Username:

Password:


  • บ้านกลอนน้อยฯ
  • ช่วยเหลือ
  • ค้นหา
  • เข้าสู่ระบบ
  • สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล >> บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา >> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม >> - อานามสยามยุทธ -
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 12   ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: - อานามสยามยุทธ -  (อ่าน 135550 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #105 เมื่อ: 20, กันยายน, 2563, 10:52:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -


<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>                   .

- อานามสยามยุทธ ๑๐๖ -

ญวนยกเรื่องหลังเก่ามาเล่าอีก
จริงเพียงซีกญวนนำย้ำขยาย
ยกความดีไม่กระดากญวนมากมาย
กล่าวโกหกหน้าตายอายไม่เป็น

ท้ายหนังสือว่าสงบไม่รบต่อ
ผ่านมาพอแล้วกรรมรบทำเข็ญ
เหมือนนักบุญดับร้อนให้ผ่อนเย็น
จับประเด็นญวนได้ตรงไหนกัน


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ได้เริ่มเรื่องอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับญวน ซึ่งเป็นความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้เรียบเรียงขึ้น โดยคัดลอกมาจากรายงานการทัพญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไว้ ๕๕ เล่มสมุดไทย   เมื่อวันก่อนหน้านี้ได้ให้อ่านถึงตอนที่  เจ้าพระยาบดินทรเดชามีหนังสือตอบสารญวนตามกระแสพระราชดำริ  ใจความในหนังสือตอบนี้แข็งกร้าว  ท้าทายให้ญวนชักชวนพม่ามาร่วมญวนรบไทย  หลังจากส่งหนังสือตอบดังกล่าวส่งญวนไปแล้ว  ในปีเดียวกันนั้น  แม่ทัพเรือญวนให้คนถือหนังสือเข้ามามอบแก่เจ้าพระยาบดินทรเดชา  พร้อมกับให้ส่งไปมอบเจ้าพระยาพระคลังอีกฉบับหนึ่ง  ความในหนังสือนั้น  เจ้าพระยาบดินทรเดชาให้แปลเป็นภาษาไทยทราบความแล้ว  ให้พระยากำจรใจราชนำเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ต่อไป  ใจความในหนังสือนั้นว่าอย่างไร วันนี้มาอ่านกันนะครับ.....

           “ใน ณ เดือนแปดปีมะเมียศกนั้น  ที่กรุงเทพฯ ได้รับหนังสือญวนที่กองตระเวนเมืองตราดได้ส่งมาแล้วแจ้งความว่า  ญวนเรือตระเวนถือมาส่งยังเกาะหน้าเมืองตราด  ญวนแจ้งความว่า

           “เป็นหนังสือขององตุ่นเฝื่อเจ้าเมืองบันทายมาศ  ส่งมาให้กองตระเวนไทย  ส่งต่อไปยังกรุงเทพฯฉบับ ๑”

          แล้วใน ณ เดือนแปดนั้น  ได้รับหนังสือญวนมาแต่เมืองจันทบุรี  ที่เจ้าพระยาพระคลังได้รับมาจากขุนอุดมศักดากองตระเวนที่เกาะกงส่งมาว่า  เป็นหนังสือขององต๋าเตืองเซิงแม่ทัพเรือฝ่ายญวนฉบับ ๑  และได้รับหนังสือญวนมาแต่เมืองพระตะบองที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาส่งมาว่า  เป็นหนังสือขององต๋าเตืองเซิงแม่ทัพเรือฉบับ ๑  รวมหนังสือญวนส่งเข้ามากรุงเทพฯ สามฉบับ  มีเนื้อความต้องกันว่า

           “หนังสือของแม่ทัพญวนฝ่ายเรือทะเล  ชื่อองต๋าเตืองเซิง  ผู้ถืออาญาสิทธิ์บังคับแม่ทัพเรือแต่ล้วนเป็นใหญ่ใน ๑๖ กอง  ทั้งเรือรบน้ำจืดและน้ำเค็ม  เป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในราชการแม่ทัพเรือทั้งสิ้น  ขอแจ้งความมายังแม่ทัพบกและแม่ทัพเรือไทยได้ทราบ  แล้วให้ส่งเข้าไปยังท่านเสนาบดีกรุงพระมหานครศรีอยุธยาบางกอกได้ทราบด้วย”  จะได้นำขึ้นถวายพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาได้ทรงทราบอัธยาศัยน้ำใจแม่ทัพญวน  ญวนคิดว่า  “แต่เดิมกรุงศรีอยุธยากับกรุงเวียดนามได้เป็นทางพระราชไมตรีกันอันสนิทมาช้านานถึงสองแผ่นดินแล้ว  ในแผ่นดินที่ ๓ นี้เล่า  พระเจ้าเวียดนามก็ยังทรงรักใคร่นับถือเสมอต้นเสมอปลายอยู่  จึงได้แต่งทูตญวนให้ไปเยี่ยมเยือนพระศพและถวายเครื่องบรรณาการคำนับกับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ฝ่ายไทยพระองค์นี้ด้วย  ถ้อยทีก็มีพระราชสาส์นไปมาถึงกันและกันมาช้านาน

          เมื่อครั้งเจ้าอนุลาวเวียงจันทน์เป็นผู้ก่อเหตุขุ่นเคืองขึ้นกับไทย  เพราะเจ้าอนุลงมาเฝ้าที่กรุงเทพฯ ครั้งนั้น  ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายไทยหลายคนพูดจาทำกิริยาดูหมิ่นดูถูกเจ้าอนุมาก ๆ  และเจ้าผู้ชายซึ่งเป็นเจ้าน้องเล็ก ๆ ต่างมารดากับพระเจ้าแผ่นดินไทยนั้นเป็นหลายองค์  ชวนกันข่มเหงข่มขี่เจ้าอนุต่าง ๆ เพราะเห็นว่าเป็นลาว  ฝ่ายเจ้าอนุก็ถือตัวว่าเป็นเชื้อสายสืบกษัตริย์มาหลายชั่ววงศ์แล้ว  มาถูกเจ้าเล็ก ๆ เด็ก ๆ ข่มเหง  และถูกขุนนางไทยดูหมิ่นจึงเสียใจ  กลับขึ้นไปเวียงจันทน์จึงจัดการกองทัพยกลงมาทำศึกแก้แค้นตอบแทนไทยบ้าง  แต่เจ้าอนุเสียทีแก่ไทย  เพราะถูกหลอกถูกลวงขุนนางลาวของตนเองเป็นไส้ศึก  จึงได้หนีไปอาศัยพึ่งญวน

          ครั้งนั้นผู้ครองฝ่ายญวนใช้ให้ขุนนางญวนถือหนังสือไปว่ากล่าวโดยดี  เพื่อจะประนีประนอมขอต่อทัพไทย  ให้เจ้าอนุคงคืนเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์อย่างเดิม  กับได้มีพระราชสาส์นให้ทูตญวนไปทางทะเลจนถึงเมืองไทย  เพื่อจะได้ขอโทษเจ้าอนุเวียงจันทน์ต่อไป  แต่ขุนนางญวนผู้ถือหนังสือไปทางบกนั้น ครั้นถึงกองด่านไทย  ไทยก็เก็บหนังสือญวนไว้  แล้วจับญวนฆ่าเสีย ๔๘ คน  ขุนนางนายด่านไทยฆ่าญวนผู้ถือหนังสือดังนี้  ผิดด้วยเยี่ยงอย่างประเพณีขนบธรรมเนียมเมืองเป็นไมตรีกัน  ถึงเช่นนั้นผู้ครองฝายญวนยังอดกลั้นความโกรธไว้ได้  เพราะคิดถึงบุญคุณเก่า ๆ ของไทยมาก  ที่ไทยได้ทำนุบำรุงพระเจ้ายาลวงบรมกษัตริย์ (คือ องเชียงสือ)  ต้นราชวงศ์ในแผ่นดินญวนนี้

          เพราะฉะนั้นเมื่อราชทูตไทยมาถึงกรุงเว้  ผู้ครองฝ่ายญวนมิได้ซักไซ้ไต่ถาม  เพราะเกรงว่าทางไมตรีจะมัวหมองไป  และเมื่อทำการพระบรมศพพระมหาอุปราชนั้น (คือพระเมรุกรมพระราชวังที่ ๓)  ผู้ครองฝ่ายญวนได้แต่งทูตานุทูตให้นำบรรณาการเข้าไปช่วยในการพระศพพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าด้วย  แต่ครั้งนั้นผู้ครองฝ่ายไทยได้แสดงเหตุกิริยาอาการทำลายล้างทางไมตรีแก่ญวนก่อน  คือขุนนางไทยขับไล่ทูตญวนเสียจากเมืองบางกอก  แล้วคืนเครื่องราชบรรณาการของญวนมาเสียสิ้น  ไทยทำอย่างนี้ก็เห็นได้ว่าขาดจากทางพระราชไมตรีกันแล้ว  และเหตุที่จะก่อการศึกสงครามกันต่อไป  ฝ่ายญวนรู้เข้าใจดังนั้นแล้ว  แต่ไม่ได้คิดจัดการตระเตรียมกองทัพไว้รบสู้กับไทย  เพราะเข้าใจว่าไม่อยากจะฆ่าฟันผู้มีบุญคุณเลย  ถ้าญวนไม่คิดดังนี้แล้วที่ไหนเล่าญวนคงจะคิดต่อสู้กับไทยให้แข็งแรงตามทำนองศึก  ที่ไหนไทยจะอาจล่วงมาเหยียบในเขตแดนญวนได้

          อนึ่งเมื่อครั้งปีมะเส็งเบญจศกที่ล่วงมาแล้วปีหนึ่งนั้น  ผู้ครองฝ่ายไทยเชื่อถ้อยฟังคำพวกลาวขบถ  ยุยงให้ไทยทิ้งความดีมาหาความร้าย  หาเหตุผลมิได้เลย  และหามีความวิวาทบาดหมางสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับญวนไม่  ไทยยกมาทั้งทางบกและทางเรือ  มาทำศึกกับญวนก่อน  ฝ่ายญวนก็ยังคิดถึงบุญคุณของพระอัยกาธิราชแห่งไทย  ซึ่งมีแก่ญวนโดยมาก  เพราะฉะนั้น  ญวนจึงไม่คิดต่อต้านล้างผลาญกองทัพไทยให้เสียยับเยินมาก  ญวนจึงทิ้งเมืองบันทายมาศ, เมืองโจดก, เมืองใหม่ที่อำนาวเสียทั้งสามเมือง  ญวนล่าทัพหนีไปเป็นการคำนับทัพไทยสามครั้ง  ต่อครั้งหลังญวนจึงยกกองทัพออกสู้รบกับไทยตามกฎหมายอัยการศึก  แต่ญวนกับไทยได้รบกันที่ตำบลเจียนทราย (เกาะแตง) นั้น  ยังไม่แพ้ชนะแก่กันทั้งสองฝ่าย  แต่แม่ทัพไทยผู้ขลาดก็ด่วนชิงล่าทัพถอยหนีเสียก่อน  ฝ่ายญวนถ้ายังมีอาฆาตพยาบาทแก่ไทยอยู่แล้ว  ขณะนั้นกองทัพญวนมีไพร่พลทหารอยู่ถึงแสนหนึ่ง  มีเรือรบใหญ่น้อยอยู่ถึงพันลำ  ฝ่ายญวนก็เป็นที่มีช่องจะได้ชัยชนะแก่ไทยเป็นแน่  ถ้าญวนจะไล่ต้อนกองทัพบกเรือให้ตีกระหนาบกระหน่ำทั้งทางเหนือและทางใต้  ฝ่ายน้ำและบนบกนั้นก็จะมีชัยชนะแก่ไทย  ได้คนและเรือช้างม้าโคกระบือและสรรพาวุธมาเป็นเชลยโดยมาก  การเป็นทวงทีอยู่อย่างนี้แล้ว  ญวนยังไม่ได้ตามตีไทย  เพราะว่าแม่ทัพญวนถือรับสั่งพระเจ้าเวียดนามสั่งว่า  ไม่ให้กองทัพญวนไล่ติดตามตีกองทัพไทยเมื่อล่าหนีไปนั้นเป็นอันขาด  ให้เป็นแต่ตั้งรับทัพไทยไว้  อย่าให้ไทยไล่รุกมาตีบ้านเมืองได้  เมื่อไทยไม่สู้หนีไปก็อย่าให้ญวนไล่ตามฆ่าเลย  มีรับสั่งดังนี้เพราะญวนเสียดายทางไมตรีแก่ไทย  ญวนจึงไม่โกรธถือโทษไทย  ถึงมาทว่าไทยจะไม่รู้จักบุญคุณญวนที่ไม่ตามตีไทยในครั้งเกาะแตงนั้น  ไทยจะไม่แต่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นออกมาถวายพระเจ้าเวียดนามเหมือนแต่ก่อน  ผู้ครองฝ่ายญวนก็จะไม่ว่ากล่าวถือโทษแก่ไทย  และผู้ครองฝ่ายญวนจะไม่ยกกองทัพบกและทัพเรือเข้าไปตีกรุงพระมหานครศรีอยุธยาเป็นการตอบแทนแก้แค้นอีกเลย  ตั้งแต่นี้สืบไปเมื่อหน้าขออย่าให้ไทยก่อการวิวาทมีเหตุทำศึกสงครามแก่ญวนต่อไปเลย  นานาประเทศซึ่งเป็นเมืองข้าศึกจะดูถูกดูหมิ่นต่าง ๆ ได้  การที่ไทยทำผิดเยี่ยงอย่างทางพระราชไมตรีมาแต่กาลก่อน ๆ  ญวนไม่ถือโทษ  จะยกโทษให้แก่ไทย  ซึ่งเขตแดนของใคร ๆ ก็รักษาให้เรียบร้อยราบคาบเป็นปรกติไว้เถิด  ไพร่บ้านพลเมืองอาณาประชาราษฎรจะอยู่เย็นเป็นสุข  ทำมาหากินไปมาค้าขายได้สบายด้วยกันทั้งสองฝ่าย  หนังสือฉบับนี้ส่งมาแต่ค่ายเจียนทราย  ศักราชมินมางปีที่ ๑๑ ในรัชกาลกรุงเว้”

          เจ้าพนักงานแปลหนังสือญวนตรวจตราดูเนื้อความถูกต้องกันทั้งสามฉบับแล้ว  จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย......”

          ความในหนังสือญวนทั้งสามฉบับ  แปลแล้วได้ความตรงกัน  นำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่  อวดอ้างความดีของญวน  กล่าวตำหนิติเตียนไทยเช่นเคย  เกี่ยวกับเรื่องเจ้าอนุเวียงจันทน์เขาพูดอย่างกะตาเห็นทีเดียว  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ก้าง ปลาทู, กร กรวิชญ์, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, Paper Flower, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี, Thammada, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..

บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #106 เมื่อ: 27, กันยายน, 2563, 10:03:32 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๐๗ -

หนังสือญวนป่วนไทยหลายฉบับ
ไทยตั้งรับต่อไปอย่างไรนั่น
จึงตอบโต้ว่าเรารู้เท่าทัน
ญวนปลุกปั่นสงครามจิตวิทยา

สั่งให้เลิกส่งสารรังควานซะ
ไม่เชื่อจะประจานไปให้ขายหน้า
แจ้งทั่วถิ่นจีนแขกชาตินานา
ได้รู้ว่าญวนชั่วตัวกวนเมือง


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ได้เริ่มเรื่องอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับญวน ซึ่งเป็นความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้เรียบเรียงขึ้น โดยคัดลอกมาจากรายงานการทัพญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไว้ ๕๕ เล่มสมุดไทย   เมื่อวันก่อนหน้านี้ได้ให้อ่านถึงตอนที่  ความในหนังสือญวนทั้งสามฉบับแปลแล้วได้ความตรงกัน  ญวนนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่  อวดอ้างความดีของญวน  กล่าวตำหนิติเตียนไทยเช่นเคย  เริ่มตั้งแต่เรื่องเจ้าอนุเวียงจันทน์ที่หนีไปพึ่งญวน  แล้วญวนมีหนังสือมาขอโทษไทยแทนเจ้าอนุเวียงจันทน์  ไทยฆ่าญวนผู้ถือเสียสิ้น  คำกล่าวให้ร้ายไทยและยกย่องความดีญวน  เป็นดังที่นำมาเผยแผ่เมื่อวันวานนี้แล้ว  วันนี้มาอ่านเรื่องต่อครับ

           “ครั้งนั้น ฝ่ายเมืองลาวทางตะวันออก  ซึ่งเป็นปลายเขตแดนของกรุงเทพฯ นั้น  มีหนังสือบอกลงมายังกรุงเทพมหานคร  เจ้าพนักงานได้นำหนังสือญวนที่หัวเมืองลาวส่งลงมากับต้นหนังสือญวนและใบบอกเมืองลาวด้วย  ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย  ใจความในหนังสือใบบอกนั้นว่า  

          หนังสือองทงเจอัครมหาเสนาบดีญวนกรุงเว้  ส่งมาถึงเมืองหลวงพระบางฉบับหนึ่ง  หนังสือตุ่นภู่เลยเจ้าเมืองหันตะวาส่งมาถึงเมืองมหาชัยกองแก้วฉบับหนึ่ง  หนังสือจงต๊กเจ้าเมืองแง่อานส่งมาถึงเมืองยโสธรฉบับหนึ่ง  หนังสือโงฮุยเจ้าเมืองมหาตีส่งมาถึงเมืองอุบลราชธานีฉบับหนึ่ง  หนังสือองเล่หับนายด่านทางบกฝ่ายเหนือองญวนส่งมาถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ฉบับหนึ่ง  รวมหนังสือญวนที่ส่งมาทางเมืองลาวนั้นเป็นห้าฉบับด้วยกัน  เป็นอักษรญวนบ้าง  อักษรลาวบ้าง  ระคนปนกันทั้งห้าฉบับ  กับหนังสือของญวนนายด่านต่าง ๆ ทางบก  นำมาแขวนไว้ที่ปลายเขตแดนเมืองนครนมฉบับหนึ่ง  เมืองเขมราฐฉบับหนึ่ง  เมืองมุกดาหารฉบับหนึ่ง  เมืองหนองละหารฉบับหนึ่ง  รวมหนังสือญวนที่นำมาแขวนไว้ตามหัวเมืองลาวนั้นสี่ฉบับ  เป็นอักษรลาว  เจ้าเมืองลาวทั้งสี่หัวเมืองเก็บหนังสือญวนทั้งสี่ฉบับมาส่งให้พระเจ้านครหลวงพระบาง  พระเจ้านะครหลวงพระบางจึงส่งต้นหนังสือญวนที่ใช้ให้คนนำมาถึงเมืองลาวห้าฉบับ  กับหนังสือญวนนำมาแขวนทิ้งไว้ตามหัวเมืองลาวอีกสี่ฉบับ  รวมหนังสือญวนเก้าฉบับด้วยกัน  มอบให้ท้าวพรหมมนตรีถือลงมายังกรุงเทพฯ  เจ้าพนักงานนำหนังสือบอกเจ้านครหลวงพระบาง  ทั้งต้นหนังสือญวนเก้าฉบับ  ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา  ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ล่ามญวนและล่ามลาวแปลหนังสือญวนเก้าฉบับนั้นออกเป็นภาษาไทย  ใจความคล้ายกันทั้งเก้าฉบับ  คือ  

          ญวนเจ้าบ้านผ่านเมืองและนายด่านหรือขุนนางนายทัพนายกองก็ยกย่องสรรเสริญเกียรติยศเจ้านายฝ่ายญวนต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณนา  แล้วญวนกล่าวความติเตียนเจ้านายฝ่ายไทยเป็นอันมากเหลือที่จะพรรณนาให้ละเอียด  แต่จะกล่าวไว้บ้างเล็กน้อยคือญวนว่า  ไทยไม่ตั้งอยู่ในทางยุติธรรม  ไม่มีเหตุสิ่งไรในข้อวิวาทเลย  ไทยก่อเหตุยกกองทัพไปทำศึกกับญวนก่อน  แล้วไทยยกกองทัพไปตีต้อนพาครัวพลเมืองญวนมาก็มาก  และไทยไปเบียดเบียนยึดหัวเมืองปลายเขตแดนของญวนไปหลายตำบลหลายบ้านหลายเมือง  ญวนก็ไม่ว่า  เพราะเห็นแก่บุญคุณไทยอยู่แล้ว  ในหนังสือญวนกล่าวความยุยงลาวว่า  พวกลาวหัวเมืองเหล่านี้โง่งมซมเซอะ  ยอมตัวให้ไทยใช้สอยเหมือนกับวัวควาย  พวกลาวหลงเชื่อลิ้นลมไทย  ยอมให้ไทยมาเก็บส่วยสาอากรในบ้านเมืองลาว  ลาวหาควรให้เก็บส่วยไม่  เพราะเมืองลาวเป็นแต่เมืองพึ่งบุญ  ไม่ใช่เมืองเชลยของไทย  พวกลาวโง่ยอมเสียส่วยให้แก่ไทยทำไม  หาควรไม่  ถ้าเมืองลาวทั้งปวงเหลานี้มีใจยินดีชักชวนให้พร้อมใจกันทุกเมือง  แล้วกลับใจมาขึ้นกับญวน  ญวนก็จะไม่เก็บส่วยแก่ลาวเลย  แล้วญวนก็จะไม่กะเกณฑ์ผู้คนลาวไปใช้สอยที่เมืองญวน  ญวนจะขอให้ลาวจัดดอกไม้ธูปเทียนกับของป่าเล็กน้อยเป็นบรรณาการ  ไปถวายพระเจ้าเวียดนามสามปีครั้งหนึ่งเท่านั้น  ซึ่งลาวจะมาเป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเวียดนาม  กรุงเวียดนามจะไม่เบียดเบียนพวกลาวเหมือนพระเจ้าแผ่นดินไทย  ขออย่าให้พวกลาวมีความสงสัยอย่างอื่น ๆ เลย  ให้ลาวพวกนี้เที่ยวสืบถามตามหัวเมืองลาวสิบสองปันนาที่ขึ้นแก่ญวนดูเถิด

          เจ้าพนักงานนำข้อความตามหนังสือของญวนเก้าฉบับที่ส่งมาและแขวนไว้นั้นขึ้นทูลเกล้าฯถวาย  ได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเสนาบดี และขุนนางผู้ใหญ่ประชุมพร้อมกัน  คิดหนังสือตอบญวนบ้าง  ทั้งทางบกและทางเรือเหนือใต้ทุกทาง  เป็นใจความว่า

           “หนังสือท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่  ซึ่งรักษาพระนครกรุงพระมหานครศรีอยุธยา  แจ้งความมาถึงขุนนางญวนทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ให้ทราบ  ด้วยเราได้รับหนังสือของญวนแม่ทัพและเจ้าเมืองหรือนายด่าน  ที่ส่งมาแต่ทางเมืองเขมรและทางทะเลหรือทางเหนือกับทั้งฝ่ายเมืองลาวก็หลายฉบับ  ได้พิเคราะห์ตรวจดูข้อความตามหนังสือทุกฉบับแล้ว  ครั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าแผ่นดินไทยก็ไม่ได้  เพราะเนื้อความในหนังสือของญวนทุกฉบับนั้น  เหลวไหลไม่มีประมาณถ้อยคำเป็นหลักฐานทางราชการบ้านเมืองเลย  เห็นว่าไม่ควรจะนำขึ้นถวายให้ขุ่นเคืองใต้เบื้องฝ่าละอองธุลีพระบาทพระเจ้าแผ่นดินไทย  ครั้นอ่านหนังสือของญวนแล้ว  ไทยจะไม่ตอบให้ญวนรู้บ้าง  ญวนก็จะเข้าใจว่าไทยกลัวอำนาจญวนที่พูดจาหลอกลวงมานั้น  หรือบางทีญวนจะคิดสงสัยว่าหนังสือของญวนทุกฉบับหาถึงไทยไม่  ญวนก็จะเขียนหนังสือส่งมาอีกหรือนำมาแขวนทิ้งอีก  ไทยขี้เกียจอ่านหนังสือของญวนรำคาญหูนัก  เพราะฉะนั้นไทยจึงได้มีหนังสือตอบชี้แจงมาให้ญวนรู้ว่า  ซึ่งญวนมีหนังสือมาติเตียนไทยว่า  ไทยทิ้งความดีหาที่ร้าย  และไม่มีเหตุผลทางวิวาทซึ่งจะโกรธกัน  ญวนว่าไม่ได้คิดทำลายล้างทางไมตรีแก่ไทย  ไทยก่อการวิวาทกับญวนก่อน  แล้วไทยยกกองทัพบกและเรือไปทำศึกกับญวนให้เสื่อมเสียทางไมตรีกัน  ซึ่งญวนว่ามานั้นไทยก็ไม่เห็นจริงด้วย  ถึงแม้ว่านานาประเทศที่เข้าไปค้าขายอยู่ในกรุงพระมหานครศรีอยุธยาก็มีมากต่าง ๆ ชาติกัน  พวกเหล่านั้นเขาก็ยอมรู้และเห็นว่า  ญวนยกตัวสูงเกินกับอำนาจบ้านเมืองของญวนไป  แล้วญวนก็เก็บรวมแต่ความดีของญวนมาพูดว่าเล่นตามชอบใจญวนฝ่ายเดียว  ญวนจงคิดดูบ้างเป็นไร  ข้อที่ญวนก่อเหตุร้าวฉานให้เสื่อมเสียทางไมตรีกับไทยก่อนนั้น  ญวนก็นิ่งเสียไม่พูดบ้าง  ถึงญวนไม่พูดนั้น  นานาประเทศเขาก็ย่อมรู้อยู่ว่า  ญวนมีหนังสือเข้ามาหมิ่นประมาทล่วงเกินบังคับบัญชาต่อไทย  ด้วยการพูดจาต่าง ๆ  ญวนทำท่วงทีเหมือนกรุงพระมหานครศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นเมืองอกกับญวน  เนื้อความข้อนี้ญวนไม่รู้สึกนึกคิดได้บ้างหรือ  จึงไม่หยิบยกขึ้นมาพูดบ้าง  ถ้าไม่มีเหตุผลแต่หลังดังนั้นแล้ว  ไทยหรือจะคิดทำลายล้างทางไมตรีกับญวนก่อน  ไม่มีเลย  กรุงพระมหานครศรีอยุธยากับกรุงเว้เวียดนามถ้อยทีถ้อยรักษาทางพระราชไมตรีกันและกันมาช้านาน  แต่ครั้งนี้ไทยทำให้ทางพระราชไมตรีร้าวฉานไปดังนั้น  ก็เพราะ ญวนก่อเหตุการณ์ก่อน  ไทยจึงต้องเดินตามเหตุที่ญวนก่อนั้นเอง  หาใช่อื่นไม่  เหตุที่ทางพระราชไมตรีเสียไปด้วยเหตุอะไรนั้น  เนื้อความก็ย่อมรู้อยู่กับใจญวนสิ้นทุกประการแล้ว  ให้เสนาบดีญวนตรึกตรองดูเถิด  ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่าให้ญวนมีหนังสือมาพูดจาว่ากับไทยดังเช่นนี้ต่อไป  ถ้าญวนขืนมีหนังสือส่งทิ้งแขวนมาตามหัวเมืองลาว  หรือเมืองฝ่ายเหนือใต้ในเขตแดนไทยเช่นนี้ต่อไปอีก  แล้วไทยเก็บหนังสือของญวนได้  จะไม่อ่านไม่ดู  แล้วจะเผาไฟเสียทุกฉบับ  หรือบางทีไม่เผาไฟบ้าง  แต่จะเก็บต้นหนังสือของญวนส่งไปประกาศความชั่วของญวนให้ปรากฏขึ้นในกรุงปักกิ่งแผนดินจีนให้เห็นเป็นพยานด้วย”

          ครั้นแต่งหนังสือนี้เสร็จแล้ว  จึงเขียนเป็นอักษรจีนภาษาญวน  เนื้อความถูกต้องกันทั้งเก้าฉบับ  ประทับตราเสนาบดีแล้วส่งขึ้นไปให้หัวเมืองลาวทั้งเก้าเมือง  ให้นำหนังสือนี้ไปส่งให้แก่ญวนและลาวที่เป็นหัวเมืองขึ้นแก่ญวนทั้งเก้าเมือง  แล้วเขียนอีกสามฉบับแต่เนื้อความต้องกันกับหนังสือเก้าฉบับนั้น  แล้ว ส่งออกไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองพระตะบองฉบับหนึ่ง  ให้แต่งเขมรไปส่งให้กับญวนที่เมืองพนมเปญ  อีกฉบับหนึ่งส่งไปให้เจ้าพระยาพระคลังที่เมืองจันทบุรี  ให้แต่งกรมการเมืองตราดนำหนังสือนั้นไปให้ญวนที่เมืองบันทายมาศฉบับหนึ่ง  อีกฉบับหนึ่งส่งไปให้จมื่นมหาดเล็กในพระราชวังบวรฯ ซึ่งเป็นนายกองเรือตระเวนทะเลตั้งอยู่ที่เกาะกงแขวงเมืองตราด  ให้แต่งเรือใบนำหนังสือนี้ไปแขวนไว้ที่เกาะคูหลุนหน้าเมืองกำปอด  ซึ่งเป็นถิ่นที่เจ้าภาษีรังนกของญวนมาตั้งทำอยู่ที่เกาะนั้น......”

