะ  ฝ่ายพม่าก็ใช้คนมาถึงเมืองหลวงพระบาง  ต่างไปมาถึงกัน  จึงได้แต่งคนไปสืบราชการได้ความเป็นแน่ชัดแล้ว

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบความในหนังสือบอกของเมืองเวียงจันทน์ก็ทรงพระพิโรธ  ดำรัสสั่งสมุหนายกมีศุภอักษรตอบไปว่า  มีพระราชโองการดำรัสให้พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต  ยกกองทัพไปตีเมืองหลวงพระบางให้แตกฉานจงได้  แล้วจับตัวพระเจ้าร่มขาวจำส่งลงมาถวาย ณ กรุงเทพมหานคร

          พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ทราบรับสั่งโปรดขึ้นมาดังนั้น  จึงเกณฑ์กองทัพพลทหารเป็นอันมาก  ทั้งทัพเรือทัพบกยกขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง  ให้ตั้งค่ายล้อมเมือง  ฝ่ายพระเจ้าร่มขาวนั้นเป็นอริกับพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมาแต่ก่อน  เมื่อกองทัพเวียงจันทน์ยกมาล้อมเมืองก็แต่งกองทัพยกออกต่อรบทันที

          ทั้งสองฝ่ายได้ต่อรบกันเป็นสามารถ  เจ้าอุปราชเวียงจันทน์พลาดท่าต้องปืนจากฝ่ายหลวงพระบางถึงแก่พิราลัยในที่รบ  พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตขับพลทหารเข้าป่ายปีนปล้นเอาเมือง  ชาวเมืองหลวงพระบางก็ขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินป้องกันเมือง  ทั้งสองฝ่ายยิงปืนใหญ่น้อยตอบโต้กันอยู่ประมาณ ๑๔–๑๕ วัน  พวกทหารเมืองเวียงจันทน์เอาบันไดพาดกำแพงเมืองปีนเข้าไปปล้นเอาเมืองได้  ไล่ฆ่าฟันชาวเมืองล้มตายเป็นอันมาก

          พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจับตัวพระเจ้าร่มขาวและบุตรภรรยาญาติวงศ์ได้ทั้งหมด  จึงให้จำพระเจ้าร่มขาว  แล้วตั้งแสนเมืองขุนนางผู้ใหญ่เมืองหลวงพระบางซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์นั้น  ให้เป็นพระยาหลวงพระบางอยู่รั้งเมือง  แล้วเลิกทัพกลับกรุงเวียงจันทน์  บอกข้อราชการให้ขุนนางและไพร่คุมตัวพระเจ้าร่มขาวส่งลงมา ณ กรุงเทพมหานคร

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ลงพระราชอาชญาจำพระเจ้าร่มขาวไว้ในคุก  ครั้นภายหลังทรงพระกรุณาโปรดให้พระเจ้าร่มขาวพ้นโทษ  พาสมัครพรรคพวกกลับขึ้นไปครองเมืองหลวงพระบางดังเก่า”

          * * ท่านผู้อ่านครับ  เรื่องของลาว  เขมร  ญวน  ที่เกี่ยวข้องกับไทยในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์   ยังมีอีกหลายช่วงตอน  ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่  ลาว  เขมร  ญวน  ล้วนพึ่งพาอาศัยไทย  มีการรบกันก็รบกันอยู่ในชนชาติเดียวกัน  คือ  ลาวรบลาว  เขมรรบเขมร  ญวนรบญวน  โดยมีไทยเป็นผู้ให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด

          ประเทศชาติที่เป็นคู่ศึกสำคัญของไทยก็คือพม่า  ซึ่งส่วนใหญ่พม่าจะยกทัพมารุกรานแผ่นดินไทย  เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงครองกรุงศรีอยุธยาได้เพียง ๗ เดือน  พระเจ้าหงสาปังเสวกีก็ยกมารุกรานกรุงศรีอยุธยา  จากนั้นก็รบกับไทยมาจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา  ขึ้นกรุงธนบุรี  และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังยกมารุกรานรบราฆ่าฟันกันแทบมิได้ว่างเว้น  วันพรุ่งนี้จะเล่าเรื่องไทยรบกับพม่าต่ออีกครับ.

เต็ม อภินันท์
สถาบันหวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไมย
๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, กร กรวิชญ์, กลอน123, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ฟองเมฆ, เนิน จำราย, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -
« ตอบ #299 เมื่อ: 12, สิงหาคม, 2562, 10:17:07 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - สุวรรณภูมิ : ประวัติศาสตร์ชาติไทย -


- เมืองทวายแปรพักตร์พม่า -

เจ้าเมืองทวายแปรพักตร์จากพม่า
ขอเข้ามาพึ่งพระเจ้ากรุงศรี
ส่งเจ้าหลานสาวแท้เป็นแม่ชี
พร้อมนารีรูปงามมากำนัล


          อภิปราย ขยายความ.................