          ** เจ้าเล่ห์เจ้ากลแล้วเห็นจะไม่มีใครเกินญวนกระมัง  แม่ทัพเรือมีหนังสือมาทำนองว่าขอสงบศึก  แต่กลับไปเขียนหนังสือติดประกาศชักชวน เกลี้ยกล่อมลาวให้ตีจากไทยไปอยู่ในปกครองญวน  ช่างร้ายกาจจริง ๆ  เสนาบดีไทยเพิ่งจะมีหนังสือตอบโต้แรง ๆ คราวนี้เอง  หลังจากส่งหนังสือฉบับนี้ไปให้ญวนแล้ว  ญวนจะสงบเสงี่ยมหรือไม่อย่างไร  ค่อยมาอ่านกันต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต



รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, Paper Flower, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, ชลนา ทิชากร, Thammada, หนูหนุงหนิง, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #107 เมื่อ: 04, ตุลาคม, 2563, 11:03:03 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๐๘ -

ทัพสุดท้ายไทยยกไม่เร่งด่วน
รบไล่ญวนทั้งหมดหมายปลดเปลื้อง
ลาวที่ญวนยึดไปไทยแค้นเคือง
ถือเป็นเรื่องญวนทอดแหรังแกไทย

เจ้าเมืองพวนหวนมาสวามิภักดิ์
ด้วยญวนหักหลังช้ำจดจำได้
ที่เจ้าเมืองพวนเก่าจับเอาไป
ฆ่าโดยไม่ทวนถามหาความจริง


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ได้เริ่มเรื่องอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับญวน ซึ่งเป็นความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้เรียบเรียงขึ้น โดยคัดลอกมาจากรายงานการทัพญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไว้ ๕๕ เล่มสมุด  เมื่อวันก่อนหน้านี้ได้ให้อ่านถึงตอนที่  เสนาบดีฝ่ายไทยประชุมโต้ตอบหนังสือญวนทั้งเก้าฉบับ  แล้วสรุปว่าขออย่าให้ญวนเขียนหนังใส่ร้ายไทย  โกหกลวงโลกกระทำการดังเช่นที่แล้วมาอีก  ไทยจะไม่สนใจอ่านหนังสืออันไร้สาระของญวนอีกแล้ว  ขืนเขียนมาอีกก็จะเผาไฟทิ้งเสียบ้าง  หรือส่งต้นฉบับญวนไปประจานไว้ที่กลางกรุงปักกิ่ง  ให้ชนชาวจีนและนานาประเทศได้รู้เห็นความเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายของญวนบ้าง  เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงคัดลอกข้อความตรงกันทั้งเก้าฉบับส่งไปตามหัวเมืองลาวที่ญวนนำหนังสือใส่ร้ายไทยมาส่งนั้น  พร้อมกับอีกสามฉบับ ให้เจ้าพระบดินทรเดชา  เจ้าพระยาพระคลัง  และจมื่นมหาดเล็กนายกองเรือตระเวนที่เกาะกง  ส่งต่อไปให้ญวนด้วย  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ......

           “ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาซึ่งตั้งพักพลอยู่ที่เมืองพระตะบองนั้น  สั่งให้พระยาวิเศษเจ้าเมืองฉะเชิงเทราคุมไพร่พลร้อยหนึ่ง  พาช้างพลายสีประหลาดซึ่งเป็นช้างของนักองจันทร์เขมรนั้นนำมาส่งยังกรุงเทพฯ  ช้างถึงกรุง ณ วันศุกร์เดือนห้าแรมสิบเอ็ดค่ำ ปีมะเมียฉศก  เจ้าพนักงานนำข้อความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้วโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานปลูกโรงรับช้างมาสมโภชที่ท้องสนามไชย  หน้าพระที่นั่งสุทไธสวริยปราสาท  ตั้งพระราชพิธีสงฆ์และพราหมณ์สามวัน  แล้วโปรดให้มีการมรหสพสมโภชอีกสามวัน  ครั้งนั้นมีละครอิเหนาโรงใหญ่ผู้ชายของพระน้องยาเธอกรมขุนพิพิธภูเบศร์  เล่นประชันกันกับงิ้วโรงใหญ่เจ๊สัวหงหน้าพลับพลาสูง  สนุกเหลือที่จะพรรณนา  โปรดเกล้าให้ช้างพลายสีประหลาดขึ้นระวาง  พระราชทานนามกรว่า  “พระยามงคลหัศดินทร์  คชินทรศรีก้านสัตบุศย์  กำพุชพ่ายแพ้อภินิหาร  สู่สมภารสมโพธิอะโยทธิยา  พาหนะนาถ ถาวรวิลาศเลิศฟ้า”  เสร็จการสมโภชแล้วโปรดเกล้าให้ไปยืนในโรงพระบรมมหาราชวัง

          ฝ่ายพระมหาเทพ (ป้อม) กับพระราชวรินทร์ (ขำ)  ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่ทัพฝ่ายทางเมืองลาวตะวันออก  ยกขึ้นไปพร้อมกับเจ้าพระยาบดินทรเดชาแต่ก่อนนั้น  พระมหาเทพยกทัพขึ้นไปตั้งอยู่ที่เมืองนครพนม  พระราชวรินทร์ยกทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองหนองคาย  พระมหาเทพมีใบบอกลงมายังกรุงเทพฯว่า

           “จะยกไปตีเมืองล่าน้ำ  ซึ่งญวนเรียกว่าแง่อาน  ได้ยกกองทัพใหญ่ไปถึงด่านกีเหิบ  เป็นทางช่องแคบ  แล้วมีน้ำเหนือหลากมาเดินทางช่องแคบลำบากมาก  จึงเดินกองทัพลงไปตีเมืองล่าน้ำไม่ได้  แล้วก็ยกทัพไปตีได้สี่เมือง  คือเมืองมหาไชยกองแก้ว ๑   เมืองพวง ๑   เมืองพลาน ๑   เมืองชุมพร ๑   สี่เมืองนี้ตีได้แต่ ณ เดือนสามข้างขึ้น  ในปีมะเส็งเบญจศกนั้นแล้ว  ได้กวาดต้อนครอบครัวลาว ๖,๐๐๐ คนซึ่งเป็นคนอยู่เขตแดนญวนนั้นข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมา  แล้วตีกวาดพาคนตามเมืองเล็กน้อย  ในแดนลาวขึ้นแก่ญวนมาได้อีก ๒,๐๐๐   รวม ๘,๐๐๐ คน  ส่งไปไว้เมืองนครราชสีมาแต่เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำในปีมะเส็งเบญจศก  แล้วจะตีเขตแดนญวนต่อไปอีก”

          ฝ่ายพระราชวรินทร์มีใบบอกลงมาว่า   “พระราชวรินทร์กับพระประทุมเทวาเจ้าเมืองหนองคาย  และพระพิทักษ์เขตขันธ์  คุมไพร่พลยกขึ้นไปบ้านโพธิงาม  ได้แต่งให้ลาวท้าวเพี้ยไปสืบราชการที่เมืองพวนได้ความว่า  แม่ทัพญวนคุมไพร่พลญวน ๕๐๐ คนเศษ  มาตั้งพิทักษ์รักษาเมืองพวนอยู่แล้ว  แม่ทัพญวนกับลาวชื่อเพี้ยเมืองแสนเป็นลาวขึ้นกับญวน  คุมไพร่พลญวน ๒๐๐ เศษ  ลาว ๓๐๐ คน  เป็น ๕๐๐ คน  มารักษาเมืองเชียงคา  ญวนตั้งค่ายด้วยหลายค่าย  ฝ่ายพระราชวรินทร์ได้มีหนังสือใช้ให้เพี้ยมณีไชยถือไปเกลี้ยกล่อมท้าวเพี้ยเมืองเชียงขวาง  ท้าวเพี้ยเมืองเชียงขวางใช้ให้พันศิริไชยบุตรท้าวเมืองเชียงขวางมาบอกว่า  นายทัพญวนคุมไพร่พลมารักษาเมืองเชียงขวางอยู่ ๕๐๐ คน  ญวน ๑๐๐ คนคุมอุปฮาดเมืองเชียงขวาง ย้ายไปอยู่เมืองซุ้ยแล้วแต่เดือนยี่แรมสิบห้าค่ำ  และเจ้าเมืองเชียงขวางลอบบอกมาอ่อนน้อมกับพระราชวรินทร์  ขอยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพไทย  แล้วจัดกองทัพลาวไว้พร้อม ๑,๐๐๐ คน  เข้าสมทบกับทัพพระราชวรินทร์  ยกมาช่วยกับไทยระดมตีทัพญวน  ฆ่าญวนเสียครั้งนั้นตาย ๓๐๐ เศษ  ที่จับเป็นมาได้ ๔๑ คน  ที่แตกหนีไปได้บ้างเล็กน้อย  แล้วพระราช
วรินทร์จัดกองทัพใหญ่จะยกไปตีเมืองลาวที่ขึ้นกับญวนต่อไป  ได้ยกมาจากเชียงขวางแล้วหลายวัน

          ฝ่ายเจ้าพระยาธรรมาธิบดี (สมบุญ) เสนาบดีกรมวัง  ซึ่งเป็นแม่ทัพยกขึ้นไปทางเมืองหลวงพระบาง  ภายหลังกองทัพพระมหาเทพ  เจ้าพระยาธรรมาธิบดีมีใบบอกลงมากรุงทพฯ ฉบับ ๑  ใจความว่า  ได้ยกกองทัพขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบาง  พักคอยกองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนืออยู่ช้านาน  แต่เดือนสามข้างแรมเดือนสี่ข้างขึ้น  กองทัพไทยเมืองพิไชย  เมืองสวรรคโลก  เมืองพิจิตร  เมืองพิษณุโลก  เมืองสุโขทัย  เมืองแพร่  เมืองน่าน  ยกขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบาง  เจ้านครหลวงพระบางจัดให้เจ้าอุปราช  เจ้าราชบุตร  แสนท้าวพระยาลาวท้าวเพี้ย  นายทัพนายกองลาวมีชื่อ  คุมกองทัพลาวเมืองหลวงพระบาง ๓,๐๐๐ เข้ามาบรรจบสมทบกองทัพไทย  รวมไพร่พลครั้งนั้น ๑๒,๔๕๐ คน  แต่ไพร่ ขุน หมื่น พัน ทนายต่างหาก

          ครั้ง ณ เดือนสี่แรมแปดค่ำปีมะเส็งเบญจศก  เจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่  ได้ยกกองทัพไทยลาวเดินทัพออกจากเมืองนครหลวงพระบาง  ขึ้นไปหลายคืนถึงเมืองแถง  

          ครั้น ณ เดือนห้าขึ้นค่ำปีมะเมียฉศก  พระยาสวรรคโลก แม่ทัพกองหนึ่ง  จมื่นมหาสนิทหัวหมื่นมหาดเล็กในพระราชวังบวรฯ ๑  หลวงนายใจภักดิ์นายเวรมหาดเล็กในพระราชวังบวรฯ ๑  สองคนนี้เป็นข้าหลวงกำกับทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ  พร้อมด้วยทัพพระยาพิไชย ๑  พระปลัดเมืองพิจิตร ๑  หลวงมหาดไทยเมืองพระพิษณุโลก ๑  หลวงสุภาวดีเมืองพระพิษณุโลก ๑  หลวงพรหมสภาเมืองพิไชย ๑  หลวงมหาพิไชยเมืองสวรรคโลก ๑  หลวงแพ่งเมืองสวรรคโลก ๑  พระแก้วเมืองแพร่ ๑  พระวังขวาเมืองแพร่ ๑  พระวังซ้ายเมืองแพร่ ๑  เจ้าอุปราชเมืองนครหลวงพระบาง ๑  พระยาเชียงเหนือเมืองนครหลวงพระบาง ๑  พระยาเมืองแผนเมืองนครหลวงพระบาง ๑  ท้าวมหาไชยเมืองนครหลวงพระบาง ๑  รวมพระยา พระ หลวง ท้าวพระยา นายทัพนายกอง ๑๘ คน  เข้าชื่อในใบบอกส่งมายังเจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่ว่า

           “ได้ส่งเจ้าอุปราช ๑  เจ้าเงิน ๑  เจ้าด้วง ๑  เป็นเจ้าลาวเมืองพวนสามคนลงมาถึงเมืองนครหลวงพระบาง”   ในใบบอกนั้นมีความว่า   “พระยาสวรรคโลกแม่ทัพพร้อมด้วยพระยา พระ หลวง นายทัพนายกองไทยและลาว  ยกขึ้นไปถึงด่านหลวงไกลจากเมืองนครหลวงพระบางทาง ๑๕ วัน  จึงพักพลอยู่ที่ด่านหลวง ณ เดือนสี่แรมสามค่ำปีมะเส็งเบญจศก  ยังทางอีกวันกับคืนหนึ่งจะถึงด่านท่าตือแขวงญวน  พระยาสวรรคโลกแม่ทัพได้ปรึกษากับเจ้าราชบุตรเมืองหลวงพระบางเห็นพร้อมกัน  ใช้พระยาสิงห์คุดเจ้าเมืองแผนซึ่งขึ้นกับเมืองหลวงพระบาง  มีหนังสือไปถึงเจ้าสมุทเขต  เจ้าลาวผู้เป็นเจ้าเมืองพวน  ใจความในหนังสือพระยาเมืองแผนว่า

           “อัครมหาเสนาบดีกรุงเทพมหานคร  เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพไทยยกขึ้นมาเป็นอันมาก  จะไปตีหัวเมืองลาวซึ่งขึ้นแก่ญวนให้แตกตลอดถึงแม่น้ำสาละวินจนถึงเมืองฮานอย  ที่ญวนมาตั้งป้อมหินรักษาเขตแดนญวนให้ได้จนหมด  พระยาเมืองแผนก็เป็นลาว  จึงได้คิดรักใคร่เมืองพวนซึ่งเป็นลาวชาติเดียวกัน กลัวว่าเมืองพวนจะเสียบ้านเมืองครอบครัว  ไพร่พลเมืองจะระส่ำระสายไปด้วยกองทัพไทย  อย่าให้เจ้าเมืองพวนคิดสู้รบกับกองทัพไทยซึ่งเป็นกองทัพใหญ่เลย  ให้เจ้าเมืองพวนออกมาอ่อนน้อมแม่ทัพไทย  ขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพฯโดยดีเถิด  เป็นข้าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองดีกว่าเป็นข้าญวน  แล้วเมืองพวนกับเมืองนครหลวงพระบางจะได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันสืบไป”

          ฝ่ายเจ้าเมืองพวนก็มีหนังสือตอบพระยาเมืองแผนมาว่า

           “ซึ่งพระยาเมืองแผนมีหนังสือส่งมาชักชวนให้เมืองพวนไปเป็นข้าพระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง  และเป็นทางเมตตาปรานีไพร่พลเมืองพวนซึ่งเป็นลาวด้วยกันนั้น  ข้าน้อยได้ทราบแล้ว  มีความยินหลากขากดีหาสิ่งใดจะเปรียบอุปมาได้  ข้าน้อยจะใคร่ปรนเปรอตามแต่ก่อนหนังสือพระยาเมืองแผนยังไม่มาถึงนั้น  ข้าน้อยก็ได้รับหนังสือพระราชวรินทร์แม่ทัพไทย  กับหนังสือพระประทุมเทวาเจ้าเมืองหนองคายรวมสองมาด้วยกัน  เป็นใจความเกลี้ยกล่อมเมืองพวนเช่นนี้  ข้าน้อยเจ้าเมืองพวนได้ทราบแล้วข้อความคล้ายกัน  ข้าน้อยได้ใช้ให้พันแสนใจหาญ  พันสะท้านธรณีบุตรพระยาเชียงดี  คุมไพรพลร้อยเศษนำเสบียงอาหารไปส่งให้พระราชวรินทร์  แล้วให้ต้อนรับ  นำกองทัพพระราชวรินทร์มาทางท่าข้ามช้างท่าดินดาน  เพื่อจะให้กองทัพพระราชวรินทร์มาช่วยป้องกันกันเมืองพวนให้พ้นเงื้อมมือญวน  บัดนี้ข้าน้อยเจ้าเมืองพวนได้แต่งให้เจ้าอุปราชเมืองพวน ๑  เจ้าราชบุตร ๑  เจ้าโงน ๑  เจ้าด้วง ๑  เจ้าหน่อคำ ๑  เจ้าทิพไพศาล ๑  เจ้านายหกคน  คุมไพร่พล ๒๐๐ ถือธูปเทียนดกไม้  เสบียงอาหารมาคอยต้อนรับกองทัพพระยาสวรรคโลกและเจ้าอุปราชเมืองนครหลวงพระบาง  ได้กำหนดนัดกองทัพเมืองพวนจะมาคอยรับทัพไทยอยูที่ตำบลบ้านซวด  เป็นที่มีน้ำใช้สบาย  แล้วจะเดินทัพเข้าเมืองพวน  หนังสือสุภาพข้าน้อยเจ้าสมุทเขตเจ้าเมืองพวนไหว้กราบศิโรราบมาแทบเท้าเจ้านายฝ่ายไทย  และเจ้าฟ้าพระมหานครศรีสัตตนาคะนะหุตร่มขาวหลวงพระบางด้วย”.......

          ** กองทัพไทยฝ่ายตะวันออก  นครพนม  หนองคาย  หลวงพระบาง  ดำเนินไปอย่างราบรื่น  เพราะในภูมิภาคนี้เป็นคนลาวซึ่งถือได้ว่ามีสายเลือดเดียวกันกับไทย  กองทัพเจ้าพระยาธรรมธิบดีร่วมกับพระเจ้าหลวงพระบางร่มขาวยกไปถึงเมืองพวน  และเจ้าเมืองพวนยอมสวามิภักดิ์แล้ว เ รื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ  ค่อยมาอ่านกันครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ชลนา ทิชากร, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, Paper Flower, ปิ่นมุก, Thammada, หนูหนุงหนิง, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #108 เมื่อ: 11, ตุลาคม, 2563, 09:58:44 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๐๙ -

ญวนตั้งค่ายคุมชาวลาวเมืองซุ้ย
กลายเป็นปุ๋ยเมื่อไทยใจโหดยิ่ง
สองร้อยคนรนหนีหาที่อิง
ถูกฆ่าทิ้งไม่เหลือเป็นเชื้อพาล

ค่ายเมืองพวนห้าร้อยก็พลอยสิ้น
ไทยลาวไล่ทุบดิ้นสิ้นสงสาร
ญวนเจ็ดร้อยย่อยยับอัประมาณ
ถูกสังหารวอดวายตายทุกคน


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ได้เริ่มเรื่องอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับญวน ซึ่งเป็นความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้เรียบเรียงขึ้น โดยคัดลอกมาจากรายงานการทัพญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไว้ ๕๕ เล่มสมุดไทย   เมื่อวันก่อนหน้านี้ได้ให้อ่านถึงตอนที่  กองทัพพระยาสวรรคโลกซึ่งเป็นกองหน้าของกองทัพเจ้าพระยาธรรมาธิบดีมีกองทัพเมืองหลวงพระบางสมทบยกไปเมืองพวน  พระยาสวรรคโลก  พระยา  พระ  หลวง  ในกองทัพหน้า มอบหน้าที่ให้พระยาเมืองแผนมีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองพวนให้สวามิภักดิ์ไทย  เจ้าเมืองพวนมีหนังสือตอบว่า  ก่อนหน้านี้ได้รับหนังสือพระราชวรินทร์และพระประทุมเทวาเจ้าเมืองหนองคายส่งมาเกลี้ยกล่อมเช่นเดียวกัน  และตนได้ตกลงใจสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑเสมาไทยแล้ว  จากนั้นเจ้าเมืองพวนได้จัดการต้อนรับกองทัพพระยาสวรรคโลกเข้าเมืองพวน  วันนี้มาอ่านความกันต่อครับ....

           “..........เมื่อพระยาสวรรคโลกและเจ้าอุปราชหลวงพระบางได้ทราบหนังสือเจ้าเมืองพวนดังนั้น  จึงให้หลวงศุภมาตราเมืองสวรรคโลกกับหลวงพรหมเสนาข้าหลวงในกรุง  คุมไพร่พล ๕๐๐ ยกไปดูพวกเมืองพวนจะมาเป็นกลอุบายหรือจะมาโดยสุจริต

          ครั้งนั้นได้ให้พระยาปลัดเป็นแม่ทัพกำกับไปด้วย  ทัพพระยาปลัดยกไปถึงด่านท่าตือเดือนสี่แรมหกค่ำ  ได้พบกับเจ้าเมืองซุ้ยคุมไพร่พลลาว ๒๓ คน  มีเครื่องศาสตราวุธ ปืน ดาบพร้อม เดินมาถึงท่าตือ  เห็นไทยมาก็วางอาวุธทุกคน  แล้วเข้ามาหากองหน้าหลวงพรหมเสนา  หลวงพรหมเสนาให้ล่ามไปถามว่ายกมาแต่ไหน?  จะไปไหน?  เจ้าเมืองซุ้ยตอบว่า  เจ้าเมืองพวนใช้ให้นำดอกไม้ธูปเทียนมาคอยทำคำนับรับกองทัพไทย  พาเข้าไปในเมืองพวน  เจ้าเมืองซุ้ยก็ส่งเครื่องศาสตราวุธมาให้ไทยทั้งสิ้น  แล้วนำกองทัพไทยเดินไปถึงบ้านซวด

           ขณะนั้นพบท้าวเพี้ยจันทร์คุมไพร่พลมาร้อยเศษ  แบกเครื่องศาสตราวุธเดินตามกันมาเป็นแถว  หลวงศุภมาตรากับหลวงพรหมเสนาคิดว่าเป็นข้าศึก  กลอุบายอย่างใดจึงมีลาวถืออาวุธมามาก  ก็สั่งให้ทหารไทยแยกออกเป็นปีกกาแล้วร้องว่า  รีบซีพ่อให้ยกปีกกาออกนำปืนคาบศิลายิงระดมไปพักเดียวก็จะแตกดอกพ่อ  ขณะนั้นเจ้าเมืองซุ้ยเห็นว่าไทยไม่ไว้ใจ  สำคัญว่าข้าศึก  จึงเข้าไปหาหลวงพรหมเสนา  หลวงพรหมเสนาก็ไม่หยุด  ยังร้องสั่งทหารให้ตระเตรียมการรบ  เจ้าเมืองซุ้ยเห็นการจะเกิดวุ่นวายขึ้นทั้งสองฝ่าย  จึงร้องบอกพวกเพี้ยจันทร์ให้วางอาวุธเสียก่อน  ให้เข้ามาแต่นายเท่านั้น  เมื่อเพี้ยจันทร์เข้ามาหาพระยาสวรรคโลกแม่ทัพแล้ว  จึงแจ้งความว่า  

          เจ้าเมืองพวนคิดกลัวแม่ทัพไทยจะไม่ไว้วางใจเจ้าเมืองพวน  เจ้าเมืองพวนจึงเก็บเครื่องสรรพาวุธหมดทั้งเมือง  ให้เพี้ยจันทร์คุมมาส่งให้แม่ทัพไทย  เพี้ยจันทร์ได้มอบเครื่องอาวุธให้แก่แม่ทัพไทยที่ตำบลบ้านซวดแล้ว  จึงแจ้งความแก่พระยาสวรรคโลกต่อไปว่า  เจ้าเมืองพวนใช้ให้ข้าพเจ้านำเครื่องอาวุธมาส่งให้แก่ท่าน  แล้วก็ให้รับท่านไปในเมืองพวน  แล้วบอกว่า  บัดนี้ญวนคุมไพร่พลญวนมาตั้งค่ายรักษาเมืองซุ้ยอยู่ ๒๐๐ คนเศษ  ขอให้แม่ทัพไทยรีบยกไปตีญวนสองร้อยที่เมืองซุ้ยให้แตกเสียโดยเร็วเถิด  จะได้ไปเมืองพวนสบาย

           ครั้งนั้น  พระยาสวรรคโลกสั่งพระยาพิไชยให้แบ่งกองทัพไทยลาว ๕๐๐ ยกไปตีค่ายญวนที่เมืองซุ้ย  พระยาพิไชยคุมกองทัพยกเข้าตีค่ายญวนในเมืองซุ้ย  ตั้งแต่เช้าถึงน้องเพลได้ค่ายญวน  ญวนตายประมาณ ๘๐ เศษ  ที่หนีไปได้ก็มาก  แต่กองทัพพระยาสวรรคโลกนั้นจะยกเข้าไปตีค่ายที่ตั้งรักษาเมืองพวน  แต่พระยาพิไชยตีค่ายญวนเมืองซุ้ยแตกแล้ว  ญวนที่เหลือตายก็แตกหนีต่อไปตั้งรับอยู่ที่ปลายแม่น้ำงึม  ที่นั้นเป็นที่ป่ามีโรคไข้พิษมาก

           ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า  พระยาพิไชยยกทัพติดตามญวนที่แตกหนีไป  ทัพญวนที่ตั้งรับอยู่ในดงป่าแม่น้ำงึม  ญวนต่อสู้แข็งแรง  ไทยยกไล่ไปจนถึงที่ชุมนุมญวน  ญวนตั้งอยู่ในซุ้มไม้  ยิงปืนคาบศิลาออกมาจากซุ้มไม้ป่ารกถูกไทยล้มตายลงมาก  ฝ่ายไทยยิงปืนเข้าไปบ้างหาถูกญวนไม่  เพราะซุ้มไม้ป่ารกบังอยู่มาก  ขณะนั้นพระยาพิไชยว่า

            “จะยิงปืนโต้ตอบกับญวนอยู่เช่นนี้เห็นจะเสียท่วงทีแก่ญวนเป็นแน่  ไทยจะตายเปลืองลงทุกที  ญวนจะออกมาจากซุ้มไม้ไล่ฆ่าไทยตายหมด  อย่านำปืนยิงกับมันเลย  ให้ถือหอกดาบวิ่งกรูเข้าไปฟันแทงเดี๋ยวนี้จะดีกว่าใช้ปืน”

           พูดเท่านั้นแล้ว  ก็ไล่ต้อนพลทหารถือหอกดาบวิ่งกรูกันเข้าไปฟันแทงฆ่าญวนตาย ๔๐-๗๐ พักหนึ่ง  แล้วไล่ต้อนลาวให้หนุนไทยเข้าไปอีกพวกหนึ่ง  ลาวถือง้าวและหอกดาบฟันแทงญวนล้มตายลงอีกพักหนึ่ง ๒๐ คน  ยังญวนที่เหลือตายมีอยู่ในซุ้มไม้อีก ๕๓ คน  ก็แตกหนีออกจากซุ้มไม้วิ่งหนีไปในป่า  พบทัพลาวเมืองซ่างเมืองซุ้ยยกสวนทางมาเจอะเข้าในป่าน้ำงึม  พวกลาวไล่ฆ่าญวน ๕๓ คนตายหมด  ญวน ๒๐๐ ที่เมืองซุ้ยตายทั้งสิ้นไม่เหลือเลย

           ครั้นเวลาเย็น  พลกองทัพพระยาสุโขทัยยกขึ้นไปถึงเมืองซุ้ย  พร้อมด้วยพระยาพิไชยและทัพกองใหญ่ของไทยด้วย  ในเวลาค่ำวันนั้น  เจ้าเมืองพวนมีหนังสือใช้ให้ท้าวเพี้ยแสนสุริยามาตย์ ถือมาให้เจ้าอุปราช เจ้าราชบุตรหลวงพระบาง  ถึงเจ้าเมืองซุ้ย เจ้าเมืองซ่าง ด้วยรวมสี่ฉบับ  เนื้อความต้องกันว่า

           เจ้าเมืองพวนได้ใช้ให้ท้าวเพี้ยพลไชยไปรับกองทัพพระราชวรินทร์แม่ทัพไทยเข้ามาถึงเมืองพวนแล้วแต่เดือนสี่แรมสิบสามค่ำ  ปีมะเส็งเบญจศก  วันนั้นเวลาสามยามเศษ  กองทัพพระราชวรินทร์พร้อมกับกองทัพเมืองพวนช่วยกันเข้าล้อมจับองตุ่นผ่องแม่ทัพญวนคุมไพร่พลทหารญวน ๕๐๐ คน  ตั้งพิทักษ์รักษาอยู่ในเมืองพวนที่ด้านใต้  พระราชวรินทร์กับเจ้าเมืองจับญวนได้เท่าไรก็ฆ่าเสียสิ้น  และฆ่าเมื่อมันต่อสู้บ้าง  ได้ฆ่าญวนที่เมืองพวนตายหมดทั้ง ๔๐๐  แต่ญวนอีก ๑๐๐ ตั้งรักษาอยู่นอกเมืองพวนนั้นรู้ก็แตกหนีไป  พระราชวรินทร์สั่งทหารไทยตามไปจับมาได้ทั้ง ๑๐๐ คน  ให้ฆ่าเสียที่นอกเมืองพวนแล้ว  ญวนตายครั้งนี้ที่เมืองพวน ๕๐๐ คน  แต่ญวน ๒๐๐ คนที่รักษาเมืองซุ้ยนั้น  เจ้าเมืองพวนมีหนังสือสั่งกำชับให้เจ้าเมืองซ่าง เจ้าเมืองซุ้ยคิดกับเจ้านายเมืองหลวงพระบางฆ่า ๒๐๐ คนเสียให้สิ้น  อย่าให้เหลืออยู่เป็นเชื้อสายสืบต่อไปได้

           พระยาสวรรคโลกให้เจ้าอุปราช เจ้าราชบุตรหลวงพระบางเขียนหนังสือตอบเจ้าเมืองพวนไปเป็นใจความว่า

            “ได้แต่งกองทัพไทยลาวไปฆ่าญวน ๒๐๐ ที่เมืองซุ้ยตายหมดแล้ว  บัดนี้แม่ทัพไทยได้ยกมาพักอยู่ในเมืองซุ้ย  รอฟังราชการอยู่ก่อน  ให้เจ้าเมืองพวนและพระราชวรินทร์ข้าหลวงมีหนังสือมาแจ้งข้อราชการที่เมืองซุ้ยบ้าง”

           เขียนแล้วมอบให้ท้าวแสนสุริยาตย์กลับไปให้เจ้าเมืองพวน

           ฝ่ายพระยาสวรรคโลกแต่งหลวงนาเมืองสวรรคโลก ๑  พระยาเมืองแผนหลวงพระบาง ๑  พระยาเมืองแก้วหลวงพระบาง ๑  พระเมืองแก้วเมืองแพร่ ๑  พระวังขวาเมืองแพร่ ๑  หลวงนรินทร์ข้าหลวงกรุงเทพฯ  เป็นผู้กำกับ  นายทัพนายกองห้าคน  เป็นหกทั้งข้าหลวงในกรุง  คุมไพร่พลลาวหลวงพระบาง ๒๐๐ คนไทย๑๐๐  พาตัวเจ้าอุปราชเมืองพวน ๑  และ เจ้าเงิน ๑  เจ้าด้วง ๑  ท้าวพิมพิสาร ๑  เพี้ยกว้าน ๑  พระยาแสนโยธา ๑  รวมเจ้าสามขุนนางสาม  รวม ๖ คน นำส่งเจ้าเมืองหลวงพระบาง  แล้วแจ้งข้อราชการต่อเจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่ให้ทราบทุกประการ  แต่ตัวเจ้าราชบุตรเมืองพวนนั้น  พระยาสวรรคโลกพาตัวนำกองทัพขึ้นไปเมืองพวนแต่ในเดือนห้าปีมะเมียฉศก

           ฝายพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่ได้ทราบการดังนั้นแล้ว  จึงให้พระยาปลัดเมืองพระพิษณุโลก  กับพระยายกกระบัตรเมืองสุโขทัย  คุมไพร่พล ๕๐๐ ให้จ่านิตมหาดเล็กกับนายฉลองในนารถมหาดเล็กหุ้มแพรในพระราชวังบวรฯ  เป็นข้าหลวงกำกับทัพพระยาปลัดเมืองพระพิษณุโลก  มีไพร่พลส่วนในวังหน้าอีก ๕๐๐ รวมไพรพล ๑,๕๐๐ คน  เร่งรีบยกขึ้นไปตีเมืองลาวสิบสองปันนา  และลาวหัวพันทั้งหก  บรรดาเป็นหัวเมืองขึ้นแก่ญวน  ให้ตีกวาดต้อนพาครัวมาให้สิ้นเชิง  แล้วเจ้าพระยาธรรมาสั่งให้เจ้าอุปราชเมืองพวนคุมไพร่พลลาวพวนกลับขึ้นไปรวบรวมครอบครัวลาวที่แตกระส่ำระสายเข้าป่าดง  ให้คงบ้านเมืองยังเดิม  ให้เจ้าธรรมาราชเมืองหลวงพระบางกำกับเจ้าอุปราชเมืองพวนไปด้วย  จะได้ช่วยคิดราชการพรักพร้อมด้วยพระราชวรินทร์แม่ทัพไทย........”

           **  เป็นอันว่ากองทัพสุดท้ายของไทยที่ยกไปไล่ล่าญวนที่เขามายึดครองหัวเมืองลาวนั้น  ประสบความสำเร็จด้วยดี  ไทยฆ่าญวนตายเรียบไปอีก ๗๐๐ คน  คือที่ค่ายเมืองซุ้ย ๒๐๐  ค่ายใหญ่เมืองพวน ๕๐๐  ที่ต่อสู้ก็ฆ่า  ที่จับเป็นได้ก็ฆ่า  ไม่ให้เหลือเป็นเชื้ออย่างที่เจ้าเมืองพวนว่านั่นแหละ  เจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่สั่งให้ไปยึดคืนเมืองสิบสองปันนาและหัวพันทั้งหก  จะสำเร็จหรือไม่  ตอนหน้ามาอ่านความกันต่อไปครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ก้าง ปลาทู, ลมหนาว ในสายหมอก, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, ปิ่นมุก, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, หนูหนุงหนิง, Thammada, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #109 เมื่อ: 18, ตุลาคม, 2563, 10:35:20 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๐ -

ทุกทัพกลับกรุงดูอย่างผู้กล้า
“พระยาธรรมา”กลับค่อนหย่อนเหตุผล
โปรดให้ยกกลับไปพร้อมไพร่พล
อย่าหลงกลลาวทั่วเมืองหัวพัน

ทรงเตรียมรับทัพญวนทุกทางน้ำ
โดยจัดทำป้อมกำแพงให้แข็งขัน
“เจ้าพระยาพระคลัง”สร้างเมืองจันท์
ปราการกั้นกำแพงใหม่ให้มั่นคง


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ได้เริ่มเรื่องอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับญวน ซึ่งเป็นความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้เรียบเรียงขึ้น โดยคัดลอกมาจากรายงานการทัพญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไว้ ๕๕ เล่มสมุดไทย   เมื่อวันก่อนหน้านี้ได้ให้อ่านถึงตอนที่ .. พระยาสวรรคโลกกองหน้าทัพเจ้าพระยาธรรมายกไปเมืองพวน  เจ้าเมืองพวนให้ขุนนางออกมาต้อนรับ  เจ้าเมืองซุ้ยแจ้งให้ทราบว่ามีญวนจำนวน ๒๐๐ คนมาตั้งค่ายรักษาเมืองซุ้ย  ขอให้พระยาสวรรคโลกตีค่ายญวนให้แตกเสียก่อนเดินทางเข้าเมือง  พระยาสวรรคโลกสั่งให้พระยาพิไชยนำกำลัง ๕๐๐ เข้าตีค่ายญวนแตกไปอย่างรวดเร็ว  ญวนถูกฆ่าตายสิ้นทั้ง ๒๐๐ คน  ฝายเจ้าเมืองพวนก็ให้ขุนนางไปรับกองทัพพระราชวรินทร์เข้าเมืองพวน  แล้วสมคบกันจับตัวแม่ทัพญวนที่มาตั้งค่ายรักษาเมืองพวนนั้นได้  แล้วฆ่าไพร่พลญวนตายสิ้นทั้ง ๕๐๐ คน  เมื่อเจ้าพระยาธรรมาได้รับทราบข้อราชการสิ้นแล้ว  จึงสั่งให้พระยาปลัดเมืองพระพิษณุโลกกับพระยกกระบัตรเมืองสุโขทัยคุมไพร่พลไทยลาว ๑,๕๐๐ คนให้ยกไปตีเมืองลาวสิบสองปันนาและหัวพันทั้งหกที่ญวนเข้ามายึดครองไว้นั้น  ให้กวาดต้อนพาครัวมาให้สิ้นเชิง  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ.....


          แล้วเจ้าพระยาธรรมากับเจ้านครหลวงพระบาง แต่งให้ท้าวคำสุกกับท้าวมงคลเมืองหลวงพระบาง  และนายประพาสมณเฑียรปลัดวังขวา เป็นข้าหลวงคุมไพร่พลลาวไทย ๕๐ คน  พาตัวเจ้าเงินเจ้าด้วงเมืองพวน  กับคำให้การเจ้าอุปราชเมืองพวน  กับทองคำก้อนหนึ่ง  ทองหนักสิบสามตำลึงสามบาทสองสลึงเฟื้อง  เป็นของเจ้าอุปราชเมืองพวนฝากลงไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร  ปลัดวังขวาได้ลงมาถึงกรุงแต่ ณ เดือนหก  แรมสิบสองค่ำ  ปีมะเมียฉศก  น้ำขึ้นทูลเกล้าถวาย

          ฝ่ายราชการข้างเมืองเขมรนั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการดำรัสสั่งพระยาศรีสหเทพมีท้องตราไปถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชาใจความว่า


เจ้าพระยาบดินทรเดชา : ละคร ข้าบดินทร์

          พระยาอภัยภูเบศร์เขมรเจ้าเมืองพระตะบองนั้น  ก็ถึงแก่อสัญกรรม  จะตั้งพระพิทักษ์บดินทรและพระนรินทร์โยธาผู้บุตรพระยาอภัยภูเบศร์เป็นเจ้าเมืองพระตะบองก็ได้  หรือจะแต่งพระยาเขมรกรมการผู้ใหญ่ที่มีสติปัญญา  ยกย่องขึ้นเป็นเจ้าเมืองพระตะบองก็ได้เหมือนกัน  แต่ทรงเห็นว่านักองอิ่มและนักองด้วงทั้งสองนี้  เป็นเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเขมรสืบมาแต่โบราณ  ควรจะยกย่องขึ้นเป็นผู้ว่าราชการบ้านเมืองเขมร  จะได้เป็นที่นับถือยำเกรงของพวกไพร่บ้านพลเมืองเขมรต่อไป  จะได้เป็นกำลังศึกสงครามแก่กองทัพไทยที่จะทำแก่ญวนในภายหน้าด้วย


นักองค์ด้วง : ละคร ข้าบดินทร์

          เพราะฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองอิ่มผู้พี่ว่าราชการเมืองพระตะบอง  ให้นักองด้วงผู้น้องว่าราชการเมืองมงคลบุรี  แล้วให้เจ้าพระยานครราชสีมาคิดกับพระยาราชนิกูลข้าหลวงช่วยกันกวาดต้อนครอบครัวเขมรและข่าป่าดงไปไว้ตามบ้านเมืองที่ขึ้นแก่เมืองนครราชสีมา  ให้เต็มทุกบ้านทุกเมือง  เป็นการให้ทุนหนุนทุนที่พวกเมืองขึ้นไทยตายเสียในการทัพศึกนั้นก็มาก  แล้วให้เจ้าพระยานครราชสีมากลับไปรักษาบ้านเมืองตนเถิด  แต่เจ้าพระยาบดินทรเดชากับพระยาราชนิกูล ขอให้เข้ามาแจ้งข้อราชการ ณ กรุงเทพมหานคร


เจ้าพระยาพระคลัง : ละคร ข้าบดินทร์

          แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษามีท้องตราให้หาเจ้าพระยาพระคลังแม่ทัพเรือ  ซึ่งตั้งรั้งทัพอยู่ ณ เมืองจันทบุรี  เข้ามาปรึกษาราชการ ณ กรุงเทพมหานคร  ฝ่ายเจ้าพระยาพระคลังได้เข้ามาถึงกรุงเทพมหานคร ณ เดือนหกข้างแรมในปีมะเมีย ฉศก

          ฝ่ายราชการเมืองลาวตะวันออกนั้น  เจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพใหญ่ได้แต่งขุนนางไทยสามคน  คือ  พระยกกระบัตรเมืองสุโขทัย ๑  หลวงพิไชยเสนา ๑  จมิ่นจงรักษาองค์ ๑  กับพระยาเมืองซ้ายหลวงพระบาง ๑  ท้าวกุมารหลวงพะบาง ๑  ท้าวเพี้ยแสนพิงไชยเมืองแพร่ ๑  รวมเป็นข้าหลวง ๖ นายที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด  ขึ้นไปเกลี้ยกล่อมพวกลาวเมืองหัวพันทั้งหก  พวกลาวเมืองหัวพันทั้งหกก็รับว่าจะแต่งแสนท้าวพระยาลาวมาแจ้งข้อความว่าจะยอมสวามิภักดิ์ขึ้นต่อกรุงเทพฯ  แล้วเจ้าพระยาธรรมาตั้งคอยลาวเมืองหัวพันทั้งหกอยู่ที่เมืองนครหลวงพระบาง  จนเข้าฤดูฝนจึงป่วยเป็นไข้พิษ  กลายเป็นไข้รากสาดไป  จึงเลิกทัพกลับลงมากรุงเทพฯ

          ครั้นพระยาธรรมาหายป่วยแล้ว  จึงเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระกรุณาว่า

           “กองทัพไทยได้ยกขึ้นไปตีเมืองซุ้ย, เมืองกอง, เมืองก่าง, เมืองย่างเงิน  ได้เมืองลาวในเขตแดนญวนหลายเมืองแล้ว  และทัพพระราชวรินทร์ก็ได้เมืองพวนด้วย”

          และนายทัพนายกองไทย กับกองทัพเมืองนครหลวงพระบาง  ได้ยกขึ้นไปจะตีเมืองหัวพันทั้ง ๖  และสืบได้ความว่า     “เจ้าบ้านผ่านเมืองและท้าวเพี้ยไพร่พลเมืองหัวพันทั้ง ๖ อพยพครอบครัวหนีไปจากบ้านเมืองหมด”     เจ้าราชบุตรหลวงพระบางจึงแต่งให้เพี้ยศรีอรรคหาตเมืองปากเหือง ๑  ท้าวมงคลหลวงพระบาง ๑  ทั้งสองคนนี้เคยเป็นล่ามลาวชาวเมืองหัวพันทั้ง ๖ มาแต่ก่อน  ให้คนทั้งสองขึ้นไปสืบราชการพวกลาวหัวพันทั้ง ๖  ว่าจะหนีไปถึงไหนบ้าง  เพี้ยศรีอรรคหาตกับท้าวมงคลมีหนังสือแจ้งข้อราชการมาถึงพระยาพิไชย  พระยาสุโขทัย  กับเจ้าหลวงนครหลวงพระบางใจความว่า

           “เพี้ยศรีอรรคหาตกับท้าวมงคลได้ขึ้นไปถึงเมืองเหียม  ได้พักไพร่พลลาวหลวงพระบาง ๒๕๐ คนอยู่ที่ด่านเมืองเหียม  และลาวเจ้าเมืองหัวเมืองชำเหนือ  เมืองชำใต้  เมืองซวน  เมืองโชย  เมืองเชียงตลุง  เมืองเชียงค้อ  เจ้าเมืองลาวทั้ง ๘ หัวเมืองนั้น  ได้แต่งเพี้ยพระยาลาวทุกเมืองทั้ง ๘ หัวเมือง  ให้มาหาเจรจากับเพี้ยศรีอรรคหาตและท้าวมงคล  เป็นใจความว่า   เจ้าบ้านผ่านเมืองและแสนท้าวพระยาลาวท้าวเพี้ยในเมืองหัวพันทั้ง ๖  คิดพร้อมใจกันกลับใจคืนมาสวามิภักดิ์  เป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพมหานครต่อไปอย่างครั้งเจ้าอนุเวียงจันทน์เหมือนแต่ก่อน”     เจ้าเมืองหัวพันทั้ง ๖ จะแต่งให้แสนท้าวพระยาลาวท้าวเพี้ยลงมาเจรจาความเมือง  เพราะฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงสั่งพระยาพระหลวงนายทัพนายกองให้งดกองทัพไว้  หาได้ยกขึ้นไปตีเมืองหัวพันทั้ง ๖ ไม่  แล้วข้าพระพุทธเจ้าได้แต่งขุนนางไทยลาวที่มีสติปัญญาได้ราชการ  ให้ขึ้นไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเมืองหัวพันทั้ง ๖  ก็รับว่าจะว่าสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ  การยังไม่ตกลงเป็นแน่  พอเข้าฤดูฝนข้าพระพุทธเจ้าก็ป่วยหนัก  จึงได้เลิกกองทัพกลับลงมากรุงเทพฯ พร้อมกันทุกทัพทุกกอง  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบความตามเจ้าพระยาธรรมากราบบังคมทูลดังนั้นแล้ว  จึงมีพระราชดำรัสว่า

           “เจ้าพระยาธรรมาจะถูกหลอกถูกลวงพวกเมืองหัวพันทั้ง ๖ เสียดอกกระมัง  ถ้าเป็นจริงดังนั้นแล้ว  ก็จะเสียพระเกียรติยศแผ่นดินกรุงเทพฯ ไปเป็นอันมาก”  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาเป็นแม่ทัพกลับขึ้นไปใหม่   ฝ่ายเจ้าพระยาธรรมาได้กราบถวายบังคมลายกทัพออกจากกรุงเทพฯ เมื่อ ณ เดือนอ้ายปีมะเมีย  ฉศก  ถือท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปเกณฑ์กองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ  ซึ่งเคยไปทำราชการด้วยกัน  แต่ครั้งนี้กองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ประชุมไพร่พลรอราชการอยู่ที่เมืองพิไชยบ้าง  อยู่ที่บ้านปากลายบ้าง  อยู่เมืองหลวงพระบางบ้าง

           ฝ่ายกรุงเทพฯ นั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศพระมหาเทพชื่อป้อม  เป็นพระยามหาอำมาตย์  โปรดเกล้าฯให้พระราชวรินทร์ชื่อขำเป็นพระพิเรนทรเทพ  โปรดเกล้าฯ ให้พระกำจรใจราชแต่เดิมที่เป็นหมื่นหาญลูกกองพระยาอัษฎาเรืองเดช  มีความชอบที่ต่อสู้กับข้าศึกญวนมีชัยชนะ  แล้วเจ้าพระยาบดินทรเดชามีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณา  ขอตั้งให้เป็นพระกำจรใจราชในระหว่างศึกนั้นแล้ว  บัดนี้โปรดเกล้าฯ ให้พระกำจรใจราชเลื่อนที่ขึ้นเป็นพระยามหานุภาพ  จางวางกรมพระตำรวจหลังในพระราชวังหลวง
 

           ราชการที่กรุงเทพฯ นั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริการรักษาพระนคร  ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเลย  ทรงพระวิตกว่าญวนจะยกกองทัพเรือเข้ามาตีหัวเมืองชายทะเลพระราชอาณาเขต  เป็นการที่ญวนจะยกเข้ามาทำศึกตอบแทนบ้าง  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองต่อเรือรบไว้สำหรับรักษาพระนคร  แล้วให้ขอแรงพวกข้าราชการไม่ได้ไปทัพ  กับพวกเจ้าสัวเจ้าภาษีนายอากรให้ช่วยต่อเรือรบ  เป็นรูปเรือศีรษะป้อมอย่างญวนขึ้น ๘๐ ลำ   พระราชทานเงินหลวงช่วยในการต่อเรือรบลำละ ๒๐ ชั่ง  เรือ ๘๐ ลำเป็นเงินหลวง ๑,๖๐๐ ชั่ง  ผู้ที่ถูกทำเรือรบนั้นก็ออกเงินของตนช่วยเพิ่มเติมบ้างทุก ๆ ลำ  ลำละสิบชั่งลงมาเสมอห้าชังขึ้นไป  ตามแต่จะฉลองพระเดชพระคุณ  ครั้นเรือรบศีรษะป้อม ๘๐ ลำแล้วเสร็จ  จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดอู่ทำโรงที่คลองสาระหงส์บางกะปิไว้เรือรบ ๔๐ ลำสำหรับรักษาพระนคร  จ่ายไปรักษาหัวเมืองชายทะเล ๔๐ ลำ  เป็นเรือลาดตระเวนท้องทะเล


ป้อมไพรีพินาศ

           ครั้นการเรือรบแล้วเสร็จ  ถึง ณ เดือนอ้ายปีมะเมียฉศก  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองไปสร้างเมืองจันทบุรีให้มั่นคงไว้รับญวน  เจ้าพระยาพระคลังสั่งให้รื้อกำแพงเมืองเก่าเสียสิ้น  เพราะด้วยเมืองเก่าตั้งอยู่ลึกเข้าไปในลำแม่น้ำ  ไม่เป็นที่รองรับข้าศึกได้มั่นคง  จึงให้สร้างเมืองใหม่เลื่อนออกไปใกล้ปากอ่าว  ก่อกำแพงใหม่ลงที่เนินวง  ให้ราษฎรตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเก่าบ้าง  ที่หลังเมืองใหม่บ้าง  ทำเมืองใหม่ในที่นี้เป็นที่ป้องกันครอบครัวพลเมืองได้มาก  แล้วเจ้าพระยาพระคลังสร้างวัดขึ้นสำหรับเมืองใหม่วัดหนึ่ง  ตั้งนามชื่อ  “วัดโยธานิมิต”  แล้วสั่งให้จมื่นราชมาตชื่อขำ  ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าพระยาพระคลังนั้น  เป็นแม่กองทำป้อมใหญ่  ก่อด้วยศิลาเป็นป้อมปีกกา  รูปป้อมอย่างยุโรป  ทำลงที่หัวแหลมด่านปากน้ำเมืองจันทบุรีป้อมหนึ่ง  พระราชทานชื่อ  “ป้อมไพรีพินาศ”  แล้วลงมือก่อป้อมใหญ่ด้วยศิลาที่ไหล่เขาแหลมสิงห์อีกป้อมหนึ่ง  เป็นการเพิ่มเติมป้อมเก่าโบราณที่แหลมสิงห์  ให้เป็นของใหม่ให้มั่นคงแข็งแรง  แล้วพระราชทานชื่อ  “ป้อมพิฆาตปัจจามิตร”  รวมเป็นสองป้อมไว้สำหรับรักษาเขตแดนกรุงเทพฯ


คุณชายช่วง (ช่วง บุนนาค)
รับบทโดย การิน ศตายุ   ในละคร "ข้าบดินทร์"

           ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหมื่นไวยวรนาถหัวหมื่นมหาดเล็กชื่อช่วง  ซึ่งเป็นบุตรผู้ใหญ่ของเจ้าพระยาพระคลังนั้น  ให้เป็นแม่กองไปต่อกำปั่นใบลำหนึ่งปากกว้างสิบศอกที่จันทบุรี  ลองทำเป็นตัวอย่างลำหนึ่งแล้วเสร็จ  เจ้าหมื่นไวยวรนาถนำเรือกำปั่นเข้ามาถวายตัว  จึงพระราชทานชื่อกำปั่นนั้นว่า  “แกล้วกลางสมุทร”  ทรงพระกรุณาว่าถ้าต่อขึ้นหลายลำบรรทุกทหารไปรบกับญวนเห็นจะดี  จึงโปรดเกล้าฯ เจ้าหมื่นไวยวรนาถกลับไปเมืองจันทบุรี  ให้ต่อเรือกำปั่นอีกลำหนึ่งปากกว้างสี่วา  เมื่อแล้วมีใบบอกเข้ากราบบังคมทูลพระกรุณาจึงพระราชทานนามกำปั่นว่า  “ชื่อกระบิลบัวแก้ว”  แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ต่อกำปั่นใบใช้ในราชการอีกลำหนึ่ง

           ครั้งนั้นทรงพระราชดำริว่า เมืองฉะเชิงเทรานั้นเป็นปากน้ำทางลำแม่น้ำฝ่ายข้างตะวันออก  เป็นช่องทางที่ข้าศึกญวนจะนำเรือรบเข้ามาทางปากน้ำบางปะกงได้แห่งหนึ่ง  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงรักษ์รณเรศร์ เป็นแม่กองไปสร้างป้อมปีกกาใหญ่และมีกำแพงด้วย  ทำลงที่เมืองฉะเชิงเทราตำบลหนึ่งกะไว้จะให้ชื่อว่า  “ป้อมพิฆาตไพรี”

           ครั้งนั้น  โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนเดชอดิศร ๑  พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นเสพย์สุนทร ๑  กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ ๑  ทั้งสามพระองค์เป็นแม่กองไปทำการซ่อมแซมป้อมกำแพงที่เมืองสมุทรปราการ  ซึ่งทำยังค้างครั้งศึกเวียงจันทน์นั้น  ครั้งนี้โปรดเกล้าฯ ให้ทำกำแพงเชิงเทินขึ้นโอบหลังมาปลายป้อมปีกกาเก่า  ให้ขุดคูล้อมกำแพงเมืองสมุทรปราการด้านหลังเป็นคูล้อมรอบเมืองกันข้าศึก  ให้สร้างป้อมขึ้นที่ปากคลองบางปลากดอีกป้อมหนึ่ง พระราชทานชื่อว่า  “ป้อมคงกระพัน”  เป็นป้อมรับรองข้าศึกที่จะเข้ามาทางปากน้ำสงขลาชายทะเล  ทำการที่เมืองสมุทรปราการเสร็จ

อานามสยามยุทธจบเล่ม ๒ แต่เท่านี้”
------------------------------------------------

           ** เรื่องราวในราชการศึกสงครามระหว่างไทยกับญวนที่เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกไว้ เป็นเล่มที่ ๒ นำมาให้อ่านจนจบวันนี้ยาวไปหน่อย คงทนอ่านกันจนจบได้  ไม่ว่ากันนะครับ  ตอนต่อไปจะนำความในเล่มที่ ๓ มาให้อ่านกันต่อ  จะเป็นการรบกับเขมรและญวน  ซึ่งตอนนี้ญวนเข้ามาครอบงำเขมร  โดยใช้นักองจันทร์เป็นข้ออ้าง  ฝ่ายไทยมีนักองอิ่ม นักองด้วง เป็นหลัก  เรื่องราวน่ารู้มากครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, หนูหนุงหนิง, ลิตเติลเกิร์ล, เฒ่าธุลี, Thammada, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #110 เมื่อ: 25, ตุลาคม, 2563, 09:59:22 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๑ -

นักองจันทร์พิราลัยไร้โอรส
ญวนคิดคดหมายครองเขมรสิ้น
ตั้งราชธิดาสามพี่น้องครองแผ่นดิน
หวานถวิลรวมชาติราชวงศ์

เดชะบุญขุนเขมรมิเห็นด้วย
ขอไทยช่วยเขมรที่มีประสงค์
กำจัดญวนให้สิ้นทั่วดินดง
ขอพึ่งองค์เอกกษัตริย์ฉัตรชาติไทย


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ แล้ว ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้นำมาเรียบเรียงและพิมพ์เผยแผ่ เมื่อ ร.ศ. ๑๒๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๖ นั้นต่อมาสำนักพิมพ์โฆษิต ได้นำมาพิมพ์เป็นครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งในที่นี้จบความในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ไปแล้ว จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเป็นการรบกับญวนในเขมรมาให้อ่านกันเป็นลำดับไป ดังนี้......