          เมื่อวันวานนี้ได้นำความจากพระราชพงศาวดารมาแสดงถึงเรื่องเมืองลาว  ญวน  เขมร  ตามความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑  ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  และ  ความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒  ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชำระ  วันนี้มาดูความในพระราชพงศาวดารฉบับเดียวกัน  ซึ่งว่าด้วยพม่าเตรียมทัพใหญ่มาตีกรุงเทพมหานครอีก  จัดทัพอย่างไร  เดินทัพมาทางไหน  อ่านกันครับ

          * “แต่ก่อนจะกล่าวถึงการศึกกับพม่า  ขอย้อนไปดูเรื่องราวในพม่าก่อนที่จะจัดทัพมาตีไทย  โดยในปีกุน จุลศักราช ๑๑๕๓ (พ.ศ.๒๓๓๔) นั้น  พระเจ้าอังวะซึ่งทรงตั้งขุนนางลงมาเป็นเจ้าเมืองกรมการเมืองทวาย  จะให้เปลี่ยนเจ้าเมืองคนเก่าออก  และให้กลับขึ้นไปอังวะ  แต่แมงจันจาเจ้าเมืองทวายกับจิกแคปลัดเมืองนั้น  เมื่อแจ้งว่าพระเจ้าอังวะตั้งเจ้าเมืองกรมการลงมาผลัดใหม่  จึงคิดกันว่าไม่ยอมกลับไปอังวะ  ครั้นทราบว่าเจ้าเมืองคนใหม่เดินทางจากอังวะมาใกล้จะถึงเมืองทวายแล้ว  ก็คิดเป็นกลอุบายออกไปต้อนรับแต่นอกเมือง  จัดสุราอาหารอย่างดีออกไปเลี้ยงดูให้กินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน  แล้วก็ให้ทหารล้อมจับเจ้าเมืองคนใหม่กับพรรคพวกนั้นฆ่าเสียสิ้น  แล้วก็กลับเข้าเมืองคิดการกบฏตั้งแข็งเมืองอยู่

          ฝ่ายกรมการเมืองเมาะตะมะแจ้งว่าแมงจันจาเป็นกบฏจับเจ้าเมืองคนใหม่ฆ่าเสียแล้ว  จึงมีหนังสือบอกไปยังกรุงอังวะ   พระเจ้าอังวะทราบดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ  สั่งให้จับสะดุแมงกองบิดาแมงจันจาจะให้ประหารชีวิตเสีย  สะดุแมงกองจึงกราบทูลขอโอกาสจะมีหนังสือส่งไปบอกให้แมงจันจามาเฝ้า  ถ้าไม่มาจึงจะขอรับพระราชอาชญาตามโทษ  พระเจ้าอังวะจึงให้จำสะดุแมงกองกับภรรยาให้ข้าหลวงคุมตัวลงมาเมืองเมาะตะมะแล้วให้มีหนังสือไปถึงบุตร

          แมงจันจาเจ้าเมืองทวายคิดเกรงกลัวพระเจ้าอังวะจะยกทัพมาตีเมืองทวายจะสู้รบต้านทานมิได้ด้วยไม่มีที่พึ่ง  จึงตัดสินใจขอขึ้นกรุงเทพฯ  เอาพระเดชพระเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงไทยเป็นที่พึ่งพำนัก  ขอกองทัพไทยไปช่วยป้องกันรักษาเมือง ในยามนั้นเจ้าเมืองทวายสืบรู้ว่าพระราชภาคิไนยหญิงพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยามได้ตกมาอยู่เมืองทวายตั้งแต่ครั้งพม่าไปตีกรุงเก่าและได้กวาดต้อนครอบครัวไทยนั้นมา  ดังนั้นจึงไปเชิญพระราชภาคิไนย (หลาน=ลูกของพี่สาวหรือน้องสาว) ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นรูปชีอยู่  ไต่ถามจนได้ความว่าเป็นพระเจ้าหลานเธอแน่แล้ว  จึงจัดส่งคณะทูตเข้ากรุงเพทฯ  ได้นางรูปงามคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องภรรยาเจ้าเมืองทวายส่งเข้ามาถวาย  ให้แต่งศุภอักษรจารึกลงแผ่นทองเป็นอักษรภาษาพุกามตามจารีตพม่า  ใจความอ่อนน้อมขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาเมืองขึ้นพระมหานครศรีอยุธยา  ขอกองทัพออกไปช่วยป้องกันรักษากับถวายนางงามเข้ามาด้วย  พร้อมกันนั้นก็ให้พระเจ้าหลานเธอมีหนังสือเป็นอักษรภาษาไทย ๑ ฉบับ  เข้ามากราบบังคมพระกรุณา  และได้ให้จัดพระสงฆ์ไทย ๑ รูป  ชื่อมหาแทน  เข้าร่วมในคณะทูตเมืองทวาย