           “ฝ่ายองเตียนกุนเสนาบดีกรุงเว้  ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้สำเร็จราชการบังคับบัญชาแม่ทัพญวนทุกกอง  ซึ่งมาตั้งทัพล้อมองภอเบโคยลันเบียเจ้าเมืองไซ่ง่อน  ซึ่งเป็นขบถต่อกรุงเว้นั้น  ทัพกรุงเว้มาตั้งล้อมรบล้อมเมืองไซ่ง่อนอยู่ถึงเก้าเดือนเศษ  พวกเมืองไซ่ง่อนขัดสนเสบียงอาหารตายลงเสมอทุกวัน  จะรักษาเมืองไว้มิได้  ก็แตกออกจากเมืองมาหากองทัพกรุงเว้ขออาหารกินบ้าง  ที่แตกหนีเข้าป่าไปบ้าง  เพราะฉะนั้นกองทัพกรุงเว้จึงเข้าเมืองไซ่ง่อนได้  ก็จับองภอเบโคยลันเบียหัวหน้าขบถกับพรรคพวกรวมคิดเป็นขบถด้วยกันนั้น  จึงได้จับส่งไปกรุงเว้สิ้น  ฝ่ายพระเจ้าเวียดนามมีรับสั่งว่า  องภอเบโคยลันเบียคนนี้ก่อเหตุเป็นขบถแต่ตัวยังหาพอไม่  กลับนัดหมายให้กองทัพไทยมาช่วยตีเมืองญวนอีกเล่า  โทษองภอเบโคยลันเบียนี้มีมากนัก  จึงตรัสสั่งให้พาบุตรภรรยาญาติพวกพ้ององภอเบโคยลันเบียไปฆ่าเสียสิ้นกว่าร้อยคน  แต่องภอเบโคยลันเบียนั้นสั่งให้เชือดเนื้อวันละก้อนกว่าจะตาย  ทำทรมานอยู่สี่ห้าวัน  องภอเบโคยลันเบียก็ถึงแก่ความตาย


          ฝ่ายองเตียนกุนแม่ทัพใหญ่จึงยกกลับมาจากเมืองไซ่ง่อนมาตั้งอยู่เมืองพนมเปญ  แล้วบังคับสั่งให้พระยาพระเขมรนุ่งกางเกงห่มเสื้อโพกศีรษะแต่งตัวอย่างเพศญวน  สมทบกับนายทัพนายกองไปรักษาหัวเมืองใหญ่น้อยที่เป็นทางกองทัพไทยจะลงไปเมืองพนมเปญนั้น  กองทัพญวนตั้งอยู่ที่เมืองโปริสาด ๑  เมืองสะโทง ๑  เมืองกำพงสวาย ๑  สามเมืองนี้เป็นทัพใหญ่  มีค่ายญวนทุกเมือง  และเมืองอื่นทั้งหลายนั้น  ญวนก็ไปตั้งรักษาพร้อมด้วยพระยาพระเขมรทุกเมือง  ด้วยองเตียนกุนแม่ทัพใหญ่คิดกับนักพระองจันทร์เจ้ากรุงกัมพูชาว่า    “ไทยคงจะยกทัพมาตีเมืองเขมรอีกเป็นแน่”

          ครั้น ณ เดือนยี่ขึ้นสิบเอ็ดค่ำปีมะเมียฉศกจุลศักราช ๑๑๙๖  นักพระองจันทร์เจ้ากรุงกัมพูชาป่วยเป็นไข้พิษถึงแก่พิราลัยที่เมืองพนมเปญ  พระชนมายุได้ ๔๔ ปี  เมื่อได้อภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชาแล้วนั้นชนมายุได้ ๑๖ ปี  อยู่ในราชสมบัติได้ ๒๘ ปี  นักพระองจันทร์มีราชบุตรี ๔ องค์  เป็นหญิงทั้งสิ้น  หามีราชกุมารไม่  ราชบุตรี ๔ องค์นั้น  ที่ ๑ ชื่อนักนางแป้น  ที่ ๒ ชื่อนักนางมี  ที่ ๓ ชื่อนักนางเภา  ที่ ๔ ชื่อนักนางสงวน  นักนางสงวนนี้ยังเยาว์นัก  ไม่ได้โสกันต์  นักองแป้นนั้นมารดาชื่อนักองเทพเทพี  นักองเทพเทพีเป็นน้องสาวนักองแก้ว  นักองแก้วกับนักองเทพเทพีตกเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อนักองจันทร์พระเจ้ากรุงกัมพูชาหนีไปเมืองญวน


นักองมี
รับบทโดย สโรชา วาทิตตพันธ์   ในละคร "ข้าบดินทร์"

          ครั้งนั้น  พระเจ้าเวียดนามมีรับสั่งมาให้องเตียนกุนตั้งเจ้าเขมรผู้หญิงทั้งสามองค์ยกขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินเขมร  ตั้งนักองแป้นเจ้าผู้ใหญ่ให้เป็นเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชา  แล้วให้นักองมีเป็นที่มหาอุปราชฝ่ายหน้า  ให้นักองเภาเป็นที่พระมหาอุปราชฝ่ายหลัง

          ครั้นญวนยกย่องตั้งแต่งเจ้าเขมรผู้หญิงเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรแล้ว  แต่งขุนนางญวนอยู่กำกับราชการบ้านเมืองด้วย  ชั้นแต่ขุนนางในตำแหน่งนอกตำแหน่งหัวเมืองทั้งปวงนั้น  ญวนก็ตั้งแต่งเขมรขึ้นเต็มหน้าที่ทุกตำแหน่งไว้สำหรับรับกองทัพไทย


          ครั้งนั้นพระเจ้าเวียดนามคิดอยากได้แผ่นดินเขมรให้ขึ้นเป็นสิทธิ์ขาดอยู่ในใต้อำนาจญวนทีเดียว  พระเจ้าเวียดนามจึงมีหนังสือรับสั่งเป็นการลับ ๆ มาถึงองเตียนกุนแม่ทัพให้ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมพระยาพระเขมรผู้ใหญ่ว่า

           “เมืองเขมรมีแต่เจ้าผู้หญิงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  จะว่าราชการเมืองให้ยืดยาวไปไม่ได้”  ถ้ามีราชการทัพศึกสำคัญมาก็จะเป็นการเดือดร้อนแก่สมณพราหมณาจารย์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินยิ่งนัก  พระเจ้าเวียดนามมีพระราชประสงค์จะให้พระราชบุตรชายมาอภิเษกด้วยนักองแป้นเจ้าหญิงเขมร  จะได้ช่วยว่าราชการปกครองแผ่นดินเขมรต่อไปให้เป็นการวัฒนาถาวรสืบกษัตริย์สัมพันธมิตรไมตรีกันไปชั่วฟ้าและดิน  เมื่อพระยาพระเขมรผู้ใหญ่ผู้น้อยได้แจ้งถ้อยคำองเตียนกุนแม่ทัพญวนพูดดังนั้นแล้ว  จึงพร้อมกับบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายเขมรพูดอ้อนวอนองเตียนกุนว่า

          “เขมรกับญวนผิดชาติต่างภาษากัน  แล้วเจ้าหญิงฝ่ายเขมรก็เป็นเมืองน้อย  ไม่คู่ควรจะอภิเษกด้วยพระราชบุตร  ฝ่ายญวนเป็นเมืองใหญ่ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศกรุงเวียดนามไป  พระยาเขมรทั้งปวงไม่ยอมให้เจ้าหญิงเขมรเป็นภรรยาเจ้าชายฝ่ายญวน”  เมื่อองเตียนกุนเห็นว่า  “พระยาพระเขมรผู้ใหญ่ผู้น้อยพูดจาโต้ตอบขัดขืนแข็งแรงดังนั้นแล้ว  องเตียนกุนจึงตรึกตรองว่า  ถ้าหักหาญข่มขืนให้เจ้าหญิงเขมรอภิเษกกับเจ้าชายฝ่ายญวนให้ได้  กลัวพวกเขมรจะขัดใจก็จะเป็นกบฏขึ้นทุกบ้านทุกเมือง”  ฝ่ายญวนจะระงับลงก็จะยากหนัก  จึงได้นิ่งความสงบไว้  ไม่พูดจาตักเตือนประการใดต่อไป


          ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาตั้งอยู่ที่เมืองพระตะบอง  จึงแต่งให้เขมรไปสืบราชการที่เมืองโปริสาดนั้น  หลวงสมบัติบริบูรณ์เขมรไปสืบได้ความกลับมาแจ้งว่า

           “นักองจันทร์เจ้ากรุงกัมพูชาป่วยเป็นไข้พิษ  ถึงแก่พิราลัย ณ เมืองพนมเปญแล้ว”

           บัดนี้ญวนคิดการใหญ่  จะให้เจ้าชายราชบุตรพระเจ้าเวียดนามมาอุปภิเษกด้วยนักองแป้นเจ้าหญิงฝ่ายเขมร  พระยาพระเขมรไม่ยอมตามญวน  ญวนก็ตั้งรักษาบ้านเมืองเขมรทุกทิศทุกทาง  พวกเขมรได้ความเดือดร้อนมากอยู่แล้ว  ตั้งแต่นักองจันทร์ถึงพิราลัยแล้วพระยาพระเขมรผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สอดหนังสือลับมาถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชาเป็นใจความว่า


           “พวกพระยาพระเขมรทั้งปวงไม่มีที่พึ่ง  เพราะนักองจันทร์ถึงแก่พิราลัยแล้ว  และไม่สมัครเป็นข้าญวน  จะขอเป็นข้าพึ่งพระบารมีพระบรมโพธิสมภารพระเดชานุภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพพระมหานครไปอย่างเดิม  ขอให้กองทัพไทยยกลงไปตีญวน  พวกเขมรจะช่วยเป็นไส้ศึกจับญวนฆ่าเสียให้สิ้นเชิง”

          เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงส่งต้นหนังสือของพระยาพระเขมรเข้ามายังกรุงเทพฯ  แล้วมีใบบอกขอท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ออกไปช่วยคิดราชการที่เมืองพระตะบองสักคนหนึ่ง  ใช้ให้หลวงอภัยเสนาถือเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย  ได้ทรงทราบแล้วมีพระราชดำรัสว่า

           “เมืองเขมรคราวนี้เป็นหายนะเสื่อมอำนาจลง  เพราะนักองจันทร์ก็มาตายเสียกำลังระหว่างทัพศึกดังนี้  เป็นท่วงทีเราหนักหนา  ควรจะคิดปราบปรามกัมพุชประเทศต่อไป”


          จึงโปรดให้มีตราตอบออกไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาคิดอ่านจัดการตีเมืองเขมรมาขึ้นกรุงเทพฯ ให้ได้เหมือนอย่างแต่ก่อน  ถ้าไม่ได้มาขึ้นก็ให้ทำลายล้างเมืองเขมรให้เป็นป่า  ให้เหลือแต่แผ่นดินกับภูเขาแม่น้ำลำคลองเท่านั้น  กวาดต้อนครอบครัวมาใส่บ้านเมืองไทยเสียให้หมดอย่าให้เหลือเลย  ให้ทำเมืองเขมรให้เหมือนกับเมืองเวียงจันทน์ครั้งเจ้าอนุนั้นก็เป็นการดีเหมือนกัน  ซึ่งจะให้เสนาบดีผู้ใดอออกไปช่วยคิดราชการนั้น  ไม่ทรงเห็นว่าผู้ใดจะดีกว่าเจ้าพระยาบดินทรเดชานั้นก็ไม่มีตัวแล้ว  การงานบ้านเมืองเขมรทั้งนี้สุดแล้วแต่เจ้าพระยาบดินทรเดชาจะคิดราชการให้เป็นเกียรติยศแก่ไทยฝ่ายเดียวเถิด  ทรงมอบพระราชดำริและพระราชประสงค์ไว้ในเจ้าพระยาบดินทรเดชาทั้งสิ้น  ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดี (ชื่อโต) ออกไปเป็นแม่กองจัดคนลำเลียงเสบียงอาหารกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา  ไม่ให้ขัดสนทุกทัพทุกกอง  ครั้งนั้นพระยาราชสุภาวดีไปตั้งกองส่งเสบียงอยู่ที่เมืองปราจีนบุรีและเมืองกบินทรบุรี  ได้ส่งข้าวเกลือออกไปยังเมืองพระตะบองเนือง ๆ...”


          เขมรกลายเป็นเหมือน “กบเลือกนาย”   นักองจันทร์ไม่พอใจไทยก็หนีไปพึ่งญวน  เป็นการ “ชักศึกเข้าบ้าน” โดยแท้  พอกองทัพไทยล่าถอยกลับมาจากเขมร  ญวนก็พานักองจันทร์กลับมาครองกรุงกัมพูชา  แล้วญวนก็ปกครองเขมร  ตั้งแต่งขุนนางญวนกำกับเขมรทุกบ้านทุกเมือง  บังคับให้ขุนนางเขมรแต่งกายแบบขุนนางญวน  ครั้นนักองจันทร์ถึงแก่พิราลัย  ญวนก็ตั้งราชธิดานักองจันทร์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน  แล้ววางแผนฮุบเขมรทั้งชาติเป็นของญวน  ด้วยการจะให้ราชบุตรญวนอภิเษกกับเจ้าหญิงเขมรที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมร  ดีที่พวกขุนนางเขมรไม่ยินยอม  และเริ่มตีตัวออกหากจากญวน  จึงมีหนังสือไปขอให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาช่วยปลดแอกญวนให้เขมรด้วย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบหมายหน้าที่จัดการบ้านเมืองเขมรให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาคิดอ่านจัดการตามที่เห็นสมควร  และอานามสยามยุทธยกที่ ๓ จึงได้เริ่มขึ้นแล้ว  พรุ่งนี้มาอ่านกันต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, ข้าวหอม, ชลนา ทิชากร, กร กรวิชญ์, Thammada, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #111 เมื่อ: 01, พฤศจิกายน, 2563, 10:19:58 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๒ -

ญวนจับพลตระเวนไทยเอาไปขัง
“มินมาง”สั่งปล่อยปลอดรอดตัวได้
ฝากหนังสืออวดตัวดีทั่วไป
ทั้งมีใจยึดมั่นกตัญญู

ชวนเขมรเตรียมย่ำจำปาศักดิ์
ไทยตั้งหลักยืนรอพร้อมต่อสู้
จัดกำลังนับพันเตรียมพันตู
ให้ญวนรู้ฝีมือไทยฦๅชา


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน  ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้  จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓  ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่.. ญวนยึดเมืองไซ่ง่อนได้  แล้วพระเจ้ามินมางประหารชีวิตพวกกบฏเสียสิ้น  องเตียนกุนเสนาบดีใหญ่ยกมาตั้งอยู่ในเขมร  บังคับให้ขุนนางเขมรแต่งกายแบบญวน  ตั้งแต่งขุนนางญวนเข้าคุมขุนนางเขมรหมดทุกบ้านทุกเมือง  ครั้นนักองจันทร์ถึงแก่พิราลัย  พระเจ้ามินมางสั่งให้องเตียนกุนตั้งราชธิดานักองค์จันทร์ปกครองกัมพูชา  แล้วมีแผนยึดครองเขมรทั้งหมด  โดยให้ราชบุตรของตนอภิเษกกับราชธิดานักองจันทร์  แต่ขุนนางเขมรไม่ยอมรับ  จึงมีหนังสือลับถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชาขอให้ช่วยขับไล่ญวน  เขมรขอเป็นข้าขอบขัณฑเสมาไทยอย่างเดิม  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาจัดการบ้านเมืองเขมรให้เป็นประโยชน์แก่ไทยต่อไป  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ.......


           “ ฝ่ายจมื่นมณเฑียรพิทักษ์ปลัดกรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ  กับจมื่นมหาดเล็กหัวหมื่นมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรฯ  สองนายนี้เป็นแม่กองนายเรือตระเวนรักษาด่านทางข้างทะเล  ตั้งที่ชุมนุมอยู่ที่เกาะกงหน้าเมืองตราดนั้น  จึงแต่งให้ขุนตระเวนนาเวศร์กับนายเพ็งคุมไพร่ไทย ๒๐  จีน ๑๓  รวม ๓๓ คน  ลงเรือรบเล็กไปสืบราชการที่เมืองบันทายมาศ  แต่ยังไม่ถึงเมืองบันทายมาศ  แล่นใบไปถึงเขาช่องลม  พอพบเรือกองตระเวนญวน  ญวนจึงนำเรือรบใหญ่หลายลำเข้าไล่ล้อมจับเรือตระเวนไทยไปได้  พาไปส่งแม่ทัพญวนที่เมืองบันทายมาศ  องตุ้มภู่แม่ทัพเรือฝ่ายญวนให้จีนล่ามถามขุนตระเวนนาเวศร์  ขุนตระเวนนาเวศร์ให้การรับสารภาพว่า

“จมื่นมหาดเล็กนายกองเรือตระเวนไทย  ตั้งอยู่ที่เกาะกง  ใช้ให้ข้าพเจ้ามมาสืบราชการทัพญวน”

          องตุ้มภู่ให้ล่ามถามว่า     “เมื่อญวนเข้าล้อมจับไทย  ไทยได้ต่อสู้หรือเปล่า”

          ขุนตระเวนนาเวศร์ให้การว่า   “ไม่ได้สู้เลย  ลดใบยอมให้จับโดยดี”

          องตุ้มภู่ให้จีนล่ามถามอีกว่า     “เมื่อลดใบลงแล้ว  พวกญวนขึ้นบนเรือไปจับมัดมานั้น  ไทยได้ตระเตรียมจับอาวุธสอดเครื่องรบหรือไม่?”

          ขุนตระเวนนาเวศร์ให้การว่า     “ไม่ได้จับต้องอาวุธเลย  ญวนเรียกให้ขึ้นมาจากเรือไทย  ให้ลงในเรือญวน  พวกไทยก็เดินมาลงโดยดี”

          องตุ้มภู่ให้เสมียนจดหมายถ้อยคำให้การไว้ทั้งสามครั้ง  แล้วจึงถามพวกญวนเรือตระเวน  สอบกับคำให้การไทย  ญวนก็แจ้งความถูกต้องกันแล้ว  องตุ้มภู่จึงสั่งญวนรับใช้พาไทยทั้งนายไพร่ไปจำตรวนขังตะรางไว้สองเดือนเศษ  แล้วมีใบบอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าเวียดนาม  พระเจ้าเวียดนามมีรับสั่งให้เสนาบดีมีท้องตราตอบมายังองตุ้มภู่ใจความว่า

           “พวกไทยตระเวนเรือมันไม่สู้รบ  ให้ถอดจำ  ปล่อยไปทั้งนายไพร่  เรือและสิ่งของในเรือก็ให้คืนให้ไปจนสิ้นให้ครบ”


          องตุ้มภู่ได้รับท้องตราบังคับมาจากกรุงเว้ดังนั้นแล้ว  จึงให้ชำระพาสิ่งของในเรือไทยคืนมาให้หมด  มอบให้ขุนตระเวนนาเวศร์คุมเรือกลับมา  ครั้งนั้นองตุ้มภู่จ่ายเสบียงอาหารให้ขุนตระเวนนาเวศร์พอกินกลับมายังเกาะกง  องตุ้มภู่ฝากหนังสือฉบับหนึ่งมาถึงเจ้าพระยาพระคลังเสนาบดีไทย  ขุนตระเวนนาเวศร์ก็กลับมายังจมื่นมหาดเล็ก  จมื่นมหาดเล็กส่งต้นหนังสือญวนกับตัวขุนตระเวนนาเวศร์เข้ามาให้เจ้าพระยาพระคลัง  เจ้าพระยาพระคลังให้ล่ามแปลหนังสือญวนออกเป็นภาษาไทยใจความว่า

           “ฝ่ายญวนตั้งอยู่ในความกตัญญูไทยมาก  ญวนคิดถึงพระคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระโกศที่เสด็จสวรรคตแล้วนั้น (คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ท่านได้ทรงช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเวียดนามยาลวง (คือองเชียงสือ) ต้นวงศ์ญวนนี้มาจนได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินญวนกรุงเว้  เพราะฉะนั้นญวนจึงไม่อยากจะคิดฆ่าฟันไทยให้ถึงแก่ความตาย  กลัวจะเสียทางกตัญญูเดิมไป  เมื่อกองทัพไทยยกไปตีเมืองบันทายมาศ  ฝ่ายญวนกลัวจะต้องฆ่าไทย  จึงได้ทิ้งเมืองบันทายมาศเสีย  ล่าถอยไปตั้งพักพลอยู่ที่เมืองโจดก  กองทัพไทยก็กำเริบยกไล่เข้าไปถึงเมืองโจดก  ญวนก็ทิ้งเมืองโจดก  ล่าถอยไปตั้งอยู่ที่ปากคลองวามะนาว  กองทัพไทยก็รุกไล่ต่อไปอีกถึงปากคลองวามะนาว  ฝ่ายญวนไม่อยากจะรบราฆ่าฟันไทย  จึงได้ทิ้งค่ายปากคลองวามะนาวเสีย  ล่าถอยเป็นคำนับไทยถึงสามครั้ง  จึงถอยไปตั้งอยู่ที่ค่ายเก่า  “เจียนทราย” คือเกาะแตง  ฝ่ายกองทัพไทยก็ยิ่งรุกไล่ตีต่อไปไม่หยุด  ฝ่ายญวนเห็นว่าถอยทัพเป็นการคำนับถึงสามครั้งแล้ว  ไทยก็ไม่ฟัง  ยังไล่ติดตามตีอยู่เสมอ  ฝ่ายญวนเหลือที่จะรักษาชีวิตไว้ต่อสู้ความกตัญญูได้  จึงได้สู้รบบ้างพอเป็นการป้องกันรักษาชีวิตเท่านั้น  ไม่ได้คิดจะต่อสู้ให้ไทยแตกตายก็หาไม่  กองทัพไทยก็ตกใจกลัวรีบถอยหนีแตกไปเอง  ถึงเช่นนั้นนายทัพนายกองญวนก็ไม่ได้ซ้ำเติมตามตีไทยเลย  ถ้าญวนจะนำทัพบกทัพเรือออกก้าวสกัดตามตีไทย  ที่ไหนไทยจะหนีรอดไปได้  เพราะเรือรบไทยไทยก็ทิ้งเสียหมดไม่พาไปเอง  ใช่ญวนแย่งชิงเรือรบของไทยไว้เมื่อไรเล่า  ขณะไทยทิ้งเรือรบและทิ้งค่ายบกช้างม้าเสียมากตกใจตื่นแตกหนีไปนั้น  ฝ่ายญวนมีไพร่พลพร้อมอยู่ทั้งทัพบกและทัพเรือถึงสิบหมื่น (คือแสนหนึ่ง)  มีเรือรบใหญ่น้อยอยู่ถึงพันลำเศษ  มีช้างถึงแปดร้อย  มีม้าถึงสี่พัน  ถ้าญวนจะติดตามตีขนาบไปทั้งทางบกและทางเรือพร้อมกัน  ก็จะไม่ได้ชัยชนะแก่ไทยบ้างหรือ  การที่แม่ทัพญวนไม่ได้ยกใหญ่ไล่ติดตามจับไทยมาเป็นเชลยนั้น  เพราะแม่ทัพญวนถือรับสั่งพระเจ้าเวียดนามมินมางพระองค์ใหม่นี้ว่า  พระเจ้าเวียดนามยาลวงพระองค์ก่อนสั่งไว้  ไม่ให้ญวนทำอันตรายแก่ไทยตามหมายประกาศพระเจ้าเวียดนามยาลวง  มีรับสั่งไว้ให้แม่ทัพญวนทั้งบกและเรือให้รู้ทั่วกันว่า   “ไทยมีพระคุณกับพระองค์ท่านมาก  ถ้าไทยมาก่อการศึกก่อน  ให้ญวนรักษาแต่เขตแดนไว้ให้มั่นคง  อย่าให้ญวนก่อเหตุนอกรับสั่งไป  ไม่ให้ทำอันตรายแก่ไทยผู้มีพระคุณ  ให้ญวนรักษาหมายประกาศประพฤติตามรับสั่งพระเจ้ายาลวงดังนี้ชั่วฟ้าและดิน  บนฟ้ามีเทพยดา  ที่ดินมีมนุษย์เห็นความดีและชั่ว”


          (สิ้นความในหนังสือญวนเท่านี้  ครั้นพิเคราะห์ดูข้อความตามที่ญวนยกตัวว่า  เป็นผู้ตั้งอยู่ในความกตัญญู  คิดถึงบุญคุณไทย  ไม่ทำอันตรายแก่ไทยนั้น  เนื้อความข้อที่ญวนพูดมานี้  ก็ไม่สมกับเมื่อญวนรบกับไทย  ไทยฆ่าญวน  ญวนก็ฆ่าไทยเหมือนกัน  กิริยาญวนเมื่อล่าถอยหนีไทย  และเมื่อรบกับไทยนั้น  ไม่สมกับถ้อยคำญวนพูดมานี้เลย  จึงเห็นว่าญวนกล่าวเท็จไม่จริงทั้งสิ้น  อนึ่งเมื่อรบกันที่เมืองโจดก,  เมืองบันทายมาศ,  ปากคลองวามะนาว,  ปากคลองสี่แยกสะแดก,  ทุกแห่งนั้น  ญวนก็สู้รบเป็นสามารถทุกแห่ง  ถึงการที่ญวนทิ้งเมืองทั้งสองและทิ้งค่ายทั้งสองแห่งเสีย  แล้วญวนล่าทัพถอยหนีนั้น  สืบถามญวนเชลยที่จับเป็นมาได้  ก็บอกว่าทิ้งเมืองทิ้งค่ายหนีไปเพราะไพร่พลมีน้อย  ไม่พอจะรับรองไทย  ด้วยไพร่ญวนเกณฑ์ไปล้อมเมืองไซ่ง่อนอยู่มาก  ญวนสู้ไทยไม่ได้จึงทิ้งเมืองและค่ายหนีไป  เมื่อไทยเสียทีแก่ญวนที่เกาะแตงนั้น  ไทยล่าถอยหนีมา  ฝ่ายญวนก็ตามตีตามตีถึงสองครั้งสามครั้งโดยสามารถทุกที  ญวนทำการไม่สมกับที่พูดว่าไม่ได้ตามตีไทยนั้น  ญวนพูดไม่จริงเลย)


          ลุจุลศักราช ๑๑๙๗ ปีมะแม สัปตศก เป็นปีที่ ๑๒  ในรัชกาลแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ  ครั้งนั้นพระยาบำเรอภักดิ์กับหลวงราชมานู  ข้าหลวงอยู่ช่วยราชการรักษาเมืองจำปาศักดิ์  ครั้งนี้เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์  คิดราชการกับพระยาบำเรอภักดิ์  เกณฑ์ลาวหัวเมืองขึ้น ๑,๐๐๐ คน มารักษาบ้านเมือง  เพราะได้ข่าวว่าเขมรจะยกมาตีเมืองลาว


          ครั้งนั้นองเตียนกุนแม่ทัพญวนใช้ให้องเยื่อนเป็นแม่ทัพ  ให้สมเด็จเจ้าพระยาเขมรกับพระยาสุภาธิราชผู้ช่วยราชการเป็นสามนายด้วยกัน  คุมไพร่เขมรพันหนึ่ง  ญวนสามร้อยคน  ยกมาตั้งรักษาด่านทางอยู่ที่เมืองกำพงสวาย  และบ้านท่ามะนาว  พระยาบำเรอภักดิ์กับหลวงราชมานูข้าหลวงบอกลงมากรุงเทพฯว่า  “ทัพญวนเขมรยกมาใกล้เมืองนครจำปาศักดิ์  เมืองนครจำปาศักดิ์ได้เกณฑ์ไพร่ลาวไปตั้งรักษาด่านทางอยู่บ้าง”


          เมื่อได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว  ทรงพระดำริว่า   “พระยาบำเรอภักดิ์มีไพร่พลแต่ลาวหาแข็งแรงไม่  จึงโปรดให้มีตราเกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองเหนือชั้นในเป็นคนพันเศษ  ให้ยกขึ้นไปเข้าในกองทัพพระยาราชนิกูล  พระยาราชนิกูลเป็นแม่ทัพไปรักษาเมืองนครจำปาศักดิ์และเมืองอุบลราชธานี”.........


          ** หนังสือ (จดหมาย) ญวนก็เป็น  “แผ่นเสียงตกร่อง”  อยู่นั่นแหละ  ไม่มีความอะไรใหม่เลย  กล่าวโกหกมดเท็จอย่างหน้าตาเฉย  เฉพาะในข้อที่ว่าไม่ได้ยกตามตีไทย  แต่ข้อเท็จจริงมีอยู่ชัดเจนว่า  ญวนยกทัพบกตามตีกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา  แล้วถูกเจ้าพระยาบดินทรเดชาวางกลอุบาย  “ค่ายนรกแตก”  ที่โคกสะแก  ฆ่าญวนตายเกือบหมดสิ้นทั้งกองทัพ  ตายคาค่าย ๑,๔๑๕  เจ็บป่วยลำบาก ๔๑๖  จับเป็นได้ ๑๖๔   ญวนสี่ทัพ ๒,๒๐๐ คน  หนีรอดไปได้เพียง ๓๖ คนเท่านั้น  อีกทัพหนึ่งของญวนยกตามไปฆ่าไทยกองทัพพระยานครสวรรค์เสียสิ้นทั้ง ๑,๐๐๐ คน   อีกทัพหนึ่งของญวนยกตามตีทัพเจ้าพระนครราชสีมาไปถึงเมืองบาพนม  ถูกเจ้าพระยานครราชสีมาวางกลอุบายเช่นเดียวกับเจ้าพระยาบดินทรเดชา  ฆ่าทัพหน้าญวนเสียสิ้นไป ๘๐๐ คน  แล้วยังมีทัพใหญ่ญวนที่ไล่ตามตีทัพพระยามณเฑียรบาลวังหน้าอีกเล่า  เรื่องเหล่านี้ญวนมิได้นำมากล่าวในหนังสือจดหมายของเขาเลย  และตอนนี้ญวนเชิดหุ่นเขมรเตรียมตีนครจำปาศักดิ์ของไทยแล้ว  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, น้ำหนาว, ลิตเติลเกิร์ล, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, ก้าง ปลาทู, Thammada, ลายเมฆ, ชลนา ทิชากร, ปิ่นมุก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #112 เมื่อ: 08, พฤศจิกายน, 2563, 10:45:38 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๓ -

เขมรไม่ล่วงล้ำจำปาศักดิ์
ถอยตั้งหลักพนมเปญงดเข่นฆ่า
แม่ทัพไทยจัดการงานนานา
ไร้ปัญหาพระตะบองสนองงาน

มีท้องตราเรียกกลับกรุงเข้าเฝ้า
“พระนั่งเกล้า”ทรงปฏิสัณฐาร
ทูลขอตั้ง“นักสุราย”หนึ่งชายชาญ
ทรงประทานยศพระยาด้วยป


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...  กองลาดตระเวนจากเกาะกงนำเรือเล็กออกลาดตระเวนไปสืบราชการเมืองบันทายมาศถูกญวนจับได้  นำไปขังตะรางไว้สองเดือน  พระเจ้ามินมางได้รับทราบรายงานแล้วทรงสั่งให้ปล่อยตัว  องตุ้มภู่แม่ทัพญวนเมืองบันทายมาศจึงปล่อยตัวพร้อมฝากหนังสือญวนให้เจ้าพระยาพระคลังฉบับหนึ่ง  ความในหนังสือไม่มีอะไรใหม่  มีแต่ยกย่องตนเองว่าเป็นคนเก่งคนดีมีความกตัญญูรู้บุญคุณไทย  เจ้าพระยาพระคลังอ่านแล้วก็เพิกเฉยเสีย  ต่อมาพระยาบำเรอภักดิ์ข้าหลวงอยู่ช่วยราชการนครจำปาศักดิ์มีรายงานเข้ากรุงเทพฯว่า  ญวนร่วมกับเขมรยกมาตั้งกองกำลังอยู่ใกล้นครจำปาศักดิ์  เจ้าเมืองไม่ไว้ใจแก่ราชการ  จึงเกณฑ์ไพร่พลลาวได้ ๑,๐๐๐ คนตั้งรักษาเมืองอยู่  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า  ไพร่พลลาวที่เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์เกณฑ์มานั้นไม่แข็งแรงพอ  จึงโปรดให้เกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองเหนือชั้นในได้คนพันเศษ  ให้เข้าในกองทัพพระยาราชนิกูล  พระยาราชนิกูลเป็นแม่ทัพยกไปรักษาเมืองนครจำปาศักดิ์  วันนี้มาอ่านความต่อครับ.....


           “ฝ่ายพระยาราชนิกูล (เสือ) ยกขึ้นไปถึงเมืองลาวแล้ว  จึงมีใบบอกลงมายังกรุงเทพฯว่า    “ได้แต่งให้พระจันทราทิตย์กับหลวงเพชรไพโรจน์ข้าหลวงในพระราชวังหลวง  และจมื่นศักดิ์บริบาลปลัดกรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ”  เป็นข้าหลวงสามนาย  กำกับทัพเมืองพิจิตรยกขึ้นไปถึงเมืองอุบลราชธานีแล้ว  ได้เร่งรัดให้พระพรหมราชวงศ์อุปฮาด ท้าวเพี้ยเมืองอุบลราชธานี  ทำค่ายเสาไม้แก่นยาวสามสิบเจ็ดเส้น  กว้างสิบสี่เส้น  สูงเจ็ดศอก  มีป้อมเจ็ดป้อม,  มีหอรบประจำทุกประตู  และขุดสนามเพลาะรอบค่าย  ได้ปลูกยุ้งฉางข้าวหลังหนึ่ง  จุข้าวประมาณพันเกวียน  และได้ปลูกโรงปืนศาลาพักทหารสี่หลัง  แล้วก่อตึกดินดำหลังหนึ่ง  ทำการค่ายไว้สำหรับรักษาเมืองพร้อมทุกสิ่งแล้ว  จึงให้ข้าหลวงสามนายคุมทัพเมืองพิจิตร  พร้อมด้วยพระปลัดเมืองพิจิตรอยู่รักษาเมืองอุบลราชธานี  พระพรหมราชวงศาเจ้าเมืองอุบลราชธานีเกณฑ์ไพร่พลลาวมาเข้าสมทบกับกองทัพไทยด้วย  

          พระยาราชนิกูลก็ยกขึ้นไปถึงเมืองอุบลราชธานี  ได้ตรวจตราค่ายคูประตูหอรบ  แล้วสั่งกำชับเจ้าเมืองและข้าหลวงสามนายให้อยู่ป้องกันรักษาบ้านเมืองให้มั่นคง  ถ้ามีข้าศึกมาหนักเบาให้บอกขึ้นไปจะได้จัดให้กองทัพเพิ่มเติมมาช่วยราชการอีก แล้วพระยาราชนิกูล พระ หลวง หัวเมืองเหนือก็ยกกองทัพขึ้นไปถึงเมืองจำปาศักดิ์  ฝ่ายพระยาบำเรอภักดิ์กับหลวงราชมานูอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ก่อนนั้น  จึงมาแจ้งข้อราชการแก่พระยาราชนิกูลว่า  


           “เมื่อนักองจันทร์เจ้ากรุงกัมพูชายังไม่ถึงแก่พิราลัยนั้น  พระยาเดโชรามเขมรมีหนังสือบอกลงไปถึงนักองจันทร์ที่เมืองพนมเปญว่า  ครอบครัวเขมรอพยพหนีไปอยู่ในเขตแดนเมืองลาวที่ขึ้นแก่กรุงเทพฯนั้นเป็นอันมาก”     ฝ่ายนักองจันทร์เจ้ากรุงกัมพูชาจึงใช้ให้สมเด็จเจ้าพระยา กับเจ้าพระยาราชไมตรี และพระยาสุภาธิราช  สามคนเป็นแม่ทัพคุมไพร่พลเขมร ๓,๕๐๐ คน ยกมาตั้งรักษาด่านทางเมืองกำแพงสวาย  แล้วสมเด็จเจ้าพระยาเขมรแบ่งไพร่พลในกองออก ๕๐๐  แล้วให้สนองน้อยคนหนึ่ง  กับไกรแบนคนหนึ่ง  เป็นแม่กองคุมไพร่ ๕๐๐  ยกมาตั้งรักษาเมืองสะโทงใกล้บ้านไตรปิง  เมื่อก่อนหน้ากองทัพกรุงเทพฯจะยกขึ้นถึงเมืองจำปาศักดิ์นั้น  สมเด็จเจ้าพระยาเกณฑ์ไพร่เขมรป่าดง ๕๐๐  ให้พระอนุชิตสงครามเขมรคุมไพร่เขมร ๕๐๐ กับช้าง ๓๐  เดินมาลาดตระเวนถึงบ้านขันแตกพรมแดนเมืองลาวขึ้นแก่กรุงเทพฯ นั้น  เกือบจะได้รบกับพวกลาวชาวด่านบ้านขันแตก  ทัพช้างเขมรยกมาวันหนึ่งก็ถอยทัพกลับไป  ตั้งรออยู่ที่บ้านปากทางในเขตแขวงเขมร


          พระยาราชนิกูลได้ทราบดังนั้นแล้วจึงพูดว่า   “สมเด็จเจ้าพระยาเขมรมีไพร่พลเขมรมามาก  รวมสามทัพถึง ๔,๐๐๐ คนนั้น  ไม่ไว้ใจแก่ราชการ  เห็นว่าเมืองจำปาศักดิ์ชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว  ไม่เป็นที่รับทัพข้าศึกได้มั่นคง  ถ้าเกลือกว่ามีทัพเขมรหรือญวนมาย่ำยีเมืองจำปาศักดิ์  แล้วก็จะเสียท่วงทีแก่ข้าศึก  พระยาราชนิกูลจึงเกณฑ์ลาวทำค่ายเสาไม้แก่นขึ้นค่ายหนึ่งยาวสามสิบเจ็ดเส้น  กว้างเก้าเส้นสิบวา  สูงเจ็ดศอก  มีป้อมหกป้อม  มีหอรบทุกประตู  ขุดสนามเพลาะคูรอบค่าย  ให้ปลูกฉางข้าวเจ็ดหลัง  ปลูกโรงปืนและศาลาพักไพร่พลสี่หลัง  ก่อตึกไว้ดินดำพร้อม  สำหรับรักษาบ้านเมืองจำปาศักดิ์ให้มั่นคงแข็งแรง  จึงมอบให้เจ้าเมืองจำปาศักดิ์กับพระยาบำเรอภักดิ์ หลวงราชมานู อยู่รักษาค่ายและบ้านเมือง

          พระยาราชนิกูลก็เดินทัพต่อไปใกล้บ้านขันแตก  ตั้งพักทัพอยู่ที่ด่านนอกบ้านโพนเสม็ดเขตแดนลาว  ครั้งนั้นใช้ให้ท้าวเกิดกับหลวงชัยสงครามเขมรเมืองอัตปือลอบลงไปสืบทัพสมเด็จเจ้าพระยาเขมร  กลับมาแจ้งความว่า

           “สืบได้ข่าวว่า  กองทัพสมเด็จเจ้าพระยาเขมรยกเลิกกลับไปเมืองพนมเปญหมดแล้ว”


          พระยาราชนิกูลก็เดินทัพไปถึงเมืองพระตะบอง  แล้วแจ้งราชการต่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาจัดราชการบ้านเมืองเขมรเรียบร้อยเป็นปรกติ  จึงมอบบ้านเมืองเขมรให้นักองอิ่มและนักองด้วงเสร็จแล้ว  จึงมีใบบอกให้หลวงเสนาภักดีถือเข้ามายังกรุงเทพฯ  โปรดเกล้าฯให้มีตราหาตัวเจ้าพระยาบดินทรเดชาเข้ามาแจ้งราชการบ้านเมืองเขมรยังกรุงเทพฯ


          ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาและพระยา พระ หลวง นายทัพนายกอง พร้อมกันยกทัพกลับเข้ามายังกรุงเทพฯ  พระยาศรีสหเทพนำเจ้าพระยาบดินทรเดชาแม่ทัพเข้าเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท  ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปฏิสัณฐารปราศรัยว่า

           “ฉันเห็นหน้าพี่บดินทรแล้วก็กินข้าวได้”

          แล้วทรงจับพระเขนยอิงซึ่งทรงพิงพระขนองอยู่นั้นโยนไปพระราชทานให้เจ้าพระยาบดินทรเดชารองศอก  หมอบเฝ้าหน้าแท่นในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย  แต่เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็มิได้หมอบบนพระเขนยอิงร่วมพระราชูปโภค  กราบถวายบังคมแล้วรับพระเขนยอิงมาวางไว้ตรงหน้าที่เฝ้านั้น  แล้วเจ้าพระยาบดินทรเดชากราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยข้อราชการบ้านเมืองเขมรเสร็จสิ้นทุกประการแล้ว  จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้นักสุรายเขมร  ซึ่งเป็นเชื้อสายเจ้านายเขมรมาแต่ก่อน  และเป็นผู้สวามิภักดิ์ได้ราชการทัพศึกมากด้วย  ขอพระราชทานให้นักสุรายเป็นพระยาสวรรคโลก ตำแหน่งขุนนางใหญ่ฝ่ายเขมร  จะได้อยู่ดูแลช่วยราชการบ้านเมืองกับนักองอิ่มและนักองด้วง  เป็นกำลังราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราตั้งนักสุรายให้เป็นพระยาจำนงภักดีศรีสวรรคโลกาธิบดีอภัยพิริยะพาหะ  ถือศักดินา ๕,๐๐๐ ไร่  ตำแหน่งข้าหลวงกรุงเทพฯ  กำกับช่วยราชการเจ้าเขมรต่อไปในเมืองเขมร  พระราชทานเครื่องยศพระยาอภัยภูเบศร์เขมรที่ถึงแก่กรรมนั้น  ให้แก่พระยาจำนงภักดีฯ  คือคนโททอง ๑  แต่พานทองนั้นโปรดเกล้าฯ ให้เอาถาดหมากทองเปลี่ยนออกไปแทน  คงเครื่องยศถาดหมากคนโททอง..”


          ** จะว่าพระยาบำเรอภักดิ์เป็น  “กระต่ายตื่นตูม”  หรือเป็นเพราะเขมร  “ท่าดีทีเหลว”  ก็มิรู้ได้  กองทัพพระยาราชนิกูลยกไปนครจำศักดิ์แล้วพบว่า  กองทัพสมเด็จเจ้าพระยาเขมรที่ยกไปตั้งท่าจะตีเมืองจำปาศักดิ์นั้น  ยกกลับพนมเปญเสียสิ้นแล้ว  พระยาราชนิกูลจึงเดินทัพเลยไปหาเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองพระตะบอง  ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาครั้นจัดการบ้านเมืองเขมรเรียบร้อยแล้ว  จึงมอบเมืองให้นักองอิ่ม นักองด้วงปกครอง  แล้วมีในบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีตราหาตัวเจ้าพระยาบดินทรเดชาเข้าเฝ้าถวายรายงานข้อราชการเมืองเขมร  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนักสุรายเชื้อสายเจ้าเขมรให้เป็นพระยาสวรรคโลกเขมรตามที่เจ้าพระยาบดินทรเดชากราบทูลขอพระราชทาน  ให้ช่วยราชการในนักองอิ่มนักองด้วงต่อไป  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลายเมฆ, Thammada, ปลายฝน คนงาม, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, ก้าง ปลาทู, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ชลนา ทิชากร

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #113 เมื่อ: 15, พฤศจิกายน, 2563, 10:05:04 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -


- อานามสยามยุทธ ๑๑๔ -

เมืองหัวพันทั้งหกหวนคืนกลับ
มายอมรับไทยปกครองอย่างน้องพี่
ข้าขอบขัณฑเสมาใต้บารมี
ขอภักดีถือพิพัฒน์สัตยา


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...  กองทัพสมเด็จเจ้าพระยาเขมรที่ยกไปตั้งท่าจะตีเมืองจำปาศักดิ์นั้น  ยกกลับพนมเปญเสียสิ้นแล้ว  พระยาราชนิกูลจึงเดินทัพเลยไปหาเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองพระตะบอง  ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาครั้นจัดการบ้านเมืองเขมรเรียบร้อยแล้ว  จึงมอบเมืองให้นักองอิ่มนักองด้วงปกครอง  และมีในบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีตราหาตัวเจ้าพระยาบดินทรเดชาเข้าเฝ้าถวายรายงานข้อราชการเมืองเขมร  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนักสุรายเชื้อสายเจ้าเขมรให้เป็นพระยาสวรรคโลกเขมรตามที่เจ้าพระยาบดินทรเดชากราบทูลขอพระราชทาน  ให้ช่วยราชการในนักองอิ่มนักองด้วงต่อไป  วันนี้มาอ่านกันต่อครับ...

           “ ฝ่ายเจ้าพระยาธรรมายกกองทัพขึ้นไปถึงเมืองพิไชย  พบท้าวอ่อนเมืองหลวงพระบางพาพวกลาวเมืองหัวพันทั้งหกซึ่งจะสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ  ลงมาถึงเมืองพิไชย  ฝ่ายเจ้าพระยาธรรมาเห็นว่า


           “พวกเมืองหัวพันทั้งหกที่มาเป็นแต่ท้าวเพี้ยเล็กน้อย  หาสมควรจะมาเจรจาการบ้านเมืองไม่  จึงได้พาตัวพวกนั้นกลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง  ครั้นถึงที่ ณ เมืองหลวงพระบางแล้ว  เจ้าพระยาธรรมาและเจ้านครหลวงพระบาง  เจ้าอุปราช  เจ้าราชบุตร  จึงปรึกษาพร้อมกันเห็นว่า  เมืองหัวพันทั้งหกเหล่านี้แต่ก่อนเป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์  และเป็นหัวเมืองปลายเขตแดนข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพฯมาแต่เดิม  หาได้เป็นหัวเมืองขึ้นหัวเมืองออกแก่ญวนไม่  เมื่อครั้งเจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถต่อกรุงเทพฯ  เจ้าอนุหนีไปพึ่งญวน  เจ้าอนุจึงนำเมืองหัวพันทั้งหกไปยกให้ขึ้นกับญวนเหมือนเมืองพวน  ฝ่ายญวนก็ถือว่าเจ้าอนุยกให้ญวน  ญวนจึงได้มาปกครองครอบงำเมืองพวนและเมืองหัวพันทั้งหกเหล่านี้ไว้ในอำนาจญวนทั้งสิ้น  ครั้นกองทัพไทยยกขึ้นไปปราบปรามเมืองพวนอยู่ในอำนาจ  พระมหาเทพ (ชื่อป้อม) แม่ทัพใหญ่  และพระราชวรินทร(ชื่อขำ) แม่ทัพรองดังนั้นแล้ว  ครั้งนั้นพวกเมืองหัวพันทั้งหกกลัวกองทัพไทยจะยกขึ้นไปตีบ้านเมืองหัวพันทั้งหก  เมืองหัวพันทั้งหกจึงคิดอ่านกลับใจออกห่างจากญวน  มาขึ้นกับเมืองหลวงพระบางขอเป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพฯ ตามเดิม  ครั้นจะแต่งกองทัพไทยยกขึ้นไปตีบ้านเมืองหัวพันทั้งหกนั้นเล่า  ก็เห็นว่าเป็นบ้านเล็กเมืองน้อย  จะพลอยยับเยินไปเสียเปล่า ๆ  จึงให้เพี้ยศรีอรรคฮาชกับท้าวมงคลพาพวกเพี้ยท้าวเมืองหัวพันทั้งหกที่ลงมานั้น  ให้กลับคืนขึ้นไปบ้านเมืองหัวพันทั้งหกแล้ว  จะได้บอกเจ้าเมืองกรมการผู้ใหญ่ให้ลงมาหาแม่ทัพที่เมืองหลวงพระบาง  จึงจะรับเป็นไมตรีบ้านพี่เมืองน้องกัน”

          ฝ่ายเพี้ยศรีอรรคฮาชกับท้าวมงคล  ซึ่งเป็นข้าหลวงขึ้นไปถึงเมืองหัวพันทั้งหกอีกในครั้งที่สามนี้แล้ว  จึงได้พาเจ้าเมืองเหียม ๑  ปลัดเมืองหัว ๑  ปลัดเมืองซอน ๑  ท้าวพลไชยเมืองซำเหนือ ๑  ท้าวเพี้ยศิริจันทรเมืองซำใต้ ๑  และท้าวพระยาลาว ท้าวเพี้ยมีชื่อทั้งปวง  ก็พากันมาหาเจ้าพระยาธรรมาที่เมืองหลวงพระบาง  แสนท้าวพระยาลาวท้าวเพี้ยจึงแจ้งความต่อเจ้าพระยาธรรมาและเจ้านครหลวงพระบางว่า

           “เจ้าเมืองกรมการแสนท้าวพระยาลาวเมืองหัวพันทั้งหก  ปรึกษาพร้อมกันทุกเมืองตกลงจะยอมสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณเสมากรุงเทพฯ  จะขอทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ  ขึ้นกับเมืองนครหลวงพระบางต่อไปให้เหมือนกับเมื่อครั้งเคยขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์มาแต่ก่อน”

          เจ้าเมืองเหียมแจ้งต่อไปว่า     “เจ้าเมืองกรมการเมืองซำใต้  เมืองไชย  เมืองเชียงค้อ  เมืองเชียงคาน  เมืองซวย  และเมืองทั้งหลายหัวพันทั้งหก  จะจัดกันตามมาภายหลัง  คงจะถึงเมืองหลวงพระบางในเดือนหน้า”


          ฝ่ายเจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพสั่งให้พระหฤทัยกับหลวงราชเสวก นายจ่าเนตรมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรฯ สามนายเป็นข้าหลวงกำกับท้าวมหาไชยพระยาเมืองแผน  ท้าวคำอ่อน  ท้าวพันธุแสน  ท้าวเมืองหลวงพระบาง คุมทัพพาตัวเจ้าเมืองเหียม ๑  ปลัดเมืองหัว ๑  ปลัดเมืองซอน ๑  ท้าวพลไชยเมืองซำเหนือ ๑  ท้าวเพี้ยมีชื่อเมืองหัวพันทั้งหก  ยกลงมาแจ้งข้อราชการกรุงเทพฯ  ทรงพระกรุณาให้ถามเจ้าเมืองเหียมปลัดเมืองหัวปลัดเมืองซอน  ท้าวพลไชยเมืองซำเหนือ  ให้การต้องคำกันว่า

           “แต่ก่อนเมืองหัวพันทั้งหกคือ  เมืองเหียม ๑  เมืองหัว ๑  เมืองซำเหนือ ๑  เมืองซำใต้ ๑  เมืองเชียงค้อ ๑  เมืองเชียงคาน ๑  เมืองซอน ๑ เ มืองโซย ๑  เมืองซัน ๑  กับหัวเมืองขึ้นอีก ๔๑ เมือง  เมืองเหล่านี้เป็นหัวเมืองขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์มาแต่เดิมแล้ว  หาได้เคยเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่ญวนไม่  ครั้นเมื่อเจ้าอนุเวียงจันทน์คิดขบถต่อกรุงเทพฯ  เจ้าอนุสู้รบกองทัพไทยไม่ได้  จึงแตกหนีไปพึ่งญวน  เจ้าอนุจึงนำเมืองหัวพันทั้งหกนี้ไปยกให้ขึ้นกับเมืองญวน  พระเจ้าเวียดนามจึงแต่งขุนนางญวนมาจัดการบ้านเมืองลาวเหล่านี้  ให้เจ้าเมืองหัวพันทั้งหกมาขึ้นกับเมืองญวน  ชื่อเมืองซือเง้  ชื่อเมืองซือเท่ง  เจ้าเมืองซือเง้ และเจ้าเมืองซือเท่ง  ก็พาตัวเจ้านายลาวหัวพันแต่ผู้ใหญ่แปดนายลงไปเฝ้าพระเจ้าเวียดนามที่กรุงเว้  แล้วก็กลับมารักษาบ้านเมืองอย่างเดิม  ครั้งนั้นเจ้าเมืองท้าวเพี้ยพวกหัวพันทั้งหกหามีที่พึ่งไม่  กลัวอำนาจญวน  จึงต้องเสียส่วยให้แก่ญวนต่อมา  จึงได้เป็นเมืองขึ้นกับญวน

          อนึ่งเมื่อปีมะเส็งเบญจศกจุลศักราช ๑๑๙๕ ปีนั้น  กองทัพไทยยกขึ้นไปตีเมืองพวนซึ่งขึ้นกับญวนนั้นได้แล้ว  ฝ่ายพวกเมืองหัวพันทั้งหกกลัวกองทัพพระมหาเทพและพระราชวรินทรจะยกกองทัพไทยเลยขึ้นไปตีบ้านเมืองหัวพันทั้งหก  เมืองหัวพันทั้งหกจึงคิดพร้อมใจกันกลับใจออกห่างจากญวน  มาสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพฯ ต่อไปอย่างเดิม  ไม่สมัครขึ้นกับญวน  จะขอทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ  ขึ้นกับเมืองหลวงพระบางต่อไปอย่างเดิม  จะได้พึ่งพระบารมีพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ  บ้านเมืองหัวพันทั้งหกจะได้ตั้งอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป เหมือนแต่กาลก่อน”

          ฝ่ายเจ้าพนักงานจึงนำคำให้การท้าวพระยาลาวเมืองหัวพันทั้งหกขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ  ได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วจึงมีพระราชดำรัสว่า


           “เมืองหัวพันทั้งหกเหล่านี้  เป็นแต่ช่วงเมืองกิ่งเมืองอยู่ปลายเขตแดนลาว  พวกเหล่านี้หาได้ร่วมคิดเป็นขบถด้วยเจ้าอนุไม่  พวกเหล่านี้ไปขึ้นกับญวนก็เพราะเจ้าอนุชักนำพาเขาไป  บัดนี้พวกเมืองหัวพันทั้งหกเขาไม่คิดขัดขืนแข็งแรงต่อสู้กับทัพไทย  เพราะเขากลัวกองทัพไทยจะเข้าไปย่ำยีบ้านเมืองของเขาให้ยับเยิน  เขาจึงได้ปรึกษาหารือกันกลับใจมาสวามิภักดิ์  เป็นข้าขอบขัณฑเสมากรุงเทพฯ เหมือนแต่ก่อน  พวกเหล่านี้เขาก็อ่อนน้อมยอมมากับกองทัพไทยโดยดี  ไม่ต้องถูกตีถูกรบลำบากแก่ไพร่พลทั้งสองฝ่าย  แล้วเจ้าเมืองเหียมปลัดเมืองหัวปลัดเมืองซอน และท้าวเพี้ยผู้ใหญ่ก็ได้ลงมาจนถึงกรุงเทพฯ แล้ว  ให้พวกเหล่านี้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานุสัตย์เสียทุกคน  ก็ต้องงดกองทัพซึ่งจะยกไปตีเมืองหัวพันทั้งหกไว้ก่อน  ลองดูใจพวกเมืองหัวพันทั้งหกไปว่า  จะสวามิภักดิ์โดยสุจริตจริงหรือไม่  เมื่อพวกเมืองหัวพันทั้งหกสวามิภักดิ์โดยสุจริตจงรักภักดีแท้แน่นอนแล้ว  บ้านเมืองของเขาก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป  ไม่ประพฤติตามอย่างธรรมเนียมที่ให้ความสัตย์สัญญาไว้นั้นไซร้  ก็เห็นว่าเมืองหัวพันทั้งหกเหล่านี้  มันก็หาพ้นเงื้อมมือทแกล้วทหารไทยไม่  ซึ่งเมืองหัวพันทั้งหกจะสมัครขึ้นกับเมืองหลวงพระบางนั้น  ก็ให้ตามใจสมัครเถิด”

          จึงโปรดเกล้าฯให้ท้าวคำอ่อน, ท้าวเล็ก, ท้าวพันธุแสน, ท้าวมหาไชย, พระยาเมืองแผน  ชาวเมืองหลวงพระบาง  พาพวกเมืองหัวพันทั้งหกกลับขึ้นเมืองหลวงพระบาง

          ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ กรมมหาดไทยมีท้องตราพระราชสีห์บังคับขึ้นไปถึงเจ้าพระยาธรรมาแม่ทัพและเจ้านครหลวงพระบางว่า  


           “ให้แต่งขุนนางลาวที่มีสติปัญญาขึ้นไปสืบสวนดูกิจการในเมืองหัวพันทั้งหกให้รู้หนักเบา  เพราะว่าพวกนี้มันแตกร้าวจากเราพึ่งญวนอยู่หลายปีแล้ว  มันพึ่งจะกลับใจมาสวามิภักดิ์ต่อไทยในเร็ว ๆ นี้  เพราะมันกลัวกองทัพไทยจะไปทำย่ำยีบ้านเมืองมัน  มันจึงหันมาหาเรา  จะเป็นการภักดีโดยสุจริตจริง  หรือมันจะคิดเป็นใจหนึ่งสองใจประการใดก็ให้สืบมาให้รู้ด้วย  ถึงมาทว่ามันจะสวามิภักดิ์จริงไซร้  ก็ให้ทดลองมันดูก่อน  ให้เกณฑ์กองทัพเมืองหัวพันทั้งหกให้ยกมาสมทบกับทัพเมืองหลวงพระบาง ให้เจ้าอุปราชเป็นแม่ทัพยกไปตีหัวเมืองพวนที่ยังกระด้างกระเดื่องไม่ราบคาบต่อไปอีก  ถ้าพวกเมืองหัวพันทั้งหกสวามิภักดิ์โดยจริงแล้ว  มันก็คงจะยกกองทัพมาตามเกณฑ์  ถ้ามันไม่ไว้ใจแก่เรา  หรือมันกลัวว่าเราจะแกล้งเกณฑ์พวกมันมาแล้ว  ก็จะจับตัวเจ้าเมืองนายทัพกับไพร่พลที่ฉกรรจ์นั้นไว้เสียสิ้น  มันจะคิดไปต่าง ๆ นานา โดยความไม่ไว้ใจ  กลัวพวกเราจะหลอกลวงแก่มัน  ถ้ามันคิดดังที่ว่ามานี้มันก็จะไม่ยกกองทัพมาช่วยเราคราวนี้เป็นแน่  เราก็จะเห็นใจมันว่ามันไม่สมัครสวามิภักดิ์แก่เราโดยแท้  ถ้าเป็นดังที่ว่าไปนี้แล้ว  ก็ให้เจ้าพระยาธรรมากับเจ้านครหลวงพระบางคิดอ่านยกกองทัพใหญ่ขึ้นไปตีกวาดต้อนพาครอบครัวเมืองหัวพันทั้งหกลงมาให้ได้  กับให้เกลี้ยกล่อมเมืองลาวนอกจากเมืองหัวพันทั้งหกนั้น  เมืองไหนที่ยังไม่อ่อนน้อมก็ให้คิดใช้คนไปพาลงมาเฝ้าให้สิ้นเชิง  ถ้าราชการข้างเมืองเขมรจะผันแปรไปประการใด  จึงจะมีท้องตราขึ้นไปแจ้งราชการ ณ กรุงเทพฯต่อภายหลัง”......