          ขุนนางทวายทูตานุทูตถือเครื่องราชบรรณาการ  พานางตะแคงหรือเจ้าน้องภรรยาเจ้าเมืองทวาย  กับมหาแทนให้ถือหนังสือพระเจ้าหลานเธอฉบับหนึ่งมาด้วย  คณะทูตเดินทางมาทางกาญจนบุรี  กรมการเมืองราชบุรีจึงบอกเข้ามายังกรุงเทพมหานคร  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดมีตราแต่งให้ข้าหลวงออกไปรับทูตทวาย  และคณะทูตคือพระสงฆ์ ๑๐ รูป  นำโดยมหาแทน  กับ  เจสูนาระตะมิดกอยอชวา ๑   นาขันตะเรียงสา ๑   อดุนนเรสร้อยตองลักแวนอรมา ๑   และหญิงที่เข้ามาด้วย  ก็ได้เข้ามาถึงกรุงเทพมหานคร ณ วันเสาร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๔  แปลหนังสือพระยาทวายนั้นได้ความว่า

          “แมงจันจาพม่าเจ้าเมืองทวาย  เป็นบุตรสะดุแมงกองกินเมืองส่วยชื่อเมืองมัคราโบ  เป็นแม่ทัพใหญ่เมืองอังวะ  ขอกราบถวายบังคมมายังใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานครศรีอยุธยา  ด้วยแมงจันจาเป็นเชื้อพม่า  บิดามารดาปู่ย่าตาแมงจันจาทำราชการมาแต่ครั้งพระอัยกาของพระเจ้าอังวะมาจนถึงแมงจันจา  จะได้มีความผิดสักครั้งหนึ่งก็หามิได้  พระเจ้าอังวะทุกวันนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  และสังคหวัตถุ ๔ ประการ  ตามพระราชประเพณีสมเด็จพระบรมมหากษัตราธิราชสืบมาแต่ก่อน  กลับความจริงเป็นเท็จ  กลับความเท็จเป็นจริง  ขาดจากเมตตากรุณา  และผู้รั้งเมืองผู้ครองเมืองปลายด่านทำราชการสู้เสียชีวิตก็ไม่ว่าดี

          เมื่อเดือน ๑๑ ปีกุน ตรีศก  ตั้งมองละเจสูลงมากินเมืองเมาะตะมะ  ให้บังคับบัญชาชาวเมืองทวาย  เมืองมะริด  เมืองตะนาว  เจ้าเมืองเมาะตะมะให้มาเรียกเอาเงินแก่เมืองทวาย  เมืองมะริด  เมืองตะนาว  สองเดือนสามเดือนครั้ง ๑ เงินถึง ๒๐๐ ชั่ง ๓๐๐ ชั่ง  อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนนัก  แล้วเจ้าเมืองเมาะตะมะแต่งให้มะรุวอนโปจักกายเดิงคุมพม่า ๓๐๐ คน  ลงมากินเมืองทวายจะให้ถอดข้าพระพุทธเจ้าเสีย  ข้าพระพุทธเจ้าจึงแต่งให้ปลัดเมืองคุมไพร่ ๕๐๐ คน  ออกไปพบมะรุวอนโปจักกายเดิงนอกเมือง  ทางประมาณ ๒๐๐ เส้น  จึงกลุ้มรุมฆ่ามะรุวอนโปจักกายเดิงและไพร่ตายสิ้น  เมืองมะริด  เมืองตะนาว  รู้ว่าเมืองทวายยอมเข้ามาพึ่งพระราชกฤษฎาเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร  เมืองมะริด  เมืองตะนาว  ก็ยอมเข้ามาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาด้วย  จึงจัดได้นางและต้นไม้ทองเงินเข้ามาถวาย  แล้วขอรับอาสาตีเมืองเมาะตะมะ  เมืองร่างกุ้ง  เมืองจิตตอง  เมืองพสิม  ถวายให้ได้ในเดือน ๔ ปีกุน”

          ** ท่านผู้อ่านครับ  เมืองทวายเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในภูมิภาคนี้ ในยุคทวาราวดี  เมืองทวายเป็นเมืองหนึ่งในอาณาจักรทวาราวดี  ในยุคสุโขไท  เมืองก็เป็นเมืองหนึ่งในราชอาณาจักรสุโขไท  เมื่อสิ้นยุคพ่อขุนรามคำแหง  โอรสพระเจ้าฟ้ารั่ว (พระเจ้าหลานพ่อขุนรามฯ)ยึดเมืองนี้ไปขึ้นกับรามัญ(มอญ)  จากนั้นมาก็อยู่ในปกครองมอญ  แล้วเปลี่ยนมือเป็นพม่าบ้าง  กลับมาขึ้นกับไทยบ้าง  ทำนองว่า ถูกมอญ พม่าลากไป  ไทยลากมา  จนกระทั่งอยู่ในปกครองพม่าถึงยุค  แมงจันจา (พม่า)เป็นเจ้าเมืองทวาย  เกิดความไม่พอใจในความไร้ยุติธรรมของพระเจ้าปดุงแห่งพม่า  จึงขอเป็นเมืองขึ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.

<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>

เต็ม อภินันท์
สถาบันกวีนิพนธ์ไทย
ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, กร กรวิชญ์, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, กลอน123, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.044 วินาที กับ 336 คำสั่ง
กำลังโหลด...