          ** ปล่อยข้อความเรื่องให้อ่านยาว ๆ เพื่อให้เห็นพระราชดำริอันเฉลียวฉลาดการศึกสงครามในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ปิ่นมุก, ลมหนาว ในสายหมอก, Thammada, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ปลายฝน คนงาม, ชลนา ทิชากร, ลายเมฆ

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #114 เมื่อ: 06, ธันวาคม, 2563, 10:31:20 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๕ -

เจ้ามินมางสั่งเตียนกุนกุมเขมร
วางกำหนดกฎเกณฑ์การเข่นฆ่า
ทัพเหี้ยมโหดโทษตายหลายอัตรา
เหมือนสัตว์ป่ากระหายตายไม่กลัว


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...  เจ้าพระยาธรรมา(สมบุญ) ยกทัพกลับไปตีเมืองหัวพันทั้งหกตามรับสั่งอีกครั้ง  เดินทัพไปถึงเมืองพิชัย (อุตรดิตถ์)  พบว่าท้าวเพี้ยเมืองหลวงพระบางพาเจ้าเมือง  ปลัดเมืองหัวพันทั้งหกส่วนหนึ่งเดินทางลงมา  แต่เจ้าพระยาแม่ทัพยังไม่ไว้ใจในราชการจึงพากลับขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง  แล้วให้เพี้ยศรีอรรคฮาชขึ้นไปเมืองหัวพันทั้งหกอีกครั้ง  แล้วพาเจ้าเมืองเหียมและปลัดเมืองต่าง ๆ ลงมาเมืองหลวงพระบาง  เจ้าพระยาธรรมาให้ข้าหลวงกำกับขุนนางเมืองหลวงพระบางพาเจ้าเมืองเหียมและพวกลงมายังกรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอบถามได้ความเป็นที่พอพระทัยแล้วให้พากลับไปปกครองบ้านเมืองตามเดิม  พร้อมกับมีท้องตราบังคับขึ้นไปให้เจ้าพระยาธรรมาและเจ้านครหลวงพระบางทำตามพระราชดำริ “ลองใจ” ชาวเมืองหัวพันทั้งหกด้วย  วันนี้มาอ่านความกันต่อครับ.....

          “ ครั้นถึง ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๙๗ ปี  พระยาจำนงภักดีศรีสวรรคโลกาธิบดี (ชื่อสุรายเขมร)  ซึ่งเป็นข้าหลวงกำกับช่วยราชการอยู่ ณ เมืองพระตะบองนั้น  มีใบบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ ใจความว่า


           “ได้ใช้ให้คนสนิทที่เป็นเขมรพ่อค้าพูดภาษาญวนได้มาก  ปลอมเป็นพวกพ่อค้า  มีสินค้าลงไปตั้งการค้าขายอยู่ตามหัวเมืองเขมรตลอดถึงเมืองพนมเปญที่แม่ทัพญวนตั้งอยู่นั้น  สืบได้ความว่า  พระเจ้าเวียดนามมินมาง มีหนังสือรับสั่งมาถึงองเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ที่อยู่เมืองพนมเปญนั้น  ใจความว่า  ทุกวันนี้บ้านเมืองเขมรทั้งปวงก็ได้เป็นเขตแดนแผ่นดินญวนเสร็จแล้ว  กองทัพไทยก็เลิกถอนไปหมดสิ้น  ไม่มีที่กีดขวางเลย  ให้องเตียนกุนเกณฑ์ไพร่พลเขมรสี่ส่วน ญวนส่วนหนึ่ง  ให้ขุนนางญวนเป็นนายทัพใหญ่  ให้ขุนนางเขมรเป็นนายรอง  คุมกองทัพไปรักษาเขตแดนบ้านเมืองเขมรไว้ให้มั่นคง  อย่าให้เขมรคุมกันเป็นขบถขึ้นได้  ถ้าองเตียนกุนรักษาบ้านเมืองเขตแดนเขมรไว้ได้  ไม่เป็นอันตรายแล้ว  จะให้องเตียนกุนเป็นผู้สำเร็จราชการสิทธิขาดครอบครองแผ่นดินเขมรสืบต่อไป  เหมือนเมืองลงฝ่ายลาวก็ได้ให้ขุนนางญวนไปเป็นใหญ่ในเขตแดนฝ่ายเหนือลาวนั้นเป็นตัวอย่างมีมาแล้ว  ให้องเตียนกุนคิดจัดการบ้านเมืองเขมรให้เป็นเกียรติยศแก่ญวน”


          ครั้งนั้นองเตียนกุนจึงมีหนังสือบังคับไปถึงองอานภู่แม่ทัพญวนซึ่งเป็นที่สอง  และเจ้าเมืองกรมการญวนและเขมรทุกหัวเมือง  ให้รักษาบ้านเมืองเขตแดนไว้ให้มั่นคง  อย่ามีเหตุเภทภัยอันตรายเกิดขึ้นได้  ถ้าบ้านใดเมืองใดเกิดขบถขึ้นหรือรักษาเมืองไม่ดี  ทำให้บ้านเมืองเสียแก่ข้าศึกศัตรู  จะลงโทษเจ้าเมืองกรมการเขมรและญวนข้าหลวงนั้น ๆ ถึงตาย  ฝ่ายองเตียนกุนแม่ทัพก็อุตสาหะตั้งกองฝึกหัด  ซ้อมทหารญวนและเขมรให้ทำเพลงอาวุธชำนิชำนาญอยู่ที่เมืองพนมเปญ  แล้วองเตียนกุนทำกฎหมายข้อบังคับสำหรับกองทัพ  แจกไปทั่วทุกหัวเมืองใหญ่น้อยทุกทัพทุกกองใจความว่า

           “กองทัพกองหนึ่งให้มีไพร่ห้าร้อยคน  แล้วให้มีจันเกอติดเบียนคนหนึ่ง  ภอเกอคนหนึ่ง  ถ้ามีการศึกสงครามมา ให้ไพร่ถือปืนใหญ่น้อยสองร้อยคน  ให้ถือทวนง้าวดาบสองมือสองร้อยคน  ให้มีนายหมวดสิบหกคนคุมไพร่ที่ถือปืนและทวนง้าวดาบออกรบข้าศึก  ให้มีคนถือธงสำหรับทัพกองหนึ่ง  ธงใหญ่สามต้น  ธงเล็กสิบหกต้น  ให้ใช้คนหามกลองศึกใบละสองคน  ถือม้าล่อสองคน  คนกั้นร่มจันเกอคนหนึ่ง  ถือกันฉิ่งไปหน้าจันเกอสองคัน คันละคน  กั้นร่มภอเกอคนหนึ่ง  ให้มีคนสำหรับรับใช้ภอเกอและจันเกอข้างละสิบคน  เป็นยี่สิบคน  ไพร่จ่ายใช้สอยในกำลังกองทัพยี่สิบคน  ไพร่ที่ยังเหลืออยู่อีกเจ็ดคนให้เลี้ยงม้าจันเกอ ภอเกอ  และถือเครื่องกินเครื่องยศภอเกอ จันเกอเป็นคนห้าร้อย  ไพร่พลทหารให้ฟังเสียงกลองศึกและเสียงม้าล่อ  ให้สังเกตดูธงใหญ่จะโบกใช้ทำอุบายสัญญาอย่างไร  ก็ให้ทหารประพฤติตามความสัญญาธงทุกประการ  ถ้าไพร่พลญวนเขมรขลาดกลัวข้าศึก  ย่อท้อถอยหลัง  หรือแอบแฝงบังกระสุนปืนข้าศึก  ให้นายหมวดสืบจับตัวไพร่ที่ขลาดมาให้จันเกอฆ่าเสียเดี๋ยวนั้น  อย่าให้ทันล่วงเวลาได้เลย  ถ้านายหมวดนายกองนายร้อยกลัวข้าศึก  ก็ให้จันเกอ ภอเกอจับตัวมาชำระไต่ถาม  ได้ความเป็นสัจแล้วก็ให้ฆ่าเสียเดี๋ยวนั้น  ถ้าเมื่อกำลังรบกับข้าศึกนั้น นายหมวดถูกอาวุธข้าศึกตายหรือเจ็บป่วยจะทำการรบต่อไปในทันใดไม่ได้  ก็ให้บ่าวไพร่ที่แข็งแรงเข้ารับการแทนหน้าที่นายหมวดที่ป่วยตายต่อไป  ถ้าจันเกอหรือภอเกอป่วยเจ็บไข้  ถูกอาวุธข้าศึกในระหว่างรบกันนั้น  ให้องโดยหรือองดายผู้หนึ่งผู้ใดที่มีสติปัญญา  ก็ให้ขึ้นแทนที่จันเกอ ภอเกอต่อไป  ถ้านายไพร่ไม่ประพฤติตามกฎหมายข้อบังคับนี้  มีโทษถึงตาย  เมื่อสู้รบกับข้าศึกนั้นถ้าไพร่ตายมากน้อยเท่าใดก็ดี  เสียงกลองศึกสัญญายังไม่ตีเพลงให้ถอยทัพ  ไพร่จะถอยออกมาเสียก่อนเสียงกลองไม่ได้  โทษถึงตาย  จันเกอก็ดี  ภอเกอก็ดี  นายหมวดนายร้อยก็ดี  ถ้ารู้เห็นว่าไพร่หนีกองทัพ  นิ่งความไว้ไม่บอกแม่กองใหญ่  โทษถึงตายทั้งนายและไพร่  ถ้ารู้เห็นว่าไทยยังตกค้างอยู่บ้านใดเมืองใดก็ให้เขมรสืบจับไทยมาส่งให้แม่ทัพใหญ่จนสิ้นเชิง  อย่าให้ไทยเหลืออยู่แต่สักคนหนึ่งได้เลยเป็นอันขาด”


นักองราชาวดี (พระบาทสมเด็จพระนโรดม)

          ครั้น ณ วันศุกร์เดือนสามแรมค่ำปีมะแมสัปตศก  นักองด้วงมีแม่นางบาทบริจาริกาคนหนึ่ง  ชื่อนักนางแป้น  เป็นบุตรีพระยาศุภาธิบดีเขมร  นักนางแป้นมีครรภ์สมภพบุตรชายองค์หนึ่ง  นักองด้วงบิดาตั้งชื่อกุมารที่คลอดนั้น  ชื่อว่านักองราชาวดี (คือสมเด็จพระนโรดมพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ที่อยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส)


          ฝ่ายเจ้าพระยานครราชสีมา (ชื่อทองอิน)  ซึ่งเป็นแม่ทัพไปปราบปรามเขมรและญวนเสร็จราชการแล้ว  กลับมายังเมืองนครราชสีมาแล้วได้ข่าวว่า  ที่หัวเมืองขึ้นมีช้างพลายเชือกหนึ่ง  สีขาวเหมือนช้างเผือก  จึงใช้กรมการไปนำมาดู  เห็นว่าเป็นช้างพลายรูปงาม  สีหนังช้างนั้นขาวบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาวเทศอย่างดี  จึงมีใบบอกลงมายังกรุงเทพฯ ฉบับหนึ่งใจความว่า

           “ช้างพลายสูงสามศอกคืบกับนิ้วหนึ่ง  เดิมเป็นช้างดำตามธรรมเนียมปรกติ  ครั้นใช้สอยบรรทุกเกลือและปลาร้าไปค้าขายเมืองลาวหลายปี  หนังกลับลอกออกเป็นสีขาวบริสุทธิ์ทั่วทั้งกาย  ขนตามหนังก็ขาวบริสุทธิ์เหมือนสีเนื้อ  แต่ขนหางและจักษุกับเล็บดำเหมือนช้างดำตามธรรมเนียม”

          จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราขึ้นไปถึงเมืองนครราชสีมา  ให้นำช้างพลายประเสริฐเดินมาลงแพที่บ่อโพงกรุงเก่า  แล้วให้กรมการทำแพนำพระยาช้างพลายประเสริฐลงมายังกรุงเทพฯ  แล้วมีตราหาตัวเจ้าพระยานครราชสีมาลงมาเฝ้าด้วย  จะพระราชทานเสลี่ยงพนักงาน พานทองกลมรองล่วมหมากเพิ่มเกียรติยศความชอบในราชการทัพศึก  เจ้าพระยานครราชสีมานำช้างพลายประเสริฐลงมาถึงกรุงเทพฯ ณ วันพฤหัสบดีเดือนสามแรมเก้าค่ำ  ปีมะเมียฉศก  จุลศักราช ๑๑๙๖ ปี  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงทอดพระเนตรแล้ว  มีพระราชโองการดำรัสว่า

           “สีหนังขาวบริสุทธิ์เหมือนสีสังข์ขาวทั่วทั้งตัวเหมือนผ้าขาว  ขัดอยู่แต่ที่จักษุกับขนหางดำไป  ไม่ขาวเหมือนสีที่หนังตัว  ถ้าจะว่าตามในพระราชพงศาวดารสยามฝ่ายเหนือก็มีช้างเผือกงาดำ  ครั้งนี้จะเป็นช้างเผือกหางดำไม่ได้หรือ”


          จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานปลูกโรงสมโภชที่ท้องสนามหน้าจักรวรรดิหน้าพระที่นั่งสุทไธสวริยปราสาท  แล้วตั้งพระราชพิธีพราหมณ์สามวัน  แล้วมีการมหรสพสมโภชสามวันสามคืน  ครั้งนั้นมีละครอิเหนาโรงใหญ่กรมหลวงรักษ์รณเรศร์  แล้วมีโขนอุโมงค์โรงใหญ่กรมขุนพิพิธภูเบนทร์  แล้วขึ้นระวางพระราชทานนามกรว่า  “พระยามงคลนาคินทร์ ไอยราวรรณ  พรรณสีสังข์ประเสริฐเศวตกัมเลศรังสฤษฏ์  อิศรรังรักษ์  จักรกฤษณราชรังสรรค์  มหันตะมหาวัฒนานุคุณ  วิบุลยลักษณ์เลิศฟ้า”   แล้วพระราชทานเสลี่ยงพนักงาสัปทนคันยาว  กับพานทองคำกลมรองล่วมหมากหักทองขวาง แก่เจ้าพระยานครราชสีมา........”

          ** ญวนแสดงตนชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้ครอบครองเขมร  และเป็นอริราชศัตรูไทย  หลังจากที่องเตียนกุนออกกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว  เรื่องราวระหว่างญวนกับไทยจะดำเนินต่อไปอย่างไร  ติดตามอ่านกันนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, Thammada, ฟองเมฆ, ปิ่นมุก, ก้าง ปลาทู, น้ำหนาว, ปลายฝน คนงาม, กร กรวิชญ์, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #115 เมื่อ: 13, ธันวาคม, 2563, 09:58:28 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

นักองค์ด้วง : ละคร "ข้าบดินทร์"

- อานามสยามยุทธ ๑๑๖ -

ได้ช้างพลายปรากฏเป็นคชกระ
แปลกเกินจะอธิบายให้ถ้วนทั่ว
“พระบรมไกรสร”ยืนซ่อนตัว
อยู่ในรั้วในวังยั่งยืนชนม์

สร้างเมืองพระตะบองใหม่ได้ลุล่วง
“นักองด้วง”ก่อหวอดวุ่นสับสน
เป็นผู้นำกัมพูชาจลาจล
ประพฤติตนเบือนบิดผิดร่องรอย


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่... พระเจ้ามินมางสั่งองเตียนกุนดำเนินการครอบงำเขมรทั้งหมด  ถ้าจัดการเขมรให้สงบเรียบร้อยแล้ว  จะตั้งให้เป็นใหญ่ในเขมรต่อไป  องเตียนกุนจึงออกกฎหมายจัดระเบียบกองทัพอย่างเข้มงวด  แล้วสั่งเขมรสืบเสาะดูทุกบ้านเรือนทุกซอกทุกมุม  หากพบคนไทยให้จับกุมส่งแม่ทัพใหญ่ญวน  อย่าให้มีหลงเหลืออยู่ในเขมรได้เป็นอันขาด  ส่วนทางเมืองไทยนั้น  เจ้าพระยานครราชสีมาพบช้างพลายมีสีตัวขาวผ่องบริสุทธิ์  จึงมีใบบอกเข้ากรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้นำช้างนั้นเข้ากรุงเทพฯ  แล้วทำพิธีสมโภชขึ้นระวางตามพระราชประเพณี วันนี้มาอ่านต่อครับ.....


           ลุจุลศักราช ๑๑๙๘ ปีวอก อัฐศก (พ.ศ. ๒๓๗๙) เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ  พระยาราชนิกูล (เสือ)  ได้ช้างพลายช้างหนึ่งที่แขวงเมืองจำปาศักดิ์  สีหนังช้างนั้นดำตามธรรมเนียม  แต่มีจุดขาวเต็มพืดไปทั่วทั้งกาย  เป็นช้างกระ  สูงสี่ศอกสิบนิ้ว  เมื่อจะกลับลงมากรุงเทพฯ ด้วยสิ้นราชการแล้ว  จึงนำช้างกระนั้นลงมาด้วย  ได้ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทานชื่อขึ้นระวางชื่อ   “พระบรมไกรสร  กุญชรชาติอำนวยพงศ์  มงคลคชยศอนันต์  มหันตะคุณ  วิบุลย์ลักษณเลิศฟ้า”  (ช้างกระที่ชื่อพระบรมไกรสรนั้น  มีอายุยืนยาวอยู่มาจนปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อพระบรมไกรสรแก่ชราลงแล้วจะเดินลงอาบน้ำ  หรือเดินขบวนแห่คเชนทรสนาน  คนแลดูห่าง ๆ สีหนังผ่องขาวเหมือนช้างเผือกอย่างเอก  เว้นเสียแต่จักษุและขนดำทั้งสิ้น  ครั้นเมื่อพระยาราชนิกูล (เสือ)  ได้เป็นเจ้าพระยาในรัชกาลที่ ๔  ก็ยังได้เห็นพระบรมไกรสรอยู่เป็นคู่ยศด้วยกันกับท่านสืบมา)


           ฝ่ายเจ้าพระยาพระคลังไปทำเมืองจันทบุรีใหม่เสร็จแล้ว  กลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ณ เดือนหก ขึ้นสี่ค่ำ ปีวอก อัฐศก ศักราช ๑๑๙๘ ปี  ครั้งนั้นเจ้าหมื่นไวยวรนารถหัวหมื่นมหาดเล็ก (ชื่อช่วง)  เป็นบุตรผู้ใหญ่ในเจ้าพระยาพระคลัง  ได้รับพระราชโองการเป็นนายช่าง  ไปต่อกำปั่นใบที่เมืองจันทบุรีอีกลำหนึ่ง  ปากกว้างสี่วาสองศอก  เป็นกำปั่นขนาดใหญ่ในครั้งนั้น  ครั้นทำเสร็จแล้วในปีวอกอัฐศก  จึงได้นำกำปั่นลำนั้นมาถวาย  พระราชทานชื่อกำปั่นว่า  “วิทยาคม”  ให้เตรียมการไว้ใช้เป็นเรือรบทะเลไปทำศึกกับญวนอีกสักคราวหนึ่งให้ได้เมืองญวน


           ในปลายปีวอกอัฐศกศักราช ๑๑๙๘ ปีนั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริถึงหัวเมืองลาวและเขมรป่าดง  ซึ่งเป็นพระราชอาณาเขตกรุงสยามตามหัวเมืองลาวเขมรฝายตะวันออกหลายเมือง ยังไม่ได้ทำบัญชีจำนวนชายฉกรรจ์ให้รู้เป็นแน่  เมืองหนึ่งมีไพร่พลชายฉกรรจ์เท่าใดแน่  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาออกไปทำบัญชีลาวและเขมรเมืองตะวันออกคือ  เมืองขุขันบุรี  เมืองสุรินทร์  เมืองสังขะ  เมืองศีรษะเกษ  เมืองเดชอุดม  เมืองนครจำปาศักดิ์  เมืองอุบลราชธานี  เมืองสุวรรณภูมิ  เมืองยโสธร  เมืองศรีทันดร  เมืองเชียงแตง  เมืองแสนปาง  เมืองอัตปือ  รวม ๑๓ หัวเมือง

           แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่อป้อม)  กับพระพิเรนทร์เทพ (ชื่อขำ)  ขึ้นไปทำบัญชีชำระเลกหัวเมืองที่เป็นลาวเก่าหรือลาวที่กวาดต้อนมาใหม่  ให้พระยามหาอำมาตย์ไปชำระตัวเลขเมืองนครพนม  เมืองท่าอุเทน  เมืองสกลนคร  เมืองไชยบุรี  เมืองกาฬสินธุ์  เมืองร้อยเอ็ด  เมืองมุกดาหาร  เมืองเขมราฐ  เมืองขงเจีย ม เมืองสะเมีย  เมืองสาละวัน  เมืองทองคำใหญ่  รวม ๑๒ เมือง

           ให้พระพิเรนทร์เทพชำระตัวเลขเมืองหนองคาย  เมืองหนองละหาน  เมืองขอนแก่น  เมืองชนบท  เมืองภูเวียง  เมืองปากเหือง  รวม ๖ เมือง

           เจ้าพระยาบดินทรเดชากับพระยามหาอำมาตย์  และพระพิเรนทร์เทพ  ทั้งสามกราบถวายบังคมลายกขึ้นไปเมืองลาวและเมืองเขมรป่าดงพร้อมกันทั้งสามกอง แต่ ณ เดือนยี่ ปีวอก อัฐศก จุลศักราช ๑๑๙๘ ปี


           ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชายกออกไปถึงเมืองพระตะบอง ณ เดือนสาม ขึ้นห้าค่ำ  ในปีวอกอัฐศกนั้น  มีใบบอกเข้ามาว่า

            “ค่ายเก่าที่เมืองพระตะบองได้ทำไว้แต่ก่อนนั้น  โดยยาวยี่สิบสามเส้นกับสิบว่า  กว้างสิบเส้น  บัดนี้ค่ายเก่านั้นชำรุดหักพังเสียยับเยินไปเป็นอันมาก  ที่หน้าเมืองพระตะบองเก่านั้น  ถ้าถึงฤดูฝนตกแล้ว  ดินหน้าตลิ่งพังเสมอทุกปี  จะทำบ้านเมืองตั้งค่ายที่ฝั่งตลิ่งพังไม่ถาวรมั่นคง  จะขอพระราชทานทำอิฐเผาปูนก่อป้อมกำแพงสร้างเมืองขึ้นใหม่  แต่จะเลื่อนขึ้นไปสร้างข้างเหนือน้ำ  พ้นเมืองเก่าไปมาก  ควรจะทำเมืองที่นักองอิ่มตั้งอยู่นั้น เป็นที่ดอนดี  น้ำไม่ท่วมตลิ่ง  ตลิ่งไม่พัง  ถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำเมืองก่อด้วยอิฐแล้ว  ขอพระราชทานแบบอย่างป้อมกำแพงประตูหอรบ  ออกไปให้ช่างดูจะได้ทำขึ้น”

           ครั้นทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราอนุญาตพระราชทานแบบตัวอย่างป้อมค่ายหอรบกำแพงใบสีมาออกไป  ยอมให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาสร้างเมืองพระตะบองขึ้นใหม่  จะได้เป็นที่ป้องกันพระราชอาณาเขตฝ่ายหัวเมืองเขมรด้วย  แล้วจะได้เป็นพระเกียรติยศแผ่นดินสืบไปชั่วฟ้าและดิน  ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ทราบท้องตราอนุญาตออกไปแล้ว  จึงกะที่ทางจะสร้างเมืองพระตะบองใหม่  แล้วเกณฑ์เลขเขมรหัวเมืองขึ้นให้ทำอิฐเผาปูนตระเตรียมไว้


           ลุจุลศักราช ๑๑๙๙ ปีระกานพศก (พ.ศ.๒๓๘๐)  เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงยกกองทัพออกจากเมืองพระตะบอง  เดินทัพขึ้นไปเมืองขุขันบุรี  ตั้งพักกองทัพอยู่ที่นั้นแล้ว  จึงแต่งให้ข้าหลวงหลายนายแยกย้ายกันไป  ทำบัญชีไพร่พลเมืองที่ฉกรรจ์ตามหัวเมืองที่โปรดให้ชำระนั้น  ให้ได้จำนวนชายฉกรรจ์ไว้ให้แน่นอน  ฝ่ายพระยามหาอำมาตย์และพระพิเรนทรเทพก็ได้แต่งให้ข้าหลวงไปทำบัญชีพลเมืองในหน้าที่ของพระยามหาอำมาตย์และพระพิเรนทรเทพทุกแห่ง

           ครั้งนั้นทั้งสามกองได้ทำบัญชีไพร่พลเมืองได้คนฉกรรจ์ถึงสิบหมื่น (คือแสนคน) แล้ว  เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็กลับมาเมืองพระตะบอง  ทำการป้อมกำแพงสร้างเมืองใหม่  โดยยาวตามลำแม่น้ำใหญ่นั้น  ยาวสิบสามเส้น  ด้านสกัดขึ้นไปบนบกกว้างสิบหกเส้น  ก่อป้อมตามกำแพงเมืองหกป้อม  มีประตูหอรบรอบกำแพง  ขุดคูเป็นคลองใหญ่ด้านสกัดทั้งสอง  และด้านหลังเมืองเป็นเขตขัณฑ์  มีโรงปืนและฉางข้าว  สระน้ำ  ศาลาเสร็จ


           ครั้น ณ วันศุกร์เดือนสิบสองแรมห้าค่ำปีระกานพศก  พระยาณรงค์วิชัย ๑  พระยาบำเรอบริรักษ์ ๑  พระยาศาสตราฤทธิรงค์ ๑  พระศรีภวังค์ ๑  พระภักดีบริรักษ์ ๑  หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ ๑  หลวงศรีเสนา ๑  หลวงพิชัยเสนา ๑  รวมข้าหลวงในกรุงแปดนาย  กับนักองอิ่ม ๑  พระยาจำนงค์ภักดีศรีสวรรคโลกาธิบดีเขมร  ผู้ช่วยเมืองพระตะบอง ๑  พระยาปลัดเมืองพระตะบอง ๑  พระยายกกระบัตรเมืองพระตะบอง ๑  พระสุรเดชาแม่กองช้างเมืองพระตะบอง ๑  พระเทพาวุธแม่กองทหารรักษาเมืองพระตะบอง ๑  รวมนายทัพเมืองพระตะบองหกนายเป็น ๑๒ นาย  ทั้งข้าหลวงเข้าชื่อกันมีใบบอกเข้ามากรุงเทพฯว่า

            “นักองด้วง ๑  พระพิทักษ์บดินทร์ ๑  พระนรินทร์โยธา ๑  พระมหาดไทย ๑  พระพล ๑  ร่วมคิดกันจะประทุษร้ายแก่เมืองพระตะบอง  นักองด้วงใช้ให้อ้ายโพกเขมรคนสนิทไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมชาวบ้านชาวเมืองพระตะบองให้มาเข้าด้วยนักองด้วง  นักองด้วงจะกวาดต้อนครอบครัวพลเมืองเขมรหนีไปเมืองพนมเปญ  ข้าหลวงจะคิดจับอ้ายโพกมาชำระไต่ถามให้ได้ความจริง  อ้ายโพกก็ไม่อยู่ที่เมืองพระตะบอง  เพราะนักองด้วงใช้ให้อ้ายโพกไปเมืองระสือ”

            แล้วพระยาปลัดเมืองพระตะบองแจ้งความว่า    “ได้สืบรู้ว่านักองด้วงตระเตรียมได้ไพร่พลพร้อมแล้วจึงจะลงมือทำการจลาจลแก่บ้านเมือง ณ วันพฤหัสบดีเดือนสิบสองแรมสี่ค่ำ”.........


           ** พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว แผ่นดินที่ ๓  กรุงเทพฯ ยังมิเลิกละพระทัยที่จะยกทัพไปตีเมืองญวนให้จงได้  มีพระราชดำรัสให้เตรียมเรือ  “วิทยาคม”  ที่เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค) ต่อใหม่ ไว้ยกไปรบญวน  จากนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้สำรวจชายฉกรรจ์ในหัวเมืองลาวเขมรป่าดงขึ้นบัญชีไว้ถึงหนึ่งแสนคน  และโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาสร้างเมืองพระตะบองใหม่  สร้างเมืองแล้วเสร็จมิทันไร  ก็มีใบบอกร้องเรียนว่า  นักองด้วงเตรียมการเป็นขบถ  จะกวาดต้อนครัวเขมรไปพนมเปญ  เรื่องยุ่งในเขมรเริ่มมีเค้าขึ้นแล้ว  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, Thammada, ลิตเติลเกิร์ล, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, ก้าง ปลาทู, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #116 เมื่อ: 20, ธันวาคม, 2563, 10:36:44 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

รูปหล่อของนักองค์ด้วง

- อานามสยามยุทธ ๑๑๗ -

นักองด้วงสารภาพรับเรื่องถ้วน
ว่าถูกชวนเป็นเจ้าคราวญวนถอย
ฟ้าทละหะปวงพระยาตั้งตาคอย
วันปลดปล่อยอำนาจพ้นทาสญวน

เชื่อคำชวนญวนบอกหลอกเขมร
จึงคิดเข่นฆ่าพี่มิสอบสวน
ครั้นถูกจับรับผิดจำติดตรวน
ดีไม่ด่วนถูกฆ่าชีวาวาย

          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา  พระยามหาอำมาตย์  พระพิเรนทร์เทพ  ออกไปทำบัญชีชายฉกรรจ์ในหัวเมืองลาวและเขมรป่าดง  ได้ตัวเลขชายฉกรรจ์ทั้งหมดหนึ่งแสน  เจ้าพระยาบดินทรเดชามีใบบอกเข้ามาจากเมืองพระตะบอง  ทูลขอพระราชานุญาตสร้างเมืองพระตะบองใหม่  เพราะค่ายเก่าชำรุดทรุดโทรมผุพัง  จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราอนุญาตให้สร้างเมืองใหม่ได้  ในปีนี้มีใบบอกเข้ามาว่านักองด้วงกำลังเกลี้ยกล่อมชาวเมืองพระตะบอง  จะพาไปอยู่เมืองพนมเปญ  เรื่องราวจะเป็นอย่างไร  วันนี้มาอ่านต่อครับ

           ฝ่ายพวกข้าหลวงในกรุงหกนาย  กับพระยาเขมรเมืองพระตะบองหกคน  พร้อมกันใช้หลวงมหิศรแผลงเขมรให้ไปเชิญนักองด้วง กับพระพิทักษ์นรินทร์เขมร ๑  พระนรินทร์โยธาเขมร ๑  พระมหาดไทยเขมร ๑  พระพลเขมร ๑  ทั้งห้าคนมาไต่ถาม  คนทั้งห้าให้การต้องกันว่า

           “นักองด้วงได้เป็นต้นคิดร่วมใจกันกับพระพิทักษ์บดินทร์  พระนรินทร์โยธา  พระมหาดไทย  พระพล  และพระยาพระเขมรกรมการอื่นอีกหลายนายที่ในเมืองพระตะบองแทบจะทั้งเมือง  เว้นเสียแต่พวกพระยาพระเขมรของนักองอิ่มเท่านั้น  ไม่ได้ชักชวนเข้าร่วมคิด  ด้วยกลัวเนื้อความจะแพร่หลายไป  เมื่อนักองด้วงคิดจะลงมือทำร้ายฆ่านักองอิ่มพี่ชายก่อน  แล้วจึงจะจับพระยาพระเขมรพวกพ้องนักองอิ่มฆ่าเสียด้วย  แล้วนักองด้วงจะกวาดต้อนไพร่พลเขมรไปเมืองพนมเปญ  ซึ่งคิดจะฆ่านักองอิ่มพี่ชายนั้น  เพราะนักองด้วงโกรธนักองอิ่มพี่ชายว่า  นักองอิ่มไปนับถือเชื่อถ้อยฟังคำพระยาปลัดแก้ว  ซึ่งเป็นผู้อื่นหาใช่ญาติไม่  ส่วนนักองด้วงผู้น้องนั้นหาเชื่อถ้อยฟังคำไม่  เมื่อจะยกไปทำร้ายแก่นักองอิ่มนั้น  ถ้าพวกข้าหลวงไทยไปช่วยแก้ไขนักองอิ่มแล้ว  นักองด้วงจึงจะคิดต่อสู้พวกข้าหลวงบ้าง  พอเป็นการกันตัวรอดจะได้หนีไปได้  ถ้าหลวงไทยไม่ช่วยนักองอิ่มแล้ว  นักองด้วงก็ไม่คิดจะทำร้ายพวกไทย”

          นักองอิ่มกับพวกข้าหลวงไทยจึงสั่งให้ผู้คุมคุมตัวนักองด้วง  พระพิทักษ์บดินทร์  พระนรินทร์โยธา  พระมหาดไทย  พระพล  ห้าคนนี้ไปจำตรวนขังไว้ก่อน

          ครั้น ณ วันพุธ เดือนสิบสอง แรมสามค่ำ  พระยามโนไมตรีเจ้าเมืองระสือยกกองทัพเขมรเข้ามาใกล้เมืองพระตะบอง  ข้าหลวงไทยได้ทราบว่าพระยามโนไมตรียกเข้ามา  หาได้มีหนังสือบอกล่วงหน้าเข้ามาก่อนไม่  ผิดด้วยอัยการศึก  จึงใช้ให้หลวงวาสุเทพกับสนองโสคุมเขมรและไทย ๒๐๐ คน  ไปหาตัวพระยามโนไมตรีเข้ามาในเมืองพระตะบอง  พระยาณรงค์วิชัยมีกระทู้ถามพระยามโนไมตรีว่า

           “ได้มีตราบังคับสั่งไปให้พระยามโนไมตรีคุมกองทัพอยู่รักษาด่านทางที่เมืองระสือ  แล้วทิ้งหน้าที่เข้ามาด้วยเหตุใด?  เมื่อเข้ามาหาได้บอกล่วงหน้าเข้ามาให้รู้ก่อนไม่  ผิดด้วยอัยการศึกดังนี้จะว่ากระไร?”

          พระยามโนไตรีให้การสารภาพรับว่า     “นักองด้วงใช้ให้อ้ายโพกถือหนังสือไปว่า  ให้ยกเข้ามาเมืองพระตะบองโดยเร็ว  นักองด้วงจะคิดหนีไปเมืองพนมเปญ  เพราะฉะนั้นจึงได้ยกเข้ามาตามคำนักองด้วงสั่ง”

           พระยาณรงค์วิชัยถามนักองด้วง  สอบกับคำให้การพระยามโนไมตรี  นักองด้วงรับสารภาพว่า     “ได้มีหนังสือนัดให้พระยามโนไมตรีเข้ามาจริง  แต่ที่จะได้คิดประทุษร้ายฆ่าฟันกองทัพไทยนั้นหามิได้  เป็นความสัตย์จริง”

          พระยาณรงค์วิชัย  พระยาบำเรอบริรักษ์ พ ระยาสาสตราฤทธิรงค์  นักองอิ่ม  สั่งให้ผู้คุมนำตัวพระยามโนไมตรีเขมรไปจำตรวนขังไว้  แล้วสั่งพระสุนทรานุรักษ์ราษฎร์บำรุงปลัดเมืองระสือให้คุมกองทัพเขมรกลับไปรักษาด่านทางอย่างเดิม (เดชะพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ ปกเกล้าปกกระหม่อมนายทัพนายกองอยู่มาก  จึงเผอิญให้พวกไทยรู้ความลับของเขมรเสียก่อน  แล้วจึงได้คิดการระงับลงได้ง่าย  ถ้าไม่รู้ความความก่อนแล้วที่ไหนคงจะเกิดการรบพุ่งฆ่าฟันกันใหญ่โตยืดยาวไปอย่างไรก็ไม่รู้แน่ได้)

          นักองอิ่มคิดด้วยข้าหลวงว่า     “ครั้นจะชำระที่เมืองพระตะบอง  ก็เกรงเนื้อความจะเอิกเกริกฟุ้งเฟื่องไปถึงญวนข้าศึก  หาสู้ดีไม่”    จึงได้ให้พระวิชิตภักดี  หลวงวิชิตราชา  หลวงวาสุเทพ  ข้าหลวงกับพระยามหาธิราช  พระเมือง  หลวงอินทรเสนา  เขมร ๓ นาย  รวม๖ คน คุมไพร่เขมรร้อยหนึ่ง ไทยห้าสิบ  คุมตัวนักองด้วง ๑  พระพิทักษ์บดินทร์ ๑  พระนรินทร์โยธา ๑  พระมหาดไทย ๑  พระพล ๑  หลวงพลหลานพระพิทักษ์บดินทร์ ๑  หลวงอนุรักษ์มนตรีบุตรพระบดินทร์ ๑  หลวงราชเสน่หาบุตรพระพิทักษ์ ๑  หลวงปราบพลพ่ายบุตรพระมหาดไทย ๑  รวมเก้าคน  ส่งเข้ามา ณ กรุงเทพฯ

          เจ้าพนักงานนำใบบอกข้าหลวงฝ่ายพระราชวังบวรฯ ณ เมืองพระตะบอง ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาเทพ (ชื่อปาน)  เป็นตุลาการถามนักองด้วง  นักองด้วงให้การว่า

           “เมื่อญวนกวาดต้อนพาครอบครัวเขมรกับเจ้าผู้หญิงเขมรลงไปไว้ ณ เมืองไซ่ง่อนนั้น  พวกพระยาเขมรไม่มีเจ้านายเป็นที่เคารพ  จึงได้ระส่ำระสายแตกตื่นไปต่าง ๆ  เขมรไม่สมัครเป็นข้าญวน  ฝ่ายฟ้าทละหะเสนาบดีใหญ่ฝ่ายเขมรจึงได้ใช้ให้คนสนิท (ชื่อตั้งคาสุก) คนหนึ่ง  กับไพร่สองคน  หนีญวนเล็ดลอดมาถึงเมืองพระตะบอง  แจ้งความกับนักองด้วงว่า  ฟ้าทละหะได้ข่าวว่าองเตียนกุนแม่ทัพญวน ซึ่งมาสำเร็จราชการอยู่ที่เมืองพนมเปญนั้น  มีหนังสือมาถึงนักองอิ่มให้หนีไทยลงไปหาญวนที่เมืองพนมเปญโดยเร็วเถิด  องเตียนกุนจะจัดแจงแต่งตั้งนักองอิ่มเป็นเจ้าแผนดินเขมร  จะยกแผ่นดินเขมรให้  แล้วองเตียนกุนก็จะกลับไปกรุงเว้  แต่ฟ้าทละหะไม่เต็มใจให้นักองอิ่มเป็นเจ้าแผ่นดินกรุงกัมพูชา  ถ้านักองด้วงจะรับเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรแน่แล้ว  ฟ้าทละหะจะเป็นผู้ช่วยคิดราชการให้นักองด้วงได้แผ่นดินในคราวนี้


          นักองด้วงจึงตอบไปว่า  บ้านเมืองเป็นของปู่และบิดารักษาสร้างสมต่อ ๆ มา  ก็อยากจะได้สืบเชื้อสายวงศ์ต่อไป  แต่กลัวญวนจะไม่ยอมให้จริง ๆ ดอกกระมัง  ภายหลังฟ้าทละหะให้เขมรคนใช้อันสนิท (ชื่อตั้งคาสุก) กลับมาแจ้งความแก่นักองด้วงว่า   พระยาพระเขมรทั้งปวงมีความยินดีพร้อมใจกันเป็นอันมากแล้ว  ที่จะให้นักองด้วงเป็นเจ้าแผ่นดินเขมร  ถ้าว่านักองด้วงคิดการหนีไทยลงไปถึงเมืองงพนมเปญเมื่อใดแล้ว  พระยาพระเขมรจะกลับใจออกห่างจากญวน  จะจัดกองทัพใหญ่มาช่วยป้องกันรักษาครอบครัวนักองด้วงและจัดการสู้รบต่อญวน  ให้ญวนพ่ายแพ้ไปจนสิ้นทุกตำบลให้จงได้  เมื่อจัดการบ้านเมืองเขมรเรียบร้อยราบคาบสมดังที่คิดนั้นแล้ว  จะให้นักองด้วงเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา  แล้วก็จะแต่งขุนนางเขมรผู้ใหญ่ให้คุมสิ่งของบรรณาการเข้าไปถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ตามเคยมาแต่ก่อน  เพราะเหตุการณ์เป็นดังนี้  ข้าพระพุทธเจ้านักองด้วงจึงได้คิดการที่จะหนีไปนั้น  พระราชอาชญาไม่พ้นเกล้าฯ”

          พระยามหาเทพนำคำให้การนักองด้วงขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงมีพระราชดำรัสสั่งพระยามหาเทพให้พาตัวนักองด้วงกับพรรคพวกที่ร่วมคิดด้วยนักองด้วงนั้น  ไปจำตรวนไว้ที่ทิมตำรวจ  ครั้นภายหลังครั้งเมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาออกไปราชการ ณ เมืองพระตะบองนั้น  ฝ่ายพระยาศรีสหเทพ (ชื่อเพ็ง) จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า

           “นักองด้วงผู้มีความผิดต้องรับพระราชอาชญาจำอยู่ในทิมตะรางอย่างไพร่ ๆ  ได้ความลำบากมากนัก  คิดด้วยเกล้าฯ ว่านักองด้วงจะมีความโทมนัสตรอมใจตาย  ราชการทัพศึกที่เมืองเขมรและญวนก็ยังมีเกี่ยวข้องกันอยู่มาก  หากว่านักองด้วงตายเสียในกรุงนี้  ก็จะสิ้นเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเขมรเสียหมด  พระยาพระเขมรที่มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ ก็จะพากันไปเข้าด้วยญวนเสียสิ้น  กำลังทัพญวนก็จะมากขึ้น  จะขอรับพระราชทานให้นักองด้วงพ้นจากเวนจำแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรับตัวนักองด้วงไปคุมไว้ที่บ้านข้าพระพุทธเจ้า”

          จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนักองด้วงให้แก่พระยาศรีสหเทพไปคุมไว้ที่บ้านพระยาศรีสหเทพ  พระยาศรีสหเทพให้นักองด้วงอยู่ที่เรือนขุนจำนงค์อักษร (กลิ่น)   ขุนจำนงอักษรเป็นผู้คุมนักองด้วง  จึงส่งกับข้าวของกินเลี้ยงนักองด้วงเป็นอนาทร.....”

          ** ข้อความจากคำรับสารภาพให้การจากนักองด้วง  ดูรูปการแล้วน่าเป็นอุบายขององเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ญวนที่ปกครองเขมรอยู่นั้น  วางแผนให้เจ้าเขมรพี่น้องแตกแยกกัน  นักองด้วงเชื่อฟ้าทละหะที่ถูกญวนปั่นหัวใช้เป็นเครื่องมือเป็นแน่  นักองด้วงเจ้าเขมรองนี้ยังมีความสำคัญต่อไทย-เขมรอยู่มาก  ติดตามอ่านเรื่องราวของท่านต่อไปนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ลมหนาว ในสายหมอก, ลิตเติลเกิร์ล, Thammada, ฟองเมฆ, น้ำหนาว, ก้าง ปลาทู, กร กรวิชญ์, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #117 เมื่อ: 27, ธันวาคม, 2563, 10:03:21 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๘ -

ให้ขุดคลองยาวกว้างทางไม่แคบ
เรียก“แสนแสบ”เชื่อมโยงจำนงหมาย
กรุงเทพฯฉะเชิงเทรายาวต้นปลาย
มีนิยายหลากเรื่องเล่าสู่กัน

ศึกสงครามยามนี้ไม่มีรบ
แม้สงบแต่ว่าน่าหวาดหวั่น
ญวนยุแย่ยั่วเขมรไม่เว้นวัน
จะโรมรันเมื่อไรยังไม่รู้

          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...   นักองด้วงรับสารภาพว่าคิดจะฆ่านักองอิ่มแล้วกวาดต้อนครัวไปพนมเปญจริง  จึงมีพระราชโองการดำรัสสั่งนำตัวไปจำตรวนไว้ที่ทิมตำรวจ  ต่อมาพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง) กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานให้นักองด้วงพ้นจากเวนจำ  แล้วขอนำไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านตนเอง  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานตามที่ขอ  วันนี้มาอ่านกันต่อไปครับ.....


           ครั้นถึง ณ เดือนยี่ขึ้นสี่คำ ในปีระกา นพศก จุลศักราช ๑๑๙๙ ปี เป็นปีที่ ๑๔ ในรัชกาลแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ชื่อทัด) เป็นแม่กองจ้างจีนขุดคลอง  ตั้งแต่ตำบลหัวหมาก ต่อคลองบางกะปิไปทางตะวันออก  ทะลุที่บางกะหนากฝั่งแม่น้ำเมืองฉะเชิงเทรา  รางวัดทางยาว ๑,๓๓๗ เส้น ๑๙ วา ๒ ศอก  กว้าง ๖ วา  ราคาค่าจ้างขุดเส้นละเจ็ดสิบบาท  รวมเงินทั้งค่าฟันตอไม้  ค่าแก้คลองพระโขนงข้างปลาย  รวมเป็นเงินพันสองร้อยหกชั่งสิบสามตำลึงสองบาทสลึงเฟื้อง  ขุดอยู่ถึง ๔ ปีเศษจึงสำเร็จแล้วตลอด  เป็นลำคลองเรือเดินได้เมื่อปลายปีชวดโทศกจุลศักราช ๑๒๐๒ ปี  เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ  ชนสามัญเรียกว่า  “คลองแสนแสบ”

          ครั้น ณ เดือนสี่ปลายปีระกานพศกศักราช ๑๑๙๔ ปีนั้น  เจ้าพระยาบดินทรเดชาตั้งทำการเมืองพระตะบองอยู่  จึงมีใบบอกให้ขุนอุดมสมบัติถือเข้ามายังกรุงเทพฯ ใจความว่า


           “ได้ทำการสร้างเมืองพระตะบองนั้น  ได้ขุดคูรอบเมือง  ถมดินเป็นเชิงเทิน  ก่อกำแพงตั้งป้อม  มีประตูหอรบครบตามแบบอย่างนั้นแล้ว  กับได้ทำทุ่นต้นโกลนแล่นสายโซ่สำหรับขึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไว้ที่หน้าป้อมหน้าเมืองแห่งหนึ่ง  และทำศาลเจ้าหลักเมืองปลูกไว้ที่ตรงหลักโกลน  ปลูกฉางข้าวใหญ่และก่อตึกดินดำหลังหนึ่ง  แล้วทำวังให้นักองอิ่มอยู่  ก่อกำแพงรอบตำหนักและทำที่พักของข้าหลวงว่าราชการในเมือง  เป็นศาลาดินใหญ่หลังหนึ่ง  ครั้น ณ เดือนสี่ขึ้นเก้าค่ำ ได้ตั้งพระราชพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ตามไสยสาสตราคมทุกประการ  แล้วจึงฝังอาถรรพณ์หลักเมืองเชิญบัตรแผ่นทองคำและศิลาลงสู่ภูมิภาค  อัญเชิญเทพยดามาสถิตหลักเมือง  แล้วมีการสมโภชเวียนเทียนตามตำราจดหมายท้องตราซึ่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานอกไปนั้นทุกประการแล้ว

          อนึ่งซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระความเรื่องนักองด้วงและพระยาพระเขมรผู้ร่วมคิดที่ส่งออกมาสี่นายนั้น  คือ  พระพิทักษ์บดินทร์ ๑  พระนรินทร์โยธา ๑  พระมหาดไทย ๑  พระพล ๑  ทั้งสี่นายนี้คบคิดกันกับนักองด้วงจะหนีไปนั้น  ได้นำตัวพระยาพระเขมรนายทัพนายกองมาสืบถามได้ความว่า  นักองด้วงเป็นต้นคิดใช้ให้อ้ายโพกไปเที่ยวชักชวนพระยาพระเขมรและพระยามโนไมตรีเจ้าเมืองระสือ  ชำระได้ความจริงว่า  อ้ายโพกเป็นผู้ก่อความก่อเหตุให้เอิกเกริกขึ้น  ควรจะทำโทษอ้ายโพกตามกฎหมายให้จงหนัก  เพราะอ้ายโพกเป็นกรณีเหตุ  กับได้ชำระพระพิทักษ์บดินทร์  พระนรินทร์โยธา  พระมหาดไทย  พระพล  ได้ความชัดว่า  คนทั้งสี่นี้เป็นผู้ประจบประแจงพลอยตื่นเข้าฝากตัวกับนักองด้วงนั้น  คนทั้งสี่นี้ก็ตกอยู่ในระหว่างผู้ผิดคิดมิชอบ  มีโทษตามปลายเหตุ  โทษคนทั้งสี่นั้นจะควรประการใด  ก็แล้วแต่จะทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม”


          ครั้น ณ เดือนห้าขึ้นห้าค่ำ  ปีจอสัมฤทธิศก  จุลศักราช ๑๒๐๐ (พ.ศ. ๒๓๘๑) เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ  เจ้าพนักงานนำใบบอกเจ้าพระยาบดินทรเดชาขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีสหเทพมีท้องตราตอบออกไปใจความว่า

           “ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้มีความอุตสาหะ  สร้างเมืองพระตะบองพร้อมด้วยค่ายคูประตูหอรบป้อมกำแพง  การเมืองพระตะบองทั้งสิ้นแล้วเสร็จในปีเดียวนั้น  ก็เป็นพระเกียรติยศแก่แผ่นดิน  และเกียรติยศแก่เจ้าพระยาบดิทรเดชาด้วย  สืบไปภายหน้าจนสิ้นกาลนานชั่วฟ้าและดิน  และทรงพระราชดำริว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ชำระความพระพิทักษ์บดินทร์  พระนรินทร์โยธา  พระมหาดไทย  พระพล  ได้ความว่าพระยาพระเขมรทั้งสี่คนนี้เป็นแต่ประจบประแจงฝากตัวนักองด้วงนั้น  คนทั้งสี่นี้ก็มีความผิดอยู่บ้าง  ควรจะลงโทษตามควรแต่พอให้เข็ดหลาบตามกฎหมาย  ครั้นจะลงโทษคนทั้งสี่เหล่านั้นเล่า  ก็เห็นว่าเป็นบุตรหลานของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เขมร  ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมแผ่นดินต้นพระพุทธเจ้าหลวง (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)  ด้วยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เขมรมีความชอบต่อราชการแผ่นดินมามาก  เพราะฉะนั้นจึงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาภาคทัณฑ์คาดโทษคนทั้งสี่ไว้ครั้งหนึ่งก่อน  แล้วให้ถอดจำออกให้รับราชการแก้ตัวต่อไป  แต่นักองด้วงต้นเหตุนั้น  ยังปล่อยออกไปไม่ได้  ต้องคุมตัวไว้ในกรุงเทพฯ ก่อน  ให้นักองอิ่มว่าราชการบ้านเมืองเขมรไปพลาง กว่าจะจัดราชการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว  จึงจะได้อภิเษกนักองอิ่มให้เป็นเจ้ากรุงกัมพูชา  สืบราชประเพณีต่อไปตามโบราณ

          อนึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชาจัดการบ้านเมืองเขมรเรียบร้อยแล้ว  ถ้าทัพศึกญวนไม่มี  เห็นว่าเขมรสงบอยู่แล้ว  ก็ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาแต่งพระยา พระ หลวงฝ่ายไทยอยูกำกับพระยาพระเขมรทุกบ้านทุกเมืองเรียบร้อยแล้ว  ก็ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชากลับเข้ามาเฝ้าพระกรุณา ณ กรุงเทพมหานครสักครั้งหนึ่งก่อน  จะได้กราบบังคมทูลชี้แจงข้อราชการบ้านเมืองเขมรต่อไป”

          โปรดเกล้าฯ ให้หลวงศรีพิทักษ์เจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราออกไปให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา  เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ทราบข้อราชการตามท้องตราแล้ว  ก็กลับเข้ามากรุงเทพฯ ในเดือนหก ขึ้นหนึ่งค่ำ  ทันช่วยในการพระเมรุท้องสนามหลวง  พระบรมศพกรมสมเด็จระศรีสุลาลัยพระราชชนนีพระเจ้าอยู่หัว........”


          ** เป็นความรู้มาย้ำให้จำกันว่า  “คลองแสนแสบ”  นั้น  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลในแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนโกษา (ทัด)  เป็นแม่กองทำการขุดขึ้นเมื่อปีจุลศักราช ๑๑๙๙  ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๘๐  โดยจ้างคนชาวจีนทำการขุด  เริ่มต้นตั้งแต่ หัวหมาก ต่อคลองบางกะปิออกไปทางทิศตะวันออก  ทะลุไปถึงบางกะหนาก (ขนาก) แม่น้ำเมืองฉะเชิงเทรา  ระยะทางยาว ๑,๓๓๗ เส้น ๑๙ วา ๒ ศอก  ใช้เวลาขุดอยู่นานถึง ๔ ปีเศษ  ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา เมื่อสร้างเมืองพระตะบองเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราหาตัวกลับเข้ากรุงเทพฯก่อน  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, Thammada, ข้าวหอม, กร กรวิชญ์, ก้าง ปลาทู, ลมหนาว ในสายหมอก, ปิ่นมุก, ปลายฝน คนงาม, เฒ่าธุลี

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #118 เมื่อ: 03, มกราคม, 2564, 10:16:42 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๑๙ -

ทรงดำริเสริมสร้างสิ่งยังขาด
เมืองเสียมราฐไร้กำแพงโล่งแจ้งอยู่
โปรดให้สร้างกำแพงป้อมพร้อมคลองคู
กันศัตรูจู่โถมเข้าโจมตี

นักองอิ่มน้อยใจไทยไม่ตั้ง
เป็นเจ้าดังฝันหวานทุกวันวี่
จึงแปรภักดิ์จากไทยไปทันที
ยอมเป็น“ขี้ข้าญวน”อย่างส่วนเกิน


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทำการขุดคลองซึ่งชาวบ้านชาวเมืองเรียกกันว่า  “คลองแสนแสบ”  เริ่มจากหัวหมากทะลุถึงบางขนากเมืองฉะเชิงเทรา  เจ้าพระยาบดินเดชาก็สร้างเมืองพระตะบองเสร็จเรียบร้อยแล้ว  มีท้องตราหาตัวให้กลับเข้ากรุงเทพฯ  เพื่อกราบบังคมทูลข้อราชการเมืองเขมรต่อ  วันนี้มาอ่านความกันต่อครับ.....


           ครั้น ณ เดือนเก้าในปีจอสัมฤทธิศกนั้น ทรงพระราชดำริว่า   “เจ้าพระยาบดินทรเดชากลับเข้ามากรุงเทพฯ แล้ว  ราชการข้างเมืองเขมรก็มีแต่นายทัพนายกองผู้น้อย  หามีผู้ใหญ่อยู่รักษาราชการบ้านเมืองไม่  จะไว้ใจแก่ราชการมิได้”   จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดี (ชื่อโต) ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมนั้น  เป็นแม่ทัพออกไปฟังราชการ ขัดตาทัพอยู่ ณ เมืองเขมรไปพลางก่อน  แต่เมืองนครเสียมราฐนั้นยังมิได้มีป้อมกำแพงเป็นที่ป้องกันข้าศึกเหมือนเมืองพระตะบองไม่  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่กองทำเมืองนครเสียมราฐด้วย  โปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ไพร่พลไทยในกรุง ๑,๘๐๐ คน  ให้เกณฑ์ไพร่พลรามัญเมืองปทุมธานี  เมืองนนทบุรี  เมืองนครเขื่อนขันธ์  เมืองสาครบุรี  รวมรามัญ ๑,๐๘๓ คน  รวมไทยมอญ ๒,๘๘๓ คน  และให้เกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองฝ่ายทางตะวันออกอีก ๗,๑๑๗ คน  รวมไพร่พลทั้งไทย มอญ ลาวในกรุง และหัวเมืองเป็นคน ๑๐,๐๐๐  ให้พระยาราชสุภาวดีกราบถวายบังคมลา  ยกออกจากกรุงเทพฯ แต่ ณ วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ในปีจอสัมฤทธิศก  ยกไปถึงเมืองนครเสียมราฐแล้ว  ให้จับการทำอิฐเผาปูนแล้วลงมือทำป้อมก่อกำแพงเมืองนครเสียมราฐ  ยาวตามลำแม่น้ำ ๑๒ เส้น  ด้านสกัดขึ้นไปบนบกกว้าง ๑๐ เส้น  ทำทุ่นโกลนขึงสายโซ่ข้ามลำแม่น้ำไว้ที่หน้าป้อมหน้าเมืองแห่งหนึ่ง  ได้ลงมือก่อป้อมกำแพงแต่ ณ เดือนสี่ขึ้นเก้าค่ำปลายปีจอสัมฤทธิสกนั้นแล้ว

           ครั้น ณ เดือนห้าขึ้นเก้าค่ำปีกุน เอกศก จุลศักราช ๑๒๐๑ เป็นปีที่ ๑๖ ในรัชกาลแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ นั้น  พระยาราชสุภาวดีมีใบบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ ใจความว่า


            “การที่ทำป้อมกำแพงเมืองนครเสียมราฐแล้วไปสามส่วน  ยังไม่แล้วอีกส่วนหนึ่ง  ต่อเดือนห้าข้างแรมหรือเดือนหกข้างขึ้นป้อมกำแพงเมืองนครเสียมราฐก็จะแล้วเสร็จ  บัดนี้กำลังให้ขุดคูรอบกำแพงเมือง  ขนมูลดินขึ้นถมเชิงเทินทั้งสี่ด้าน  กับได้แต่งให้พระยาสีหราชเดโชเป็นแม่ทัพ  คุมพลทหารอยู่รักษาเมืองนครเสียมราฐ  ให้พระพรหมบริรักษ์กับพระอรรคเนศร และหลวงราชโยธาเทพ ข้าหลวงฝ่ายพระราชวังหลวง ๓ นาย  กับพระอร่ามมณเฑียร ๑  พระกำจรใจราช ๑  หลวงเทพเสนี ๑  ข้าหลวงฝ่ายพระราชวังบวรฯ ๓ นาย  รวมเป็นข้าหลวง ๖ นาย  อยู่จัดการดูแลนายด่านนายงาน  กำกับหัวเมืองทำการก่อป้อมกำแพงขุดคูต่อไป  ให้สำเร็จแล้วในเดือนหกให้จงได้  แล้วพระยาราชสุภาวดีแต่งให้พระยารามกำแหง ๑  พระชาติสุเรนทร์ ๑  จมื่นอินทรเสนา ๑  หลวงศรีสิงหนาท ๑  หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ ๑  หลวงวิเศษธานี ๑  เป็นข้าหลวง ๖ นาย  คุมไพร่พล ๕๐๐ ยกลงไปสืบราชการทัพญวน  ได้ข่าวว่าทัพญวนก็สงบอยู่  จึงมีตราบังคับสั่งให้ข้าหลวงทั้ง ๖ นายตั้งขัดตาทัพรักษาด่านทางอยู่แล้ว  พระยาราชสุภาวดีเห็นราชการทัพศึกญวนเขมรก็สงบเงียบอยู่แล้ว  จะขอกลับเข้ามาเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการ ณ กรุงเทพฯ”

           หลวงพิไชยเสนากับขุนวิสุทธิเสนี  เชิญใบบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ  ครั้นการเมืองนครเสียมราฐร่วมมากแล้ว  พระยาราชสุภาวดีก็ยกทัพกลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ณ เดือนหกแรมสิบสี่ค่ำ ในปีจอสัมฤทธิศก

           ฝ่ายข้างเมืองเขมรนั้น  นักองอิ่มอยู่ที่เมืองพระตะบอง  ได้ข่าวว่าญวนยกนักองแป้นเจ้าหญิงบุตรนักองจันทร์  ให้เป็นใหญ่ในเมืองพนมเปญ  ให้ว่าราชการบ้านเมืองเขมรอยู่  แต่ขุนนางญวนกำกับช่วยว่าราชการ  เพราะเป็นเจ้าผู้หญิง  พระเจ้าเวียดนามมินมางมีรับสั่งมาให้พระยาเขมรที่เมืองพนมเปญแต่งตัวอย่างญวนเรียกว่า  “ญวนใหม่”  แล้วบังคับให้เขมรใช้กฎหมายฝ่ายญวน  ฝ่ายพระยาพระเขมรและราษฎรเขมรไม่เต็มใจเป็นข้าญวน  เพราะได้ความเดือดร้อนยิ่งหนัก  พวกเขมรก็พากันระส่ำระสาย  เกือบจะเป็นขบถขึ้นทุกบ้านทุกเมือง  ฝ่ายแม่ทัพญวนก็รู้ระแคะระคายเข้าบ้างแล้ว  ครั้นจะจัดการระงับก็ยังไม่มีเหตุขึ้น  กลัวจะเกิดการจลาจลใหญ่โตไปก็จะระงับยาก  เพราะฉะนั้นญวนจึงนิ่งคุมเชิงเขมรอยู่


          ครั้นนักองอิ่มทราบข่าวดังนั้นแล้วจึงคิดว่า  ถ้านักองอิ่มได้หนีไทยลงไปหาญวน  ญวนก็คงจะยกย่องตัวขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินเขมรให้ปราบปรามพวกพระยาพระเขมรที่จะคิดการจลาจลแก่ญวน  นักองอิ่มคิดดังนั้นแล้ว  จึงมีหนังสือลับใช้ให้อ้ายถึกถือไปให้พระวิบุลราชเขมร  นำลงไปให้องญวนแม่ทัพใหญ่ที่เมืองพนมเปญใจความว่า

           “นักองอิ่มอยู่กับไทย  ไทยก็ไม่ยกขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินเขมรตามวงศ์ตระกูลเดิม  บัดนี้นักองอิ่มสมัครลงไปทำราชการด้วยองญวนผู้ใหญ่แม่ทัพที่เมืองพนมเปญ  ถ้าว่าองญวนผู้ใหญ่ยังเคลือบแคลงสงสัยไม่ไว้ใจแก่นักองอิ่ม  นักองอิ่มจะจับพระยาปลัด พระยายกกระบัตรกรมการผู้ใหญ่เมืองพระตะบอง และครอบครัวเมืองพระตะบองลงไปให้องญวนเห็นความจริงที่สวามิภักดิ์ต่อองญวนโดยสัจธรรม”

          ฝ่ายองญวนแม่ทัพจึงมีหนังสือตอบขึ้นมาถึงนักองอิ่มใจความว่า      “ถ้านักองอิ่มจะหนีไทยลงไปหาญวน  ญวนจะยกแผ่นดินเขมรให้นักองอิ่ม  เป็นเจ้ากรุงกัมพูชาตามประเพณีโบราณ  เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีเจ้าชายฝ่ายเขมรจะปกครองแผ่นดินเขมร  ญวนจึงได้ยกเจ้าหญิงให้ว่าราชการไปพลางก่อน”


          ครั้น ณ เดือนอ้ายแรมสามค่ำในปีกุน  เอกศกเวลาย่ำรุ่งนั้น  นักองอิ่มคุมไพร่พลเป็นอันมากถืออาวุธครบมือกัน  แล้วก็พากันไปถึงบ้านพระยาปลัด  แต่บานประตูยังปิดแน่นหนาอยู่  นักองอิ่มขึ้นม้าถือดาบสองมือ  ยืนม้าอยู่ตรงประตูบ้านพระยาปลัด  นักองอิ่มร้องเรียกคนเฝ้าประตูให้เปิดประตูรับ  คนซึ่งเฝ้าประตูพระยาปลัดมองดูเห็นนักองอิ่มและพวกนักองอิ่มถือเครื่องศาสตราวุธมามากผิดปรกติ  จึงไม่เปิดประตูรับ  พวกนักองอิ่มจึงพาดพะองไม้ไผ่แล้วปีนรั้วขึ้นไปยิงด้วยปืน  ถูกคนเฝ้าประตูตายคนหนึ่ง  วิ่งหนีไปได้สองคน  แล้วนักองอิ่มร้องสั่งว่าให้ยิงขึ้นไปบนเรือนพระยาปลัดสักสองสามนัด  กระสุนปืนก็ไปถูกหญิงลูกอ่อนบนเรือนพระยาปลัดตายคนหนึ่ง  ขณะนั้นทหารนักองอิ่มฟันบานประตูด้วยขวานทำลายลง  แล้วพวกทหารก็กรูกันเข้าไปเต็มลานบ้านพระยาปลัด  บ้างก็พากันล้อมเรือนพระยาปลัดอยู่โดยรอบ  นักองอิ่มยิงปืนขานกยางขึ้นไปบนเรือน  กระสุนปืนถูกฝากระดานเรือนทะลุเข้าไปถูกภรรยาน้อยพระยาปลัดตายสามคน ลำบากสองคน  ฝ่ายพระยาปลัดจับดาบได้  วิ่งออกมาจะต่อสู้กับนักองอิ่ม  ขณะนั้นภรรยาหลวงของพระยาปลัดวิ่งสวนออกมาห้ามสามีไว้ว่า   “อย่าสู้เขาเลย  พวกพ้องข้างเขามากนัก  ถ้าขืนสู้รบเขาแล้วลูกเมียจะตายหมดทั้งเรือนเป็นแน่”.....


          ไทยคนใดไปเมืองพระตะบอง  เมืองเสียมราฐ  เห็นเมือง  กำแพงเมือง  ทั้งคู  ประตูหอรบที่ยังหลงเหลืออยู่  ขอได้รู้เถิดว่า  นั่นเป็นฝีมือการก่อสร้างของไทยเมื่อสมัยรัชการแผ่นดินที่ ๓ กรุงเทพฯ  เมืองพระตะบองอำนวยการสร้างโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา  เสียมราฐ (เสียมเรียบ) อำนวยการสร้างโดยพระยาราชสุภาวดี (โต)  และแล้วบรรยากาศอันสงบเงียบก็ถูกทำลายเสียโดยนักองอิ่มคิดอยากเป็นเจ้าแผ่นกัมพูชาโดยเร็ว  จึงขอสวามิภักดิ์องเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ญวน  เรื่องราวจะเป็นอย่างไรขอพักไว้ก่อน  ค่อยมาอ่านกันต่อนะครับ.

เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, กร กรวิชญ์, Thammada, ฟองเมฆ, ลิตเติลเกิร์ล, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก, ปลายฝน คนงาม, เฒ่าธุลี, Paper Flower

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
บ้านกลอนน้อยฯ
เลขาคุณอภินันท์
****

จำนวนผู้เยี่ยมชม:39047
ออฟไลน์ ออฟไลน์

ID Number: 202
จำนวนกระทู้: 3127



| |
Re: - อานามสยามยุทธ -
« ตอบ #119 เมื่อ: 10, มกราคม, 2564, 10:34:07 PM »
บ้านกลอนน้อยฯบ้านกลอนน้อยฯ

Permalink: Re: - อานามสยามยุทธ -

- อานามสยามยุทธ ๑๒๐ -

นักองอิ่มปล้นพระยาและพระหลวง
ผูกเป็นพวงต้อนพาระหกระเหิน
แลกตำแหน่งเจ้าแผ่นดินถิ่นจำเริญ
เป็นการเดินทางเถื่อนเหมือนคนพาล

แม่ทัพใหญ่ไทยประจักษ์มิชักช้า
ยกโยธาไปป้องคุ้มครองบ้าน
แต่งกำลังตั้งสู้ผู้รุกราน
ขุนทหารพร้อมเพรียงอยู่เรียงราย


          อภิปราย ขยายความ ..........................

          ความในอานามสยามยุทธในเล่มที่ ๑ ที่ ๒ ว่าด้วยไทยรบกับลาวต่อด้วยรบกับญวน ที่ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง) บันทึกลงสมุดไทยไว้ จากนี้ไปเป็นความในเล่มที่ ๓ ซึ่งเมื่อวันวานนี้ให้อ่านกันถึงตอนที่...   มีพระราชดำริว่าเมืองเสียมราฐไม่มีกำแพงป้องกันข้าศึกศัตรู  จึงรับสั่งให้พระยาราชสุภาวดี (โต) ยกกองกำลังไทยมอญลาวเขมรไปสร้างกำแพงป้อมคูประตูหอรบเมืองนครเสียมราฐ  พระยาราชสุภาวดีอำนวยการสร้างกำแพงตามพระราชดำริเสร็จเรียบร้อยในปีเดียว  แล้วยกทัพกลับเข้ากรุงเทพฯ  ฝ่ายทางเมืองพระตะบองนั้นนักองอิ่มคิดอยากเป็นเจ้าแผ่นกัมพูชาโดยเร็ว  จึงขอสวามิภักดิ์องเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ญวน  จะยืนยันความภักดีต่อญวนด้วยการจับตัวพระยาปลัดพระยายกกระบัตรเมืองพระตะบอง  กวาดต้อนครัวลงไปเมืองพนมเปญ  วันนี้มาอ่านเรื่องราวต่อครับ....


           “ฝ่ายนักองอิ่มจึงให้นายแก้วพี่ภรรยานักองอิ่ม ๑  กับอ้ายรามโยฝรั่งเข้ารีต ๑  ถือดาบสองมือนำหน้าทหารกรูกันขึ้นไปบนเรือนจับตัวพระยาปลัด ๑  กับภรรยาหลวง ๑  ภรรยาน้อย ๆ เจ็ดคนมัดมือมาคุมตัวไว้  แล้วเก็บทรัพย์สมบัติพระยาปลัดมาหมดเรือน  และกวาดต้อนผู้คนบ่าวไพร่ชายหญิงมาคุมไว้ทั้งบ้าน  แล้วก็แบ่งเป็นกอง ๆ แยกย้ายกันไปตีปล้นจับตัวพระยายกกระบัตร ๑  พระยานราธิวาส ๑  พระยาโกษา ๑  พระภักดีบริรักษ์ ๑  พระศาสตราธิบดี ๑  พระมหาพิมณฑ์สมบัติบดีพระคลัง ๑  พระบวรนายก ๑  หลวงอภัยภักดีบุตรพระยาปลัด ๑  หลวงภักดีชุมพล ๑  หลวงเพชรสงคราม ๑  หลวงเสน่หานายก ๑  หมื่นภักดีสมบัติ พระคลังปลัดฝรั่งเข้ารีต ๑  รวมพระยาพระเขมร ๑๓ คน  นำตัวมาจำตรวนไว้ที่วังนักองอิ่ม  นักองอิ่มสั่งให้ทหารเก็บริบพาสิ่งของทรัพย์สมบัติของพระยาพระเขมรทั้ง ๑๓ คนไปจนสิ้น  แต่ทรัพย์สมบัติพระมหาพิมณฑ์ สมบัติพระคลังนั้น  มีมากกว่าขุนนางเขมรทั้งปวงเพราะเป็นพ่อค้า  แล้วนักองอิ่มแต่งให้พระยาพระเขมรนายทัพนายกองคุมไพร่พลแยกย้ายกันไปกวาดต้อนครอบครัวเขมรเมืองพระตะบองและเมืองระสือ  ได้ครอบครัวทั้งสองเมืองประมาณหกพันเศษ  ให้ต้อนครอบครัวไปทั้งทางบกและทางเรือ  แล้วแต่งกองทัพพันหนึ่งให้อยู่รั้งหลังระวังกองทัพไทยพวกข้าหลวงเมืองพระตะบองจะตามมาข้างหลัง  ให้ต่อสู้ให้เต็มมือ  นักองอิ่มอพยพเทครัวออกจากเมืองพระตะบองในวันนั้นเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ


          ครั้นนักองอิ่มต้อนครัวเดินไปถึงเมืองโปริสาด  ขณะนั้นองอันภู่แม่ทัพญวนซึ่งตั้งทัพรักษาด่านอยู่ ณ เมืองโปริสาดนั้น  องอันภู่จึงแต่งขุนนางญวนให้คุมครัวนักองอิ่มแยกย้ายครัวเขมรที่นักองอิ่มกวาดต้อนมานั้น  แบ่งให้ไปอยู่เมืองขลุงบ้าง  เมืองครองบ้าง  เมืองตะครัวบ้าง  เมืองลากบเอียบ้าง  แต่ครอบครัวนักองอิ่ม และพระยาปลัด  พระยายกกระบัตร  พระยานราธิวาสพระยาโกษาธิบดี  หลวงเสน่หานายกกับครอบครัวนักองอิ่มสามร้อยคนเศษด้วย  องอันภู่สั่งให้องเดกโปคุมตัวนักองอิ่มและครัวนักองอิ่ม  กับพระยาพระเขมรผู้ใหญ่ห้านายนี้  พาลงไปส่งให้องเตียนกุนแม่ทัพใหญ่ที่เมืองพนมเปญแต่ในคราวนั้น


          ครั้น ณ เดือนอ้ายแรมสิบสองค่ำ  พวกข้าหลวงไทยกับกรมการเมืองพระตะบองที่หนีเข้าป่าหายไปครั้งนักองอิ่มนั้น  จึงเหลืออยู่บ้าง  ครั้นนักองอิ่มกวาดต้อนครัวไปแล้วก็กลับมาบ้านเมือง  จึงมีใบบอกเข้ามายังกรุงเทพฯ ใจความว่า

           “นักองอิ่มคิดประทุษร้ายเป็นขบถยกทัพเข้าตีปล้นบ้านพระยาพระเขมร  กวาดต้อนพาครอบครัวเมืองพระตะบองและเมืองระสือประมาณหกพันเศษ  อพยพหนีไปหาญวนที่เมืองพนมเปญ”


          เจ้าพนักงานนำหนังสือบอกเมืองพระตะบองขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาเร่งรีบยกกองทัพออกไปฟังราชการทางเมืองเขมรโดยเร็ว  แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ทัพเพิ่มเติมออกไปอีกต่อภายหลัง  ทั้งพระยา พระ หลวง  ฝ่ายพระราชวังบวรฯ และหัวเมืองฝ่ายเหนือด้วย  จะให้รีบยกตามออกไปเนือง ๆ กันให้ทันในเดือนสามให้เสร็จ  เจ้าพระยาบดินทรเดชายกออกจากกรุงเทพฯ  เร่งรีบเดินทัพไปถึงเมืองพระตะบองแล้ว  ได้ตรวจดูผู้คนทั้งนายและไพร่ที่นักองอิ่มกวาดไปนั้น  ประมาณดูมากน้อยเท่าใดแล้ว  จึงมีใบบอกให้พระยาราชภักดีเขมร ๑  พระศรีบุรินทรานุรักษ์เขมร ๑  ถือเข้ามายังกรุงเทพฯ ใจความว่า

          “ได้ตรวจดูไพร่พลแล้วทำบัญชีครอบครัวพลเมืองที่นักองอิ่มกวาดต้อนพาหนีไปนั้น  พระยา ๔ คน พระ ๑๓ คน หลวง ๒๐ คน ขุนหมื่น ๑๓๑ คน กำนัล ๑๔ คน รวมแต่ตัวนายเขมร ๑๘๒ คน  นับหลังคาเรือนพลเมืองพระตะบองได้เรือน ๕๑๓ หลัง  เมืองระสือ ๓๑๖ หลัง  รวมเรือนที่ครอบครัวไปกับนักองอิ่มทั้งสองเมืองเป็น ๘๒๙ เรือน  จะเป็นสำมะโนครัวเขมรมากน้อยเท่าใดหาทราบไม่  เพราะบัญชีสำมะโนครัวสำหรับเมืองไม่มี  เป็นแต่คาดคะเนดูไพร่พลที่ยังเหลือทั้งสองเมืองนั้นประมาณสามหมื่นเศษ  ที่นักองอิ่มกวาดต้อนไปนั้นประมาณหมื่นเศษ  แต่ตัวนายเขมรที่ยังเหลืออยู่นั้น  พระยา ๑ คน  พระ ๙ คน  หลวง ๑๑ คน  ขุนหมื่น ๙๘ คน  รวมเข้ากัน ๑๑๙ คน  อนึ่งเสบียงอาหารที่เมืองเขมรขัดสนหนัก  ครั้นจะเกณฑ์กองทัพหัวเมืองมามากก็ไม่ได้  ด้วยไม่มีข้าวจะจับจ่ายให้ไพร่พลรับพระราชทานหาพอไม่  ขอพระราชทานโปรดให้มีข้าหลวงใหญ่จัดกองลำเลียงขึ้นมาส่งจึงจะทำการได้ตลอด”


          อนึ่งเมื่อ ณ เดือนยี่ขึ้นสิบห้าค่ำในปีกุนนี้  หลวงรักษาเทพเจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ  กับหลวงหัสนัยณรงค์  และนายฉลองนัยนาถมหาดเล็กหุ้มแพรฝ่ายพระราชวังบวรฯ เป็นข้าหลวงสามนายคุมกองทัพเมืองขุขันบุรี ๑,๕๐๐ คน  เมืองสุรินทร์ ๑,๐๐๐ คน  เมืองสังขะ ๗๐๐ คน  เมืองศรีษะเกศ ๑,๐๐๐ คน  เมืองเดชอุดม ๘๐๐ คน  รวมไพร่พลห้าเมืองเป็นคน ๕,๐๐๐ คน  มาถึงเมืองพระตะบองแล้ว  ได้แต่งให้พระพรหมบริรักษ์เจ้ากรมพระตำรวจในพระราชวังหลวง ๑  พระรามณรงค์ ๑  หลวงไกรนารายณ์ ๑  กับพระยาปราจีนบุรี ๑  หลวงศุภมาตราเมืองกบินทร์บุรี ๑  ห้านายคุมทัพไปรักษาเมืองระสือ

          ได้แต่งให้พระพิเรนทรเทพเจ้ากรมพระตำรวจในพระราชวังหลวง ๑  พระพรหมสุรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ ๑  จมื่นสิทธิแสนยารักษ์ปลัดกรมพระตำรวจฝ่ายพระราชวังบวรฯ หลวงราชเสวก ๑  หลวงสิทธิสงคราม ๑  เป็นห้านาย  ให้คุมกองทัพไปรักษาค่ายกำพงปรัก
          ได้แต่งให้พระยาราชนิกูล ๑  พระยาอภัยสงครามเจ้ากรมเขนทองในพระราชวังบวรฯ ๑  จมื่นไชยภูษาปลัดกรมพระตำรวจในพระราชวังหลวง ๑  จมื่นศักดิบริบาลปลัดกรมพระตำรวจในฝ่ายพระราชวังบวรฯ ๑  หลวงมหิมาโยธีในพระราชวังบวรฯ ๑  เป็นห้านายให้คุมกองทัพไปรักษาเมืองนครเสียมราฐ

          ได้แต่งให้หลวงคชลักษณ์ ๑  หลวงชาติเสนี ๑  หลวงพิฦกโยธา ๑  สามนายเป็นข้าหลวงกำกับพระยาราชวรนายกเขมร ๑  พระพลภักดีเขมร ๑  หลวงสุรเสนาเขมร ๑  เป็นนายทัพหกคน  คุมไพร่พลไทยเขมรรวมกันลงเรือรบที่ต่อขึ้นใหม่ห้าลำ  เรือรบเก่าสาม  รวมแปดลำ  ออกทะเลสาบใช้ใบและแจวไปลาดตระเวนตั้งแต่เมืองพัชโลงแขวงเมืองโปริสาด  ห่างจากปากน้ำเมืองโปริสาดทางครึ่งวัน  เจ้าพระยาบดินทรเดชานั้นตั้งอยู่ที่เมืองพระตะบอง  จัดการบ้านเมืองถ่ายลำเลียงเสบียงอาหารข้าวปลาเกลือเข้าไว้ในยุ้งฉางเมืองพระตะบอง  แล้วตระเตรียมการยุทธนาพร้อมสรรพ.......”


          นักองอิ่มทำการสำเร็จตามเจตนา  พาครอบครัวไปสวามิภักดิ์องเตียนกุน ณ เมืองพนมเปญแล้ว  ทางเมืองพระตะบองที่ยังมีผู้คนหลงเหลือจากการกวาดต้อนอยู่ไม่น้อย  จึงมีใบบอกเข้าไปกรุงเทพฯ  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาเร่งรีบยกทัพไปเมืองพระตะบองโดยด่วน  พร้อมกับทรงจัดทัพส่งตามไปอีกเนือง ๆ  เจ้าพระยาบดินทรเดชาแต่งตั้งนายทัพนายกองเข้าคุมสถานการณ์ตามหัวเมืองช่องทางต่าง ๆ  และเตรียมการทำศึกอย่างพร้อมสรรพ  สงครามไทย-เขมรจึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว  ค่อยมาอ่านกันต่อครับ.


<<< ก่อนหน้า                 ต่อไป  >>>


เต็ม อภินันท์
ณ อาศรมลายสือไท เมืองสุโขทัย
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่นำมาประกอบนี้ในเน็ต


รายนามผู้เยี่ยมชม : Black Sword, ปลายฝน คนงาม, ลิตเติลเกิร์ล, ฟองเมฆ, ก้าง ปลาทู, ปิ่นมุก, กร กรวิชญ์, เฒ่าธุลี, น้ำหนาว, ลมหนาว ในสายหมอก

บันทึกการเข้า

..
สารบัญบทกลอนคุณ  "อภินันท์ นาคเกษม"
..
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 12   ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.14 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
Simple Audio Video Embedder
| Sitemap
NT Sun by Nati
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.367 วินาที กับ 387 คำสั่ง
กำลังโหลด...